happy memories
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
แก้รัฐธรรมนูญ (๒)






บล็อกแก้รัฐธรรมนูญ (๑)



"แก้ประชาธิปไตย 'ม.๖๘' เป็นเผด็จการ"
เปลว สีเงิน


ไม่มีอะไรเถื่อน-ถ่อย-ทุเรศเท่า "รัฐบาลเพื่อไทย" อีกแล้ว ที่ส่งสมุนเสื้อแดงไปล้อม "ศาลรัฐธรรมนูญ" บีบบังคับให้ ๙ ตุลาการยุติการทำหน้าที่ เรียกว่าเป็นแนวร่วม "๓๑๒ ส.ส.-ส.ว." ซีกรัฐบาล ที่กำลังปฏิบัติการล้มล้างสถาบันตุลาการ ด้วยการประกาศ "ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ" อยู่ขณะนี้

ถ้ารัฐบาลและรัฐสภาทำตัวอย่าง "เลวบัดซบ" อย่างนี้ได้ ประชาชนทำตามบ้าง ประกาศ....จะไม่ยอมเสียภาษีให้รัฐเลี้ยงโจรครองเมือง-ครองรัฐสภาอีกต่อไป....

แล้วจะว่าไง?

หมายศาล หมายเรียกตำรวจ หมายเกณฑ์ทหาร รวมทั้งกฎหมายที่รัฐบาลออก ประชาชนจะเดินตามรอยตีนรัฐบาล-รัฐสภาเพื่อไทย ไม่ไป..ไม่ปฏิบัติตามอะไรทั้งนั้น

แล้วจะว่าไง?

ซ่า...เหิมเกริม เหมือนห่าลงเมืองกันเหลือเกิน อย่าเถียงนะว่ารัฐบาลไม่เกี่ยว ถ้าไม่เกี่ยวจริง ต้อง "รู้ร้อน-รู้หนาว" ตามหน้าที่แล้ว จะปล่อยให้กเฬวรากเริงเมืองจนไม่รู้ขอบเขตแห่งความพอดี เอะอะอ้างประชาธิปไตย ไปล่วงล้ำทำลาย "สถาบันหลักของชาติ" อย่างนี้อยู่ได้อย่างไร

คนดง-คนป่านุ่งผ้าเตี่ยวเมื่อ ๕,๐๐๐ ปี เขายังไม่ทำกันแบบนี้ มีแต่พวกบ้าสวมเสื้อแดงสมุนระบอบทักษิณยุคนี้เท่านั้น เมื่อศาลรับยับยั้งการกระทำของรัฐบาล-รัฐสภาที่อาจขัดต่อกฎหมายไว้วินิจฉัย ก็ไม่พอใจ...โกรธ...

ประกาศล้มล้างสถาบันตุลาการด้วยไม่รับอำนาจศาลบ้าง จะให้ถอดถอนตุลาการออกจากตำแหน่งบ้าง ส่งสมุนไปชุมนุมล้อมศาล ขู่บังคับให้ยุติการทำหน้าที่บ้าง ไปบีบสำนักงบประมาณไม่ให้จ่ายเงินเดือนตุลาการบ้าง

มันจะประจานเหมา "คนไทย-ประเทศไทย" เป็นชาติป่าเถื่อน ไร้การศึกษา ไร้อารยธรรม ในทัศนคติชาวโลกจนเกินพอดีไปแล้ว

หรือไม่จริง....ยิ่งลักษณ์น่ะ เธอเป็นนายกฯ รู้ประสาอันควรอะไรบ้าง ปล่อยให้โจรในทำเนียบฯ ในรัฐสภา ประสานโจรในถนน กระทำย่ำยีระบบ-ระบอบ-สถาบันอันดีงามของประเทศชาติอย่างนี้ได้อย่างไร ขืนเพาะตัวอย่างเลวอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ช้า....

ประเทศไทย "แทนที่พม่า" เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วแน่!

ย้อนไปดูตอน เสธ.อ้ายนัดชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ได้ไปปิดล้อม ไปข่มขู่ใคร ยังไม่ทันชุมนุมด้วยซ้ำ รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายมั่นคง ระดมตำรวจทั่วประเทศร่วมแสนในชุด "เต็มอัตรารบ" มาปิดล้อมถนนล่วงหน้า พอชาวบ้านมา ก็รุมทุบตี กระทืบ ยิงแก๊สน้ำตาใส่

ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันชุมนุม....!

และไม่มีการกระทำใดที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลก็ใช้ "ผู้รักษากฎหมาย" กระทำ ขนาดรัฐบาลเผด็จการเขายังไม่ทำแบบนี้ แต่ตำรวจของรัฐบาลระบอบทักษิณอ้าง "ความสงบ-ความมั่นคง"!?

และ ๑๘ เมษา ๕๖ ขณะที่คนไทยทั้งประเทศ ใจจด-ใจจ่อ "รวมพลังใจ" ส่งไปช่วยทีมไทยสู้ศึกเขมรที่ศาลโลก แต่อยู่ทางนี้ รัฐบาล-รัฐสภา เหมือนแอบปีนหน้าต่างเข้าปล้น

เปิดรัฐสภา ดันกฎหมายล้างโทษคนเผาบ้าน-เผาเมืองว่าเป็น "ความสำคัญเร่งด่วน" เข้าพิจารณา จ่อคาเป็น "วาระแรก" ไว้ เปิดสภาฯ ปุ๊บ ใช้พวกมากลากได้ทันที!

แล้วเห็นมั้ย...ก่อนหน้า คือวันที่ ๑๗ เมษา รัฐบาลสั่งตำรวจ "ชุดพร้อมรบ" เข้าตรึงพื้นที่ใน-นอกรัฐสภาเต็มอัตราศึก ถามว่า...รัฐบาลและตำรวจทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผลใด ด้วยทัศนคติใด?

การประชุมรัฐสภา เป็นเรื่องปกติในสมัยประชุม อีกทั้งก็เป็นญัตติฝ่ายรัฐบาลเสนอ แต่มันเป็นการประชุมที่ซ่อนความไม่สุจริตในพฤติกรรมใช่ไหม รัฐบาล-รัฐสภา จึงระดมตำรวจมาปิดล้อมรัฐสภาล่วงหน้า ด้วยเกรงประชาชน "ผู้มีความสุจริตต่อชาติในหัวใจ" จะมาประท้วง

นั่น..จะเห็นว่า อะไรที่เป็นไปเพื่อ "พิทักษ์รัฐบาลระบอบทักษิณ" นายกฯ จะใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือไปกำจัด-กวาดล้างกับสิ่งที่หวาดระแวงก่อนทันที

แต่กับที "ศาลรัฐธรรมนูญ" อันเป็นสถาบันตุลาการ ที่ระบอบทักษิณไม่สามารถครอบงำได้ รัฐบาลนอกจากเฉยเมย ไม่สั่งตำรวจไปพิทักษ์ป้องกันขมีขมันอย่างที่ทำตอน เสธ.อ้าย และที่รัฐสภาแล้ว การเฉยเท่ากับยุยงส่งเสริมให้สมุนเสื้อแดง

ไปกระทำ-ย่ำยีศาล!

ประกาศจะจะ-ชัดเจน "รัฐบาล+รัฐสภาระบอบทักษิณ" ต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านทางการ "ล้มสถาบันตุลาการ" ด้วยไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ดังปรากฏตามพฤติกรรมใช่ไหม?

สั่งตำรวจ "กองกำลังรัฐบาลทักษิณ" ใส่เกียร์ว่าง

แล้วสั่ง "กองกำลังเสื้อแดง" ใส่เกียร์เดินหน้า....

จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย!?

๓๑๒ ส.ส.-ส.ว.มีสิทธิ์ในฐานะเป็นคนที่จะ "ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ" แต่ไม่มีสิทธิ์ในฐานะประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ

ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘, ๒๓๗ ไว้วินิจฉัย และให้ ๓๑๒ ส.ส.-ส.ว.ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน ๑๕ วัน

พวกคุณบอก...ไม่รับอำนาจศาล ไม่ชี้แจง ก็มีสิทธิ์ทำได้ แต่พวกคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือ-อยู่นอกบทบัญญัติกฎหมายใด ๆ เมื่อศาลท่านเดินตามขั้นตอนกฎหมาย สุดท้าย...ศาลวินิจฉัยอย่างใด ก็ต้องเป็นไปตามนั้น

และพวกท่าน ๓๑๒ ส.ส.-ส.ว.ต้องปฏิบัติตาม จะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ แต่กระบวนการตามกลไกรัฐ "จะจัดการพวกท่าน" ตามบรรทัดฐานความผิดและโทษ

จะไม่ยอมรับผิด-รับโทษก็ได้!

