 |
|
~* ~* ~ * คำถามใต้ร่มไม้ * ~ * ~ * ~

คำถามใต้ร่มไม้ ภาพและเสียงสนทนาจาก ลาดัก สิกขิม และอินเดีย สายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี เขียน สำนักพิมพ์วงกลม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2547 168 หน้า 135 บาท
ช่วงๆ นี้ดิฉันคิดถึงการเดินทางเป็นพิเศษ ทั้งการเดินทางที่ได้ไปเยือนมาแล้วและการเดินทางที่กำลังจะดำเนินไป วันก่อนนั่งดูรูปตอนไปเที่ยว อินเดียและสิกขิม แล้วก็คิดถึงหนังสือเล่มนี้ค่ะ "คำถามใต้ร่มไม้"
หนังสือเล่มนี้อาจถูกจัดประเภทว่าเป็นหนังสือท่องเที่ยว เพราะมันพูดถึงสภาพแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแถบ อินเดีย ลาดัก และ สิกขิม แต่มันไม่ได้บอกว่าพักที่ไหน กินที่ไหน เที่ยวอย่างไร ฯลฯ แต่มันให้แรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือในการกระตุ้นให้ไปเยือนแถบถิ่นนั้นสักคราหนึ่ง
ชีวิตประสบการณ์การเดินทางของสายพิณ ก็น่าสนใจไม่น้อย เธอพบประสบการณ์แสนวิเศษท่ามกลางแผ่นผาและเขาหิน เมื่อได้เข้าร่วมพิธีกาลจักรที่ลาดัก และหน้าร้อนปีถัดมาเธอก็กลับไปที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่แน่ใจว่าเธอจะหลงรักอินเดียอย่างจริงจังหรือไม่ หลังจากทริปลาดักครั้งที่สอง เธอบินต่อไปลอนดอน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นพักใหญ่ ทำงานในร้านแมคโดนัลด์ที่แสนวุ่นวาย ทำงานในผับย่านเชลซี และเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ร้านอาหารจีน เมื่อมีเงินเพียงพอที่จะเรียนต่อได้บ้าง ก็ตัดสินใจไปลงเรียนภาคค่ำในส่วนการศึกษาพิเศษที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ลงเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ต่อกัน 2 หลักสูตร (เธอเคยทำหนังสั้นมาก่อน ) แม้ว่าลอนดอนจะทำให้ชีวิตเธอสะดวกสบาย มีงาน มีเงิน มีเพื่อนฝูง มีเวลาได้นั่งเหม่อมองผู้คน เธอก็พบว่าถึงเวลาต้องกลับไปอินเดียอีกครั้ง 2-3 วันที่อินเดียวันผ่านไปเธอก็พบกับคัลเจอร์ ช็อคอย่างรุนแรง แต่เมื่อเห็นหมู่ต้นไม้ ตึกเก่าและถนนที่ปะปนไปด้วยสามล้อถีบ จักรยาน และวัว ที่มหาวิทยาลัยศานตินิเกตัน อินเดีย เธอตัดสินใจว่าที่นี่จะเป็นห้องเรียนใหม่ของเธอ ตอนแรกเธอลงเรียนสาขา Indo -Tibetan Studies และต่อมาก็ย้ายมาเรียนสาขาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นประสบการณ์ช่วงเวลาในชีวิตดังกล่าวของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการได้เข้าร่วมพิธีกาลจักร ที่วัดตาโบ ลาดัก ( เป็นพิธีทางพุทธศาสนาสายวัชรยาน ที่มีดาไลลามะ เป็นผู้นำศาสนา ) ความวุ่นวายของเมืองกัลกัตตา การสนทนากับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยศานนิติเกตัน
ชื่อหนังสือ "คำถามใต้ร่มไม้" ก็มาจากบทหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ มันว่าด้วยการสนทนาใต้ร่มใม้ซึ่งเป็นทั้งชั้นเรียนและสภากาแฟในเวลาเดียวกันของนักเรียนศานตินิเกตัน ที่ใต้ร่มไม้นี้ สายพิณและคิมหนุ่มเกาหลีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยได้ลงนั่งสนทนากันเรื่องวิถีปฏิบัติของพระพุทธจ้าในการค้นพบหนทางดับทุกข์ คิมเคยบวชเป็นพระที่เกาหลี ก่อนที่จะลาสิกขาออกมา และตัดสินใจมาเรียนต่อที่ศานตินิเกตัน คิมเลือกเรียนทางด้านการเต้นกะตะกาลี คำถามหนึ่งที่คิมถามสายพิณ ในระหว่างการสนทนาเรื่องพระพุทธเจ้า น่าสนใจไม่น้อย
" เธอคิดว่าการนั่งลงทำสมาธิใต้ต้นไม้เท่านั้นหรือ ที่จะทำให้เราไปสู่นิพพาน ผู้คนมากมายพยายามทำเช่นนี้เพราะปรารถนาจะสัมผัสประสบการณ์เดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้พบ แต่คนเราเกิดมาต่างกัน ดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน นั่นเป็นเทคนิคเฉพาะบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ใช่วิธีการสำหรับทุกคน แต่ละคนต้องหาวิธีการของตนเอง " และดิฉันก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า ผู้อ่านบล็อกนี้แต่ละคน มีหนทางของตัวเอง มี มีที่ที่อยากไป มีเพลงที่รัก มีหนังที่อยากดู และมีหนังสือที่ชอบเป็นของตัวเอง
Create Date : 26 กรกฎาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 15:30:02 น. |
| |
Counter : 2501 Pageviews. |
| |
 |
|
|
*~+*~+*~+ เถ้าถ่านแห่งวารวัน *~+~*+~*+

เถ้าถ่านแห่งวารวัน คาสิโอะ อิชิงุโระ เขียน นาลันทา คุปต์ แปล จากต้นฉบับภาษาอังกฤษ The Remains of the Day แพรวสำนักพิมพ์ ,250 หน้า ,195 บาท
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงความคิดคำนึงของพ่อบ้านชาวอังกฤษ ที่มองย้อนกลับไปถึง "เจ้านายเก่า" และ"ความรักครั้งเก่า " (สำหรับประเด็นหลังนี้เจ้าตัวพยายามเก็บไว้ในซอกหลืบของลิ้นชัก และใส่กุญแจปิดสนิท)
เรื่องเปิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1956 สตีเวนส์ พ่อบ้านแห่งคฤหาสน์ดาร์ลิงตันฮอลล์ ประเทศอังกฤษ ได้รับวันลาพักร้อนจากเศรษฐีอเมริกันเจ้าของคฤหาสน์คนใหม่ ซึ่งกลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของสตีเวนส์ไปด้วย ระหว่างการเดินทางไปพักผ่อนนี่เองที่สตีเวนส์ครุ่นคิดถึงการทำงานของเขา และความคิดคำนึงของเขาก็กลับไปสู่เมื่อครั้งทำงานกับลอร์ดดาร์ลิงตัน เจ้านายคนเก่าของเขา ผู้เขียนวาดภาพให้ผู้อ่านเห็นว่าลอร์ดดาร์ลิงตันเป็นขุนนางที่ทำหน้าที่สำคัญในช่วงประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เหมือนกัน
