เวลาที่หายไป - บทที่ 16
เมื่อเวลาพลบค่ำมาถึง บริเวณที่ตั้งเต้นท์ก็เริ่มสว่างไสวด้วยแสงจากตะเกียงเจ้าพายุสองดวง คนงานจากเวียงพุกามช่วยกันก่อกองไฟจากเศษไม้ที่เก็บรวมรวมมาไว้ตั้งแต่ตอนเย็น อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ พวกผู้ชายยังนั่งล้อมวงดื่มสุรากันอยู่บนเสื่อใกล้กองไฟ ส่วนพวกผู้หญิงก็นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้ๆ

กรเดินเลี่ยงออกไปสมทบกับพวกคนงาน ที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ในเงามืดที่พ้นจากรัศมีของตะเกียงเจ้าพายุ เด็กชายพยายามมองหาเคนแต่ก็ไม่พบ จึงร้องถามคนงานคนหนึ่ง เมื่อได้รับคำตอบว่าชายหนุ่มออกไปเดินเล่นแถวๆนั้น แม้จะกลัวความมืดและความเงียบที่แวดล้อมอยู่ในขณะนั้น แต่อารามที่อยากพบเคน ทำให้กรเดินออกไปตามทิศทางที่คนงานชี้ให้

ไม่ไกลจากจุดที่คนงานนั่งเล่นกันอยู่ กรเห็นร่างตะคุ่มๆของคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน ตอนแรกเด็กชายไม่รู้ว่านอกจากเคนแล้วใครที่อยู่กับเขา แต่เมื่อใช้ไฟฉายในมือส่องกราดเข้าไป เขาก็รู้ว่าคนอีกสองคนที่ยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วย คือผู้หญิงรุ่นสาวจากกรุงเทพฯที่ชื่อบุษบาและวิภา 


เมื่อเห็นกรเคนก็ทักว่า “ อ้าว...คุณกร ยังไม่นอนอีกหรือ ?”

กรทำหน้าเบ้ “ จะให้นอนแต่หัวค่ำเลยเหรอ ยังไม่ถึงสองทุ่มเลย ” แล้วเขาก็หันไปทักสองสาวรุ่นว่า “ คุณนุชกับคุณวิภาก็ยังไม่นอนเหมือนกันหรือฮะ ”

บุษบาหัวเราะก่อนบอกกรว่า “ ก็เหมือนคุณแหละ ยังหัวค่ำอยู่แท้ๆ เมื่อกี้พี่เคนก็พยายามจะไล่เราสองคนให้ไปนอนเหมือนกัน แต่เราไม่ไป อยู่กรุงเทพฯนอนตั้งสองยามตีหนึ่ง ”

วิภาเสริมว่า “ นั่นสิ แล้วคืนนี้พระจันทร์ก็สวยเสียด้วย ”
กรแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างอยู่เบื้องบน “จริงด้วยฮะ ”

เคนมองสาวรุ่นสองคนกับเด็กชายอีกหนึ่งคน ที่ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างขำๆ ตอนแรกเขานั่งรวมกลุ่มอยู่กับพวกคนงาน สักพักหนึ่งก็เห็นวิภากับบุษบาเดินผ่านไป ทำราวกับออกมาเดินตากอากาศชมจันทร์ โดยไม่นึกกริ่งเกรงอันตรายอะไรในความมืดและความเงียบแถวนั้นเลย ด้วยความเป็นห่วงชายหนุ่มจึงต้องเดินตามไป

ก่อนหน้านั้นตอนที่กรยังไม่มา บุษบาพูดกับเคนว่า “พี่เคนเก่งจัง ลงไปช่วยคุณทิพย์สุรางค์ในน้ำที่เชี่ยวน่ากลัวขนาดนั้นได้ ต้องยกให้พี่เป็นฮีโร่ประจำคณะนักท่องป่าเสียแล้ว”

เคนทำหน้าเก้อๆ “ไม่ได้เก่งหรือกล้าอะไรหรอกครับ มันเป็นสัญชาตญาณมากกว่า ไม่ทันได้คิดอะไร ไม่ต้องเป็นผมหรอกครับ ใครเผอิญอยู่ตรงนั้น ก็ต้องทำอย่างผมเหมือนกัน”

