เวลาที่หายไป - บทที่ 14

เช้าวันต่อมาคณะนักท่องเที่ยวนำโดยวุฒิเลิศ ออกเดินทางกันแต่เช้ามุ่งหน้าไปที่อุทธยานแห่งชาติถ้ำปลาและน้ำตกผาเสื่อ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปประมาณ 17 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติแม่ปายฝั่งขวา กินอาณาเขตของท้องที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนและกิ่งอำเภอปางมะผ้า สภาพป่าในอุทธยานแห่งชาติแห่งนี้เป็นป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขาและป่าสนเขา ป่าเบ็ญจพรรณ ป่าเต็งรังและทุ่งหญ้า มีสัตว์ป่าชุกชุมเช่นเลียงผา กระทิง ควายป่า หมี เก้ง กวางป่าและนกนานาชนิด

ถ้ำปลานี้เป็นถ้ำใต้เชิงเขา บริเวณปากถ้ำมีลักษณะเป็นวังน้ำกว้างประมาณ 3 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร ภายในแอ่งน้ำมีน้ำ ซึ่งไหลออกมาจากถ้ำใต้ภูเขาอยู่ตลอดทั้งปี มีปลาตัวใหญ่ๆสีดำอมฟ้าที่เรียกกันว่าปลาบุงหรือปลาพลวง ซึ่งเป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ชนิดเดียวกับปลาคาร์ฟ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก หนานคำเล่าให้ลูกทัวร์ของเขาฟังเป็นเกร็ดว่า พวกชาวบ้านเชื่อกันว่าปลาพวกนี้เป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ หากใครนำมารับประทานจะพบกับภัยพิบัติ พวกผู้หญิงพากันซื้ออาหารปลาที่มีจำหน่ายอยู่ตรงหน้าปากถ้ำนำมาโปรยให้ปลาเหล่านี้ซึ่งเชื่องมาก พวกมันพากันแหวกว่ายไปมาผลุบๆโผล่ๆขึ้นมาแย่งอาหารกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย

เมื่อออกจากอุทธยานห้วยปลาเคนก็ขับรถพานักท่องเที่ยวเข้าไปชมน้ำตกผาเสื่อ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ห่างจากถนนประมาณ 100 เมตร น้ำตกแห่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากน้ำตกแม่สะงาในสหภาพพม่า ประกอบด้วยน้ำตกหลายชั้น ชั้นบนสุดอยู่ลึกเข้าไปในป่าต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวคณะนี้ไม่ได้เดินขึ้นไปเพราะไม่มีเวลามากนัก

ไม่มีใครลงเล่นน้ำตก ได้แต่ยืนชื่นชมกับความงามของภูมิประเทศโดยรอบ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยเขียวขจีและสายน้ำ ที่ไหลตกลงมากระทบแผ่นหินแล้วแตกกระเซ็นเป็นฟองฝอยขาวโพลน สองข้างน้ำตกมีแผ่นหินลักษณะคล้ายเสื่อ ปูลาดอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นที่มาของชื่อน้ำตกแห่งนี้

กำหนดการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตามที่ได้ปรึกษาตกลงกันตั้งแต่คืนก่อน คือเมื่อจบการเที่ยวชมน้ำตกผาเสื่อแล้วก็จะเดินทางต่อไปที่ปางอุ๋งหรือหมู่บ้านรวมไทย ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 44 กิโลเมตร ปางอุ๋งนี้เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำหริในพระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้ชื่อว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย คณะทัวร์กำหนดจะ ค้างที่นั่นหนึ่งคืนแล้วเที่ยวชมสถานที่ๆน่าสนใจอื่นๆแถวนั้นจนถึงเย็น จึงจะเดินทางกลับไปเวียงพุกาม แผนเดิมที่จะไปอุทธยานแห่งชาติสาละวินหรืออุทธยานแห่งชาติแม่เงาถูกยกเลิกไป เพราะระยะทางไกลเกินไป

คณะนักท่องเที่ยวออกเดินทางจากน้ำตกผาเสื่อไปปางอุ๋ง เส้นทางที่รถวิ่งผ่านไปค่อนข้างแคบคดโค้งและชัน แต่เนื่องจากประสิทธิภาพของรถและฝีมือของคนขับซึ่งขับอย่างระมัดระวัง ในที่สุดรถคันนั้นก็ขึ้นถึงยอดเขาโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำช่วยลุ้นของผู้โดยสาร