วันเวลาในการดำเนินเรื่องย้อนกลับไปถึงช่วงปี 1923 เมื่อครั้งที่ประเทศเยอรมันเป็นประเทศแพ้สงคราม (จากสงครามโลกครั้งที่ 1 ) ประเทศชนะสงครามคือ อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และอิตาลี ได้ร่างสนธิสัญา แวร์ซายส์ ขึ้นเพื่อเรียกค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมันเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ลอร์ดดาร์ลิงตัน ไม่เห็นด้วยกับสนธิสัญญานี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นเพราะ มิตรภาพของท่านลอร์ดเอง กับ นายทหารชั้นสูงชาวเยอรมันท่านหนึ่ง "เขาเคยเป็นศัตรูของผม" " แต่เขาประพฤติเช่นสุภาพบุรุษเสมอ เราให้เกียรติกันตลอดช่วงเวลากว่าหกเดือนที่ทิ้งระเบิดใส่กัน เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ทำหน้าที่ของตัวเอง และผมก็ไม่ได้มุ่งร้ายใดๆ ต่อเขาเลย ผมเคยพูดกับเขาว่า 'นี่แน่ะ ตอนนี้เราเป็นศัตรูกัน และผมจะต่อสู้กับคุณอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อเรื่องบ้าๆ นี่จบลง เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูต่อกันอีก และเราจะดื่มร่วมกัน' "ลอร์ดดาร์ลิงตัน เองหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เดินทางไปเยอรมันหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเขากลับมารำพึงรำพันกับสตีเวนส์ว่า
"น่าสะเทือนใจ สตีเวนส์ น่าสะเทือนใจเป็นที่สุด เราเสื่อมเกียรติไปมากทีเดียวที่ทำกับศัตรูที่พ่ายแพ้เช่นนี้ เป็นการทำลายธรรมเนียมของประเทศนี้อย่างสิ้นเชิง"
นอกเหนือจากการทบทวนประวัติศาสตร์ ที่ประเทศชนะสงครามกระทำกับประเทศแพ้สงครามแล้ว Theme หลักของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่ "ศักดิ์ศรี" ในการทำงาน ผู้เขียนทำให้ผู้อ่านเข้าใจการทำงานของ พ่อบ้าน ที่ทำหน้าที่เหมือนหัวหน้าคนรับใช้ในคฤหาสน์ ที่มีคนทำงานบ้านอยู่ถึง 17 คนได้อย่างละเอียดยิ่ง
ในเบื้องแรกที่อ่านหนังสือเล่มนี้ จขบ. ไม่ชอบหนังสือเล่มนี้เท่าใดนัก ด้วยว่า"วิถีแบบอังกฤษ" "เรื่องราวของชนชั้นขุนนาง" "อารมณ์หวนหาอดีต" ผนวกกับการต้องทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ที่ปูพื้นอยู่เบื้องหลังหนังสือเล่มนี้อยู่บ้าง ทำให้เข้าถึง เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก แต่เมื่อก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้ ก็พบว่า นี่คือหนังสือที่ว่าด้วย ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่เล่าได้อย่างลึกซึ้งและละเมียดละไมเป็นอย่างยิ่ง คนแปลก็ทำหน้าที่ส่งผ่านงานชิ้นนี้ได้อารมณ์ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ในท้องเรื่องได้ดี