บุษบาทำหน้าเง้า “ แหม..พี่เคนเนียะ ชอบถล่มตัวอยู่เรื่อยเลย ไม่ชอบเป็นฮีโร่หรือคะ ”

ชายหนุ่มเลยได้แต่หัวเราะ ขณะที่วิภาถามว่า “ พี่เคนเป็นคนเหนือหรือคนกรุงเทพฯคะ ? ”

คำถามของเธอเป็นสิ่งที่เขาตอบไม่ได้ เพราะจนป่านนี้ตั้งหลายเดือนแล้วที่มาอยู่ที่เวียงพุกาม เขายังไม่ได้รู้อะไรคืบหน้าเกี่ยวกับตัวเองเลย เคนจึงจำเป็นต้องตอบเลี่ยงๆว่า “ ก็แถวๆนี้แหละครับ ”

โชคดีที่วิภาไม่ซักต่อ แต่เปลี่ยนไปถามว่า “ พี่เป็นลูกครึ่งแขกหรือเปล่าคะ ? ”

“แขกหรือ ? ” บุษบาพูดขัดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าเป็นแขกก็ต้องดำสิ..วิ พี่เคนไม่ดำสักหน่อย “

“ แขกขาวไงยะ “ วิภาโต้

แล้วอยู่ๆ บุษบาก็ถามขึ้นมาหน้าตาเฉยด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า “ ว่าแต่พี่เคนมีแฟนหรือยังคะ ? ”

คำถามของสาวน้อยคนสวยทำให้ชายหนุ่มอึกอัก รู้สึกว่าเธอทำตัวกึ่งเด็กกึ่งสาวชอบกล แต่เขาก็เข้าใจว่าเธอไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง ก็คงเป็นเด็กสมัยใหม่ที่เปิดเผย ชอบหยอกล้อและกล้าพูดกล้าถามเท่านั้น

เมื่อเคนไม่ตอบและทำหน้าเจื่อนๆ วิภาก็ช่วยซักอีกคนอย่างนึกสนุก “ นั่นสิ พี่มีแฟนหรือยังคะ สงสัยว่าจะมีจนเลือกไม่ไหว บุคลิกของพี่ดีมากเลย วิกับนุชแอบชมอยู่บ่อยๆ พวกเราไม่ชอบผู้ชายหล่อเนี๊ยบหรอก ชอบผู้ชายแบบพี่นี่แหละ ดูสมบุกสมบัน แข็งแรงเป็นแมนดี ”

ชายหนุ่มนึกกระดากจนต้องเดินเลี่ยงออกไป แต่สาวน้อยบุษบาไม่ยอมให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ เธอหัวเราะขำท่าทางของเขาแล้วเดินตามไปติดๆ ทิ้งให้วิภายืนชมแสงจันทร์อยู่ตามลำพัง แต่ก็อยู่ในระยะที่มองเห็นกัน

“ผู้ชายก็เขินเป็นเหมือนกันหรือคะ? ” บุษบาถามเมื่อเดินตามมาทัน “ นุชนึกว่ามีแต่ผู้หญิงเสียอีก ที่เขินเวลามีคนชมว่าสวยหรือน่ารัก ”

สัญชาตญาณของผู้ชายทำให้เคน เกือบจะเผลอต่อปากต่อคำกับเธอออกไปแล้วว่า ‘คงมีคนชมคุณนุชว่าสวยหรือน่ารักอยู่เป็นประจำใช่ไหมครับ ‘ แต่เขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ จากความสำรวมตนและคำปรามาสของทิพย์สุรางค์ที่ปางอุ๋ง

แล้วหญิงสาวก็ชวนเขาพูดคุยไปเรื่อยๆ เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้างอย่างสดชื่นรื่นเริง สมวัยที่เคนกะว่าคงไม่ถึง 20 ปี เพราะหน้าอ่อนๆและการพูดจาที่บางครั้งเหมือนเด็ก ที่ยังไม่เคยพบพานความทุกข์ของเธอ ส่วนเพื่อนที่ชื่อวิภานั้น เคนรู้สึกว่ามีท่าทางและการพูดจาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าบุษบามาก