ก่อนถึงทางแยกที่จะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ปางอุ๋ง หนานคำสั่งเคนให้ขับตรงไปก่อน เพื่อพาคณะนักท่องเที่ยวไปชมบ้านรักไทยและรับประทานอาหารเย็น เนื่องจากขณะนั้นใกล้สิบหกนาฬิกาแล้ว และไม่แน่ใจว่าบนปางอุ๋งจะมีอาหารรสอร่อยหรือไม่ รถวิ่งไปเรื่อยๆประมาณสิบกิโลเมตรก็ถึงบ้านรักไทยซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนาน อดีตทหารจีนก๊กมินตั๋งกองพลที่ 93 หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1700 เมตร เนื่องจากอากาศหนาวเย็นจึงมีการทำไร่ชาเขียวพันธ์ดีเป็นแนวยาวตามเนินเขาและปลูกพืชเมืองหนาวเช่นลูกท้อ แอปเปิล สาลี่ ฯลฯ

หนานคำพาลูกทัวร์ของเขาเข้าไปรับประทานอาหารจีนยูนานที่มีชื่อ เช่นขาหมูหมั่นโถและก๋วยเตี๋ยวรสเลิศในร้านเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็พากันเดินชมภูมิประเทศและตลาดกลางหมู่บ้าน รวมทั้งหาซื้อใบชาชั้นดีเช่นชาอูหลง ชาเขียว และชามะลิกลับบ้านหรือเป็นของฝาก ใบชาเหล่านี้ราคาถูกกว่าบนพื้นราบ เพราะเป็นแหล่งผลิตโดยตรง หลังจากนั้นก็เดินทางเข้าไปที่ปางอุ๋ง

บ่ายห้าโมงกว่าแล้วตอนที่ขึ้นมาถึงปางอุ๋ง แดดอ่อนแสงลงเรื่อยๆและอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆทีละน้อย ลักษณะพื้นที่ของปางอุ๋งเป็นแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำหรือที่บางคนเรียกว่าทะเลสาป มีต้นสนทั้งชนิดสองใบและสามใบ ที่ปลูกเรียงรายเป็นแถวเป็นแนวอย่างสวยงามกลมกลืนกับภูมิประเทศ บริเวณรอบๆมีดอกไม้เมืองหนาวสีสดหลากสีหลายพันธ์ปลูกประดับอยู่เป็นกอบ้างเป็นซุ้มบ้าง พื้นดินส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าเขียวขจี บรรยากาศและอากาศเหมือนอยู่ในประเทศหนาวแถบยุโรป

ทุกคนแยกย้ายกันนำสิ่งของเครื่องใช้ที่นำติดตัวมา เข้าไปเก็บในกระท่อมที่พักใกล้ทะเลสาปที่จองเอาไว้ล่วงหน้า หนานคำแนะนำให้อาบน้ำกันให้เรียบร้อยก่อนมืด เพราะอากาศบนยอดเขาสูงแห่งนี้เย็นจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคืน นอกจากนี้ไฟฟ้าที่ใช้ซึ่งได้จากเครื่องปั่นไฟ จะปิดลงในเวลาประมาณสี่ทุ่ม แม้ว่าปางอุ๋งนี้จะขาดความสะดวกสบายหลายอย่าง เนื่องจากยึดวิถีชีวิตแบบพอเพียงของชาวเขา แต่นักท่องเที่ยวคณะนี้ก็ไม่เดือดร้อน เต็มใจที่จะสัมผัสกับชีวิตอีกแบบหนึ่งที่นานๆจะได้มีโอกาสสักครั้ง

ยามเย็นในช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขา สาดแสงสุดท้ายระยิบระยับสะท้อนลงไปบนผิวน้ำที่เงียบสงบและบรรยากาศรอบตัวที่เงียบสงัด พวกที่มายืนเฝ้าดูหรือถ่ายรูปดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดง ต่างก็ถอนใจยาวอย่างเป็นสุขกับภาพที่เห็น รู้สึกได้ถึงความสงบของจิตใจ

หนานคำบอกว่าที่นี่มีบริการล่องแพไม้ไผ่ ให้นักท่องเที่ยวได้ล่องชมธรรมชาติ ในทะเลสาปและพันธ์ไม้ริมน้ำด้วย ถ้าใครสนใจก็สามารถทำได้ในวันรุ่งขึ้น เพราะขณะนั้นเริ่มมืดแล้ว แต่ถึงจะมืดและอากาศหนาวเย็น หลายคนที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ยังคว้าเสื้อกันหนาวตัวหนาเตอะมาสวม แล้วออกเดินชมภูมิประเทศแถวทะเลสาปและบริเวณใกล้เคียงอย่างเบิกบานใจ