โน่นไง....หนีไปดูไบ-ไปเขมร แล้วจะแต่งทัพกลับมาตียึดประเทศไทย หรือจะไปยึดที่ไหนสถาปนาเป็นประเทศใหม่ของระบอบทักษิณ ก็สุดแท้แต่พวกคุณจะเพ้อเจ้อละเมอคลั่งกันไป

พวกคุณว่ารัฐธรรมนูญปี ๕๐ ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ให้เป็นประชาธิปไตย และก็สอนท่องกันคล่องปากว่า "ประชาธิปไตย...ประชาชนต้องเป็นใหญ่"

เอ้า..แล้วดูมาตรา ๖๘ ที่พวก ๓๑๒ ส.ส.-ส.ว.ขี้ข้าทักษิณแก้ซิ มีความว่า..บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

นั่นวรรคหนึ่ง ทีนี้วรรคสองก็มีว่า....ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการ......

และตรงนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเป็นความชัดเจนไว้แล้วว่า "ประชาชนสามารถเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงก็ได้"

สภาระบอบทักษิณจะแก้ตรงนี้ แก้ให้เฉพาะอัยการสูงสุดเท่านั้นมีสิทธิ์ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยตัดสิทธิ์ประชาชนทิ้งไป คือแก้ให้ประชาชนไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงเหมือนเดิม

ผมขอถาม...ไหนว่าจะแก้ให้เป็นประชาธิปไตย แก้ให้ประชาชนมีอำนาจ มีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมืองมากขึ้น แล้วไปตัดสิทธิ์ประชาชนทิ้งทำไม?

นี่มันเผด็จการชัดๆ มีคนไปร้องค้าน ศาลท่านจะวินิจฉัย ก็ถือดีในกองกำลังเผาบ้าน-เผาเมืองประกาศ "ไม่รับอำนาจศาล"

อย่าลืมนะ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๖ วรรคห้า ระบุชัด..."คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ" ถ้ากระด้างกระเดื่อง ไม่ปฏิบัติตาม จะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

มาตรา ๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญบอกว่า...การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

เนี่ย...พ่อแม่พี่น้องประชาชนทั้งปลาย...โปรดดู พรรคเพื่อไทยอ้างตลอดว่า ต้องแก้ให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ของเดิมนั้น ประชาชนใหญ่อยู่แล้ว แต่มันแก้โดย "ตัดประชาชน" ทิ้งไป ให้เป็น "พวกทักษิณ" ใหญ่ในแผ่นดินแทน

ทุกวันนี้ ประชาชนมีคดีความ จะไปแจ้งตำรวจ ทำเรื่องส่งให้อัยการฟ้องก็ได้ หรือประชาชนในฐานะเจ้าทุกข์ จะฟ้องศาลเองก็ได้ คดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่เราต้องการฟ้อง ก็สามารถนำคดีนั้นไปฟ้องเองต่อศาลก็ยังได้!

นี่คือสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนได้เต็มที่อยู่แล้ว เหมือนอย่างที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๘ ให้สิทธิ์ประชาชนยื่นฟ้องเองก็ได้ มันเป็นประชาธิปไตยที่สวยงาม กว้างขวางยิ่ง

แต่รัฐบาลเพื่อไทย โดยรัฐสภา "๓๑๒ ส.ส.-ส.ว." กลับแก้มาตรา ๖๘ ตัดสิทธิ์การยื่นฟ้องศาลได้เองของประชาชนทิ้งไป ท่านทั้งหลายโปรดตรอง...ใครกันแน่ที่เป็นเผด็จการ?

หลอกทักษิณกินน่ะ...ดีแล้ว แต่ถูกทักษิณหลอกให้แก้รัฐธรรมนูญ "เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ" น่ะ

ระวังเถอะ...จะเจออาญามาตรา ๑๑๖!


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๕ เม.ย. ๒๕๕๖








"อย่าถอยให้คนถ่อยทุบศาล"
อัญชะลี ไพรีรัก


"ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวดูเหมือนกลิ่นคาวเลือดจากสงครามประชาชนกำลังโชยคละคลุ้ง อีกไม่นานคงระเบิด"

คอการเมืองตะครั่นตะครอกันเหลือจะทนแล้ว เมื่อเห็น“วรชัย เหมะ” และพวกซึ่งกินเงินเดือนจากภาษีของเรา แต่ไปรับใช้ทักษิณไม่ลืมหูลืมตา กระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเขียนใหม่เอาใจคนชั่ว โดยไม่สนว่าจะผิดชอบชั่วดีประการใด

ภาพเก่ากลับมาหลอนคนไทยโดยเฉพาะคนกรุงอีกรอบเมื่อเห็นม็อบเสื้อแดงกักขฬะลุกฮือไปล้อมกรอบเตรียมบดขยี้“ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้แหลกเละคามือ เพียงเพื่อกรุยทางไปสู่การย่ำยีบีฑารัฐธรรมนูญปี ๕o ฉบับที่จับทักษิณลงหม้อปิดยันต์ถ่วงน้ำ จนกลายเป็นสัมภเวสีล่องลอยไปในต่างแดนอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้

“ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มเล่นเกมแรง และบุกเร็วขึ้นแล้ว มาวันนี้เขาลุยทุกด้านเพื่อให้ได้กลับบ้านมาครองเมืองไทยสมใจนึก บรรดาสารถีขี้ข้าม้าครอกของเขาทุกคน ทั้งที่เปิดเผยและฝังตัวเงียบเชียบตามที่ต่างๆ ในกลไกรัฐและสถานศึกษา ต่างถูกกดดันด้วยสไกป์สั่งการให้เปิดหน้ารบกับมันทุกผู้ทุกนามที่หาญกล้าเข้ามาขัดขวางการฉีกรัฐธรรมนูญ ๕o กฎหมายของประเทศที่ทักษิณหวาดกลัวและชิงชัง เหยียดหยาม และมุ่งทำลาย

“เราถอยไม่ได้” คือ วรรคทองที่เขาสไกป์สั่งการสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขยผู้จงรักภักดีนั่งหัวโต๊ะควบคุมการประชุมไม่ให้สมาชิกคนไหนออกนอกลู่นอกทาง ขณะที่มีข่าวว่า “เยาวภา”จะก้าวมาเป็น “ประธานรัฐสภาฯ” !!!

รางวัลชีวิตที่ทักษิณตบให้กับทาสา-ทาสีที่ทำงานรับใช้อย่างถวายชีวิต มีทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ และทรัพย์ศฤงคารที่มากมายชนิดที่เกิดใหม่สามชาติก็ยังหาไม่ได้ ทำให้แกนนำเสื้อแดงรุ่นแรกเลี่ยมทอง ส่งผลให้เกิดตัวตายตัวแทนรุ่นต่อๆมา พวกนี้ “รัก” ทักษิณลิ้นแผล่บๆ ส่วนชาติบ้านเมืองมีไว้ “ลัก” ไปถวายโจรปล้นชาติ

ขณะที่คนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังขมีขมันปกบ้านป้องเมืองในศึกชิงเขาพระวิหารที่ศาลโลก กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ กับประเทศกัมพูชา แต่ทักษิณ ชินวัตร กลับอาศัยช่วงเวลาชุลมุนดอดเข้ามาสไกป์สั่งการป่วนสภาฯ–ปิดศาล–ข่มขู่คุกคามตุลาการ กับข้อเสนอบ้า ๆ บอ ๆ ของ อุกฤษ มงคลนาวิน นักกฎหมายไม้ใกล้ฝั่ง ที่หวังให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหวาดกลัวจนยอมสยบแทบเท้า และรามือ ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร เปิดทางให้ทักษิณ คะนองเดช บดขยี้บี้รัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ

ทักษิณใช้เกมเก่าที่เคยเผาเมืองขู่ประเทศไทย และเชื่อว่าเกมเร็ว แรง บุกทุกด้าน ทำทุกทาง ด้วยขี้ข้าทุกคน จะช่วยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จเร็วขึ้น ร่นระยะทางการกลับบ้านสั้นขึ้น แต่จะกลับบ้านไหน หรือไปกลับบ้านเก่า คำตอบนี้อยู่ในมือประชาชน

ด้านหนึ่งของรัฐสภาที่ทักษิณกุมเสียงส่วนใหญ่ไว้ทั้ง สส. และสว. อีกด้านหนึ่งคือกองทัพปีศาจเสื้อแดงของเขาซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเงินภาษีของเราที่ถูกปล้นไป เสื้อแดงคือมือ-เท้าของทักษิณ ถูกใช้ให้ทำหน้าที่ระราน ราวี ชี้หน้าด่า เปลี่ยนหน้าคนด้วยคำต่ำช้า กับวิธีดิบ เถื่อน ถ่อย สถุล