เคนฟังเรื่องที่บุษบากำลังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้ๆ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่แล้วก็ได้ยินเธอเล่าถึงตัวเอง

“คุณแม่ชอบว่านุชไม่ยอมโตสักที ชอบบอกให้นุชเอาอย่างวิ นุชกับวิอายุเท่ากันก็จริงแต่วิเขาเป็นเรื่องเป็นราวกว่านุชเยอะ ก็อย่างว่าแหละค่ะ พี่เคน มาม้าของวิเขาดุจะตาย มีลูกอยู่สามคนก็คอยเคี่ยวเข็ญให้ทำโน่นทำนี่ วิเขาเลยเก่ง วิน่ะฉลาดกว่านุชแยะ เวลานุชมีปัญหาอะไรเขาก็คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ ”

ฟังและมองบุษบานานๆเข้า ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าความจริงนอกจากจะสวยกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักแล้ว เธอยังเป็นเด็กสาวที่พูดจาเปิดเผยมีเสน่ห์อีกด้วย เพราะเธอไม่นินทาว่าร้ายใคร พูดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำให้คู่สนทนาฟังด้วยความสบายใจ แล้วเขาก็ย้อนนึกถึงตัวเองว่าเขามีน้องสาวสักคนบ้างหรือเปล่า ถ้ามี...น้องสาวของเขาจะน่ารักเหมือนหญิงสาวคนนี้ไหม?

แล้วจู่ๆบุษบาก็ถามว่า “ พี่เคนมีน้องไหมคะ  นุชเป็นลูกคนเดียว ไม่ชอบเลย อยากมีพี่ชายสักคน นุชสมัครเป็นน้องสาวพี่เคนดีกว่า ” แล้วเธอก็ทำตายิบๆอย่างน่ารักเมื่ออ้อนว่า “ ได้ไหมคะ พี่เคน ? รับนุชเป็นน้องสาวสักคนนะคะ”

ชายหนุ่มไม่กล้าตอบ ได้แต่หัวเราะแล้วเลยชวนเธอว่า “ กลับไปหาคุณวิภาดีกว่า ทิ้งเธอไว้คนเดียวนานแล้ว ”

หลังจากกลับเข้ามารวมกลุ่มกับวิภาได้ไม่นานกรก็โผล่เข้ามาอีกคน 

เด็กชายซึ่งคงสงสัยมาพักใหญ่แล้ว ถามบุษบาว่า “คุณนุชฮะ คุณนุชชื่อบุษบา แต่ทำไมใครๆเรียกว่านุชล่ะฮะ ทำไมไม่เรียกว่าบุษ ตอนแรกที่ได้ยินคุณวิเรียก ผมยังนึกว่าหูฝาดเสียอีก ”

บุษบาหัวเราะคิกอย่างชอบใจ อธิบายแจ้วๆว่า “ มีคนถามนุชอย่างคุณกรหลายคนแล้ว คุณแม่บอกว่าชอบชื่อนุชเพราะฟังเป็นผู้หญิงดี ตอนแรกจะใช้ชื่อนุชเป็นทั้งชื่อจริงชื่อเล่นเลย แต่เห็นว่าถ้าเป็นชื่อจริงก็สั้นไป จะให้ชื่ออรนุช นงนุชหรือนุชนารถก็โบราณไปหน่อย แต่ก็ยังไม่อยากทิ้งชื่อนุช ก็เลยตั้งชื่อจริงให้ว่าบุษบา ส่วนชื่อนุชก็เลยกลายเป็นชื่อเล่นไป ”

“ แต่ชื่อบุษบาของแกก็โบราณเหมือนกันแหละ คุณป้าคงนึกว่าแกสวยเหมือนนางในวรรณคดีมั้ง เลยตั้งชื่อว่าบุษบา แต่สงสัยว่าจะเป็นนางบุษบาที่คู่กับจรกามากกว่า ไม่ได้คู่กับอิเหนาหรอก ” วิภาค่อนขอด

บุษบาแสร้งตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อน “ ยายบ้า เรื่องอะไรนางบุษบาอย่างฉันจะไปเลือกจรกาตัวดำมาเป็นคู่ล่ะยะ คอยดูไปก็แล้วกัน ฉันจะหาแฟนให้หล่อกว่าระเด่นมนตรีเลย ”