คืนนั้นทุกคนแยกย้ายกันเข้าพักในบ้านพัก หรือที่ถูกควรเรียกว่ากระท่อมหลังเล็กๆมีห้องนอนเพียงห้องเดียว ที่หนานคำจองไว้ให้ได้เพียงหกหลัง ต้องแยกกันพักหลังละสองคนบ้างสามคนบ้าง เคนกับหนานคำพักหลังเดียวกัน ส่วนกรพักหลังเดียวกับทิพย์สุรางค์ กระท่อมเล็กๆน่ารักเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาปที่เงียบสงัด โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่พวกนักท่องเที่ยวต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตน พักตามเกสต์เฮาส์ข้างนอกหรือไม่ก็เข้าที่พักในอุทธยานแห่งนี้

เคนเข้านอนพร้อมกับหนานคำแต่ก็ยังไม่หลับ ในขณะที่ชายวัยกลางคนผู้นั้น หลับไปอย่างง่ายดายทันทีที่หัวถึงหมอน หลังจากนั้นก็เริ่มกรนเป็นระยะๆ เบาบ้างดังบ้าง ชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาหลับๆตื่นๆ จนรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อประมาณตีห้าแล้วก็ไม่หลับอีกเลย

ในที่สุดเขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เดินออกจากบ้านพักเลียบไปตามทางเดินริมทะเลสาป ท้องฟ้ายังมืดมิดมีแต่ดาวส่องแสงระยิบระยับ อากาศยามเช้าตรู่เย็นเฉียบทะลุเสื้อวอร์มตัวหนาที่สวมอยู่เข้าไปถึงผิวกาย บริเวณรอบข้างยังมืดมิดเห็นแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นเงาตะคุ่มอยู่ทั่วไป

เคนมองความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของทะเลสาปที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบของสายน้ำ ซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวของภูเขาสูงใหญ่มืดทะมึนที่ล้อมอยู่โดยรอบ

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่จิตใจล่องลอยไปไกล แล้วทันใดนั้น..ทั้งๆที่รู้ตัวว่ากำลังยืนเหม่อมองทะเลสาปกว้างใหญ่ในปางอุ๋งอยู่ แต่ทำไมเขากลับมองเห็นทะเลสาปที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งบนยอดเขาสูงซึ่งอยู่ไกลลิบลับปรากฏขึ้นในมโนภาพ และก็คงเป็นมโนภาพอีกเช่นเดียวกันที่ทำให้หูของเขา แว่วเสียงควบของม้าเทศสูงใหญ่สองตัว คนที่อยู่บนหลังม้าสีดำปลอดเป็นผู้ชาย ส่วนม้าสีทองแดงที่วิ่งตีคู่กันมาคนขี่เป็นผู้หญิงสาวรูปร่างบอบบาง เขาเห็นอย่างลางเลือนเพียงแวบเดียวแล้วทั้งหมดก็อันตรธานหายไป

ชายหนุ่มสะบัดหน้าอย่างมึนงงนึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ภาพลวงตาหรืออย่างไร แล้วขณะที่กำลังงงอยู่นั้นเองเคนก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง เมื่อหันกลับไปเขาเห็นผู้หญิงสาวที่ชื่อบุษบาแต่ใครๆเรียกเธอว่านุช และเพื่อนของเธอยืนอยู่ข้างหลังเขา

“พี่เคนตื่นแต่เช้าเหมือนกันหรือคะ นุชนึกว่ายังไม่มีใครตื่นเสียอีก ” บุษบาทักเขาเสียงหวาน

“ เอ้อ..ครับ” เคนตอบเก้อๆ ทำท่าเหมือนจะเดินเลี่ยงออกไปจากที่ตรงนั้น

“ ออกมาเดินเล่นหรือคะ เดินไปทางโน้นกันไหมคะ เมื่อคืนตอนที่ใครๆออกไปเดินเล่นกัน นุชกับวิภามัวทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ เลยไม่ได้ตามพวกเขาไป ”

ชายหนุ่มขยับจะปฏิเสธคำชวนของเธอ เพราะสำนึกในสถานภาพของตัวเองที่เป็นแค่ลูกจ้างของเวียงพุกาม ที่ไม่ควรนำตัวเข้าไปสุงสิงสนิทสนมกับแขกของวุฒิเลิศ แต่คำพูดต่อไปของหญิงสาวผู้นั้นทำให้เขาพูดไม่ออก 


“ความจริงวิภากับนุชออกมาเดินเล่นได้สักครู่แล้ว แต่ไม่กล้าเดินไปไกลเพราะยังมืดอยู่ ถ้ามีบอดี้การ์ดไปด้วยสักคนคงจะรู้สึกปลอดภัยขึ้น จริงไหม วิภา ? ”

