เาลาที่หายไป - บทที่ 43
หลังจากตัดสินใจได้เด็ดขาดเรื่องลลิตา คริสก็คิดว่าเขาจำเป็นต้องคุยกับทิพย์สุรางค์ เพื่อขอโทษและอำลาเธอกลับอเมริกา ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออยากจะเห็นหน้าลูกของเขาสักครั้ง เขาเพียรพยายามติดต่อทิพย์สุรางค์หลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งเด็กสาวที่รับโทรศัพท์บอกว่าเธอไม่อยู่ จนเขาเกือบหมดหนทางที่จะได้พบหรืออย่างน้อยก็ให้เธอยอมรับโทรศัพท์จากเขา ในที่สุดเมื่อเขาโทรไปหาเธอครั้งสุดท้ายก่อนวันออกเดินทางกลับสหรัฐฯ ทิพย์สุรางค์ก็มารับโทรศัพท์

คริสผิดคาดเมื่อเธอยินยอมที่จะให้เขาพบในบ่ายวันนั้น  


“คุณมาที่บ้านพี่ใหญ่ก็แล้วกัน ฉันไม่อยากออกไปพบคุณข้างนอก ถ้าเกิดเรื่องอย่างวันนั้นขึ้นมาอีก ฉันคงรับไม่ไหวแล้ว”

เสียงของเธอราบเรียบไม่มีการต่อว่าต่อขาน แต่เขาก็รู้สึกละอายใจ 


“แล้วคุณใหญ่กับพี่สะใภ้คุณหนูล่ะครับ คุณหนูไม่อยากให้ผมพบพวกเขาไม่ใช่หรือ”
“พี่ใหญ่กับพี่น้อยไม่อยู่ ไปหัวหินกันตั้งแต่เมื่อวาน คงจะกลับพรุ่งนี้”

“คุณหนูครับ วันนี้ผมขอพบลูกบ้างได้ไหม?” ในที่สุดเขาก็หลุดปากออกไป
“เขาไม่อยู่หรอก พี่น้อยเอาเขาไปหัวหินด้วย”

ชายหนุ่มนิ่งอั้นไปด้วยความผิดหวัง นอกจากมีเรื่องจะขอโทษและทำความเข้าใจกับทิพย์สุรางค์แล้ว เขายังแอบหวังว่าจะมีโอกาสได้พบลูก อย่างน้อยได้เห็นหน้า ได้อุ้มได้กอดสักครั้งก็ยังดี

แล้วบ่ายวันนั้นคริสกับทิพย์สุรางค์ก็ได้มานั่งเผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ในห้องรับแขกใหญ่ตกแต่งหรูหราของตึกหลังนั้น

หลังจากสาวใช้ที่นำกาแฟ น้ำเย็นและขนมชิ้นเล็กๆมาเสิร์ฟ ออกจากห้องไปแล้ว ทิพย์สุรางค์ก็รินกาแฟส่งให้เขา เลื่อนจานขนมไปใกล้มือเขา 


“เชิญรับประทาน ขนมนี่ฉันทำเอง ได้สูตรมาจากโรงเรียนที่นิวยอร์คที่ฉันไปเรียนเพิ่มเติม ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า” เธอเล่าให้เขาฟังเหมือนหาเรื่องมาพูด

“คุณกรเคยเอาคุกกี้ที่คุณหนูทำให้ผมลองชิมครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่เชื่อที่คุณกรบอกว่าคุณหนูเป็นคนทำ” เขาเล่าแล้วมองเธอยิ้มๆ ทั้งๆที่หัวใจรอนๆ

ทิพย์สุรางค์ยิ้มอ่อนๆ จนเขาแปลกใจว่าวันนี้เธอเป็นอะไรไป เธอต้อนรับพูดคุยกับเขาอย่างดีก็จริง แต่เขารู้สึกว่ามันมีความเหินห่างราวกับเขาเป็นเพียงเพื่อนที่มาเยี่ยมเยียนเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