เอารูปคนเขียนมาฝาก ผู้เขียนเป็นชาวญี่ปุ่น อยู่ที่ญี่ปุ่นจนถึงอายุแค่หกขวบ แล้วไปโตและเรียนหนังสือที่อังกฤษ เป็นนักเขียนมือรางวัลมากมาย ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ จขบ.ยังเผลอนึกว่า "คนอังกฤษ" เขียนเองเสียอีก

หนังสือเล่มนี้ถูกทำเป็นหนังด้วย เข้าฉายเมื่อปี 1993 นักแสดงนำคือแอนโทนี่ ฮอปกินส์ (ฮันนิบาลคนนั้นล่ะค่ะ ) จขบ.ยังไม่ได้ดูหนัง แต่เดาออกจากโปสเตอร์ สงสัยหนังจะเน้นเรื่อง"ความรัก" ของสตีเวนส์ด้วย

เชียร์ให้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ
Create Date : 06 มิถุนายน 2549 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 15:40:02 น. |
| |
Counter : 3469 Pageviews. |
| |
|
|
|
*+* +* ร้านหนังสือเดินทาง เปิด (อีกครั้ง ) แล้ว *+*+*


ยังจำกันได้ไหมคะ ถึงร้านหนังสือเล็กๆ ตรงถนนพระอาทิตย์ ที่อยู่ตรงข้ามป้อมพระสุเมรุ แรกสุดเลย ร้านหนังสือตรงนั้นมีชื่อว่า ร้านหนังสือเล็กๆ ที่เจ้าของมีแมวน่ารักๆ หลายตัว อยู่ในร้านด้วย ต่อมาร้านหนังสือเล็กๆ ถูกเปลี่ยนผ่านเป็น ร้านหนังสือเดินทาง หรือ Passport เจ้าของร้านเน้นหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางหรือท่องเที่ยวเป็นหลัก ร้านนี้ปิดตัวลงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
จนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (วันที่ 26 พฤษภาคม ) ร้านหนังสือเดินทางกลับมาอีกครั้งแล้วค่ะ คราวนี้อยู่ตรงถนนพระสุเมรุ ไม่ไกลจากแยกผ่านฟ้ามากนัก เดินตรงลงไปจากธนาคารกรุงเทพสาขาผ่านฟ้าได้เลยค่ะ ธนาคารนี้ ตรงชั้นล่างก็มีแกลเลอรี่ศิลปะ ที่มีงานศิลปะดีๆ มาแสดงบ่อยๆ ชื่อหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ หรือ Queen Gallery เดินตรงลงไปจากธนาคารกรุงเทพสาขาผ่านฟ้านี่ล่ะค่ะ ประมาณ 500 เมตร จะเจอร้านหนังสือเดินทางจะอยู่ทางขวามือของถนน (ถ้าเราหันหน้าลงไปทางบางลำพู )
ร้านหนังสือเดินทางครั้งนี้รูปลักษณ์ยังคงไม่แตกต่างจากร้านเดิม มีหนังสือเดินทาง วรรณกรรม และความเรียงดีๆ รูปภาพ โปสการ์ด ของที่ระลึกจากการเดินทาง กาแฟ เครื่องดื่มต่างๆ จำหน่ายเหมือนเดิม
ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. วันศุกร์-เสาร์ อาจจะเปิดถึงดึกหน่อยคือประมาณ 21.00 วันจันทร์ปิดค่ะ
ไปอุดหนุนร้านหนังสือเล็กๆ กันนะคะ
ป.ล.1 จากธนาคารกรุงเทพ ก่อนถึงร้านหนังสือเดินทาง มีโรงแรมเล็กๆ ตกแต่งแบบแนวโบราณ (แต่ภายในห้องมีคอมพิวเตอร์จอ LCD เปรี้ยวจริงๆ ) ชื่อว่า Old Bangkok Inn ด้านล่างมีชา กาแฟ ขายด้วยค่ะ บูติค โฮเต็ลเล็กๆ นี้น่าเข้าไปนั่งเล่นเหมือนกัน

เสาร์-อาทิตย์ไหนว่างๆ ลองไปเดินเล่นถนนพระสุเมรุดู ตั้งแต่ Queen Gallery ,Old Bankok Inn, ร้านหนังสือเดินทาง น่าจะเป็นการพักผ่อนที่ดีนะคะ ดีกว่าไปเดินห้างอีกนา
ป.ล. 2 เอาแผนที่มาเพิ่มเติมให้ค่ะ เป็นแผนที่ของ Old Bankok Inn ร้านหนังสือเดินลงไปจากจุดแดงๆ ในแผนที่อีกประมาณ 200-300 เมตร
Create Date : 30 พฤษภาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 15:41:47 น. |
| |
Counter : 6412 Pageviews. |
| |
|
|
|
+++ ดาวินชี่โค้ด จากหนังสือสู่หนัง ( ไม่สปอยล์) +++

เชื่อว่าหลายๆ คนคงได้อ่านหนังสือ รหัสลับดาวินชี่ หรือไม่ก็ได้ดูหนัง รหัสลับระทึกโลก กันมาบ้างแล้ว จขบ.อ่านหนังสือเล่มนี้นานแล้วน่ะค่ะ จำรายละเอียดไม่ได้มากนักแล้ว เรื่องที่แดน บราวน์ เขียนหรือค้นพบ จขบ.ก็ไม่ค่อยตื่นเต้น มีคนเคยพูดถึงมาก่อนหน้าแดน บราวน์แล้ว แต่คิดว่าแดน บราวน์ เก่งในการจับแพะชนแกะ เดินเรื่องกระชับ พอจะวางหนังสือก็ให้มีคนโน้น คนนี้ตายเข้ามา ทำให้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ จนจบ ตอนอ่านหนังสือจบก็คิดว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ไม่มีมนต์ขลังสำหรับเราเลยหนอ พอปริศนาคลี่คลายก็แทบจะไม่เหลืออะไรติดค้างอยู่ในหัว
ความเก่งของผู้เขียนเรื่องนี้อีกอย่างคือ การนำงานศิลปะชื่อก้องโลกผูกโยงเข้าไปเรื่องด้วย แถมมีชื่ออัจฉริยะในอดีตเรียงเข้ามาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเซอร์ไอแซค นิวตัน วิคเตอร์ ฮูโก ลอร์ดเบคอน ฯลฯ อ่านหนังสือเล่มนี้จบผู้อ่านอาจจะรู้สึก"ฉลาด" ขึ้นในชั่วระยะเวลาข้ามคืน
พูดง่ายๆ หนังสือเล่มนี้รวมประวัติศาสตร์ศิลปะ ประวัติศาสตร์คริสตศาสนา ฆาตกรรม ผูกด้วยทฤษฏีสมคบคิด ( Conspiracy Theory ) หนังสือเล่มนี้จึงดังกระหึ่มไปทั่วโลก (อันนี้ไม่พูดถึงประเด็นว่า ประวัติศาสตร์ที่แดน บราวน์ ยกมาผิดหรือถูกนะคะ เพราะมีหนังสือตามมาอีกหลายเล่มชี้ให้เห็นว่าข้อมูลของแดน บราวน์ ผิดอย่างไร)
พออ่านหนังสือจบ จขบ.คิดว่าหนังสือเล่มนี้นำมาทำเป็นหนังได้สบาย ฮอลลีวู้ด ขนาดนั้น ตอนข่าวหนังออกมาใหม่ๆ มีหลายคนผิดหวังกับทอม แฮงคส์ มาก (จขบ.ด้วย ) เขาไม่ทำให้เชื่อว่าเป็นศาตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอนได้น่ะ
อย่างไรก็ตาม จขบ.ก็อยากดูหนังเรื่องนี้ ตื่นเต้นทุกครั้งที่มีหนังที่ทำขึ้นมาจากหนังสือ พอดูหนังจบก็ผิดหวังอีก จขบ.ชอบนักวิจารณ์ฝรั่งคนนึงบอกว่าหนังต้องการ "ความระทึกใจ" มากกว่า "รายละเอียด" อันนี้เป็นโจทย์ยากสำหรับคนทำหนังเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้หนังระทึกใจสำหรับที่อ่านหนังสือมาแล้ว รู้เรื่องโดยทะลุปรุโปร่ง ปรากฏว่าหนังไม่มีอะไรระทึกใจให้คนที่อ่านหนังสือมาแล้วเลย เผลอๆ อาจหลับได้