เคนไม่มีทางเลือก นอกจากเดินตามหญิงสาวหน้าตาน่ารักสองคนไปเงียบๆ ความจริงเขารู้สึกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเธอสองคนนี้เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยไมตรี เคยเข้ามาชวนเขาพูดคุยโดยไม่ถือตัวมาสองสามครั้งแล้ว ตอนอยู่ที่น้ำตกผาเสื่อ บุษบาและวิภายังแบ่งขนมที่ซื้อมาให้เขาอีก เคนเข้าใจว่าพวกเธอคงเห็นว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าก็เลยเรียกเขาว่าพี่และชวนพูดชวนคุยอย่างไม่ถือตัวเลย ซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระดากใจ เพราะมองตัวเองว่าตอนนี้เป็นเพียงคนขับรถเท่านั้น

เคนไม่รู้ว่าหญิงสาวสองคนนี้แอบคุยกัน ถึงรูปร่างหน้าตาและบุคลิกที่สะดุดตาของเขาแล้วลงความเห็นว่า เขาน่าจะเป็นใครสักคนที่ดีกว่าคนขับรถ ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสาวน้อยที่เพิ่งพ้นวัยรุ่นวัยคะนองมาได้ไม่กี่ปี ที่อาจจะเพ้อเจ้อไปบ้างเมื่อได้พบผู้ชายที่หน้าตาท่าทางชวนมอง รวมทั้งกิริยามารยาทที่สุภาพเช่นเคน ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อเที่ยวจบและจากกันไปก็ลืมกันไปหมด

ทั้งสามเดินชมความงดงามของธรรมชาติบนปางอุ๋งที่ค่อยๆเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย แล้วสาวน้อยคนที่ชื่อวิภาก็ตั้งคำถามในเชิงซักไซ้ ที่ทำให้เคนอึดอัด

“พี่เคนอยู่ที่เวียงพุกามนี่นานหรือยังคะ ? ”
“ หลายเดือนแล้วครับ ?” เขาตอบสั้นๆ ไม่นึกอยากพูดเรื่องนี้เลย
“ ปกติพี่เคนทำหน้าที่ขับรถหรือคะ? ” บุษบาถามบ้าง
“ ปกติผมทำงานในไร่กับในออฟฟิศ ”
“ แล้วแต่ก่อนพี่อยู่ที่ไหนล่ะคะ ? ” วิภาช่วยซัก

เคนอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขาเลยยิ้มนิดๆอย่างสุภาพแทน ทำให้บุษบาซึ่งคิดว่าเพื่อนเธออาจจะถามซอกแซกไปหน่อยเขาเลยไม่ตอบ ก็เลยช่วยแก้สถานการณ์ ด้วยการจูงมือเพื่อนให้วิ่งตามไปที่ดอกคริสต์มาส ดอกใหญ่สีแดงสดสะพรั่งที่ปลูกเอาไว้เป็นดงอยู่ใกล้ๆ แล้วชี้ชวนกันชมขนาดของดอกและสีสันที่สวยงามของมัน

เคนเดินตามไปห่างๆ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาและพบว่าขณะนั้นหกนาฬิกากว่าแล้ว หนานคำบอกเขาก่อนเข้านอนเมื่อคืนนี้ ว่าเช้าวันนี้จะปล่อยอิสระ ให้นักท่องเที่ยวทุกคนใช้เวลาตามสบายในปางอุ๋ง ใครอยากจะนอนตื่นสาย ล่องแพชมธรรมชาติในทะเลสาป เดินชมวิวทิวทัศน์ หรือทำกิจกรรมอื่นๆที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็สามารถเลือกทำได้ตามสะดวก ส่วนอาหารเช้าก็จะรับประทานกันที่ร้านอาหารในนี้ในเวลาประมาณแปดนาฬิกา ช่วงบ่ายจึงจะเดินทางออกจากปางอุ๋ง เพื่อไปเที่ยวชมสถานที่น่าสนใจอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนจะกลับเวียงพุกามในตอนเย็น

ชายหนุ่มยืนกอดอกมองไปรอบตัว เห็นดอกไม้ต้นไม้หลากสีหลายพันธ์ สนามหญ้าเขียวขจีและสาวรุ่นดรุณีสองนาง ที่กำลังชื่นชมกับดอกคริสต์มาสอยู่ใกล้ๆ แล้วเขาก็เห็นสาวน้อยที่ชื่อวิภาพูดอะไรสองสามคำกับเพื่อนของเธอ หลังจากนั้นก็วิ่งผละไปอย่างรวดเร็ว 


เคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเดินเข้าไปหาบุษบา “คุณวิภาไปไหนหรือครับ?”