“คงเป็นเพราะหน้าตาท่าทางของฉัน คุณไม่ใช่คนแรกที่ไม่เชื่อว่าฉันทำของพวกนี้ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำบ่อยนักหรอก”

“ขนมนี่อร่อยดี” เขาพูดตามที่รู้สึกไม่ใช่เพื่อเอาใจเธอ แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ “ทำไมคุณหนูต้องไปเรียนเพิ่มเติม”

“ฉันคิดว่าต่อไปถ้าไม่ไปช่วยงานพี่ใหญ่ที่บริษัท ก็อาจจะทำร้านหรือโรงงานเบเกอรี่ ฉันอยู่ว่างมากเกินไป แต่ก็ยังไม่แน่หรอก ถ้าฉันกลับไปอยู่เวียงพุกามก็คงทำไม่ได้”

นิ่งกันไปครู่หนึ่งเหมือนหมดเรื่องพูด แล้วชายหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ถึงเด็กชายกร ที่เขาอยากจะพบอีกสักครั้งก่อนกลับไปอเมริกา เพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจะได้มาเมืองไทยอีก

“คุณกรเป็นยังไงบ้างครับ หลังจากไปจากเวียงพุกาม ผมเคยไปหาเขาที่โรงเรียนในตัวจังหวัดครั้งหนึ่ง ตอนหลังได้ข่าวว่าเขามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ผมอยากพบเขาสักครั้ง”

“เขาย้ายมาเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯ กลับบ้านเดือนละสองครั้ง แต่อาทิตย์นี้เขาอยู่ที่โรงเรียน จะกลับอาทิตย์หน้า” สายตาที่เหมือนมีคำถามของคริสทำให้เธอต้องอธิบายว่า “เขาอยู่บ้านนี้เหมือนกัน”

ทิพย์สุรางค์บอกชื่อโรงเรียนประจำของกร เธอรู้ว่าเขากับกรรักใคร่สนิทสนมกันมาก ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องกีดกันไม่ให้เขาพบกันอีกแล้ว เธอไม่ต้องกลัวความปากโป้งของเด็กชายคนนั้นอีกต่อไป คริสรู้เรื่องต่างๆหมดแล้ว คนทั้งสองพูดคุยกันในทำนองนี้อีกครู่ใหญ่ เหมือนกับจะถ่วงเวลาที่จะพูดเรื่องสำคัญ แล้วในที่สุดทั้งคริสและทิพย์สุรางค์ต่างก็รู้ว่า ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ต่อไป

คริสเป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นก่อน “ ผมอยากจะขอโทษเรื่องวันนั้น เพื่อนของลิตาเห็นเราที่รอยัลคลิฟฟ์แล้วโทร.ไปบอก ลิตาก็เลยขับรถไปหาผม..”

“คุณไม่ต้องอธิบายหรอก ฉันเข้าใจ ถ้าฉันเป็นเขาก็อาจจะทำแบบเดียวกันก็ได้ เขามีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นเพราะเขาเป็นคู่หมั้นของคุณ ฉันเองก็เสียใจที่ทำให้เกิดปัญหา คุณควรอธิบายให้เขาหายข้องใจว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน และสมมติว่าเคยมีตอนนี้มันก็จบแล้ว”

ทิพย์สุรางค์ไม่คิดจะต่อว่าต่อขานอะไรเขาอีกแล้ว สำหรับการเผชิญหน้ากับลลิตาในวันนั้นที่ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า เธอจำเป็นต้องทำใจให้ยอมรับความจริงว่าเธอและคริสเป็นคนผิด ไม่ใช่ลลิตา เขาผิดในฐานะเป็นผู้ก่อกรรมนั้นกับเธอ เธอผิดเพราะตกเป็นเหยื่อของชะตากรรม ส่วนลลิตานั้นไม่มีความผิดอะไรเลย แต่ต้องกลายมาเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากกรรมร่วมระหว่างเธอกับคริส