เคนยกมือขึ้นดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้สามทุ่มแล้ว ก็เลยออกปากชวนคนทั้งสามให้กลับไปที่เต้นท์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมตร เดินไปส่งสองสาวจนใกล้เต้นท์ที่พวกผู้ชายยังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ โดยมีผู้หญิงหลายคนรวมทั้งทิพย์สุรางค์นั่งร่วมกลุ่มอยู่ด้วย

“อ้าว..สองสาวนี่อยู่กับเคนเองหรือ? ” ประสพชัยพูดขึ้นมา “ นึกว่าเข้าเต้นท์นอนไปแล้วเสียอีก ง่วงหรือยัง ถ้ายังไม่ง่วงก็มานั่งเล่นตรงนี้ก่อนสิ เคนด้วย ”

นายแพทย์หนุ่มผสมเหล้าส่งให้เคน “ เอ้า..ดื่มเสียหน่อย จะได้แก้หนาว ”

เคนเหลือบไปเห็นสายตาของทิพย์สุรางค์พอดี เธอนั่งอยู่ใกล้กับชาคริตซึ่งกำลังดื่มเหล้าอยู่เหมือนกัน เขาเห็นเธอมองเขาและผู้หญิงสองคนที่มากับเขาด้วยแววตาแปลกๆ ทำให้ชายหนุ่มนึกรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เขาไม่สนใจหรอก อยากคิดอะไรก็เรื่องของเธอ

“ขอบคุณครับ คุณหมอ แต่ผมไม่ดื่มหรอกครับ แค่พาคุณวิภากับคุณบุษบามาส่งเท่านั้น ผมขอตัวไปดูพรรคพวกหน่อยนะครับ ต้องจัดเรื่องเวรยามคืนนี้ให้เรียบร้อย ”

แล้วชายหนุ่มก็เดินไปจากที่ตรงนั้น มีกรที่ยังไม่ยอมเข้าเต้นท์เดินตามไปด้วย โดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้าหมั่นไส้ไม่สบอารมณ์ของทิพย์สุรางค์เสียเฉยๆ

“นี่เคน..ถามอะไรหน่อยสิ ” กรกล่าวเมื่อเดินกันไปได้ครึ่งทางที่จะไปหากลุ่มลูกจ้างของเวียงพุกาม

“ มีอะไรหรือ ? ”

“คุณชอบคนไหน คุณวิหรือคุณนุช ? ” คำถามของเขาทื่อๆตรงไปตรงมาอย่างนี้แหละ

เคนดุว่า “ถามอะไรแบบนั้น ไม่ได้ชอบอะไรใครเป็นพิเศษหรอก”

แต่กรไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ ยังตอแยต่อว่า “ แต่ผมว่าคุณคงชอบคุณนุช เขาทั้งสวยทั้งน่ารัก ถ้าผมเป็นคุณหรือโตกว่านี้ ผมคงจีบคุณนุชแล้วละ ”

คราวนี้เคนขำท่าทางของเด็กชายจนต้องหัวเราะออกมา “ โอ้โฮ นี่ขนาดยังไม่หนุ่มนะ รู้จักมองผู้หญิงแล้ว ”

กรทำหน้าเขินๆ “บ้าสิ ผมพูดเผื่อคุณต่างหากล่ะ ผมว่าคุณนุชชอบคุณนะ เห็นเดินตามไปคุยกับคุณอยู่เรื่อยเลย ”

คราวนี้ชายหนุ่มทำเสียงแข็ง ดุว่า “ อย่าพูดเล่นแบบนั้น ใครมาได้ยินจะไม่ดี คุณสองคนนั่นเขาเป็นแขกของคุณใหญ่ ส่วนผมเป็นอะไรคุณก็รู้อยู่แล้ว เป็นผู้ชายอย่าเอาผู้หญิงมาพูดล้อเล่นสนุกปาก ไม่ดีหรอก ”

เด็กชายทำหน้าม่อย เถียงว่า “ แหม แค่นี้ก็ทำเป็นโมโหไปได้ เอาละ..ไม่พูดก็ได้ ”

“แล้วนี่คุณตามผมมาทำไมอีกล่ะ? ทำไมไม่อยู่ที่เต้นท์ ไม่เห็นหรือว่าคุณหนูมองคุณตาเขียวเลย กลับไปหาเธอดีไหม ?”

แต่กรยังไม่อยากกลับไปที่เต้นท์ ทิพย์สุรางค์สั่งเขาเมื่อตอนหัวค่ำให้เข้าไปนอนในเต๊นท์เดียวกับเธอและพวกผู้หญิงอีกสามสี่คน เขาไม่ชอบเลย เขาอยากไปนอนกับพวกผู้ชายมากกว่า หรือกับเคนก็ยังดี ก็เขาโตแล้วนี่นาไม่ใช่เด็กๆนี่จะได้ไม่รู้สึกเขิน

แล้วจู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ นี่ เคน ถามจริงๆเถอะ คุณคิดถึงบ้านไหม ? ”

“บ้านเหรอ ” เคนอึ้งไปหน่อย “ ผมไม่รู้ว่าจะคิดถึงบ้านที่ไหน ผมมีบ้านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ” ตอนนี้เสียงของเขาอ่อนเศร้า แฝงไว้ด้วยความกังวลไม่แน่ใจ “ ถ้ามีบ้านผมก็ต้องอยากกลับบ้าน จริงไหม ? ”

กรแหงนขึ้นมองหน้าเขาอย่างสงสาร “ ถ้ามีบ้านก็ต้องมีคนที่บ้าน แล้วทำไมพวกเขาไม่มาตามหาคุณล่ะ คุณก็อยู่ที่นี่มาตั้งหลายเดือนแล้ว”เขาทำเสียงเห็นอกเห็นใจ “ ถ้าผมมีบ้าน ผมก็คงอยากกลับบ้านเหมือนกันแหละ ”

คราวนี้เคนก้มลงมองหน้าเด็กชาย “ เวียงพุกามนี่ไม่ใช่บ้านของคุณหรอกหรือ  ”
เด็กชายทำหน้าเบ้ “ ก็คงใช่มั้ง แต่บัวผันชอบล้อผมอยู่เรื่อยว่าเป็นลูกหลงบ้าน ”

แล้วเขาก็ทำหน้าเซ็งๆเมื่อกล่าวต่อว่า “ทำไงดีล่ะ เคน? คุณหนูสั่งให้ผมเข้าไปนอนในเต้นท์เดียวกับพวกผู้หญิง ผมไม่ชอบเลย ให้ผมนอนกับคุณได้ไหม?”

“อย่าเลย ทำตามที่คุณหนูสั่งเถอะ ทำไมคุณชอบต่อต้านคำสั่งของเธอนักล่ะ”
“โธ่ ! ก็ผมโตแล้วนี่ เต้นท์นั่นมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ถ้าเป็นคุณๆจะอยากเข้าไปนอนไหมล่ะ?”

คำถามแบบเด็กๆของกรทำให้ชายหนุ่มแอบยิ้มขันอยู่ในใจ เด็กเอ๋ยเด็ก...ตอนนี้ยังเป็นเด็กที่กำลังจะโตเท่านั้น ยังไม่เป็นหนุ่ม ถ้าเป็นหนุ่มแล้วคงไม่พูดอย่างนี้ หนุ่มๆคนไหนบ้างล่ะจะไม่ชอบใจ ถ้ามีใครมาสั่งให้เข้าไปนอนร่วมอยู่ในกลุ่มสาวๆสวยๆหลายคนอย่างนั้น ถึงจะนอนเฉยๆก็ยังกำไรอยู่ดี

กรโอ้เอ้ชวนพูดชวนคุยอยู่อีกพักหนึ่งจึงยอมกลับไปที่เต้นท์ เมื่อเคนบอกเขาว่า “ คุณกลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมต้องไปดูพวกนั้นจัดเวรยามก่อน ”

แล้วเคนก็ออกเดินมุ่งหน้ากลับไปที่กลุ่มของคำปัน ที่นั่งรวมตัวกันอยู่ในเงามืด โดยมีกรเดินตามไปด้วย เพราะเป็นทางผ่านไปสู่เต้นท์สองสามหลัง ที่กางไว้สำหรับคณะนักเดินป่าจากกรุงเทพฯและแม่ฮ่องสอน