สาวน้อยคนนั้นเดินเข้ามาถึงตัวเขาและบอกว่า “ กลับไปเอากล้องถ่ายรูปค่ะ เขาอยากถ่ายรูปดอกไม้แถวนี้ พี่เคนจะต้องกลับไปทำอะไรหรือเปล่าคะ? ถ้ายังไม่ต้องกลับ ก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนนุชรอวิภาก่อนได้ไหม อยากชวนพี่เดินไปตรงโน้นหน่อย ”

เธอชี้มือไปทางเนินเล็กๆที่อยู่ไม่ไกล มีดอกไม้เมืองหนาวหน้าตาแปลกๆปลูกอยู่เต็ม เคนมองตามมือเธอ “ไปสิครับ ผมจะเดินไปเป็นเพื่อน ”

แล้วเขาก็เดินตามหลังหญิงสาวผู้นั้นไป ระหว่างทางเธอชวนเขาคุยด้วยเสียงหวานเจื้อยแจ้ว สดชื่นรื่นเริงราวกับนกตัวน้อย “ อีกสองสามวันพวกเราก็จะกลับกันแล้ว พี่เคนเคยไปกรุงเทพฯไหมคะ นุชกับวิภาอยู่กรุงเทพฯ ยังเรียนหนังสือกันอยู่เลย ”

“เรียนที่ไหนหรือครับ” ชายหนุ่มถามไปเรื่อยๆตามมารยาท

“ เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ค่ะ นุชกับวิภาเรียนที่เดียวกัน ตอนเด็กๆก็เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอด ” แล้วเธอก็เสริมต่อว่า “ เปิดภาคเรียนใหม่นี่เราก็ขึ้นปีสาม อีกสองปีก็จบ ได้เป็นผู้ใหญ่กันเสียที ”

เมื่อเห็นเคนเพียงแต่ยิ้มอย่างสุภาพไม่ต่อความว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นั้นก็เอียงคอหันมามองเขา “ ถ้ากลับไปกรุงเทพฯแล้ว นุชจะโทรศัพท์มาคุยกับพี่เคนบ้างได้ไหมคะ? พี่มีมือถือใช่ไหม? ขอเบอร์ให้นุชด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรอยากจะปรึกษาพี่บ้าง ”

ท่าทางสมัยใหม่และวาจาเปิดเผยแบบกึ่งเด็กกึ่งสาวของเธอ ทำให้เคนอึ้งไปเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เก็บมาคิดอะไรให้มากเรื่อง เขาเพียงแต่เห็นว่าเธอเป็นเด็กสาวสมัยใหม่ที่ยังอยู่ในวัยคะนองเท่านั้น

“ผมไม่มีมือถือหรอกครับ”

“ งั้นนุชจะโทร.มาที่เวียงพุกามก็แล้วกัน ถ้ามีคนตามให้มารับโทรศัพท์ พี่เคนก็ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะคะ แล้วก็ช่วยมารับด้วย ”

พูดจบหญิงสาวก็วิ่งปราดลัดเลาะไประหว่างกอดอกไม้ขึ้นไปบนเนิน เมื่อถึงยอดเนินเธอก็กางมือสองข้างออกกว้างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ทำท่าเหมือนนักไต่เขาผู้พิชิตยอดเอเวอเรสต์อย่างไรอย่างนั้น โดยมีเคนยืนมองยิ้มๆอยู่ตรงตีนเนิน ไม่ได้เดินตามขึ้นไป

บุษบาส่งเสียงเรียกเขาให้ขึ้นไปสมทบกับเธอบนเนินเล็กๆนั้น เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ สาววัยต้นยี่สิบก็วิ่งปร๋ออย่างรื่นเริงราวกับนกตัวน้อยลงจากเนิน แต่ก่อนจะถึงปลายเนินเธอก็เซถลเมื่อเท้าสะดุดอะไรอย่างหนึ่ง แล้วร่างของเธอก็ถูกแรงสะดุดนั้นส่งให้ผงะลงมาตรงที่เขายืนอยู่ แขนสองข้างของเธอกางออกเ หมือนจะบาลานซ์น้ำหนักตัว เคนซึ่งกำลังมองอย่างตกใจยกแขนขึ้นรับตัวเธอเอาไว้โดยอัตโนมัติ แล้วเซออกไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกันแขนสองข้างของบุษบาก็โอบรอบคอเขาเอาไว้พอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ร่างของหญิงสาวคนนั้นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเขา

แล้วยังไม่ทันที่เธอจะผละออกจากเขา ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นทิพย์สุรางค์ ที่กำลังจ้องเขม็งมาที่เขาและบุษบาอย่างตกใจ เคนไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเดินออกมาจากที่ตรงไหนเมื่อไหร่ เพราะตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นเขาเห็นเธอยืนอยู่ติดกับเนิน ที่บุษบาสะดุดแล้วเซซวนเข้ามาหาเขา ก่อนหน้านั้นเขาไม่เห็นใครเลย