ทิพย์สุรางค์ยอมรับว่า ตอนที่เผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้นั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอทั้งโกรธทั้งอับอาย แต่ต่อมาเมื่อได้มีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง มีโอกาสได้ทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน เอาใจเขามาใส่ใจเรา เธอก็อดนึกสงสารเห็นใจลลิตาไม่ได้ รวมทั้งนึกขอบใจผู้หญิงคนนั้นที่ไม่ได้ทำอะไรแบบขาดสติเหมือนผู้หญิงบางคน ปราดเข้ามาทำร้ายร่างกายหรือด่าประจานเสียๆหายๆ ซึ่งถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น เธอจะทำอย่างไรยังคิดไม่ออกเลย

ในเมื่อไม่ว่าจะมองในแง่ใดมุมใดลลิตาก็ไม่ใช่คนผิด เธอผู้นั้นมีสิทธิด้วยประการทั้งปวงที่จะปกป้องสิทธิโดยชอบของตัวเอง จากการล่วงละเมิดของผู้อื่น ไม่ว่าโดยจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ทิพย์สุรางค์ตั้งใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะยอมพบคริส เพื่อหยุดยั้งปัญหาระหว่างเขากับผู้หญิงของเขา ที่มีเธอเป็นต้นเหตุสำคัญ ไม่ให้บานปลายต่อไป เธอต้องพยายามพูดดีกับคริสให้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ยอมเลิกรา ไม่ทำให้ลลิตาหรือคุณลักษณามาดูถูกเหยียดหยามเหมือนเธอเป็นผู้หญิงสิ้นคิด อยากได้ผู้ชายของคนอื่นอีกต่อไป

ส่วนคริสซึ่งไม่รู้ว่าทิพย์สุรางค์คิดอย่างไร ได้แต่มองหน้าเธออย่างละอายใจ 


“ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อทุกคน ผิดต่อลิตา ผิดต่อคุณหนูและผิดต่อลูก แต่ตอนนี้มันก็คงสายเกินจะแก้ไขความผิดทั้งหมดของผมได้”

หญิงสาวตัดบทว่า “ความจริงฉันตั้งใจว่าจะไม่พบกับคุณอีกแล้ว ที่ยอมพบคุณวันนี้ก็เพื่อจะขอร้องว่า อย่าทำอะไรให้ชีวิตของเราและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ต้องสับสนวุ่นวายผิดที่ผิดทางไปมากกว่านี้เลย ส่วนเรื่องลูก คุณก็ไม่ต้องห่วงเขาหรอก”

“คุณหนูเคยบอกว่าจะยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของคุณใหญ่ ผมอยากขอให้คุณหนูคิดเรื่องนี้ให้มากๆ ครึ่งหนึ่งเขาอาจจะเป็นธนากุลของคุณใหญ่กับคุณหนู แต่อีกครึ่งหนึ่งเขาก็เป็นสายเลือดของเลย์ตันด้วยเหมือนกัน”

ทิพย์สุรางค์เห็นแววตาที่หม่นเศร้าวิงวอนขอร้องของเขา เธอเองก็รู้สึกเศร้าใจไม่แตกต่างไปจากเขา ในเรื่องที่เกี่ยวกับลูกชายตัวน้อย 


“ฉันไม่มีทางเลือกมากนัก ฉันพยายามจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา ตอนนี้ก็เห็นแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น”

คริสค้านว่า “ทำไมจะไม่มี แต่คุณหนูไม่ยอมเลือกเองเท่านั้น “

“อย่าเลย ทางเลือกที่ว่าจะทำให้คนอื่นรอบตัวเราต้องเดือดร้อนไปด้วย เรื่องนี้เป็นปัญหาของเราที่ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก เรื่องยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของพี่ใหญ่ เป็นเรื่องที่พี่ใหญ่และพี่น้อยอยากจะช่วยฉัน แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเอายังไง คงจะรอไปอีกสักพัก”

“เขาเป็นยังไงบ้างครับ ผมหมายถึงสิงห์” ทิพย์สุรางค์เห็นความห่วงหาอาทรในดวงตาของเขา

“เขาเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย สมบูรณ์แข็งแรงดี เริ่มเรียกแม่ได้เมื่อสิบเอ็ดเดือน อย่างอื่นก็พอพูดได้เป็นคำๆ หัดเดินเมื่อขวบกว่าๆ เขาอยู่นิ่งๆไม่ค่อยเป็น”

มีรอยยิ้มอ่อนๆบนใบหน้าของหญิงสาวเมื่อพูดถึงลูกชายตัวน้อย คริสฟังที่เธอเล่าอย่างดื่มด่ำใจกึ่งอิจฉานิดๆ ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นพัฒนาการของเด็กชายคนนั้นเหมือนพ่อคนอื่นๆ

ทิพย์สุรางค์กล่าวต่อว่า “เอาละ ฉันขอสรุปว่าเราไม่ควรจะพบกันอีกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันอโหสิให้คุณหมดทุกเรื่องแล้ว ส่วนเรื่องลูก..วันหนึ่งข้างหน้าคุณคงจะมีโอกาสได้พบเขาบ้าง ฉันคงจะไม่กีดกันคุณกับเขาไม่ให้พบกันได้ตลอดไปหรอก ส่วนเรื่องของเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้ เราต้องเห็นแก่ลูกด้วย ฉันไม่อยากให้เขาโตขึ้นมารู้เรื่องของเราจากปากคนอื่น แล้วกลายเป็นเด็กมีปัญหา “ เธอพูดเศร้าๆเหมือนปลงตก “อ้อ..แล้วที่คุณอยากพบฉันน่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ผมเพียงจะมาลาคุณหนูและอยากพบลูกด้วย ผมคงไม่ได้มาเมืองไทยอีกนาน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทิพย์สุรางค์ก็ขยับตัวเพื่อลุกขึ้นยืน เพราะคิดว่าเขากำลังจะกลับ แต่ชายหนุ่มหยุดเธอไว้ 


“เดี๋ยวก่อนครับคุณหนู ผมอยากขอร้องว่าถ้าลูกเป็นอะไร หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา หรือแม้แต่คุณหนูตัดสินใจว่าจะทำยังไงเรื่องที่คุณใหญ่เสนอ ก็ขอให้ส่งข่าวให้ผมรู้ก่อนด้วย”

“อย่าเลย ฉันจะไม่ติดต่อกับคุณอีกแล้ว ขอร้องคุณด้วยว่าอย่าพยายามติดต่อกับฉันอีก เรื่องลูกก็ไม่ต้องห่วงเขาหรอก นอกจากฉันแล้วเขาก็มีทั้งลุงและป้า อย่าทำให้ผู้หญิงของคุณต้องหวาดระแวงอีกต่อไปเลย สงสารเขาบ้าง เราตกลงกันแล้วนี่”

คริสมองหญิงสาวอย่างโหยหา แต่ก็รู้ตัวดีว่าทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ เขาได้ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้วตั้งแต่วันที่ลลิตาเข้าโรงพยาบาล เขาก็จะต้องเดินหน้าและอยู่กับการตัดสินใจนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไรเขาก็จะต้องรับผิดชอบลลิตา

“ผมมีอะไรอย่างหนึ่งอยากจะให้ลูก ถ้าคุณหนูไม่ขัดข้อง”

ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกใสใบเล็กๆ จากกระเป๋าเสื้อออกมาส่งให้เธอ ทิพย์สุรางค์รับมาเปิด เทของที่อยู่ข้างในลงบนฝ่ามือ สิ่งนั้นคือพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กนิดเดียว อัดอยู่ในกรอบพลาสติคกลมเล็กที่หุ้มทองโดยรอบ แขวนติดอยู่กับสายสร้อยทองเส้นน้อย เธอรู้ว่าคริสนับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับมารดาของเขา

