|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เจ้าพ่อ : ตอนที่ 1-3 ; มติชนออนไลน์
เจ้าพ่อ : ตอนที่ 1-3 ; งานเขียนลงใน นสพ มติชนออนไลน์.... จขบ (เจ้าของบล็อก)เห็นว่าเป็นการแต่งที่ใช้คำสลักสะลวย อ่านแล้วได้อัตรส มีเสน่ห์น่าติดตามเนื้อเรื่องอีกทั้งตัวละครที่โลดเล่นอยู่บนตัวอักษรที่ให้ความบันเทิงน่าหลงไหลชวนให้เริงรื่น .... แก่ท่านผู้อ่าน ๑ เรือเมล์สายสุพรรณ ในสมัยรัชกาลที่ ๖
เวลา ๓ โมงเช้า แดดอ่อนๆ สาดส่องทั่วลำน้ำ เรือเมล์สายงิ้วราย-สุพรรณบุรี ซึ่งติดเครื่องได้ที่ได้เวลาแล้วกำลังจะออกจากท่างิ้วราย เจ้าเด็กกะลาสีวัยสิบห้า ปลดเชือกล่ามหัวท้ายพลางตะโกนร้องด้วยความคะนอง ออกแล้วจ้า...บางระกำ ลำพระยา บางปลา สองพี่น้อง บางปลาม้า เก้าห้อง ลอยละล่องขึ้นสุพรรณ นายท้าย ซึ่งอยู่หัวเรือชั้นบนชักสายระฆังไปดังในห้องเครื่องกลางลำชั้นล่างสามแก๋ง เป็นสัญญาณให้เดินหน้า อินทะเนียก็ผลักคันบังคับไปข้างหน้าหนึ่งจังหวะเคลื่อนลำ เด็กกะลาสีถีบโป๊ะดันหัวเรือออก แล้วโหนตัวด้วยมือที่กำเสาแป๊ปข้างเรือ เหวี่ยงตัวมายืนบนกราบนายท้ายควงมาลัยเร็วปร๋อ เหหัวออกกลางแม่น้ำ แล่นขึ้นทวนสายน้ำมุ่งทิศจังหวัดสุพรรณ พอตั้งลำขนานตลิ่งแล้ว นายท้ายกระตุกระฆังรัวกิ๋งๆ เรื่อยไปอินทะเนียก็ผลักคันบังคับไปข้างหน้าสุดมือเดินหน้าเต็มตัว เครื่องเรือสะท้านไปทั้งลำ ส่งเสียงกึกก้องคับแม่น้ำท่าจีนอันมหึมา ซึ่งสองฟากเป็นท้องนาจรดขอบฟ้าโปร่งใสในฤดูข้าวท้องแก่เหลืองเหมือนรวงทอง หัวเรือแหวกน้ำอย่างรุนแรงเหมือนฉีกผ้าสักหลาดสีน้ำตาลอ่อนให้ขาดกระจุยเป็นฟองน้ำข้าวเดือดพล่าน เกิดคลื่นคลี่บานจากหัวเรือไปซัดดงหญ้าคาสองข้างตลิ่งไหวโอนเอน ราวกับจะโบกมืออวยพรให้แก่การเดินทางไกล ๑๒ ชั่วโมง จึงจะถึงจังหวัดสุพรรณปลายทาง เรือ หลวงต่างใจ เป็นเรือขนาดใหญ่ ๒ ชั้น กำลังมาก ชั้นบนเป็นที่สำหรับโดยสาร วันนี้ผู้โดยสารเต็ม ๒๐-๓๐ คน ชั้นล่างบรรทุกสินค้าของสดของแห้งสำเร็จรูปที่ขนลงมาจากรถไฟที่สถานีงิ้วรายถ่ายลงเรือนำส่งตลาดรายทางสองฟากแม่น้ำ บ้างก็มีพ่อค้านั่งคุมไปเอง เที่ยวนี้นายท้ายมิ่งภูมิใจเป็นพิเศษ เพราะว่าอดีตนายอำเภอบางปลาม้าซึ่งอยู่ใต้จังหวัดสุพรรณ พาลูกสาวสวย ๓ คนจากบางกอกกลับบ้าน ตีตั๋วพิเศษนั่งเก้าอี้ผ้าใบคนละตัว นั่งๆ นอนๆ อยู่ในที่โดยสารชั้นหนึ่ง ถัดมาจากห้องนายท้าย เจ้าเด็กกะลาสี ชื่อจ้อย เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ หลวงตาวัดงิ้วรายเก็บไปเลี้ยงไว้และฝากเข้าทำงานนี้มาได้ ๒ ปีแล้ว มันขยันเกินตัว ยิ่งทำยิ่งคล่อง กำลังริสูบบุหรี่ เผยอจะเป็นหนุ่ม กินอยู่หลับนอนในเรือโดยยึดเอาตู้ติดฝาหัวเรือชั้นล่างเป็นที่เก็บเสื้อผ้าเสื่อนอนหมอนมุ้ง จ้อยขดเชือกท้ายเรือเสร็จแล้ว ถือบุหรี่มือหนึ่ง เกาะราวกราบบนมือหนึ่ง เดินเลาะกราบซ้ายจากท้ายไปหัวเรือ แหงนดูผู้โดยสารตามริมระเบียง พลางถามไปตามหน้าที่ว่า ใครจะสั่งน้ำชากาแฟหรือข้าวผัด เขาก็จะไปบอกกุ๊กซึ่งตั้งครัวอยู่ท้ายเรือกราบขวาชั้นล่าง ชายร่างใหญ่มหึมา ผิวดำมะเมื่อม เสื้อกุยเฮงแพรดำ กางเกงขายาวสีกากี นั่งตระหง่านอยู่ท้ายเรือชั้นบน ทำเอาจ้อยผงะเมื่อมีเสียงห้าวถามเหมือนคำรามว่า มีเหล้าขายไหมวะ? ไม่มีครับ ตอบแล้วจ้อยยืนงงเหมือนถูกสะกดอยู่กับที่ด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง ไม่มีก็ไปซะซี เป็นคำบงการให้จ้อยรีบเดินรูดราวต่อไป รู้สึกโล่งอก...