บุษบาผละออกจากอ้อมแขนของเคนที่ยึดตัวเธอเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ยิ้มให้ทิพย์สุรางค์ด้วยรอยยิ้มหวานแฉล้มตามปกติ 


“คุณทิพย์ออกมาเดินเล่นเหมือนกันหรือคะ นุชเพิ่งขึ้นไปดูดอกไม้บนเนินนั่น ไม่ขึ้นไปดูบ้างหรือคะ สวยมากๆเลย ” บุษบาเป็นฝ่ายทักทายก่อน

ทิพย์สุรางค์ฝืนยิ้มให้ “ ไม่หรอกค่ะ เชิญคุณนุชตามสบาย ฉันกำลังจะกลับพอดี ” แล้วหญิงสาวก็ออกเดินผ่านเคน ซึ่งทำหน้าเฉยๆมองตามหลังเธอไป

เพียงไม่กี่นาทีที่ทิพย์สุรางค์ลับตัวไปวิภาก็วิ่งมาถึง ถือกล้องถ่ายรูปมาด้วย แล้วสองสาวก็ผลัดกันถ่ายรูปกับดอกไม้ บุษบาเรียกเคนให้ไปถ่ายรูปด้วย เขาปฏิเสธ แต่เธอไม่ฟังเสียงวิ่งปราดมายืนเคียงข้างเขา ในขณะที่วิภากดชัตเตอร์กล้องสองสามครั้งบันทึกภาพเอาไว้เรียบร้อย หลังจากนั้นอีกประมาณห้านาที ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับไปบ้านพัก โดยอ้างว่าเผื่อมีใครต้องการใช้รถ

เคนเดินเลียบทะเลสาปไปเรื่อยๆเพื่อกลับที่พัก เมื่อเดินมาไกลพอสมควรก่อนจะถึงที่พักเขาก็เห็นทิพย์สุรางค์ยืนกอดอก หันหน้ามาทางที่เขากำลังเดินอยู่ ชายหนุ่มเห็นเธอแล้วแต่ไม่ได้หยุด เพราะไม่คิดว่าเธอจะมีอะไรพูดกับเขา แต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านเธอไป ทิพย์สุรางค์ก็พูดกับเขาด้วยเสียงแข็งๆ

“นายเคน ขอพูดด้วยหน่อย”
ชายหนุ่มหยุดเดิน ถามด้วยเสียงปกติว่า “ คุณหนูมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ ? ”

ทิพย์สุรางค์มองหน้าซื่อๆของเขาอย่างไม่พอใจ  “ นี่นายเคน ในฐานะนายจ้างของนายและเจ้าภาพของแขกของเวียงพุกามที่มาเที่ยวกันที่นี่ ฉันขอเตือนว่านายไม่ควรทำรุ่มร่ามกับแขกของเรา...”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เคนก็ถามแทรกขึ้นด้วยเสียงที่ห้วนสั้นว่า “ ขอโทษ คุณหนูหมายความว่ายังไง ที่ว่าผมทำรุ่มร่ามน่ะ ? ”

“นี่นายยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าทำอะไรลงไป คิดว่าไม่มีใครเห็นหรือไง นายก็รู้ไม่ใช่หรือว่าผู้หญิงที่ชื่อนุชน่ะ นอกจากจะเป็นแขกของเวียงพุกามแล้ว ยังเป็นญาติของเพื่อนพี่ใหญ่ด้วย นายจะมาทำไก๋ถามเรื่องรุ่มร่ามทำไม ไม่เข้าใจหรือไง ว่าที่นายกอดคุณนุชน่ะเขาเรียกว่าอะไร ที่ฉันใช้คำว่ารุ่มร่ามน่ะถือว่าสุภาพที่สุดแล้วนะ หรือจะให้ฉันต้องพูดชัดเจนกว่านี้ ว่านายลามปามล่วงเกินเขา ”

ชายหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันทีกับคำกล่าวหาของทิพย์สุรางค์ เขาจ้องเธอเขม็งด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ราวกับเขาเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นายเคนผู้สุภาพพูดน้อย 


"คุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นอย่าได้มากล่าวหาผมเช่นนั้น เพราะผมจะถือว่าคุณดูถูกผมมาก ถึงผมจะเป็นแค่ลูกจ้างของเวียงพุกาม ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีอะไร แต่ผมก็ไม่ใช่คนพาลสันดานหยาบที่จะทำเรื่องบัดสีแบบที่คุณกล่าวหา ขอให้ระวังคำพูดด้วย เพราะนอกจากผมแล้ว คุณนุชคนนั้นซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนคุณก็จะพลอยเสียหายไปด้วย ”