“คุณตาของผมให้พระพร้อมสร้อยเส้นนี้ไว้กับแม่ตอนที่ผมเกิด ผมห้อยพระองค์นี้มาตั้งแต่ห้าขวบ ถอดออกจากคอตอนเริ่มเป็นวัยรุ่น แต่ก็เก็บติดตัวไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอด ตอนไปสนามรบก็เอาไปด้วยทุกครั้ง ท่านอยู่กับผมมายี่สิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้ผมอยากมอบให้ลูกเป็นส่วนหนึ่งของตัวผม ท่านจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเขาแทนพ่อของเขา ที่ไม่อาจทำหน้าที่ของพ่อได้”

ทั้งทิพย์สุรางค์และคริสต่างก็มีน้ำตาจางๆคลออยู่ในดวงตา เธอรู้โดยเขาไม่ต้องบอก ว่าเขาตัดสินใจแล้วที่จะกลับไปหาลลิตาเพื่อความถูกต้อง เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยไขว้เขวไปกลับเข้าที่เข้าทางของมัน

หลังจากนั้นทิพย์สุรางค์กับคริสก็เดินลงจากตึกด้วยกัน เพื่อไปที่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าตึก นอกจากจะเป็นการทำหน้าที่เจ้าของบ้านแล้ว เธอยังตั้งใจที่จะมาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย...ส่งเขาผ่านออกไปจากชีวิตเธอ!

แต่เมื่อลงบันไดมาถึงขั้นสุดท้ายเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่งในห้องโถง หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินมายอบตัวรายงานทิพย์สุรางค์ว่ามีโทรศัพท์ด่วนถึงเธอ เมื่อเห็นท่าทางละล้าละลังของหญิงสาว คริสก็บอกว่า

“คุณหนูไปรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ ผมรอได้”

หลังจากทิพย์สุรางค์เดินอย่างเร่งรีบขึ้นไปรับโทรศัพท์ ซึ่งเขาเข้าใจว่าคงเป็นโทรศัพท์บ้าน ชายหนุ่มก็เดินเตร่ไปทางมุมตึก มองต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่ตรงนั้นอย่างใจลอย แล้วทันใดนั้น..เขาก็เห็นหญิงวัยกลางคนๆหนึ่ง ลักษณะการแต่งกายน่าจะเป็นหญิงรับใช้ กำลังเดินมาทางที่เขายืนอยู่ มืออุ้มตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย ตาที่ไวของเขาเห็นว่ามีเสื้อผ้าพับวางซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ในตะกร้าใบนั้น

พอเดินมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็ยอบตัวเดินผ่านหน้าเขาไป แล้วเลี้ยวไปบนทางเดินเล็กๆ เลียบไปทางด้านข้างของตัวตึก คริสสืบเท้าตามไป เมื่อเห็นเสื้อตัวน้อยๆสีขาวลักษณะเป็นเสื้อกล้ามของเด็ก ตัวที่อยู่บนสุด เขาก็เอื้อมมือไปหยิบออกมา โดยไม่ทันคิดว่าควรจะทำเช่นนั้นหรือไม่ หัวใจที่พองโตของเขาบอกว่านี่คือเสื้อของลูกเขา ซึ่งคนซักรีดคงจะนำมาเก็บในตึกใหญ่หลังนี้ ผู้หญิงคนนั้นมองตามมือเขาอย่างแปลกใจ แต่คริสรีบซุกเสื้อตัวนั้นลงในกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว

“ขอผมเถิดนะ แล้วก็อย่าบอกคุณหนูด้วย”

สาวใช้คนนั้นคงสงสัยเต็มที่แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เดินต่อไปบนทางเดินเล็กๆนั้นแล้วหายลับตาไปเมื่อถึงมุมตึกอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหยิบเสื้อกล้ามตัวน้อยนั้นออกมาจากกระเป๋ากางเกง กางออกดูขนาดที่เล็กน่ารักของมันแล้วยกขึ้นจรดจมูก อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่คิดว่าเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกลิ่นตัวเด็กเล็กๆผสมกับกลิ่นแป้งเด็ก กำซาบซ่านเข้ามาในจมูก