อีกด้านหนึ่งสื่อมวลชน นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวมวลชนในอุ้งเท้าของทักษิณก็เร่งฟืนโหมไฟแปลงสารเคลือบ
ยาพิษปิดข่าวเสีย สร้างข่าวดีให้พี่น้องชินวัตรได้ซ่อนตัวในเงามืด

ในอดีตนวนิยายเล่มละ ๑o สตางค์ ว่าเน่าแล้ว แต่นิยายชีวิตลวงโลกของทักษิณที่สื่อเสื้อแดงสรรค์สร้างกลับเน่ากว่ามหาศาล

เสื้อคลุมของวันนี้...ทักษิณ คือ อดีตนายกฯคนดีถูกรังแกด้วยการรัฐประหาร แล้วเขียนรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาขัดขวาง สถาบันสูงสุดอิจฉา บ้านสี่เสาเดินงาน ประชาธิปัตย์เป็นลูกมือ มวลชนเป็นมือไม้ ขณะที่ยิ่งลักษณ์คือ นายกรัฐมนตรีหญิงผู้เพียบพร้อม ทำงานหนักเพื่อคนยากไร้

หลายปีมานี้พรรคพวกของทักษิณพยายามสร้างวาทกรรม และภาพลักษณ์ให้ทักษิณเป็นเทพบุตรผู้บูชาประชาธิปไตยยิ่งชีพ สื่อกระแสหลักบางแห่งกลัวไม่กล้ารายงานความจริง แต่สื่อกระแสหลักบางแห่งละทิ้งอุดมการณ์เข้าฝักใฝ่ทักษิณ จนด้านพอที่จะเขียนเชียร์ เขียนอวยจนทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา คือ เทพบุตร เทพธิดา นางฟ้าอารี ผู้มาโปรดสัตว์

พวกเชียร์ก็เชียร์ไป พวกต้านก็ทานกันไป พวกแรกรวยซ้ำรวยซ้อนจากการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนพวกหลังถ้าไม่พัง ไม่เสียอาชีพ ก็มีคดีเต็มไม้เต็มมือ เหมือนล่ามโซ่ตรวนจะไปไหนมาไหนทำการสิ่งใดก็ไม่สะดวก ส่งผลให้ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และเยาวภากับพวกเดรัจฉานการเมืองเสื้อแดงลอยฟ่อง

ความชั่วช้าสารเลวของคนพวกนี้มากมายแค่ไหนคงไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว เชื่อว่าหลายคนรู้ลึกซึ้งถึงก้นบึ้ง จนแทบอยากจะถีบโทรทัศน์ทุกครั้งที่พวกนี้เสนอหน้าออกมา

พวกเรากำลังอยู่ในยุคที่ คนกินคน คนไทยกำลังไล่ล่าฆ่าไทยด้วยกัน โดยมีทักษิณเป็นตัวยุยงส่งเสริม และ สื่อมวลชนบางกลุ่มบางพวกไร้สิ้นสามัญสำนึกใช้พลังเป็นตัวเร่ง บ้านเมืองของเราที่มองเห็นในวันข้างหน้าช่างมืดมนอนธการ เต็มไปด้วยคนแดงบ้าคลั่ง “ไม่มีขื่อแป” ใครไม่ใช่พวกทักษิณจะถูกหมิ่น รังแก ทำร้าย ในที่สุดก็ต้องก้มหน้ามองดิน สังคมอุดมแดงจะแผ่ขยาย ใครไม่แดงอาจอยู่ไม่ได้ แล้วลูกเต้าของเราจะอยู่ในสังคมคนถ่อยจัญไรแบบนี้อย่างไร…คิดสิคิด!!!

ขณะที่คนเสื้อแดงราวีคนไปทั่วไม่เลือกหน้าถืออำนาจตนเองเป็นใหญ่ได้ตำรวจชุดกากีใจแดงให้ท้าย แต่สิ่งเดียวที่ยิ่งลักษณ์ทำอยู่เวลานี้คือ แต่งตัว เฉิดโฉม ยิ้มหวานสู้กล้อง ออกงาน ตัดริบบิ้น และพูดด้วยสคริปต์ที่ “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเตรียมไว้ให้

ใครๆ ทั้งโลกใบนี้ก็ขนานนามเธอว่า หุ่นยนต์ของพี่ชาย แต่เธอไม่สนยังเดินหน้าทำหน้าที่น้องสาวที่ดีของพี่ชาย และ ตระกูลชินวัตรต่อไปอย่างไม่ยี่หระ เพราะเธอคือนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจสูงสุด มี สส.ถ่อยคอยปกป้อง มีคณะรัฐมนตรีคอยป้อยอ มีสื่อมวลชนที่พี่ชายซื้อไว้ให้คอยรับใช้รองมือรองตีน เขียนชมเขียนเชียร์แม้ตดยังว่าหอม คนพวกนี้ทนุถนอมยิ่งลักษณ์ปานจะแหกตูดดม ไม่ใช่เพราะ “รัก” แต่เพราะ “โลภ”

ถ้าบ้านเมืองพินาศสันตะโรหรือมีอันต้องแปรเปลี่ยนเป็นไป ใครอยู่รอดขอให้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าบ้านนี้เมืองนี้ชิบหายเพราะ “ไทยเฉย” กับ “สื่อหิว”!!!

ทักษิณกับโครงการประชานิยมของเขา ทำให้ประเทศเป็นหนี้สิน-สังคมแตกแยกเสื่อมทราม-เสื้อแดงกร่างคุกคามดุจทรชนคนชั่ว-สิ่งแวดล้อมทรุดโทรม แถมถูกมือดีจ้องขโมย-การเมืองเน่าเหม็นสีดำ-ศาสนาผิดเพี้ยน และไฟใต้ลุกลาม…ทั้งหมดนี้สื่อแบ่งสีบางส่วนไม่ใส่ใจจะโวยวายตีแผ่…แค่นี้คงพอมองออกว่าใครเป็นใคร “ใครเป็นหมาเฝ้าบ้าน” และ “ใครเป็นหมารับใช้”

บ้านนี้เมืองนี้มีนายกรัฐมนตรีก็เหมือนไม่มี มีนักการเมืองก็ไว้ใจอะไรไม่ได้ มีข้าราชการประจำก็หิวซ่กยิ่งกว่าอะไร คนพวกนี้มีค่าให้ “ขุน” และ “ฆ่า” พอ ๆ กัน หนำซ้ำครูบาอาจารย์ส่วนมากก็เป็นไปกับเขาด้วย พอ ๆ กับพระสงฆ์ส่วนใหญ่ยุคนี้ที่ “บ้ายศ”-“บ้าหญิง” คนพวกนี้ยิงทิ้งยังเสียดายกระสุนเลย

เรื่องราวความระยำตำบอน ความบัดสีบัดเถลิงของคนตระกูลชินวัตร ที่ทำไว้กับประเทศไทยถูกเขียน ถูกพูดมาเกือบสิบปีเข้านี่แล้ว ใครค้านก็ทำอะไรพี่น้องชินวัตรไม่ได้เลย ตราบใดที่เขายังมีสื่อหลัก “คอยชม” และ “คอยเชียร์” พวกเราจะไม่สนใจผิดถูกชั่วดีกันแล้วหรือ?

คำว่า “เซตซีโร่” Set Zero เคยหลุดมาจากปากของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” และต่อมาก็ได้ยินจากการสไกป์บ้าคลั่งของ “ทักษิณ ชินวัตร”…หมายความว่าอะไร?

