Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
22 มกราคม 2555
 
All Blogs
 

ซามูไรและเรื่องเล่า ณ ฟุกุชิมะ



ทว่าวันนี้เด็กนักเรียนประถมในเขตไอสุ จังหวัดฟุกุชิมะที่วัดค่ากัมมันตรังสีในอากาศได้ราว 0.1 ยังคงสะพายกระเป๋าเดินกลับบ้านเฉกเช่นเดียวกับก่อนที่ภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้วจะเกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่ยินยันได้ว่าทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในฟุกุชิมะยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ยกเว้นแต่เพียงพื้นที่ 30 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เท่านั้น

ไอสุ เมืองเก่าแก่อายุนับพันปีที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดฟุกุชิมะแห่งนี้ เคยเป็นเมืองซามูไรที่มีบทบาทสำคัญในยุคสงครามโบชิน ช่วงสมัยเอโดะตอนปลายก่อนที่จะเข้าสู่สมัยเมจิ เมื่อเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างจักรพรรดิที่มีแต่เพียงตำแหน่ง กับโชกุนที่มีกำลังทหารอย่างซามูไรมากมาย สงครามกินพื้นที่แทบทั้งประเทศเมื่อจักรพรรดิจะยึดอำนาจคืนจากโชกุนโทกุกะวะซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศในขณะนั้น

ว่ากันว่ามีซามูไรกว่า 5,000 คนมาต่อสู้กันอยู่นานนับเดือน ณ บริเวณปราสาทสึรุกะโจ ซามูไรหนุ่มที่เรียกกันว่า บะยักโกไทอิ ซึ่งแปลว่าเสือขาว ได้พากันออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องเมือง แต่ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้และพากันขึ้นไปทำฮาราคีรีบนยอดเขาไอโมริยามะ เรื่องราวของพวกเขาถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์โดยมียามาชิตะ โทโมฮิสะ หรือยามะพีเล่นเป็นหนึ่งในซามูไรหนุ่มที่เข้าร่วมรบในครั้งนั้น ซึ่งยังมีโปสเตอร์ของซีรีส์เรื่องที่ว่าแปะไว้ให้เห็นตามร้านขายของที่ระลึก

อะชินะ นาโอโมริ สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นในปี 1384 เรียกว่า ฮิกาชิ คุโรคะวะ ยากาตะ
ต่อมาได้มีการขยายพื้นที่ของปราสาทให้กว้างขึ้นในปี 1593 และเปลี่ยนมาเรียกว่า ปราสาทสึรุกะโจ ปราสาทที่เคยเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการปกครองโดยโชกุนโทกุกะวะที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่จากภาพเก่าที่มีอยู่ หลังจากถูกเผาทำลายในปี 1874 หลังจากฝ่ายจักรพรรดิชนะในการสู้รบครั้งนั้นและกำจัดระบบโชกุนไปได้ การเผาก็เพื่อทำลายสัญลักษณ์ของซามูไรให้สิ้นซาก

ฐานรากอันมั่นคงที่ก่อสร้างด้วยหินก้อนมหึมาเป็นของเดิมที่หลงเหลืออยู่ โดยปัจจุบันมีการจำลองสภาพห้องใต้ดินที่อยู่ตรงฐานรากให้เห็นว่าเคยใช้เป็นที่เก็บเสยียงสำคัญอย่างเกลือ ขณะที่ด้านบนซึ่งเคยมีอยู่ 7 ชั้นเมื่อก่อสร้างครั้งแรก เหลือเพียง 5 ชั้นเท่ากับก่อนที่จะถูกเผา โดยถูกใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองไอสุและจังหวัดฟุกุชิมะ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องราวของเหตุการณ์สงครามโบชินรวมอยู่ด้วย โดยมีดาบซามูไรและปืนขนาดเท่ากับของที่ทหารฝ่ายรัฐบาลและซามูไรเคยใช้สู้รบกันไว้ให้ทดลองถือ ขณะที่ชั้นบนสุดนั้นเป็นจุดชมวิวเห็นภูเขาที่รายล้อมอยู่ โดยมีป้อมระวังภัยอยู่ด้านหนึ่งซึ่งเป็นป้อมที่สร้างขึ้นแทนของเดิมที่เคยมีอยู่

โดยรอบปราสาทนั้นด้านหนึ่งเป็นสระน้ำซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่มีไว้เพื่อป้องกันศัตรู
เช่นเดียวกับแนวกำแพงศลับซับซ้อนที่มีซอกหลืบไว้เพื่อระวังภัยจากศัตรู โดยคนที่อยู่ข้างในจะสามารถมองเห็นควมเคลื่อนไหวจากภายนอก แต่คนที่กำลังจะเข้าไปจะมองไม่เห็นอีกฝ่าย ก้อนหินขนาดใหญ่ที่นำมาทำเป็นแนวกำแพงนั้นล้วนเป็นหินขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแรง ก้อนที่ใหญ่ที่สุดหนักถึง 8 ตัน