คริสเฝ้าสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆนั้นอย่างซาบซึ้งดื่มด่ำ บอกตัวเองอย่างเศร้าใจว่า แม้จะมีสิทธิได้เป็นเจ้าของเพียงแค่รูปถ่ายปึกหนึ่ง กับเสื้อกล้ามตัวน้อยหนึ่งตัว เขาก็จำเป็นต้องยอมรับสภาพ เขาจะเก็บสิ่งมีค่าสองชิ้นนี้ไว้แนบหัวใจ เป็นตัวแทนของลูกน้อยที่อาจจะไม่ได้รู้จักพ่อที่แท้จริง ที่แม้จะให้กำเนิดเขาขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจจะอยู่เคียงข้างทำหน้าที่พ่อให้เขาได้ เหมือนพ่อของเด็กอื่น พ่อที่สร้างกรรมให้เขาต้องเกิดมารับกรรม กรรมที่พรากเขาให้ต้องแยกห่างจากพ่อราวกับคนแปลกหน้า กลายเป็นเด็กที่ถึงมีพ่อก็เหมือนไม่มี

เมื่อทิพย์สุรางค์เดินกลับมาหาเขาที่ยืนคอยอยู่ตรงที่เดิมที่ยืนอยู่ ก่อนที่เธอจะขึ้นตึกไปรับโทรศัพท์ เขาและเธอก็เดินไปด้วยกันที่รถของเขา พูดกันอีกสองสามประโยคคริสก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วแต่ยังไม่ได้นำรถออก ชายหนุ่มกดปุ่มกระจกด้านคนขับให้เปิดลง มองผู้หญิงตรงหน้าแน่วแน่ ด้วยแววตาที่หมองเศร้า

ทิพย์สุรางค์เดินเข้าไปใกล้เขา 


“คริสคะ ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน ฉันขออวยพรล่วงหน้าจากใจจริง ให้คุณกับคู่หมั้นของคุณมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน คุณกับเขาเหมาะสมกันมาก”

คริสฝืนยิ้มให้เธอ “ผมฝากลูกด้วย ผมรู้ว่าคุณหนูจะเลี้ยงเขาให้เติบโตเป็นคนดี ส่วนคุณหนูเอง...ผมก็ขออวยพร ให้ได้พบผู้ชายดีๆที่เหมาะสมคู่ควร แต่งงานอย่างมีความสุขกับเขา แต่ขอร้องว่า..ไม่ต้องบอกให้ผมรู้”

แล้วดวงตาสองคู่ก็จ้องประสานกันแนบแน่น ส่งความรู้สึกผ่านสื่อสารให้กันและกันโดยไม่ต้องมีคำพูดว่า ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้ง
จำเป็นและจำใจ..ต้องจำลา’



Create Date : 29 กรกฎาคม 2567
Last Update : 29 กรกฎาคม 2567 8:13:05 น.
Counter : 301 Pageviews.

5 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณปรศุราม, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณหอมกร, คุณmcayenne94, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณดาวริมทะเล, คุณร่มไม้เย็น, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณtanjira, คุณ**mp5**, คุณpeaceplay, คุณSweet_pills

  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

บล็อกนี้ อานแล้ว สงสารคริสและทิพย์สุรางค์ จังจ้ะ ทั้งสองจำใจ
ต้องพรากจากกันไป แล้วเรื่อง จะจบลงอย่างไรหนอ จะติดตามอ่าน
ตอนต่อไป นะจ๊ะ

โวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 29 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:20:11 น.
  
มาอ่านตามอาจารย์สุวิมลค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 29 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:48:57 น.
  
เพื่อความถูกต้อง ลลิตา เลิกไปก็จบค่ะ คนมีพร้อมทุกอย่าง
ไม่ต้องแย่งของใคร และพรากพ่อแม่ลูกนะคะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 29 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:55:33 น.
  
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ

โดย: tanjira วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:6:59:37 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 4 สิงหาคม 2567 เวลา:6:25:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]



New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2567

 
1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com