แปลว่า กลับไปเริ่มต้นใหม่

เริ่มที่ทักษิณหลุดหมดทุกคดีเป็นอิสระจากพันธนาการ และการจองจำ ได้กลับประเทศไทยท่ามกลางการต้อนรับยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากนั้นก็หวนคืนสู่ถนนการเมือง กลับเป็นนายกรัฐมนตรี และเริ่มต้นวงจรแห่งการโกงกินที่ชั่วร้ายสามานย์อีกหน ซึ่งหนนี้เขาจะกินอย่างแนบเนียน โดยมีสื่อมวลชนในสังกัดคอยโหมประคองแตรสังข์ถึงความดี ความเก่ง ยิ่งใหญ่ไพศาลของเขา…จากนั้นทักษิณจะครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไปอีกนานแสนนาน นานแสนนาน นานจนกว่าจะตายจากกัน…นี่ใช่ไหมคือ เซตซีโร่

เมื่อทักษิณบุกทุกด้านได้หมาย Set Zero ฝ่ายต่อต้านทักษิณก็ตั้งรับขันแข็ง และเตรียมบุกกลับไม่แพ้กัน

ประชาธิปัตย์ไม่สนคำขู่ยังเดินหน้าตั้งเวทีผ่าความจริงต่อไป ฝ่ายภาคประชาชนไม่เคยหลับไหลรอจังหวะเสียงนกหวีด ล่าสุด “สหายช่วง” หมดเวลาซุ่มเงียบ นำ “กลุ่มสันนิบาตประชาชน” เดินเท้ายกทัพจากชายป่ามารอประจัญบาน “สหายใหญ่” ใต้ปีกทักษิณ ส่วนทหาร-ตำรวจไทยเป็น “หวานใจ” ของทักษิณไปกว่าครึ่งกองทัพ คำว่า “แม่” ที่ใช้ยอยศ “แม่ทัพ” คงต้องเรียกคืน

ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัว ดูเหมือนกลิ่นคาวเลือดจากสงครามประชาชนกำลังโชยคละคลุ้ง อีกไม่นานคงระเบิด

ทั้งหมดนี้อย่าได้โทษใครแม้แต่คนที่นรกยังขยาดอย่างทักษิณก็โทษไม่ได้ แต่ต้องโทษพวกเราด้วยกันที่บางกลุ่มปล่อยปละละเลยเป็น “ไทยเฉย” บางกลุ่มฝักใฝ่ทักษิณเพียงเพื่อ“ล้มเจ้า”–“เอาประโยชน์” พวกหลังนี้ไร้อุดมการณ์จนขาดความเป็นคนแต่มือเหล่านี้ช่วยกันหยิบยื่นชัยชนะเปื้อนเลือดให้ทักษิณได้ “คืนเมือง”-“มากินเมือง”

เซตซีโร่ Set Zero กำลังเริ่มต้น ก็พอมองออกว่าต้องอลหม่านทีเดียว ยิ่งช่วงนี้มีบางคนพยายามจะสร้างประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลาโมเดล ให้เกิดขึ้นอีกครั้งด้วยแล้ว หายนะประเทศไทยอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ทางเลือกทางรอดไม่เคยตีบตัน หากอยู่ในกำมือคนไทยทุกคนนี่เอง เสียแต่ว่าเราจะเลือกหนทางไหน และ เลือกจะทำเมื่อไร ลำพังเรา ๆ ท่าน ๆ กันเองคงไม่ไหว งานนี้เห็นจะพึ่งได้คงไม่พ้น “พี่อ้าย”

ส่วนภาคประชาชน…คิดอ่านทำอะไรก็เร่งมือกันเถิด ก่อนที่คนชั่วจะชิงเมืองไปเชยชมให้ช้ำใจ


จากคอลัมน์ "เล่าหลังไมค์"
นสพ.แนวหน้า ๒๖ เม.ย. ๒๕๕๖








"ได้เวลา...ล้างแผ่นดิน!!!"
ท่านขุนน้อย ณ ลีลาแห่งบุปผากระบี่


อืออ์อ์มม์ม์ม์ม์....มันออกจะคล้าย ๆ กับนักมวย ที่แทนที่หันจะไปต่อยกับนักมวยด้วยกัน ดันลุกขึ้นมาวิ่งไล่จ้วง ไล่อัดกรรมการ อย่างที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่าน ท่านได้ปรารภรำพึงเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ สำหรับความพยายามรวมพลังบดบี้ อำนาจศาล อำนาจตุลาการ ของบรรดาพลพรรคเสื้อแดง และพรรคเผาไทย ในช่วงระยะนี้....

และแต่ละตัว แต่ละราย ที่ได้รับมอบหมายให้กรูออกมาไล่ฟัด ไล่อัด ศาลรัฐธรรมนูญ และอำนาจตุลาการ ทั้งระบบอยู่ในขณะนี้ มันอาจหนักซะยิ่งกว่านักมวยธรรมดา ๆ ด้วยซ้ำ คือออกอาการคล้าย ๆ ประเภท ไอ้หลุยส์ ซัวเรส แห่ง หงส์แดงลิเวอร์พูล อะไรประมาณนั้น คือถึงจะเป็นแค่นักฟุตบอล ไม่ใช่นักมวย แต่เผลอเมื่อไหร่...มีสิทธิต้องเจอกับรายการ โดดงับ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เรียกว่า...แค่ใช้เท้าเหยียบกระทืบแข้ง วางแข้งคู่ต่อสู้ ใช้มือตบลูกฟุตบอล แถมพุ่งล้มเอาจุดโทษ คราวแล้ว คราวเล่า ก็ยังไม่พอ ใครไปข้องแวะ ประกบตัว มาร์กตัว อยู่ใกล้ ๆ มีสิทธิเจอกับการกระโดดกัด ในแบบแค้นจัด กัดดะ ฝังเขี้ยวจมน่อง ได้โดยทันที...

ความพยายามผนึกกำลังรวมหัว รวมตัว เพื่อเล่นงานศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเพื่อรุกคืบหาทางเปลี่ยนแปลง และควบคุมอำนาจศาล อำนาจตุลาการทั้งระบบ ในคราวนี้ คงต้องยอมรับว่า...มันมากันเป็นแผง ๆ!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะพลทหารหน้าค่าย ที่ถูกถอดตะกร้อครอบปาก ให้ออกมาเย้วๆ อยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ และกำลังงัดเอา กฎหมายป่า หรือ กฎหมู่ มาข่มขู่ คุกคาม ว่าจะหาทางปิดศาล ล้อมศาล ในวันนี้ วันพรุ่งนี้ ให้จงได้ แต่มันมีทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ระดับประธาน รองประธาน ไปจนตลอดถึง ส.ส. ส.ว. โดยเฉพาะไอ้รายที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แล้วยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ตัวเองจะลุกขึ้นไปนั่งเป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่พิจารณารัฐธรรมนูญที่ตัวเองยื่นแก้ไข แบบชนิดที่ทำให้ความหมายของคำว่า การยึดโยงกับประชาชน กลายเป็นความหมายเดียวกัน กับคำว่า การหน้าด้าน ไปโดยปริยายนั่นแหละ...

ไม่เพียงเท่านั้น...ยังมีอดีตนักกฎหมาย ผู้เคยพลีกายรับใช้เผด็จการมาโดยตลอด ก่อนจะตีลังกากลับหลังหันประมาณ ๓๖o องศา หันมาพลีกายรับใช้ประชาธิปไตยแบบทาส ๆ อีตอนที่ก้าวเท้าซ้ายเข้าโลงไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง หรือตอนที่แก่แล้ว แก่แรด ใกล้จะต้องลงไปปีนต้นงิ้วในไม้ป่าเดียวกัน ในวันนี้ วันพรุ่งนี้ ก็ยังมิอาจรู้ได้ หรือที่ถูกแต่งตั้งให้มีฐานะ ตำแหน่ง ในบั้นปลายของชีวิต ให้เป็นประธานคณะกรรมการ คอ.ออ.กอ.ทอ.ดอ. หรือ ค.อ.กระถอกอะไรซะอย่าง ก็จำไม่ได้ถนัดแล้วนั่นแหละ ออกมามีส่วนร่วมในการเร่งเร้า ยุยง ส่งเสริม ให้พวกพลทหารหน้าค่าย เร่งใช้กฎหมายป่าเล่นงานศาล เพื่อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจตุลาการทั้งระบบ ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ หรือพรรคพวกของตัวเองต้องการ โดยไม่ได้คำนึงถึงบาป บุญ คุณ โทษ ไม่ได้คำนึงถึงเจ้ากรรม นายเวร ไม่ได้คำนึงถึงผู้ที่เคยให้น้ำ ให้ข้าว ให้ลาภ ยศ สรรเสริญ ตัวเองมาก่อนในอดีต เอาเลยแม้แต่น้อย...