นอกจากปราสาทสึรุกะโจแล้ว ห่างไปไม่ไกลยังมีการอนุรักษ์บ้านซามูไรแบบดั้งเดิมไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วย บ้านซามูไรไอสุบุเยะชิกิของตระกูลไซโจ ทาโนโมะ หลังนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่เช่นกันหลังจากถูกทำลายลงในปี 1868 ระหว่างสงครามโบชิน ตามรูปแบบบ้านที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ

บ้านซามูไรมักจะมีขนาดใหญ่เพราะซามูไรมักจะเป็นครอบครัวใหญ่ โดยมีห้องที่ไว้สำหรับใช้งานต่าง ๆ กันไปถึง 12 ห้อง
ซึ่งรวมทั้งสวนที่หลากหลายมุม ศาลาดื่มชา สนามซ้อมยิงธนู และโรงสีข้าว เพราะแม้ว่าซามูไรจะไม่ได้ปลูกข้าวเองแต่จะเก็บเอาจากชนชั้นชาวนาที่อยู่ต่ำกว่า จึงจำเป็นจะต้องมีโรงสีข้าวไว้เพื่อสีข้าวเปลือกที่เก็บมาได้นั่นเอง ห้องที่น่าสนใจและต่างจากห้องอื่น ๆ คือห้องเก็บอาวุธ ด้วยภูมิปัญญาของคนโบราณฝ้าเพดานที่จะเป็นในทางขวางนั้นถูกสลับให้เป็นแนวยาวแทน เพราะเวลาที่จะต้องขนดาบหอกออกจากห้องจะได้ไม่ติดกับแนวฝ้าที่เป็นทางขวาง

เล่ากันว่าสมาชิกโดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกัน
หลังจากผู้ชายในบ้านออกไปร่วมสู้รบในสงครามโบชิน เพราะเชื่อกันว่าหากต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามพวกเธอก็จะต้องถูกทหารฆ่าตายอยู่ดี จึงตัดสินใจที่จะปลิดชีวิตตัวเองเพื่อรักษาศักดิ์ศรีที่มีให้คงอยู่

ไม่เพียงในตัวเมืองไอสุวะกะมะสึเท่านั้นที่ปลอดภัยจากกัมมันตรังสี ทะเลสาบที่ใหญ่ติดอันดับ 3 และขึ้นชื่อเรื่องน้ำใสบริสุทธิ์อย่างอินะวะชิโรที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบันไดอะซาฮิยังคงเต็มไปด้วยหงส์ขาวที่จะมาอาศัยอยู่ในช่วงฤดูหนาว

เช่นเดียวกับหมู่บ้านในหุบเขาอย่างอุชิจุกุ หนึ่งในสามหมู่บ้านโบราณที่ยังคงสภาพเดิม
ที่เคยเป็นโรงเตี๊ยมพักแรมของซามูไรที่เดินทางระหว่างโตเกียวกับเซนได ยังคงสงบเงียบและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวันวานสมัยเอโดะ บ้านทุกหลังยังคงมุงด้วยฟางหญ้าหนาทึบ แต่มีเพียงบ้านของผู้นำชุมชนที่เปิดเป็นร้านอาหารซึ่งมีเมนูขึ้นชื่ออย่างราเมนหลังเดียวที่ยังคงอาศัยไออุ่นจากเตาไฟกลางบ้าน เพราะเจ้าของบ้านส่วนใหญ่มักสร้างบ้านสมัยใหม่อีกหลังไว้อยู่อาศัยด้านหลัง บ้านหลังอื่นหากไม่เปิดให้เข้าพักแบบโฮมสเตย์ ก็จะเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกเล็ก ๆ

วันนี้ฟุกุชิมะจึงไม่ได้น่ากลัวจนไม่ควรจะย่างกรายเข้าไปใกล้อย่างที่ใครหลายคนคิด ทั้งยังเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งวันวานที่หลายคนแสวงหา ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ //fuku-tabi.jp/en/index.html


อธิชา ชื่นใจ เรื่อง
@ anyama ภาพ

credit : 
credit :  dailynews




 

Create Date : 22 มกราคม 2555
0 comments
Last Update : 22 มกราคม 2555 20:12:03 น.
Counter : 1413 Pageviews.


Rain_sk
Location :
Upper Midwest United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]





"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล
คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง
เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น"
ขุ.ธ. 25/15/24
เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557



BlogGang Popular Award # 9


BlogGang Popular Award # 10


BlogGang Popular Award # 11


BlogGang Popular Award # 12


Friends' blogs
[Add Rain_sk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.