คนอะไร ตัวใหญ่ ดำ เสื้อดำ สุ้มเสียงยังกับหัวหน้าโจร จ้อยเดินอีกราวสิบก้าว ถามไปตามคนโดยสารที่นั่งชิดระเบียงจึงถึงบริเวณที่โดยสารชั้นหนึ่งข้างบน ซึ่งอดีตนายอำเภออ้วนท้วนผิวขาว ผมหงอกโพลน นั่งสูบไปป์บนเก้าอี้ผ้าใบ แวดล้อมด้วยสาวสวย ๓ คน ล้วนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย จนจ้อยไม่กล้าเอ่ยถามด้วยสำเนียงเหน่อสุพรรณ จึงเดินมาถึงส่วนแหลมของหัวเรือ มีบันไดไม้แคบ ๓ ขั้นสำหรับขึ้นลงห้องนายท้าย โผล่หน้าถามว่า นายท้าย เอาข้าวแฝ่ไหม ข้าวแฝ่คือกาแฟ ข้าวหนมคือขนม ข้าวเตี๋ยวคือก๋วยเตี๋ยว คนสุพรรณพูดกันอย่างนั้น เออ เอา ถามทุกวัน นายท้ายตอบ เหมือนให้เห็นหน้าไง...ว่าฉันไม่ได้ขาดงาน ไปเอามาเร็วๆ จ้อยเดินล่องลงมาทางกราบขวาก็ถามมาตลอด พอถึงกลางๆลำ พ้นเขตที่นั่งชั้นหนึ่ง เห็นตาแป๊ะหนวดเคราเผ้าผมขาวไสว แต่งขาวทั้งชุด ข้อมือขวาสวมกำไลหยกเขียวขุ่น ท่าทางเหมือนซินแสหมอดูหมอยา สั่งอะไรกินไหม อาแป๊ะ ตาแป๊ะสั่นหัว จ้องมองใบหน้าอันคมคายแบบเด็กบ้านนอกแกสนใจที่นัยน์ตาอันเป็นประกายแจ่มใส นัยน์ตาเด็กคนนี้เหมือนพระอาทิตย์ แกคิด...ชีวิตมันต้องรุ่งเรืองแน่ๆ จ้อยเดินล่วงลงมา สุดกราบนี้ กุ๊กกำลังพัดไฟต้มน้ำเดือดสำหรับชงกาแฟ ชั้นบนมีชายหนุ่มร่างโปร่ง นุ่งกางเกงแพรสีนวล สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว นั่งจดสมุดบันทึกเล่มเล็กง่วนอยู่ ไอ้หนู มาตรงนี้ซิ สั่งอะไรครับ ไม่ใช่ เมื่อตอนเรือออก เอ็งร้องอะไร? เปล่าครับ จ้อยตกใจ ร้องซี บางระกำ ลำพระยาอะไรนั่นน่ะ อ๋อ ผมร้องเล่นน่ะ ร้องอีกทีซิ ฉันจะจด ก็...บางระกำ ลำพระยา บางปลา สองพี่น้อง... ช้าๆ ฉันจะจด จ้อยทวนที่ท่องไปแล้ว และต่อไปว่า บางปลาม้า เก้าห้อง ลอยละล่องขึ้นสุพรรณ เขาจด และขีดเส้นใต้ตรงคำว่า บางปลาม้า แล้วจ้อยก็หดคอลงมาพูดกับกุ๊กที่ชั้นล่างว่า นายท้ายเอาข้าวแฝ่ คนอื่นล่ะ คนตัวยักษ์กราบโน้นจะเอาเหล้า...ฉันบอกไม่มี พวกนายอำเภอฉันไม่กล้าถาม โอ้โฮ ลูกสาวนายอำเภอสวยๆ ทั้งนั้น คนโตสวยที่สุดเหมือนนางเอกละคร คนที่สองสวยหยิ่งๆ คนเล็กยังไม่เต็มสาวเลย ก็สวยเหมือนสาวๆ ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลต่างๆ ในเรือเมล์เที่ยวนี้เองจะเกิดความเกี่ยวข้องกันทั้งทางดีและทางร้าย ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปอีกตลอดสิบๆ ปีข้างหน้า
เจ้าพ่อ : ตอนที่ 2 ; ๒ ลูกสาวนายอำเภอ
จ้อยเอาถ้วยสังกะสีเคลือบสีขาว ขอบและหูเป็นสีน้ำเงินใส่กาแฟดำร้อนจากกุ๊กไปส่งนายท้ายซึ่งนั่งอยู่บนหัวเรือชั้นบน แล้วก็เลยยืนพิงขอบหน้าต่างยืนดูการถือพวงมาลัย การเดินร่องน้ำ และการตีวงเลี้ยวคุ้งน้ำของลูกพี่ผู้เชี่ยวชาญ จ้อยเคยถูกเรียกใช้ถือพวงมาลัยมาบ้างแล้วเมื่อนายท้ายเมื่อยหรือง่วง ถ้วยกาแฟนั้นเต้นแก็กๆ อยู่บนแท่นไม้ใต้พวงมาลัย ของที่ใช้ในเรือต้องไม่ใช่แก้วหรือกระเบื้อง ถ้วยจานช้อนล้วนแล้วจะต้องเป็นสังกะสีเคลือบ ตกไม่แตก ใช้ถูไถได้ไม่ต้องระวัง ถ้วยสังกะสีเคลือบใบนี้ คว่ำดูก้นมีตรารูปปีกคู่กระหนาบมงกุฎ ตราเล็กขนาดก้นบุหรี่ มีตัวอังกฤษโค้งล้อมด้านล่างตราว่า เมด อิน สวีเดน ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น สินค้าที่มีคุณภาพสูงมาจากยุโรปทั้งสิ้นเช่น เครื่องจักรกลจะเป็นของเยอรมัน, กรรไกรตัดผ้าคมกริบชุบโครเมียมตราลูกนัยน์ตาเดี่ยวมาจากเยอรมัน, เข็มเย็บผ้ายาวอ่อนมีสปริงในตัว เรียกว่า เข็มห้าง ก็มาจากห้างของชาวอังกฤษในกรุงเทพฯ น้ำหอมตราตุ๊กตาทองมีปีกคือตัวคิวปิดนั่นเอง ชื่อ อะดอรีส์และตราหอไอเฟลชื่อ ชัวร์ เดอ ปารีส์ มาจากฝรั่งเศส เครื่องเหล็กนั้นเยอรมันผูกขาด ถ้วย ชาม หม้อ คนโท ถ้วยแก้วเจียระไนใสแจ๋วดีดดังกิ๋ง แม้กระทั่งชามกะละมัง ชามอ่างเคลือบใส่น้ำล้างหน้าตามบ้านผู้ดี และที่ใช้ตามวัง ต้องมาจากสวีเดน ของจีนมีถ้วยชามสำหรับขายอาหารตามร้าน และผ้า แพร ไหมส่วนญี่ปุ่นยังผลิตอะไรมาขายแพงๆ ไม่ได้ เลยมีแต่ยาบางขนาน ยาชุดสำหรับหญิงคลอดลูกคาดเอวแทนการอยู่ไฟ ญี่ปุ่นจึงตีตลาดของเล่นเด็กชนิดเสียง่ายเพื่อให้ซื้อบ่อย อันเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ของเขาในยุคนั้น แต่ของเล่นที่มีคุณภาพ เช่นรถยนต์แล่นไม่ตกโต๊ะ ญี่ปุ่นก็ยังทำไม่ได้ ต้องซื้อจากห้างอิตาลี อันว่าเครื่องเคลือบจากสวีเดนนั้นทำมาสองลักษณะ ถ้าใช้ในบ้านเรือนผู้ลากมากดีก็เป็นกระเบื้องเนื้อบาง ถ้าใช้ตามบ้านนอกชนบทสำหรับคนมือหนักก็เป็นสังกะสีเคลือบเช่นที่ใช้ในเรือเมล์ ตอนนั้น พ.ศ. ๒๔๖๑ เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ มาได้ ๔ ปีแล้วระหว่างเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี รบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลีรัสเซีย ประเทศสยามเราอยู่ห่างสมรภูมิยุโรปไกลลิบลับ การเดินทางไปยุโรปก็มีแต่ทางเรือข้ามน้ำข้ามทะเล รอนแรมไปเป็นเดือนๆ ความเป็นอยู่ในประเทศของเราจึงไม่ถูกกระทบกระเทือนเลย อีกทั้งสมัยนั้นก็มีพลเมืองเพียง ๙ ล้านคน สินค้าจากต่างประเทศมีเหลือค้างอยู่อีกมากมาย ภายในประเทศจึงไม่ฝืดเคือง ข้าวของเครื่องใช้มีขายทั้งในกรุงและชนบทอย่างทั่วถึง ราษฎรซื้อหามาใช้สอยได้เพราะข้าวปลานาไร่ได้ผลดี แม้จะเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีกลาย แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะน้ำท่วมก็เสมือนการกวาดล้างสิ่งสกปรกตามใต้ถุนเรือนครั้งใหญ่ ทำความเสียหายแก่นาไร่ก็จริง แต่ก็นำพาโคลนปุ๋ยจากแถบถิ่นเหนือลงมาภาคกลางอย่างอิ่มหนำด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงประกาศสงครามกับเยอรมัน ให้ไทยเราเข้าข้างสัมพันธมิตร อังกฤษฝรั่งเศส ฯลฯ แล้วส่งทหารไทยซึ่งล้วนเป็นทหารอาสา คุมโดยแม่ทัพซึ่งเป็นนักรบอาชีพไปคลี่ธงไทยเข้าร่วมรบทางบกและทางอากาศ ฝ่ายที่เราเลือกได้ชนะสงครามเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านไป ทหารอาสากำลังทยอยกลับบ้าน ทั่วลำเรือมีกระโถนไว้ให้คนบ้วนน้ำหมากจนเพียงพอ คนที่กินหมากจัดจริงๆ ต้องบ้วนไม่ได้หยุดนั้น ต่างก็ถือกระป๋องนมเปล่าติดมือเป็นของประจำตัวไว้บ้วน ไม่บ้วนเลอะเทอะตามสถานที่สาธารณะที่สำคัญ ชายร่างใหญ่ผิวดำซึ่งยึดครองมุมซ้ายท้ายเรือชั้นบนซึ่งถามถึงเหล้านั้น ล้วงห่อกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลี่ห่อเอาหมากพลูขึ้นมาเคี้ยว ตาแป๊ะงัดเอาหินเหล็กไฟและกล้องยาแดงยาวเกือบศอกจากย่ามขึ้นมาสูบ ชายหนุ่มที่ถามกลอนบอกเส้นทางเรือเมล์ เป็นคนสมัยใหม่ เขาควักซองบุหรี่ซิกาแร็ตมีตรานกอินทรี ขึ้นมาจุดสูบด้วยไม้ขีดไฟตราอีแปะ เขี่ยขี้บุหรี่ลงในกระโถนมิให้เถ้าปลิวลงไปห้องครัวของกุ๊กข้างล่างหรือไปเข้าหูเข้าตาภิกษุสองรูปซึ่งนั่งบนยกพื้นสุดโต่งท้ายเรือ อันเป็นที่นั่งพิเศษจัดไว้ถวายพระเณรมิให้ปนเปกับชาวบ้าน และเก็บค่าโดยสารครึ่งราคา มีกลุ่มชายฉกรรจ์ ๕-๖ คน ใส่เสื้อคอกลมเป็นดอกดวง นุ่งผ้าโจงกระเบนต่างสี ล้วนฉูดฉาด แดง เขียว สีสุกดำ เรียกว่าผ้าพื้น คาดผ้าขาวม้า เขาหอบหิ้วกลองรำมะนา ๒ ลูกลงเรือมาพร้อมด้วยฉิ่งฉาบ ร้องลำตัดกันมาแต่ต้นทาง พวกนี้ไม่ขึ้นนั่งบนที่โดยสารชั้นบนแต่เขายึดท้ายเรือชั้นล่างด้านซ้าย ซึ่งชั้นล่างนี้เป็นที่บรรทุกสินค้า เช่นเข่งหลัวใส่ผักผลไม้ เป็ด ไก่ กุ้งสด ปูสด และลังหีบใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูปซึ่งเจ้าของจะนั่งคุม และเอาขึ้นตามท่าตลาดรายทาง กลุ่มคนที่ว่านี้มีเหล้าลงมากิน และตั้งวงคุยเอะอะเอ็ดตะโรตามวิสัยนักเล่นนักรำที่คะนอง พอพูดถูกใจกันก็เฮ รัวฉาบรัวกลองไม่เกรงใจใคร เพราะเขาถือว่าเขาเสียสละมานั่งข้างล่างแล้ว ชายร่างใหญ่ผิวดำ ผู้หิวเหล้า ไม่รออยู่นาน เขาลงมาร่วมวงเหล้ากับพวกลำตัด กลิ่นยาเส้นของนอกตราปริ๊นซ์อัลเบิร์ตจากหัวเรือลอยตลบไปทั้งลำ มันหอมกลั้วกับลมแม่น้ำอันสดชื่น ยาเส้นสูบไปป์เป็นกลิ่นเผาไหม้ที่ประหลาด กึ่งฉุนกึ่งหอมไม่เหมือนกลิ่นไหม้ใดๆ คนส่วนมากในเรือไม่เคยรู้เห็นการสูบไปป์ ก็พากันสูดจมูกฟุดฟิด หันหาต้นตอก็พบผู้สูบเป็นชายชราผมหงอกขาวโพลน แต่งตัวอย่างผู้ดี นั่งเก้าอี้ผ้าใบอยู่ส่วนหัวเรือถัดมาจากห้องนายท้าย เมื่อแอบถามกันไปมา จึงรู้ว่านั่นคือ ขุนเขียนสุพรรณภาร นายอำเภอคนเก่าของอำเภอบางปลาม้า ซึ่งอยู่ใต้อำเภอเมืองของจังหวัดสุพรรณลงมา ท่านขุนมากับลูกสาวสามใบเถา อันว่าหัวเรือซึ่งเป็นที่นั่งชั้นหนึ่งนั้น มีเก้าอี้ผ้าใบให้เช่านั่งนอนคิดราคาตัวละ ๑ บาทเพิ่มจากค่าตั๋ว ทั้งหมดมี ๘ ตัว แต่ขณะนี้ครอบครัวนายอำเภอจ่ายเงินไว้ทั้งหมด ๘ ตัว เพื่อกันไว้ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม ทั้งๆ ที่เนื้อที่นี้กั้นคอกเตี้ยแยกจากคนโดยสารทั่วไปอยู่แล้ว ท่านขุนเขียนสุพรรณภาร วัย ๖๕ เป็นขุนนางเก่าสมัยรัชกาลที่ ๕ เคยเข้ารั้วเข้าวังเป็นข้าของเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง มีความรู้ภาษาไทยเป็นอย่างดีเยี่ยม เพราะบวชเรียนมาแล้ว และรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง เพราะสนใจเรียนเองและฟังจากเจ้านาย การสูบไปป์แบบขุนนางชาวกรุงจึงดูไม่ขัดเขิน กลับก่อให้เกิดความสง่าในลักษณะคนแก่ที่มีความสมัยใหม่ ท่านขุนเป็นข้าราชการมหาดไทยมาตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีตำรวจแต่มีปลัดอำเภอเป็นมือปราบจับกุมปราบปราม เป็นมือขวาของนายอำเภอ เรียกว่า ปลัดตำรวจ ปลัดเขียนเป็นคนบางปลาม้า ใช้แพของตนเองเป็นที่ทำการอยู่ริมแม่น้ำ หลังแพขึ้นบกนั้นปักเสาต้นตาลเบียดแน่นเป็นเพนียดกำแพงใช้ขังนักโทษในอาญาสิทธิ์ของแก รับราชการเรื่อยมาจนได้เป็นนายอำเภอ ว่าการที่แพของตัวเองก่อนที่ทางการจะปลูกอำเภอ เพิ่งปลดเกษียณเมื่อรัชกาลที่ ๖ ขึ้นครองราชย์ ท่านขุนไปกรุงเทพฯ เพิ่งกลับเรือเที่ยวนี้ ก็เพื่อไปรับนามสกุลซึ่งเสด็จในกรมฯ ประทานว่า สุพรรณภารกิจ ท่านก็ท่องคำนี้อยู่ตลอดมิให้ลืม เรื่องนามสกุลเป็นเรื่องใหม่ทันสมัย ต้องท่องกันไว้ ท่านภูมิใจในความเป็นคนสุพรรณแท้ จึงได้นามสกุลที่มีคำว่า สุพรรณเป็นหลัก ชาวสุพรรณแท้จะได้รับพระราชทานนามสกุลมีคำว่าสุพรรณ หรือ สุวรรณ แทรกปนอยู่ ไม่ข้างหน้าก็ข้างหลัง สำหรับตัวท่านขุนนั้น แม้ยื่นขอพระราชทานไม่ถึงในหลวงรัชกาลที่ ๖ แต่เมื่อได้รับจากเสด็จในกรมฯ ก็นับว่ายิ่งใหญ่ ติดเกณฑ์เจ้านายประทาน การตั้งนามสกุลนั้นมีหลายลักษณะ เนื่องด้วยราษฎรทุกตระกูลยื่นขอกันทั้งประเทศ จึงการที่ในหลวงจะพระราชทานลงมาโดยตรงนั้นย่อมเหลือวิสัย ดังนั้น จึงมีนามสกุลระดับพระราชทาน ระดับพระราชวงศ์ประทาน ระดับเจ้าเมืองตั้งให้ และระดับนายอำเภอตั้งให้ตามที่ราษฎรขอ หรือราษฎรจะตั้งเองก็ได้ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการเขียนสำมะโนครัวตามแบบแผนอารยประเทศ สนองพระราชนโยบายโดยไม่ชักช้าตั้งแต่มีพระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ แล้ว ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๖คนไทย ๙ ล้านคนก็มีนามสกุลทั่วประเทศ แม่ปราย ลูกสาวคนเล็กวัย ๑๓-๑๔ ที่เด็กจ้อย กะลาสีชมว่าสวยเหมือนสาวๆ กำลังคุกเข่ากับพื้นเรือทาบแขนทั้งสองกับราวระเบียงกราบขวา คว่ำฝ่ามือทับกัน เอาคางเกยบนหลังมือ มองดูทิวทัศน์ข้างตลิ่ง คุณพ่อคะ แม่น้ำนี้ไหลมาจากไหน แล้วจะไหลไปทางไหนคะเธอถาม พี่สาวสองคน แม่ปลั่ง คนโตวัย ๒๐ เป็นนักเรียนจบชั้นมัธยมโรงเรียนแหม่มในกรุงเทพฯ กำลังอ่านหนังสือนิยายเล่มเล็ก หล่อนรู้วิชาภูมิศาสตร์ดีแล้ว จึงทำท่าไม่สนใจ แต่ก็เงี่ยหูฟัง แม่ปลั่งคนนี้เป็นลูกเมียใหญ่ ซึ่งแม่ของหล่อนเป็นใหญ่ในบ้าน แม่โปรย คนกลางวัย ๑๘ เป็นลูกแม่เดียวกันกับแม่ปราย แม่ของหล่อนเป็นเมียคนรองของขุนเขียนฯ เสียชีวิตไป ๒-๓ ปีแล้ว แม่โปรยพลิกแคตตาล็อกแบบเสื้อฝรั่งซึ่งได้มาจากห้างในกรุงเทพฯหล่อนพออ่านออกเขียนได้เพราะพ่อสอนที่บ้าน ชอบทางเย็บปักถักร้อยไม่สนใจเรื่องแม่น้ำ บิดาดึงไปป์ออกจากปากแล้วอธิบาย ต้นแม่น้ำนี้อยู่ในเมืองอุทัยธานี เป็นลำธารเล็กๆ ชื่อห้วยกระทงไหลจากภูเขาสมทบกับกิ่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาที่วัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ไหลลงมาเมืองสุพรรณลงมานครชัยศรี แล้วไปออกปากอ่าวที่เมืองสมุทรสาคร เรียกว่าแม่น้ำท่าจีน หนูได้ยินเขาเรียกเมืองสมุทร มีตั้งหลายเมือง มันเป็นยังไงคะ มีสมุทรสาครของเรา สมุทรสงครามแม่กลอง แล้วก็สมุทรปรา-การ เป็นปากน้ำบางกอก แล้วจะจำยังไง ไม่สับกันคะ เมืองสมุทรทุกเมืองจะอยู่ปากอ่าวติดทะเล เมืองสมุทรสาครเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าท่าจีน สาครแปลว่าน้ำ มีน้ำก็มีท่า ทีนี้สมุทรสงครามมีสงครามต้องตีกลองศึก สมุทรสงครามก็คู่กับแม่น้ำแม่กลอง ส่วนที่ปากอ่าวทางบางกอก มีเมืองสมุทรปราการ ปราการแปลว่าป้อมค่ายกำแพง มีป้อมอยู่ปากอ่าวจริงๆ เอาไว้ป้องกันข้าศึก แม่น้ำเจ้าพระยาก็คู่กับสมุทรปราการ เด็กหญิงงง แม่ปลั่งพี่สาวคนโตพอจะจับเค้าได้ว่าวิธีจำเมืองสมุทรต่างๆ จะทำอย่างไร ที่โรงเรียนมิได้สอนซอกแซกเช่นนี้ ส่วนแม่โปรยคนกลางพลิกดูแบบเสื้อไปเรื่อยๆ เด็กหญิงถามอีกว่า คุณพ่อว่าแม่น้ำนี้ชื่อท่าจีน ทำไมตอนผ่านหน้าบ้านเรา เรียกแม่น้ำสุพรรณล่ะคะ แม่น้ำผ่านที่ไหนก็เรียกตามชื่อฝั่งที่นั่น ตอนผ่านสุพรรณเรียกแม่น้ำสุพรรณ ผ่านนครชัยศรีแถวนี้เรียกแม่น้ำนครชัยศรี พอผ่านท่าจีนออกปากอ่าวเรียกแม่น้ำท่าจีน แม่คนโตผู้สวยราวกับนางละคร พับหนังสือนิยายลงชั่วคราวถามบ้างว่า นครปฐมกับนครชัยศรีนี่ต่างกันยังไงคะ นครชัยศรีเป็นชื่อเก่าของเมืองเก่า ใช้เป็นชื่อมณฑลนครชัยศรีส่วนนครปฐมเป็นอำเภอเล็ก เพิ่งตั้งเป็นจังหวัดเมื่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์เสร็จ ท้องที่นครชัยศรีกลับลดชั้นมาเป็นอำเภอของจังหวัดนครปฐม มณฑลนครชัยศรีมีกี่จังหวัดคะ แม่คนเล็กถาม สามจังหวัด รวมกลุ่มที่แม่น้ำนี้ผ่าน คือ สุพรรณ นครปฐม สมุทรสาคร เมืองไทยเรามีกี่มณฑลคะ แม่คนเล็กถามอีก มี ๑๘ มณฑล มีอะไรบ้างคะ โอ้โฮ พ่อต้องเปิดตำราตอบแล้วละ ในตำรามีหรือคะ มีละเอียดเลย คือวิชาภูมิศาสตร์ แล้วหนูจะเรียนได้ไหมคะ พ่อจะให้แม่ปลั่งเขาสอนให้ เขาเรียนมาจากบางกอกแล้ว ให้เขาสอนหนังสือและวิชาความรู้อื่นๆ ด้วย สอนทั้งแม่โปรย แม่ปราย แม่ปลั่งยิ้มเก๋อย่างชาวกรุง พยักหน้าให้น้องคนเล็ก แต่แม่โปรยคนสวยหยิ่งๆ ร้องฮึเบาๆ...เราก็สิบแปดแล้ว หนังสือก็รู้อยู่แล้ว ฉันตัดเย็บเสื้อผ้าดีกว่า อย่ามาสอนกันเลย หล่อนจะไม่ยอมเป็นศิษย์ของพี่สาวต่างแม่เพราะหล่อนคิดว่าหล่อนสวยกว่า ถ้าจะให้เรียนต้องส่งหล่อนไปเรียนในบางกอกเหมือนกัน
เจ้าพ่อ : ตอนที่ 3 ; ๓ ปลัดหน้าใหม่
ไอ้หนู มานี่ซิ
ท่านขุนเขียนฯ เรียกเจ้าจ้อยเด็กกะลาสีเมื่อมันเดินเลาะกราบเรือมาอีกรอบหนึ่ง
จ้อยหยุดฟังคำสั่ง
ไปเอาน้ำชาจีนมากาหนึ่ง ถ้วยด้วย
ครับ
พอเที่ยง เอาข้าวผัดมาสี่จานนะ
ของหนูใส่ไข่ดาวด้วยนะคะ เป็นเสียงใสของเด็กหญิงปราย
เออ ใส่ไข่ดาวทั้งสี่จานเลย บิดาสั่งต่อ
แม่โปรยซึ่งหน้าบึ้งตลอดมา พูดว่า
หนูไม่รับประทานนะคะข้าวผัดน่ะ
ไม่รับไม่ได้หรอกลูก กว่าจะถึงบ้านคงค่ำๆ
แม่โปรยเงียบ การที่หล่อนไม่ต้องการข้าวผัดนั้นเป็นความเคยชินที่จะปฏิเสธเพื่อแยกตัวจากกลุ่มพี่น้องเพราะความเป็นสาวเต็มตัวที่ต้องการอิสรเสรีตามธรรมชาติ ส่วนแม่ปลั่งชะโงกหน้าไปพูดกับเด็กจ้อยว่า
ตกลงข้าวผัดใส่ไข่ดาวนะจ๊ะ แล้วถ้าคนครัวมีไม้ขีดละก็ขอปันมาด้วยสักกล่อง แล้วมาเอาเงิน ข้าวผัดเอามาตอนเที่ยง ชาจีนกับไม้ขีดเอามาเดี๋ยวนี้
บิดายิ้มด้วยความพอใจที่ลูกสาวดูแลไปถึงไม้ขีดไฟจุดไปป์ซึ่งกำลังจะหมดกล่อง และท่านบ่นอยู่เรื่อยๆ ว่าบนเรือลมแรง ไอ้ไปป์ก็ดับบ่อย เปลืองไม้ขีด
เออ แม่ปลั่งรอบคอบดีจริง ขอบใจนะลูก
คำนี้ทำให้แม่โปรยหน้างอหนักขึ้นไปอีกจนต้องขยับเก้าอี้ผ้าใบกุกกัก เบี่ยงหน้าของหล่อนไปเสียเพราะหมั่นไส้พี่สาวต่างแม่ แต่แม่ปรายคนเล็กคิดว่าต่อไปจะต้องฝึกดูแลบิดาบ้าง
เด็กจ้อยกลับไปแล้วกลับมาพร้อมด้วยกาชาจีนกับถ้วยรายงานว่า
ไม้ขีดของกุ๊กมีกล่องเดียว ให้มาไม่ได้ครับ
ไปขอยืมนายท้ายดูซิ ขุนเขียนฯ สั่ง
นายท้ายตีเหล็กไฟสูบใบจาก ใช้ได้ไหมครับ
ก็ของเธอล่ะ ฉันเห็นสูบบุหรี่เหมือนกันนี่นา
แม่คนเล็กได้ช่องดูแลบิดา แต่ขุนนางผู้มีศักดิ์ตัดบทโดยฉับพลัน
ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถึงท่าข้างหน้าค่อยหาซื้อเอา