พูดง่ายๆ ว่า...เท่าที่เปิดหน้ากาก เปิดเสื้อ เปิดผ้า ให้เห็นกันแบบล่อนๆ จ้อนๆ ว่า มุ่งที่จะเล่นงานศาล เล่นงานอำนาจตุลาการ ทั้งระบบอย่างจริง ๆ จัง ๆ อยู่ในขณะนี้ ก็คือการผนึกกำลังกันระหว่าง อำนาจนิติบัญญัติ กับอำนาจมวลชน โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า เสียงข้างมาก เป็นหลักยึดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความถูกต้อง ชอบธรรม ไม่ว่าในทางกฎหมาย กฎระเบียบประเพณี หรือแม้กระทั่งกฎเกณฑ์การปกครอง ตามระบอบครรลองประชาธิปไตยในทางสากล มาใช้เป็นมาตรฐานในการใคร่ครวญ พิจารณา ใดๆ เอาเลยแม้แต่นิด เรียกว่า...อะไรก็ตามที่ตัวเองต้องการ สิ่งนั้นย่อมต้องถือเป็นความถูกต้องไปซะทั้งหมด ทั้งนั้น ทั้งนี้ ก็โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า เสียงข้างมาก นั่นแหละเป็นมาตรฐาน ในการกำหนดทุกสิ่ง ทุกอย่าง...

ถ้าหากคดีไหนที่ศาลตัดสินให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้...อันนั้น ถือว่าถูกต้อง แต่ถ้าคดีไหนศาลตัดสินให้ตัวเองเป็นเสีย อันนั้น...ต้องกลายเป็นความผิดพลาด หรือเป็น การไม่ยึดโยงกับประชาชน ซะทุกทีไป การเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ จากประชาชนโดยตรง ว่าไปแล้ว...จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก การเลือกประธาน ส.ว.ให้มาทำหน้าที่ หน้าด้าน อย่างเป็นระบบนั่นเอง หรือเท่ากับเป็นการทำลาย ระบบการถ่วงดุล หรือ ระบบคานอำนาจ ของอำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ ตามหลักการอันถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ของระบอบประชาธิปไตย ตามหลักมาตรฐานสากล ให้พังพินาศลงไป เพื่อให้อำนาจทุกสิ่ง ทุกอย่าง กลายเป็นอำนาจของพวกกู ตัวกู ผู้มักจะอวดอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก หรือเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนนั่นเอง...

ในเมื่ออำนาจนิติบัญญัติโดยเสียงข้างมาก และอำนาจมวลชน ที่อ้างว่าตัวเองเป็นประชาชนเสียงข้างมาก ได้ผนึกกำลังกันไสช้าง คิดจะกระทืบศาล เหยียบย่ำอำนาจตุลาการ ชนิดกะจะให้แหลกคาตีนให้จงได้ ก็คงเหลือแต่อำนาจบริหาร หรือรัฐบาลนั่นแหละ ว่าจะยังคงใช้วิธี แอบจิต เปิดไฟเขียวให้ ไอ้หลุยส์ ซัวเรส ทั้งหลาย กดดัน ข่มขู่ คุกคาม ตุลาการแต่ละรายแบบคราวแล้ว คราวเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เปิดโอกาสให้ ส.ส.และ ส.ว.ฝ่ายรัฐบาล โดดกัดแขน กัดขา กรรมการและตัวประกบ ในคดีแต่ละคดี ที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสีย ไม่ใช่ฝ่ายได้ หรือจะโดดลงมาร่วมเดินหน้าชน กับอำนาจตุลาการให้จะจะ จัง ๆ รู้แล้ว รู้แรด กันไปข้าง ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างหลังนี้...ก็ง่ายหน่อย!!! คือเวลาไปจะได้ ไปกันทั้งยวง เรียกว่า ล้างแผ่นดิน กันไปเลย เพราะบ้านนี้ เมืองนี้ มันคงถึงเวลาแล้วนั่นแหละ ที่จะต้องวัดตัดสินกันว่า ระหว่าง ความถูกต้อง กับ ความถูกใจ นั้น คงต้องเลือกเอาอย่างใด อย่างหนึ่ง ให้ชัดๆ จะจะ กันไปซะที...

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Cotton...Law and Equity, which god hath joined, let no man put asunder. - กฎหมายกับความยุติธรรม ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประสานกันไว้ จงอย่าให้ใครมาแยกออกจากกันได้เลย...


จากนสพ.ไทยโพสต์ ๒๕ เม.ย. ๒๕๕๖








ยุทธการ 'คู่ขนาน' เพื่อไทย-เสื้อแดงข่มขวัญ กดดัน ทำลาย 'ศาลรัฐธรรมนูญ'
บทบ.ก.นสพ.แนวหน้า


ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สอดรับกันอย่างเหมาะเจาะ เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศกร้าวออกเป็นมติ ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ อ้างเหตุเข้ามาแทรกแซงก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติมากเกินไป คล้อยหลังไม่นานแนวร่วมเสื้อแดงออกมาปักหลักชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญข้ามวันข้ามคืน โจมตีองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเผ็ดร้อนทันทีเช่นกัน

จะว่าไปแล้วศาลรัฐธรรมนูญกับพรรคเพื่อไทยถือเป็นไม้เบื่อไม้เมา ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบมานานแสนนาน ทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ล้วนมีอดีตไม่น่าจดจำเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ

ทักษิณเกือบไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี ๒๕๔๔ จากคดีซุกหุ้น ก็เพราะศาลรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายไม่ถึงฆาต รอดมาได้อย่างหวุดหวิด มาถึงยุคไทยรักไทยเรืองอำนาจ ใหญ่คับประเทศ สุดท้ายถูกตัดสินยุบพรรค พร้อมทั้งตัดสิทธิ์นักการเมือง ๕ ปี ก็ด้วยเงื้อมมือศาลรัฐธรรมนูญ

พรรคพลังประชาชนบริหารงานได้ไม่เท่าไหร่ สมัคร สุนทรเวช ถูกตัดสินพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคอีก ๓๗ คน ก็น้ำมือศาลรัฐธรรมนูญเจ้าเดิม

มาถึงพรรคเพื่อไทย แม้จะยังไม่ถึงขั้นถูกยุบพรรค แต่เรื่องที่ทำให้ใครหลายคนแค้นเคืองจากประเด็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ที่ไม่สามาถเดินไปสุดทาง ไม่สามารถโหวตวาระ ๓ ได้ ก็เพราะศาลรัฐธรรมนูญออกมาแตะเบรก

ไหนจะกรณีล่าสุด การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ บรรดา ๑๙o พลพรรคเพื่อไทยก็หนาวๆ ร้อนๆ กลัวจะซ้ำรอยเดิม ที่ศาลจะออกมาขัดขวางอีกคำรบ เพราะหนึ่งในเรื่องที่แก้ไขอย่างมาตรา ๖๘ หากบรรลุไปสุดทาง ก็ถูกมองว่าจะกระทบกับอำนาจศาลโดยตรง ก็ทำให้เพื่อไทยไม่กล้าขยับ ออกตัวแรง ก็เพราะกลัวอาญาศาลรัฐธรรมนูญเหมือนอดีตนั่นเอง

จึงไม่ต้องแปลกใจที่ก่อนหน้านี้แกนนำเพื่อไทยวอร์รูมยุทธศาสตร์การเมืองของพรรค ที่มีส่วนตัดสินใจทิศทางของพรรคหลายเรื่อง โดยเฉพาะ นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายนายใหญ่-ทักษิณ และหนึ่งในทีมยุทธศาสตร์ ออกโรงมาขู่พร้อมส่งสัญญาณเตือนกลาย ๆ 'ถอยไม่ได้อีกแล้ว' ส.ส.เพื่อไทยทั้งปีกเสื้อแดงและไม่เสื้อแดง เช่น สามารถ แก้วมีชัยส.ส.เชียงราย เพื่อไทย อดีต ส.ส.ร.ยุค ๒๕๔o ก็ดาหน้ามาแบบไม่กลัว 'อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด"ไม่เว้นแม้แต่หัวขบวนเสื้อแดง 'ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' ก็ออกโรงขย่มศาลเต็มที่ สนับสนุนการกระทำของพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มที่ และก็ไม่ได้แตะเบรกแนวร่วมเสื้อแดงหน้าศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนท่าทีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยทิศทางแล้วไม่สามารถออกโรงสนับสนุนได้เต็มที่ เพราะอาจเปิดช่องให้ฝ่ายค้านนำไปโจมตี ท่าทีที่ส่งออกมาจึงเหมือนกับขยิบตาให้ ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม และเมื่อรัฐบาลไม่แตะเบรก เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นขุนพลอยพยัก ไม่เข้มงวดต่อการชุมนุมครั้งนี้เป็นพิเศษ

ยิ่งทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุม ๒oo-๓oo คน ยิ่งได้ใจ ฮึกเหิมในพลังของตัวเองยิ่งนัก แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนจะออกมาเตือน พร้อมทั้งสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง สังเกตพฤติการณ์ คำปราศรัย หากล้ำเส้น เกินช่องทางกฎหมายกำหนด จะถูกฟันทันที แต่คนเหล่านี้หาได้แยแสไม่