หลังจากกรแยกตัวไปแล้วเคนก็สั่งคำปัน ให้นำอาวุธปืนที่ขนใส่รถมาด้วยจากเวียงพุกามออกมาจากรถ สั่งอินแปงให้ตรวจสอบความเรียบร้อยพร้อมใช้การของปืนแต่ละกระบอก แล้วให้แต่ละคนเลือกปืนที่คิดว่าถนัดมือที่สุดเป็นอาวุธประจำกาย ชายหนุ่มรู้มาล่วงหน้าจากหนานคำแล้วว่าคนที่หนานคำคัดให้มาด้วยนี้ ล้วนแต่ใช้ปืนเป็นและมีการฝึกกันอยู่เป็นครั้งคราว โดยมีจุดประสงค์เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยของเวียงพุกาม ซึ่งอาจจะมีคนนอกหรือแม้แต่พวกลักลอบค้ายาเสพย์ติด ผ่านหรือพลัดหลงเข้ามาในเขตของเวียงพุกาม โดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม หลังจากเลือกปืนกันเสร็จเขาก็พบว่ามีปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ เหลืออยู่เพียงกระบอกเดียวและปืนพกอีกหนึ่งกระบอก

เคนจัดให้แบ่งผลัดเข้าเวรกันผลัดละสามคนโดยจัดเป็นสองผลัด ผลัดแรกเริ่มตั้งแต่สามทุ่มไปจนถึงตีสอง ผลัดที่สองตั้งแต่ตีสองจนถึงเจ็ดโมงเช้า โดยให้พกอาวุธประจำกายติดตัวเอาไว้ด้วย ถึงจะไม่ได้คาดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม สั่งให้คอยระวังกองไฟสองสามกองที่ก่อเอาไว้รอบๆอย่าให้ดับ ส่วนเขาจะรับเวรผลัดดึก

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เข้านอนเพื่อหลับเอาแรงไว้ ก่อนตื่นมารับเวรอยู่ยามในช่วงดึก แต่ถึงจะพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ มีอะไรบางอย่างคอยรบกวนจิตใจของเขาไม่ให้สงบ เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในหัวใจ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมระยะหลังๆนี้มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดึงเขาให้เข้าไปใกล้ชิดกับทิพย์สุรางค์อย่างไม่คาดฝัน เกิดขึ้นบ่อยๆ แม้แต่การต่อปากต่อคำกันอย่างเช่นที่ปางอุ๋ง ซึ่งหลังจากที่เอ่ยปากว่าเธอไปแล้ว อย่างค่อนข้างรุนแรงด้วยความหมั่นไส้และใคร่จะสั่งสอนเธอ ให้คิดถึงจิตใจของคนอื่นบ้าง ชายหนุ่มก็มานึกเสียใจว่าไม่ควรพูดกับทิพย์สุรางค์อย่างนั้นเลย ผู้หญิงหยิ่งยโสอย่างเธอคงทนฟังไม่ไหวหรอก แล้วเขาก็รู้ด้วยว่าเธอยังโกรธเขาไม่เลิก

นอกจากนี้เคนยังรู้สึกอีกด้วยว่าหลังๆนี้ทุกครั้งที่เห็นหรือบังเอิญได้พบทิพย์สุรางค์ เขาสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนรัญจวนใจจากแรงดึงดูดที่มีพลังมหาศาลของเธอ และทุกครั้งเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงต่อต้านลึกลับที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ที่มีพลังรุนแรงพอๆกันที่คอยเหนี่ยวรั้งเขาไว้ มันทำให้เขาสับสนวุ่นวาย รู้สึกเหมือนตกอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวกรากหมุนวน ที่พยายามจะฉุด กระชากลากเขาไปทางโน้นทีทางนี้ที

เมื่อทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเคนจึงลุกออกจากถุงนอน ฉวยปืนวินเชสเตอร์ที่เหลืออยู่กระบอกเดียว ติดมือเดินออกไปข้างนอก เขาเดินไปรอบบริเวณที่อยู่ในรัศมีกองไฟที่จุดเอาไว้ เห็นเป้ยและคนงานจากเวียงพุกามอีกคนหนึ่งนั่งซุ่มอยู่ในความมืด คอยระแวดระวังความปลอดภัยให้คณะนักท่องเที่ยว ซึ่งป่านนี้คงหลับอย่างเป็นสุขไปแล้ว