หญิงสาวฟังคำพูดที่เธอรู้สึกว่าก้าวร้าวไม่ไว้หน้าเธอแล้ว ก็รู้สึกโกรธจนแทบเต้น นอกจากนี้ยังสะดุดหูกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอที่เปลี่ยนจาก ‘คุณหนู’ ไปเป็น ‘คุณ’ ราวกับคนที่อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน

“ นี่!! นายเคน อย่ามาพูดจาจาบจ้วงแบบนี้กับฉันนะ ฉันเป็นใคร? นายเป็นใคร? นายทำผิดฉันก็ต้องตักเตือน ไม่อยากให้แขกของฉันเอาไปเที่ยวพูด ว่าคนที่เวียงพุกามเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน เที่ยวล่วงเกินแขกของเรา ”

เคนมองหน้าทิพย์สุรางค์อย่างไม่พอใจ รู้สึกแค้นกับข้อกล่าวหาของเธอ เขาพยายามข่มใจอย่างหนักเมื่อตอบโต้ว่า “ ผมขอบอกอีกครั้งว่า ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ถูกกล่าวหา ผมจะเป็นใครก็ตาม แต่ผมก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนร่ำรวยแบบพวกคุณ ”

แล้วเขาก็ทำหน้ายิ้มเยาะ เมื่อจงใจเชือดเฉือนเธอด้วยประโยคสำคัญ ที่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาเพียงแต่ต้องการจะทำให้เธอเจ็บใจเพื่อแก้เผ็ดเธอ

“ ที่คุณแกล้งทำเป็นตาฝาดหาว่าผมกอดแขกของคุณ แล้วมาต่อว่าต่อขานผมอยู่นี่น่ะ เพราะอะไร บอกได้ไหม หรือว่าเพราะคุณหึงผม ? ”

พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเดินผ่านหน้าทิพย์สุรางค์ไป อย่างไม่แยแสกับข้อกล่าวหาของเธอ เพื่อกลับไปบ้านพักที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมตร แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกว่าชายเสื้อวอร์มด้านหลังของเขาถูกกระชากอย่างแรง
เมื่อหมุนตัวกลับไปตามแรงกระชาก เคนก็เผชิญหน้ากับทิพย์สุรางค์ ซึ่งเงื้อมือของเธอขึ้นสูงแล้วฟาดลงมาหมายบริเวณใบหน้าของเขา แต่ชายหนุ่มคว้ามือเธอเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะสัมผัสกับใบหน้า เขายังยึดมือนั้นไว้แน่น ขณะก้มลงสบตาทิพย์สุรางค์ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง แววตาของเขาทั้งกร้าวและเยาะหยัน

“ อย่ามาใช้กิริยาหยาบคายกับผม เมื่อครู่นี้คุณเหยียบย่ำผมด้วยวาจามาแล้ว ตอนนี้ยังจะทำมาแบบนี้อีก หรือว่าทนฟังสิ่งที่ผมพูดไม่ได้ หรือว่าคุณเท่านั้น ที่มีสิทธิจะกล่าวหาใครให้เสียหายยังไงก็ได้ แต่พอถูกคนอื่นเขากล่าวหาเอาบ้าง คุณกลับทนไม่ได้ จนต้องมาทำกิริยาแบบนี้ ที่หญิงผู้ดีมีการศึกษาเขาไม่ทำกัน ผมบอกให้ก็ได้ว่า ที่ผมถามว่าหึงผมหรือเปล่านั่นน่ะ เป็นแค่ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง เหมือนกับข้อกล่าวหาของคุณต่อผมนั่นแหละ มันไม่จริงเพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะนางฟ้าอย่างคุณคงไม่ลดตัวลงมาสนใจคนอย่างผม แล้วคนกระจอกอย่างผม ก็ไม่เคยคิดพิศวาสผู้หญิงสูงส่งอย่างคุณ ”

แล้วชายหนุ่มก็ปล่อยมือเธอด้วยวิธีสะบัดให้หลุดออกไป ก้มศีรษะให้เล็กน้อย แล้วเดินต่อไปอย่างไม่แยแส ทิ้งให้ทิพย์สุรางค์ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า สุดแค้นแสนอายกับคำกล่าวหาของเขา ที่เธอเห็นว่าทุเรศไร้เหตุผลและตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างที่สุด หญิงสาวกรีดร้องตามหลังเขาไป

“ ไอ้คนบ้า ไอ้คนทุเรศ !! ”