ในใจนึกว่า...เศรษฐียังรู้ขาดไฟ เจอเข้าแล้ว แต่หัวเด็ดตีนขาดจะไม่ลดตัวไปขอไฟจากเด็กกุ๊ยกะลาสีเรือ
จ้อยเองไม่เคยซื้อไม้ขีด เขาจุดบุหรี่ด้วยไม้ขีดของกุ๊ก หรือไม่ก็คีบถ่านไฟในเตามาจุด
แดดยามสายทวีความร้อนตลอดทั้งทุ่งราบสองฝั่ง แต่บนเรือลมโกรกเย็นสบาย แผ่นน้ำสะท้อนสีครามแก่ของท้องฟ้าลงมาผสมความขุ่นของมันให้เป็นสีเคลือบตะกั่ว เป็นแผ่นผืนกว้างแลลิบไปไกลข้างหน้าซึ่งทิวไม้สองฝั่งเป็นแนวเขียวทึบจรดกัน ต่อเมื่อเรือใกล้เข้าไป จึงจะรู้ว่าเป็นโค้งคุ้งอ้อมไปซ้าย หรือขวา ทีละคุ้ง ทีละคุ้ง
บางระกำ...ลำพระยา...
คำต้นๆ ที่เจ้าจ้อยร้องเมื่อออกเรือถูกดูดซับเข้ามาสู่การเดินทางทีละบ้านทีละบาง มันผ่านมาทางหัวเรือที่เชิดหน้าไปแล้วมันก็มาอยู่เบื้องหลังตามที่ทางเดิมของมัน
ครั้นแล้วก็มาถึงช่วงที่แม่น้ำเป็นแนวตรง สองฝั่งเป็นกลุ่มบ้านเรือนริมน้ำ แลเห็นหลังคาแต่ไกลเหมือนเรือนตุ๊กตา ครั้นใกล้เข้าไปมันก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ปรากฏเป็นชุมชนสองฝั่ง
ฝั่งซ้ายมีโรงเรือนใต้ถุน มีบันไดหลายขั้น ตีฝาทึบ ๓ ด้านหันหน้าโล่งลงแม่น้ำ เห็นลูกกรงเหล็กและราวปืนเล็กยาว ๓-๔ กระบอกป้ายใต้หน้าจั่วเขียนว่า สถานีตำรวจภูธรบางปลา
ถัดขึ้นไปอีกหน่อย ริมแม่น้ำเหมือนกัน มีโรงเรือนที่ปลูกอย่างใช้ฝีมือ ใต้ถุนสูง มีบันไดขึ้นสองข้างไปบรรจบกันที่ชานกลาง มีห้องโถงและมีห้องหับทั้งสองปีก โรงเรือนนี้เดิมคงจะทาสีเขียวสด แต่ถูกฝนชะแดดเลียไปตามฤดูกาลจึงกลายเป็นสีเขียวนวล มีป้ายใต้หน้าจั่วเขียนว่า ที่ว่าการอำเภอบางปลา
ถัดจากนั้นไป แลเห็นหลังคาโบสถ์และเจดีย์
หน้าอำเภอมีโป๊ะลูกบวบ คือไม้ไผ่มัด ปูกระดานข้างบน มีแผ่นกระดานเดินขึ้นฝั่ง เรือไม่จอด แต่ไปจอดฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นท่าตลาดโป๊ะปูนแข็งแรงเพื่อส่งสินค้า
อดีตนายอำเภอแห่งแม่น้ำบอกความรู้รอบตัวแก่ลูกๆ ว่า
อำเภอนี้ทางการจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบางเลน นี่อยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม
ก็ไม่มีลูกคนใดสนใจ นอกจากแม่ปรายคนเล็กซึ่งอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแม่น้ำ จึงถามว่า
เปลี่ยนทำไมคะ
เดิมชื่อบางยุง เปลี่ยนมาเป็นบางปลา ก็ไปคล้องกับบางปลาม้าที่สุพรรณของเรา ก็จะเปลี่ยนเป็นบางเลน ตลาดที่เรือกำลังจะจอดนี่มีคนมากกว่าฝั่งอำเภอ
ชายหนุ่มเชิ้ตขาวกางเกงแพรสีนวลผู้จดคำร้องของเด็กจ้อยมองนาฬิกาเรือนกลมในตู้กระจกที่เสากลางลำเรือแล้วจดลงสมุดว่า
๕ โมงเช้าถึงอำเภอบางปลา
เขาชื่อบรรจง วัย ๒๒ เพิ่งได้นามสกุลที่เจ้าเมืองสมุทรสาครตั้งไว้ให้ว่า สาครขนาน ทั้งนี้ เพราะเขาเคยเป็นเสมียนสรรพากรของจังหวัดนั้น ท่านจึงให้คำว่า สาคร ไว้เป็นรหัสของท่าน ส่วนคำว่าขนาน ก็มีความหมายว่าเรียกขานหรือขนานนามให้
แต่บรรจงไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขในแถบถิ่นนี้ เขาเป็นลูกแม่น้ำเจ้าพระยา ปากอ่าวเมืองสมุทรปราการที่เรียกว่าปากน้ำ พ่อของเขาเป็นลูกจีน เป็นช่างทองผู้มีฝีมือและร่ำรวย แม่เป็นไทยแท้ ลูกกรมการจังหวัด และทำโป๊ะจับปลา เลือดน้ำเค็ม
เขาจุดบุหรี่สูบ เปลวไฟจากหัวไม้ขีดก็จุดความหลังอันน่าตระหนกตกใจเมื่อครั้งอายุ ๑๕ ลุกพรึ่บขึ้น...
ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้โว้ย...
เสียงตะโกนบอกต่อๆ กัน จากตรอกเล็กๆ ในตลาดปากน้ำเสียงนี้กระพือเข้าไปในโรงเรียนวัดกลาง ซึ่งครูปล่อยนักเรียนทั้งหมดกลับบ้านทันที
เด็กชายอายุ ๑๔ เรียนชั้นประโยคสาม เฮตามเพื่อนอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเห็นกลุ่มควันดำคละคลุ้งอย่างน่ากลัวเหนือแถบถิ่นบ้านของเขาก็วิ่งอย่างตระหนกตกใจกลับบ้าน ไฟกำลังไหม้ห้องแถวไม้สองชั้น ลมทะเลโกรกเบาๆ ทำให้ไฟลุกลามพึ่บพั่บ ควันทึบร้อนอุ้มธุลีเศษไม้ปลิวว่อน ทั้งเศษเถ้าเศษไฟไปติดหลังคาบ้านติดต่อกัน
ชาวตรอกกำลังอลหม่าน วิ่งออกวิ่งเข้า หนีไฟและขนของ คนที่มีสติดี ๒-๓ คน ตะโกนให้ช่วยกันตักน้ำจากคลองมาดับไฟ ผู้คนแตกตื่นขนตู้ แบกที่นอน อุ้มโอ่งด้วยแรงตกใจ ออกจากตรอกซึ่งสับสนเป็นเทือกด้วยน้ำด้วยโคลนที่เกิดจากน้ำหกเรี่ยราด แต่ไฟก็ไม่ดับ
ใครเลยจะทุกข์ร้อนเท่านายช่างทอง เขากวาดทองรูปพรรณส่วนหนึ่งลงกำปั่นเหล็ก ลากออกมาด้วยเรี่ยวแรงของคนที่เคยทำแต่งานเบา เมื่อเห็นลูกชายวิ่งกลับมาจากโรงเรียน เขาก็สั่งให้นั่งทับกำปั่นไว้ ตัวเขาพรวดเข้าไปช่วยเมียเก็บสมบัติอีกรอบหนึ่ง
เด็กหนุ่มร้องด้วยเสียงที่ตนเองไม่เคยได้ยินเมื่อฝาห้องพังยวบพับเข้าไป หลังคาบ้านยุบทับลงมา เขาโผเข้าไปในกองเพลิงตามพ่อแม่ของเขา
มือใหญ่มือหนึ่งตะปบไหล่กระชากไว้รุนแรงจนคอเคล็ด เขาถูกกอดไว้ เขาเห็นจีวรพระเต็มหน้า แล้วเขาก็สำลักควันลูกใหญ่ที่เกิดจากความดันของฝาและหลังคา...หมดสติ!
กำปั่นสมบัติที่พ่อให้เขานั่งทับไว้ ถูกมือมืดแบกหายไปในฝูงคน
ลูกชายช่างทองผู้ที่ฐานะดีกลับกลายเป็นเด็กกำพร้ายากไร้ไปในพริบตา หลวงพี่ผู้ดึงเขาไว้จากกองไฟต้องเอามาประคบประหงมที่วัดหลายวัน จึงจะโงหัวขึ้นจากไข้ที่เกิดจากความเสียขวัญ
พวกญาติๆ จัดการศพพ่อแม่ของเขา แต่หลวงพี่จัดการกับชีวิตของเขาโดยปลอบโยนและเคี่ยวเข็ญให้เรียนต่อจนจบประโยค ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของจังหวัดนอกกรุงเทพฯ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนเข้าเรียนต่อในกรุงเทพฯ บางคนสอบชิงทุนได้ไปเรียนเมืองนอก แต่เขาต้องติดตามหลวงพี่ข้ามจังหวัดมาอยู่วัดที่สมุทรสาคร
หลวงพี่มีเส้นสายฝากเขาเข้าเป็นเสมียนฝึกหัดสรรพากร หนุ่มบรรจงก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ๒-๓ ปี ได้บรรจุเป็นเสมียนสามัญ ถูกย้ายจากตัวจังหวัดไปเริ่มชีวิตราชการในอำเภอกันดาร
ปลายปี ๒๔๖๐ มณฑลนครชัยศรีเปิดการสอบคัดเลือกปลัดอำเภอสำรอง เขาขออนุญาตเจ้านายมาสมัครสอบ และสอบได้ บรรจุเป็นปลัดสำรองอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
คุณคะ คุณพ่อให้มาขอไม้ขีดสัก ๒-๓ ก้านค่ะ
เด็กหญิงปรายคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลุกเขาขึ้นมาจากภาพอดีต
บทกวีการเมือง...โลกขณะของสายน้ำ
โทษสถานที่อยากไป : ตอนที่ 1 - 2 ..... กั ง ต็ อ ก
//www.matichon.co.th เจ้าพ่อ : ตอนที่ 1-3 ; มติชนออนไลน์
Create Date : 25 ตุลาคม 2554 |
|
1 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2554 12:59:56 น. |
Counter : 1421 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |
ขอบคุณนะคะ ขุนเพชรขุนราม