แถม จขบ.อยากดูพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ชัดๆ ซึ่งก็ไม่ได้ดูอีกเพราะเหตุการณ์ในลูฟร์เกิดกลางคืน มืดทั้งเรื่อง ในหนังสือบอกว่าภายในพิพิธภัณฑ์ตอนกลางคืนจะเปิดไฟแรงต่ำ ๆ เพื่อการถนอมรักษางานศิลปะ หนังช่วงเวลานี้เลยออกมาหม่นๆ มืด ภาพโมนาลิซ่าในหนัง ก็ดูไม่อลังฯ เอาเสียเลย (หรือของจริงอาจจะเป็นอย่างนั้น )
อีกข้อที่น่าผิดหวังคือ หนังเรื่องนี้ไม่ลึกลับ ไม่โรแมนติคสำหรับจขบ.เลย ดูไปๆ ก็คิดว่านี่มันหนังสารคดีหรือเปล่านี่ คล้ายๆ มีคนมาอ่านหนังสือให้ฟัง
ข่าวล่าสุด บริษัทโซนี่ พิคเจอร์สนใจ จะเอา "เทวา ซาตาน" มาทำหนังต่อไป ข่าวร้ายต่อไปก็คือว่าเราก็ต้องดู ทอม แฮงคส์ เล่นเป็นโรเบิร์ต แลงดอนต่อไป
ก่อนจบ เอาข่าวหนังสือที่เคยได้อ่านจากเว็บ Faylicity มาให้อ่านค่ะ
" ...รหัสดาวินชี่ ขายได้แล้วสิบล้านเล่มทั่วโลก (ข้อมูลเมื่อปี 2547 ) และยังส่งผลให้เกิดทัวร์รหัสดาวินชี่จำนวนมาก ซึ่งสร้างความเซ็งแก่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์และโบสถ์ต่างๆ ไม่น้อย เพราะแทนที่นักท่องเที่ยวจะสนใจในงานศิลปะ ก็กลับถามแต่เรื่องที่เกี่ยวกับหนังสือ (เขาตายที่ห้องนี้หรือเปล่า? เชิงเทียนอันนี้ใช่ไหมที่ใช้ฆ่าแม่ชี? คนในรูปนี้เป็นผู้หญิงใช่หรือไม่?) หรือแทนที่จะมองงานศิลปะก็กลับดูพื้นปาร์เก้เพื่อพิจารณาฉากฆาตกรรมในเรื่อง เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์กล่าวว่า "คนดูแลพิพิธภัณฑ์ที่นี่จะไม่พูดเกี่ยวกับหนังสือ มันเป็นนวนิยาย เราไม่เห็นว่าเป็นหน้าที่เราที่ต้องมาถกประเด็นในหนังสือ"
ลิเดีย ซานวิโต ไกด์นำเที่ยวในอิตาลีพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเบื่อหน่ายว่า "พวกนั้นทรมานฉันจริงๆ ฉันไม่แปลกใจกับคนอเมริกันหรอก แต่ที่น่าช็อคมากก็คือคนอิตาลีที่มีวัฒนธรรมคาทอลิกเข้มแข็งก็ยังถามคำถามแบบเดียวกันเลย"
นักนำเที่ยวยังเบื่อที่ต้องแก้ความผิดต่างๆ ในหนังสือด้วย เช่นปิระมิดแก้วที่ลูฟว์ไม่ได้มีแผ่นกระจกทั้งหมด 666 บาน (อันเป็นตัวเลขที่อ้างถึงซาตาน) แต่มีเพียง 634 บาน หรือ The Last Supper ที่วาดบนผนังแห้ง ไม่ได้เป็นภาพเฟรสโก (ปูนเปียก) ดังที่หนังสือว่าไว้..."
ลิงค์ที่มาของข่าวหนังสือ //www.faylicity.com/book/news/oct04.html
แถมให้อีกหนึ่งลิงค์ ใครชอบแดน บราวน์ แนะนำว่าอย่าเข้าไปอ่าน เลื่อนลงไปอ่านข่าวล่างๆ นะคะ //www.faylicity.com/book/news/may04.html
Create Date : 23 พฤษภาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 15:42:57 น. |
| |
Counter : 3519 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
grappa |
|
 |
|
|