เมื่อมองไม่เห็นคำปันซึ่งต้องอยู่เวรผลัดนี้เหมือนกัน ก็สอบถามเป้ยและได้คำตอบว่าคำปันออกไปปลดทุกข์แถวๆนั้น ชายหนุ่มจึงเดินพ้นกองไฟออกไป ทั่วบริเวณนั้นมืดสนิทและเงียบสงัดปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ เห็นแต่เงาตะคุ่มๆของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่หนาทึบ เขาแหงนขึ้นมองท้องฟ้ายามดึก เห็นดวงจันทร์ข้างแรมอ่อนๆสีเหลืองซีดๆอยู่บนศรีษะ อากาศเย็นเฉียบแต่ไม่มีลม

เคนเดินห่างออกไปจากบริเวณกองไฟพร้อมกับมองหาคำปันไปด้วย แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นสาปสางของอะไรบางอย่าง พร้อมกับเสียงแผดร้องสนั่นของคำปัน แล้วก็มีเสียงวิ่งบุกพงหญ้าสวบสาบใกล้เข้ามาทางที่เขายืนอยู่

โดยสัญชาตญาณบางอย่าง ชายหนุ่มยกปืนไรเฟิลที่ถือห้อยเอาปลายลงดินไว้ขึ้นประทับบ่าแล้วปลดเซฟ พร้อมๆกับที่คำปันสะดุดเท้าตัวเองล้มลงห่างเขาออกไปประมาณเจ็ดเมตร ที่กระโดดตัวลอยตามหลังคำปันมาคือเสือลายพาดกลอนขนาดหกศอก ซึ่งส่งเสียงคำรามกึกก้องสนั่นลั่นป่า เป้าหมายของมันคือร่างของคำปันที่ล้มลงนอนหงายอยู่บนพื้น ปืนที่ถือติดมือมาด้วย ขณะนี้หล่นอยู่บนพื้นใกล้ตัวเขา

ชายหนุ่มผู้นั้นนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ตาคู่ที่ตกตะลึงจังงังของเขาจ้องค้างราวกับถูกสะกดจิตไปที่เจ้าเสือตัวมหึมา ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศตรงเข้าใส่เขา โดยไม่ได้หยุดคิดแม้แต่น้อยเคนลั่นกระสุนเข้าใส่เสือตัวนั้นทันที กระสุนนัดนั้นจับเปาะเข้าที่ตรงหน้าแงของมันอย่างแม่นยำ หัวกระสุนขนาด .375 หยุดยั้งมันไว้ได้ก่อนจะถึงตัวคำปัน ร่างอันใหญ่โตของมันกระดอนสูงขึ้นไปในอากาศแล้วกระเด็นตกลงมากองอยู่บนพื้นดิน เสียงดังสนั่นเฉียดคำปันไปนิดเดียว...แน่นิ่งตายสนิท

ใครต่อใครที่หลับสนิทอยู่ต่างก็ถูกปลุกให้ผวาตื่นขึ้นมา จากเสียงคำรามของเสือลายพาดกลอนตัวนั้นและเสียงปืนที่ก้องสนั่นป่า แล้วก็พากันวิ่งพรวดพราดออกมาจากเต้นท์นอน มีเสียงพูดเสียงตะโกนซักถามกันจนฟังไม่ได้สรรพ เมื่อเห็นร่างใหญ่โตที่นอนตายสนิทอยู่บนพื้น ห่างออกไปจากบริเวณกองไฟ หลายคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

อินแปงซึ่งเข้ามานั่งยองๆ พิจารณาเสือใหญ่ตัวนั้นอย่างใกล้ชิด พึมพำออกมาว่า “มาจากไหนกันนี่ แถวนี้ไม่มีใครเคยเห็นเสือมานานแล้ว”

“มันอาจจะมาจากป่าทึบทางโน้นก็ได้ ชาวบ้านที่ออกไปหาของป่าบางคนเคยเล่าให้ฟังเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ว่าเคยวิ่งหนีเสือแถวนั้นมาแล้ว ” 