นับแต่วินาทีนั้นทิพย์สุรางค์ก็อารมณ์เสีย ไม่อยากพูดอยากจากับใครเลย ตลอดบ่ายวันนั้นขณะนั่งไปในรถ เดินทางออกจากปางอุ๋งเพื่อกลับเวียงพุกาม ระหว่างทางก็แวะลงชมสถานที่ที่น่าสนใจอีกสองสามแห่ง เธอสวมแว่นดำเพื่ออำพรางสีหน้าแววตา ที่ขุ่นมัวไปด้วยความโกรธขึ้งต่อคำพูดของผู้ชายคนนั้น ไม่ให้ใครซักถามได้ว่าเธอเป็นอะไรไป

นอกจากนี้หญิงสาวยังวางแผนอยู่ในใจว่า กลับไปถึงบ้านแล้วจะคุยกับบิดา ไม่ให้ไอ้เจ้าเคนที่กำเริบเสิบสานมาตั้งข้อหาทุเรศนั่นให้เธอ ได้อยู่ในเวียงพุกามอีกต่อไป เขาจะจำอดีตได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะต้องจัดการเอาเอง เชิญไสหัวไปให้พ้น!!!

ทิพย์สุรางค์ยังปักใจเชื่ออยู่ตลอดเวลา ว่าเคนเจตนาลวนลามสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนั้น ถึงจะยอมรับว่าเธอไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะตอนที่เดินอ้อมออกมาทางด้านหน้าของเนินเพื่อหาทางกลับไปบ้านพัก พอเดินเลี้ยวมุมเนินที่บังอยู่ออกมา เธอก็เห็นภาพหนุ่มสาวทั้งสองที่อยู่ในวงแขนของกันและกัน แล้วพอเห็นเธอหญิงสาวคนนั้นก็ถอยห่างออกมา ตอนนี้พอมีเวลาทบทวนเรื่องราว ทิพย์สุรางค์ก็ชักไม่แน่ใจกับภาพที่เธอเห็น มันอาจจะเป็นอย่างที่เขาแก้ตัวก็ได้ ว่านั่นไม่ใช่เหตุการณ์ทั้งหมด

แล้วต่อมาอีกพักใหญ่ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ชื่อนุชหรือบุษบาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังระวิพร เล่าให้สาวใหญ่คนนั้นฟังว่า เธอขึ้นไปดูดอกไม้บนเนินเล็กๆแห่งหนึ่ง แล้วขาลงเธอสะดุดอะไรอย่างหนึ่งขณะวิ่งลงมา ถ้าไม่มีพี่เคนซึ่งยืนอยู่ตรงตีนเนินช่วยรับเอาไว้ได้ทัน เธออาจจะล้มลงหัวฟาดพื้นหรือแข้งขาหักไปแล้

เสียงบอกเล่าเป็นทำนองชื่นชมชายหนุ่มผู้นั้นของบุษบา ทำให้ทิพย์สุรางค์รู้สึกละอายใจที่กล่าวหาเขาอย่างน่าเกลียดเช่นนั้น แต่ถึงความจริงจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่สามารถลบล้างความโกรธ ในคำพูดเชิงสบประมาทของเขาต่อเธอให้หมดไปได้หรอก


 



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2567 11:35:43 น.
Counter : 561 Pageviews.

7 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณร่มไม้เย็น, คุณSleepless Sea, คุณRain_sk, คุณปรศุราม, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณหอมกร, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณกะว่าก๋า, คุณnewyorknurse, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา

  
แวะมาลงชื่ออ่านก่อนค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:03:17 น.
  
มาอ่านครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:13:12:26 น.
  
สวัสดีครับ

มาอ่านด้วยครับ
บ้านรักไทยสวยครับ เคยดูรีวิว เหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง
เหมือนไม่ใช่เมืองไทยครับ
เคน ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากทีเดียวครับ
ขอบคุณที่แวะไปที่บล็อกครับ

โดย: Sleepless Sea วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:17:14:41 น.
  
ส่งกำลังใจไว้ก่อนครับ พี่ตุ้ย

โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:23:24:57 น.
  
มาอ่าน จบ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:23:59:58 น.
  
ตามมาอ่านค่ะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:27:25 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

แหม อ่านถึงตอน ทิพย์สุรางค์กล่าวหา เคน แล้ว ก็เห็นภาพสาวน้อย
ที่เห็นที่เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล ซึ่งพระเอกเรา ก็โต้ตอบได้อย่างไม่เกรง
กลัว ดีจ้ะ ม้าพยศ ต้องมีคนปราบ อิอิ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:17:36:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]



New Comments
Group Blog
กุมภาพันธ์ 2567

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
 
 
7 กุมภาพันธ์ 2567
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com