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอารมณ์ค้างมาจากคดี ก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในแนวร่วม นปช. เหตุที่ต้องเข้าซังเตอีกรอบ ก็เป็นผลมาจากการแถลงข่าวเชิงจะใช้วิธีการนอกกฎหมายจัดการกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง

จากหลายเหตุหลายปัจจัย เลยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ คือองค์กร "ปฏิปักษ์" เบอร์ ๑ ของ ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดงเป็นการสั่งสมความแค้นร่วมกัน และสถาบันยุติธรรม โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ยังเป็นก้างขวางคอ ไม่ให้แนวร่วม ๓ ขา ทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง เถลิงอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ครั้นจะจัดการตามช่องทางกฎหมาย หรือจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างให้สิ้นซาก หนทางยังอีกยาวไกล ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ส่งให้แนวร่วมเสื้อแดงออกโรงมาข่มขวัญ ข่มขู่ กดดัน อันเป็นบันไดขั้นแรกเอาไว้ก่อน ในการทำลายขวัญกำลังใจเชิงจิตวิทยาต่อคนในองค์กร พร้อมกับปราศรัยเป่าหู ฝังชิพข้อมูลความเกลียดชังต่อแนวร่วมไปพลาง ๆ

ซึ่งเป็นยุทธวิธีคู่ขนานที่ทำไปพร้อมกัน ในเมื่อฝ่ายรัฐ กลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่สามารถออกหน้าได้อย่างเต็มที่ จึงต้องใช้แนวร่วมทางมวลชนนำร่องออกมาก่อน

การปักหลักของแนวร่วมเสื้อแดงถูกมองว่าเป็นการข่มขวัญ ข่มขู่ เพราะเมื่อไปถอดรหัสคำปราศรัยบนเวทีส่วนใหญ่เต็มไปการข่มขู่ ข่มขวัญทั้งสิ้น ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยร่วมกับ ส.ว. ๓๑๒ คน ก็กำลังจะมีกิจกรรมร่วมกัน ทำจดหมายเปิดผนึกแสดงท่าทีต่อศาลในวันที่ ๑ พ.ค. ก็ถูกมองว่าเป็นปฏิบัติการตามกลไกสภาฯ ใช้ช่องทางกฎหมายเข้าไปจับ และยังเป็นการส่งสัญญาณกดดันกลาย ๆ ได้อีกด้วย

ส่วนปฏิบัติการขั้นสุดท้ายคือ ทำลายให้สิ้นซาก นั่นก็ต้องผ่านช่องทางกฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ ลบชื่อศาลรัฐธรรมนูญออกจากสารบบการเมือง หรือไม่ยังคงมีไว้ เพียงแต่ถูกแปรรูปให้รัฐเข้าไปแทรกโดยง่าย ไม่ใช่เหมือนเฉกเช่นทุกวันนี้ที่ยังไม่สามารถเข้าไปคุมกลไกได้เบ็ดเสร็จ

แผนข่มขวัญ กดดัน ทำลาย จะสัมฤทธิผลตามเป้าประสงค์ หรือแผนที่ว่าจะพังทลายไปก่อน เพราะปัจจัยแทรกบางอย่าง ขอให้อดใจรออีกนิด ก็จะได้รู้กันว่า 'ใครแน่กว่ากัน' !!!.


จากรายงานพิเศษ นสพ.ไทยโพสต์ ๒๗ เม.ย. ๒๕๕๖








"ศาล รธน. ไม่ใช่ศาลเพียงตา"
ธรรมเกียรติ กันอริ


ระหว่างการเบิกความชี้แจงคดีที่เขมรฟ้องเรื่องเขาพระวิหารต่อศาลโลก ดูว่าคนไทยจะเป็นสุขเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พอใจและชื่นชมต่อทนายฝ่ายไทยที่ชี้แจง ทั้งรักษามารยาท ไม่ก้าวล่วงต่อตุลาการศาลโลก

ผ่านเหตุการณ์ระหว่างประเทศก็มาถึงเรื่องราวในประเทศ พฤติการณ์ที่นักการเมืองซึ่งอ้างกับคนว่าเป็นเสียงข้างมากฝ่ายหนึ่ง กระทำต่อศาลรัฐธรรมนูญ กลับเป็นเรื่องน่าอนาถใจต่อความเป็นอารยะ และสิ่งที่เรียกว่าการเคารพต่อหลักนิติธรรม ซึ่งแท้ที่จริงมันมิใช่เพียงหลักการอันเป็นนามธรรม หากยังสะท้อนถึงองค์กรสถาบันด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญมิใช่ศาลสถิตยุติธรรม และมิใช่ศาลปกครอง มิใช่ศาลแรงงาน แต่ก็มีความสำคัญในทางการเมือง เพื่อที่จะวินิจฉัยปัญหาหรือข้อกฎหมายที่เป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองโดยเฉพาะ

ขณะนี้ ศาลรัฐธรรมนูญดูจะถูกมรสุมทางการเมืองจากภัยพาลกระหน่ำ ทั้งจากโจรหัวโจกที่อยู่นอกประเทศ และทั้งสมุนบริวารในประเทศ

ปัญหาที่แท้จริงคือ การอ้างที่มาของศาลรัฐธรรมนูญว่ามาจากรัฐธรรมนูญอันเกิดจากการก่อรัฐประหาร หรือกล่าวให้จริงยิ่งขึ้นไปอีกคือ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นก้างขวางคอ เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีบุคคลคนหนึ่งต้องการแก้ไข เพื่อคนพ้นผิดทางอาญาและสามารถเรียกรับทรัพย์สินที่ถูกยึดกลับคืน ต้องการได้อำนาจด้วย สามารถลอยชายสู่ประเทศไทยอย่างเท่ ๆ ที่วาดหวังว่าอย่างนั้นเถอะ

การใช้เงินมหาศาลดลบันดาลให้ญาติของตน บริวารของตนได้อำนาจวาสนาก็ทำแล้ว มีผู้บริหารประเทศหุ่นก็ทำแล้ว การทำโครงการมหึมาทั้งหลายอันเป็นช่องทางแสวงประโยชน์ก็กำลังเตรียมการอยู่

แต่มาติดกันที่ยังแก้กฎหมายเพื่อความสะดวก เพื่อความลื่นไหลยังไม่ได้มีองค์กรกลางที่สามารถเข้ามาตรวจสอบ มีประชาชนที่สามารถยื่นคำร้องเพื่อให้ตรวจสอบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา บรรดานักการเมืองเสียงข้างมากที่อ้างเพียงความข้างมากคือคุณสมบัติความเป็นประชาธิปไตย ต้องมาสะดุดจากการที่ศาลรัฐ ธรรมนูญรับคำร้องตีความว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ กระ ทำโดยชอบหรือไม่ เพราะผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ขัดเจตนารมณ์ เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนและมีวาระ "ซ่อนเร้น"

ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นบัวในกองเพลิงโดยพลัน ทั้งจากมือตีนในรัฐสภา ในรัฐบาล จากนอกสภาฯ ออกมาถล่มศาลรัฐธรรมนูญ

เป็นตายอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งคาดว่าจะกลับประเทศอย่างเท่ๆ ดูจะถูกเบรกหัวคะมำ จึงต้องระดมสรรพกำลังออกขวางศาลรัฐธรรมนูญ ถั่งโถมโหมแรงไฟ สมุนปลายแถวบ้างเรียกร้องให้สำนักงบประมาณไม่จ่ายเงินเดือนแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากบริวารส่วนหนึ่งยังไปคุกคามกดดันถึงที่ทำการศาล

สมุนบริวารที่แสดงความถ่อยเถื่อนนี้ บางคนยังถูกฟ้องคดีอาญา บางคนอาจจะอยู่ระหว่างขอประนีประนอมต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่าน เวลาพูดจาปลุกเร้าอาจจะมันและเป็นที่ชื่นชมของนายใหญ่ แต่ติดคุกนั้นต้องติดคุกตามลำพัง ดีเจหญิงจากอุดรธานีก็อยู่ระหว่างของประนอมความ แต่ท่านวสันต์จะให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะขณะก่อเหตุดูจะขาดสติว่าคนอื่นต้องเสียหายเพราะตนอย่างไร

ปลายทางของการปลุกระดมเคลื่อนไหวครั้งนี้คือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งผู้ผลักดันไม่กล้ารับเงื่อนไขว่าจะไม่ให้มีผลนิรโทษกรรมต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ขณะเดียวกัน การแก้รัฐธรรมนูญที่มีผลต่อการขจัดองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการบริหารเพื่อประโยชน์ของตนและบริวาร ต่อการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่แยแสกับความรู้สึกของประชาชนนั้นจะปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน อย่างน้อยในฐานะที่ตนเป็นรัฐบาลก็จะต้องมีหน้าที่รักษาความสงบสุข ต้องให้ความคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของกลไกและสถาบันต่าง ๆ