เป้ยซึ่งเดินตามเข้ามาด้วยออกความเห็น พร้อมกับชี้มือไปทางดงใหญ่ทึบที่อยู่ติดกับภูเขาลูกหนึ่งที่เห็นอยู่ลิบๆ

วุฒิเลิศซึ่งยืนอยู่ระหว่างประสพชัยกับชาคริตมองไปรอบๆแล้วถามว่า “ ใครเป็นคนยิง”
เป้ยตอบว่า “เคนครับ คุณใหญ่ ”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองไปที่เคนเป็นตาเดียวกัน ขณะนั้นชายหนุ่มยังถือปืนอยู่ในมือ แต่ลดปลายกระบอกปืนให้ชี้ลงดิน พี่ชายของทิพย์สุรางค์เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆแล้วกล่าวว่า

“ ขอบใจมากนะ เคน นี่ถ้าไม่ได้นาย มันคงคาบเอาใครสักคนไปแล้ว ”

ประสพชัยซึ่งกำลังมองเคนอยู่อย่างเพ่งพิศด้วยความแปลกใจ กล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ แม่นเสียด้วย นัดเดียวจอด ” แล้วก็ถามเคนว่า “ นี่นายไปหัดยิงปืนมาจากไหนหรือ ? ”

ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มไม่ตอบว่าอะไรเพราะตอบไม่ได้ เขารู้แต่เพียงว่าตอนที่เห็นปืนชนิดต่างๆหลายกระบอก ที่หนานคำสั่งให้ลูกน้องขนมาใส่รถ เขารู้สึกราวกับคุ้นเคยกับมันเสียเหลือเกิน แต่ความรู้สึกนั้นก็เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไป

คำปันซึ่งเพิ่งหายตกใจ เดินเข้ามาขอบใจเคนด้วยสีหน้าที่ละอายใจ เพราะเคยรู้สึกไม่ดีกับชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน หน้าตาของเขายังซีดเผือดอยู่ แต่เขาก็มองเคนอย่างสำนึกในบุญคุณ ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ให้รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดขนาดเส้นยาแดงผ่าแปด เขารู้ว่าถ้าชายหนุ่มผู้นั้นตัดสินใจช้าไปอีกเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เขาคงต้องตกเป็นเหยื่อของเจ้าลายพาด กลอนตัวนั้นไปแล้ว

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครสามารถกลับไปนอนต่อได้อีกเลย ต่างก็พากันออกมานั่งอยู่นอกเต้นท์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ คนงานช่วยกันลากร่างมหึมาของเสือตัวนั้นให้ห่างออกไป ยังไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไรกับซากของมัน เมื่อรุ่งอรุณมาถึง ทุกคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ รื้อเต้นท์ เตรียมเดินทางกลับเวียงพุกามอย่างรีบด่วน การท่องป่าจบลงก่อนกำหนด



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2567 10:54:20 น.
Counter : 351 Pageviews.

5 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณSleepless Sea, คุณmariabamboo, คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณหอมกร, คุณhaiku, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณtuk-tuk@korat, คุณร่มไม้เย็น, คุณnewyorknurse

  
บทนี้เว่อร์ไปหน่อยนะคะ คงมีคนหมั่นไส้พระเอกของเราบ้างแหละ ที่เก่งเกินไปหน่อย 555
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:00:43 น.
  
คนหมั่นไส้น่าจะเป็นนางเอกของคุณตุ้ยนั่นแหละค่ะ

โดย: หอมกร วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:15:53:50 น.
  
มาอ่านต่อครับ
พระเอกทำคะแนนเพิ่มอีก
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:23:23:58 น.
  
ตามมาอ่านต่อค่ะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:12:11:14 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

จากการบรรยายความรู้สึกของพระเอก รู้แล้วว่า พระเอกเราก็
เริ่มมีความรักในตัวทิพย์สุราค์แล้วนะ เนี่ย อิอิ จะติดตามต่อไป จ้ะ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:12:23:28 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]



New Comments
Group Blog
กุมภาพันธ์ 2567

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
 
 
15 กุมภาพันธ์ 2567
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com