ถ้ามีกุ๊ยบุกศาลยุติธรรม ใช้ความรุนแรงกดดันตุลาการศาล มีคำถามว่าตำรวจภายใต้กำกับดูแลของรัฐบาล จะเพิกเฉยปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ

หรือรัฐบาลวางเฉย ปากว่าตาขยิบ ไหน ๆ ก็เป็นรัฐตำรวจอยู่แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องประชาชนที่ทนอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาจัดการกันเอง เพราะประชาชนต้องการหลักนิติธรรม และมีองค์กรสถาบันที่ทำหน้าที่อันน่าเชื่อถือ และประชาชนมิได้สละรายได้เป็นภาษีอากรสำหรับให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อคราวจำเป็นประชาชนต้องลุกขึ้นมาปกป้องการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นขื่อเป็นแปของบ้านเมืองด้วย

ขณะนี้ผู้คนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่สามารถทนต่อสภาพศาลรัฐธรรมนูญที่โดนข่มเหงรังแกได้ จึงต้องการให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญ โดยชักชวนให้พร้อมใจกันไปพบกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้น ๒ อาคารเอ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ โดยพร้อมเพรียงกันในวันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๖

อนึ่ง เมื่อไม่กี่วันมานี้ สันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ถือภารกิจเป็นกองหน้าปฏิวัติโดยสันติ โค่นล้มทุนสามานย์เผด็จการทักษิณให้พ้นแผ่นดินไทย มีมติคณะกรรมการเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ มอบหมายให้คุณธงชัย สุวรรณวิหค ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ และจะเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้เร็ว ๆ นี้

ครับถึงคราวที่จะต้องรักษาชาติบ้านเมืองแล้ว.


จากคอลัมน์ "บังอบายเบิกฟ้า"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๘ เม.ย. ๒๕๕๖








"ทำผิดกฎหมายกลายเป็นเรื่องธรรมดา"
สมถวิล เทพสวัสดิ์


บ้านเมืองในปัจจุบันดูเหมือนไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย ขณะที่คนในสังคมก็มองการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา "รศ.วิทยากร เชียงกูล" คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า ต้นตอของปัญหาเกิดจากวงจรในสังคมที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ก็เน้นการบริโภค หาเงิน คิดแต่เรื่องของตัวเองเป็นหลัก ปัญหาการเมืองก็สุดโต่ง ไม่มีใครยอมรับฟังความเห็นคิดของฝ่ายตรงข้าม

"การชุมนุมประท้วงก็สุดโต่ง ไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร ใครคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดว่าทำแล้วจะเป็นความผิดหรือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย การเห็นข่าวอาชญากรรม หรือเกิดเหตุการณ์ฆ่าคนตาย จี้ชิงทรัพย์ กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมไปแล้ว นั่นเป็นเพราะรัฐบาล สังคม ชนชั้นนำ พรรคการเมือง สถาบันการศึกษาไม่สนใจสภาพสังคมแบบในอดีตที่มุ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ"

นอกจากนี้ "วิทยากร" ยังมองว่า ด้านการศึกษาในปัจจุบัน มุ่งเน้นการเรียนการสอนด้านวิชาชีพ เน้นการแข่งขัน ไม่เน้นการแบ่งปัน เป็นสังคมแบบตัวใครตัวมันมากขึ้น

แม้กระทั่งหน่วยงานที่ดูแลเรื่อง "วัฒนธรรม" คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็มองว่า ปัญหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมฝ่ายที่ดูแลจัดการทำได้ไม่ดีพอ ไม่มองปัญหาอย่างลึกซึ้ง มองวัฒนธรรมเป็นเพียงแค่เรื่องการจัดงาน จัดกิจกรรมให้ดูยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ไม่เน้นการทำกิจกรรมที่เสริมสร้างด้านจิตใจ หรือความคิด

"วิทยากร" มองปัญหาการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ว่า เป็นเรื่องของผลประโยชน์พวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน ไม่เคารพกติกาเป็นการความเคลื่อนทางการเมืองที่สุดโต่ง มีกฎเกณฑ์กติกาอยู่แล้วแต่ไม่ยอมรับ

"กฎกติกาของเราก็เหมือนกับต่างประเทศ ขณะที่ต่างประเทศเขาเคารพกติกา แต่บ้านเราไม่ เช่น กรณีคำตัดสินของศาลเมื่อไม่พอใจการทำหน้าที่ของศาลก็ไปเสนอแก้ไขกฎหมายได้ ไม่ควรใช้วิธีการชุมนุมหรือไปข่มขู่ไม่ถูกต้อง"

เรื่องการเสนอแก้ไขกฎหมาย "วิทยากร" มองว่า กลุ่มที่มาชุมนุมประท้วงศาล ซึ่งสนับสนุนรัฐบาลก็สามารถไปยื่นให้รัฐบาลแก้กฎหมาย เพื่อแก้ไขเรื่องอำนาจศาลก็ได้ เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาอยู่แล้ว แม้จะถูกมองว่าเสียงข้างมากลากไป แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้อง และอย่างน้อยประชาชนหรือคนในสังคมจะได้ทราบว่า ทำไมต้องขอแก้ไขอำนาจหน้าที่ของศาล เพราะจะมีการอภิปรายในที่ประชุมสภากันอย่างกว้างขวาง ประชาชนจะได้รู้และเข้าใจ วิถีทางแบบนี้จะทำให้สังคมเดินหน้าไปด้วยกันได้

"กลุ่มที่ไม่พอใจศาลก็ไปยื่นเรื่องต่อพรรคที่ตัวเองสนับสนุน เพื่อให้แก้ไขกฎหมายเสียงข้างมากในสภาทำได้อยู่แล้ว จะทำให้มีการถกอภิปรายในที่ประชุม เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงจุดดี จุดด้อยการทำหน้าที่ของศาล ถือเป็นการหารือกันอย่างเป็นทางการจะทำให้สังคมได้รับรู้รับทราบข้อมูลของแต่ละฝ่ายที่อภิปราย ถือเป็นการให้ข้อมูลประชาชน ซึ่งเวทีหารือกันอย่างเป็นทางการในลักษณะนี้ปัจจุบันเกิดขึ้นน้อยมาก" คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว

"วิทยากร" ยังมองการชุมนุมของประชาชนที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นการขับเคลื่อนโดยมีแกนนำมากกว่า เพราะประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจะชุมนุมร้องเรียกเรื่องที่มีผลกระทบต่อปัญหาปากท้องมากกว่า จึงมองว่าการชุมนุมของประชาชนบางคนที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเดินทางมาชุมนุมเพราะถูกชักชวนไม่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรก

"คนธรรมดาไม่เรียกร้องเรื่องไกลตัวหรือเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล คนธรรมดาส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องปากท้องของตัวเอง ปัญหาที่ดินทำกิน หรือเรื่องที่ถูกกระทำโดนรังแก แต่เรื่องมาชุมนุมเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้และเข้าใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล ดังนั้นการชุมนุมของชาวบ้านครั้งนี้ น่าจะมีแกนนำไปชักชวนมากกว่า" คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว

การชุมนุมที่กำลังเกิดขึ้น "วิทยากร" มองว่า หากไม่รีบแก้ไขก็จะทำให้สถานการณ์แย่ลง หากศาลรัฐธรรมนูญทนไม่ไหวก็ฟ้องร้อง และเห็นว่าเรื่องนี้ผู้ที่จะเข้าห้ามปราบผู้ชุมนุมได้คือฝ่ายรัฐบาล เพราะเป็นหน้าที่ และที่สำคัญ คนที่ไปชุมนุมเป็นฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล การห้ามปราบน่าจะทำได้ เนื่องจากปัจจุบันบ้านเมืองไม่มีผู้ใหญ่คนไหนออกมาพูดแล้วได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

ความเคลื่อนไหวนอกสภาเริ่มดุเดือด ขณะที่ความเคลื่อนไหวในสภาก็เริ่มมีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมและปรองดอง ในมุมมองของ "วิทยากร" มองว่า การจะแก้ไขกฎหมายเรื่องใดต้องอธิบายให้ประชาชนและสังคมเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการแก้ไขอย่างแท้จริง ความจำเป็นในการแก้ไขปัญหารีบด่วนแค่ไหน ทำไม ควรมีการเปิดเวทีอภิปรายแบบวุฒิภาวะ โดยนำความเห็นทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้านมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้รับทราบก่อนจะแก้ไขเป็นกฎหมาย แม้กฎหมายจะผ่านการพิจารณาของสภาก็เชื่อว่าจะมีกลุ่มที่คัดค้านสุดโต่งออกมาเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน

จากสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ "วิทยากร" มองว่า โอกาสที่บ้านเมืองจะเกิดความปรองดองเป็นเรื่องยาก โดยมองว่าฝ่ายเรียกร้องตั้งข้อเรียกร้องสูงเกินไป ต้องการให้นิรโทษแม้กระทั่งคดีทุจริต คนเดินขบวนชุมนุมขับไล่รัฐบาล คนไม่เผาบ้านเผาเมืองยกโทษให้ได้ แต่จะให้นิรโทษคนที่ทุจริต ฉ้อฉล ถือว่าเป็นการเรียกร้องหาเหตุช่วยเหลือพวกพ้องตัวเอง ไม่ใช่เพื่อทำให้เกิดความปรองดอง

"การปรองดองหรือฝ่ายรัฐบาลยกโทษให้ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ แต่ในบ้านเรารัฐบาลมีปัญหาเอง และสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ เช่น การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม การให้เงินช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต ถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว ดังนั้นการที่รัฐบาลพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมลึก ๆ แล้ว รัฐบาลไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ทำเพื่อช่วยเหลือญาติและพวกพ้องมากกว่า ในต่างประเทศรัฐบาลยกโทษให้ฝ่ายค้านเพื่อให้เกิดการปรองดอง แต่ประเทศไทยฝ่ายรัฐบาลจะออกกฎหมายนิรโทษให้ตัวเอง" คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวปิดท้าย


จากคอลัมน์ "ขยายปมร้อน"
นสพ.คม ชัด ลึก ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๖








"สันดาน ‘ดิบ ถ่อย เถื่อน’ สัญญาณกลียุค"
สารส้ม


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพราะโชคช่วย...

แต่เป็นเพราะถูกวางหมาก ว่าจะต้องให้ “คนอย่างเธอ” เท่านั้น เข้ามาเป็นนายกฯ

เพื่อทำตัว “ปูกรรเชียง” - “ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” หรือแม้แต่ทำเหมือน “ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำให้ประเทศชาติเละเทะป่นปี้เพียงใด”

ถ้าเป็นคนอื่น ซึ่งไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขชินวัตร อาจจะมีสมอง มีสติปัญญา หรือมีจิตสำนึกพอที่จะเกิดความรู้สึก “ละอายต่อความชั่ว” หรือ “เกรงกลัวต่อบาป”

ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการอ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก่อนจะบินไปประเทศมองโกเลีย เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน โดยยังคงให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังก่อการ ใส่ร้าย กดดัน ข่มขู่ คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถึงขนาดประกาศใช้กำลังจับตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

๑) นางสาวยิ่งลักษณ์อ้างว่า การชุมนุมเรียกร้อง หากอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และความสงบ ก็เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ทำได้ โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศยกระดับการชุมนุม ปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าทำเกินขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่? นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่ยอมตอบคำถามนี้

ขณะเดียวกัน บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย ก็แสดงท่าทีไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

ถึงขั้นเตรียมออกจดหมายเปิดผนึกอย่างเป็นทางการ

แถมพรรคเพื่อไทยยังเปิดเวทีการเมือง กล่าวปราศรัยโจมตีศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง

แบบนี้ ก็ไม่ต่างกับนายกรัฐมนตรีกำลัง “ให้ท้าย” การเคลื่อนไหวสอดรับกันเพื่อโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ นายกรัฐมนตรีจะต้องดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ป้องปราม มิให้ผู้คนกระด้างกระเดื่องต่อกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้สามารถปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ถูกคุกคามกดดันเช่นนี้

๒) ถ้าเป็นนางสาวยิ่งลักษณ์ สมัยที่ยังเดินเข้าไปส่งเสบียงให้ม็อบเสื้อแดง หนุนส่งให้ล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ หากจะพูดเช่นนี้ก็คงจะไม่มีใครสนใจถือสาหาความกะไร

แต่วันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์มีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ

ถ้าใครบอกให้พูดแบบนี้ แล้วเธอยอมพูดตามโดยไม่รู้เรื่อง ก็ถือว่าโง่

แต่ถ้ารู้ว่าเสื้อแดง ทำเกินกว่าขอบเขตกฎหมาย แล้วยังให้ท้ายอย่างนี้ ก็ถือว่าไร้สำนึกในหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างร้ายแรง

๓) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติ แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ “มีชัยไทยแลนด์”

บอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีอิสระในการพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ทำนองเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาก็เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอิสระในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เรียกว่า หน้าที่ใครหน้าที่ของคนนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ก็จะผูกพันทุกองค์กรที่จะต้องปฏิบัติตาม ถ้าองค์กรหนึ่งปฏิเสธอำนาจของอีกองค์กรหนึ่งได้ ต่อไปก็จะกระทบกันเป็นลูกโซ่ จนบ้านเมืองไม่มีขื่อแป

“ลองคิดดูว่า ถ้าศาลไม่เห็นด้วยกับฝ่ายนิติบัญญัติ พอออกกฎหมายอะไรมาแล้ว ก็ไม่ยอมตัดสินคดีตามกฎหมายนั้น ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใด ก็ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ตำรวจไม่ยอมบังคับการตามกฎหมาย อัยการไม่ยอมฟ้องตามกฎหมาย พอศาลตัดสินคดีแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็ไม่ยอมเอาตัวไปลงโทษตามคำตัดสิน หรือกรมบังคับคดีไม่ยอมบังคับคดีตามคำพิพากษา คนแพ้คดีแล้วไม่ยอม ยกพวกมาล้อมบ้านโจทก์ หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายโจทก์ ตำรวจเห็นก็เฉยเสีย แล้วบ้านเมืองจะเหลืออะไร”

๔) หากนายกรัฐมนตรียังปล่อยให้บ้านเมืองดำเนินอย่างเละเทะเช่นนี้ต่อไป อันธพาลการเมือง “ดิบ ถ่อย เถื่อน” จะเหิมเกริมยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

หากยังไม่หยุดการคุกคามทำร้ายฝ่ายที่คิดต่างจากพวกตน เช่น บุกไปคุกคามขัดขวางเวทีการเมืองของอีกฝ่าย ยัดคดีเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง กดดันศาล คุกคามศาล ล้างผิดให้คนโกง ล้างคดีให้อันธพาลการเมือง ฯลฯ

ต่อไป จะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง

ใครมีมีด ใช้มีด

มีปืน ใช้ปืน

มีอาวุธอะไร ก็จะใช้อาวุธนั้น

ประหัตประหาร หรือป้องกัน ตอบโต้อีกฝ่าย “ตาต่อตาฟันต่อฟัน”

๕) เมื่อวันนั้นมาถึง นางสาวยิ่งลักษณ์อย่าหวังว่าตนเองจะสามารถ “ปูกรรเชียง” หรือลอยตัวโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

เพราะเมื่อมีอันธพาลการเมืองไปข่มขู่ กดดัน คุกคาม ประกาศไล่ล่าจับตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วนายกรัฐมนตรียังอ้างว่าเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย โดยที่นายกฯ ไม่ป้องปราม ไม่จัดการอย่างเด็ดขาดตามกฎหมายแล้ว หากมีอันธพาลการเมืองไปปิดล้อม จับกุมตัวนายกฯ

เอาเลือดไปเทหน้าบ้านนายกฯ

ข่มขู่จะทำร้ายลูกของนายกฯ

ปิดล้อมกระทรวง กรูกันเข้าไปทุบตีรถประจำตำแหน่งนายกฯ หมายเข่นฆ่า เอาชีวิตนายกฯ

ยิงเอ็ม ๗๙ เข้าใส่ที่ทำงานของนายกฯ...

ภาพเหล่านี้ มันเหมือนเดจาวู

ถึงวันนั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะยังถือว่า สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย ตามมาตรฐานเดิมอยู่หรือไม่?

แทนที่พี่ชายจะได้กลับบ้าน น้องสาวก็อาจจะต้องหอบลูกออกไปอยู่นอกประเทศด้วยกัน

ขอเตือนด้วยความห่วงใยบ้านเมือง


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
นสพ.แนวหน้า ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๖



บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 05 พฤษภาคม 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 19:39:36 น. 0 comments
Counter : 1212 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.