Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
25 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 
เรื่องของนายฉ่อยโต้กับนายสาทิส ภูมิชีวิต (1-2)


เรื่องของนายฉ่อยโต้กับนายสาทิส ภูมิชีวิต (1-2)

อย่างที่บอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นแหละครับ เรื่องของนายฉ่อยคนนี้ไม่ใช่เรื่องหรือจดหมายของคนคนเดียว แต่เป็นคำถามและข้อถกเถียงของเพื่อนหลายคน ซึ่งเราคุยกันเกี่ยวกับ IMMUNE SYSTEM หรือ I.S.

เพื่อนๆที่คุยกันนี้ส่วนมากเป็นเพื่อนสนิท แต่บางคนก็เป็นกลุ่มสมาชิกชีวจิตซึ่งสนใจในการปฏิบัติตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและสุขภาพโดยรวมดีขึ้น

เมื่อก่อตั้งชีวจิตใหม่ๆ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก และก็ถูกต่อต้านมาก แต่เมื่อหลายคนไปปฏิบัติได้ผล แต่ก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวแก่ I.S. เราจึงได้จัดตั้งกลุ่มเสวนาขึ้น

จดหมายจากนายฉ่อยและของผมเองเป็นผลพลอยได้ เนื่องมาจากเสวนาต่างๆ

เหล่านั้น เมื่อตอนที่พิมพ์เป็นเล่มนั้น ผู้อ่านฮือฮาชอบกันมาก

ลองอ่านให้ครบทุกๆตอนนะครับ จะมีความเข้าใจในเรื่อง I.S. ดีขึ้นมากจริงๆ


ไอ้เรื่องภูมิชีวิตของนายน่ะก็ท่าจะดีอยู่หรอก แต่อ่านไปแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ ทำไมนายจะต้องทำท่าว่าเป็นนักวิชาการตัวเอ้ ศัพท์แสงภาษาต่างประเทศแพรวพราว อ่านแล้วมืดหน้ามัวเป็น

นายเองก็ถูกต่อว่ามาหลายหนแล้วไม่ใช่รึ ไอ้เรื่องใช้ศัพท์แสงอวดวิเศษของนายนี่แหละ แต่ยิ่งโดนต่อว่าก็ดูเหมือนยิ่งยุ นายยิ่งเขียนเรื่องศัพท์แสงมโหฬารพันลึกมากยิ่งขึ้น ตาสีตาสาอย่างฉันก็ยิ่งหน้ามืดตามัวหนักขึ้น พุทโธ่เอ๊ย จะเอากันไปถึงไหนกันแน่ว้า



ที่เขียนหนังสือฉบับนี้มาก็ไม่มีอะไรหรอก มีจุดหมายอยู่สองประการ
คือ ประการที่หนึ่ง ต้องการจะเล่าเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยให้ฟัง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิชีวิตของนายที่โม้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และ ประการที่สอง อยากจะแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะต้องเขียนเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งเฉียดเรื่องวิชาการ หรือว่าที่จริงก็เป็นเรื่องวิชาการอย่างเหลือเกินอย่างนี้น่ะ ฉันไม่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศแม้แต่คำเดียวก็ยังได้ และเมื่อเขียนออกมาแล้ว ไอ้คนชั้นบนๆหัวกะทิ ด็อกเตอร์หรือไม่ด็อกเตอร์ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี คนที่นอนแบกะดินอย่างฉันก็ยังเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งกว่าพวกหมวกทรงสูงหูกระต่ายพันคออย่างพวกนายเสียอีก

เรื่องมันก็ไม่มีอะไรมาก ฉันไปบ้านนอกมา จะเรียกว่าบ้านนอกหรือนอกบ้านมันก็ไม่ตรงนัก เรียกว่าครึ่งป่าครึ่งบ้านคงจะได้ เพราะว่าบ้านนอกที่ฉันพูดถึง ส่วนที่เป็นป่ามันก็เป็นป่าเชิงเขา เป็นป่าที่ตกแต่งแล้ว เพราะอยู่ติดกับวนอุทยานของหลวงท่าน อีกครึ่งหนึ่งเป็นบ้านเล็กๆของญาติฉันเอง ต้นไม้เยอะ แต่เป็นต้นไม้ป่าดั้งเดิมเสียเป็นส่วนมาก มีป่าตะขบลูกแดงเถือกเป็นดงของนกน้อยใหญ่ ตั้งแต่ตัวเล็กๆขนาดนกกระจิบสีสวยแพรวพราว แต่ร้องเสียงดังเป็นบ้า จนถึงนกใหญ่ขนาดนกยางขาวขนเรียบร้อยดูดี มาหลบร้อนอยู่ใต้ต้นตะขบ แถมยังมีเจ้านกกะปูดตาแดงสีน้ำตาลหางดำมาร้องปูดๆตาถลนตั้งแต่เช้ามืดอีกหลายตัว มันจะมากินลูกตะขบเหมือนนกอื่นๆหรือเปล่าฉันไม่ทราบ ฉันรู้แต่ว่านกมันเยอะเหลือเกิน ตลอดทั้งวันเป็นพันตัวทีเดียวเจียว

แล้วฉันไปทำไมนะหรือ อ้าว ก็นายเป็นคนคุยโม้ไม่ใช่หรือว่า สมาธิหรือการใช้วิธีผ่อนคลาย หรือคลายเกร็งให้กับร่างกายนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มภูมิชีวิตให้กับร่างกายได้ นายโม้ไว้อย่างนี้ใช่ไหมล่ะ

เอาล่ะ ฉันก็รู้สึกสนใจ อยากจะหาที่สงบๆเป็นธรรมชาติฝึกเรื่องสมาธิและการผ่อนคลายดูมั่ง เป้าหมายสำคัญที่สุดของฉันก็คือ ฉันอยากจะให้ภูมิชีวิตของฉันดีขึ้น ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังแย่ เหมือนคนแก่ที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด

เมื่อสามเดือนก่อนฉันเป็นไข้หวัด ก็นึกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา เป็นแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร พักผ่อนให้มากๆ นอนมากๆ กินอาหารอ่อนๆ ตามด้วยวิตามินและฟ้าทะลายโจร สักห้าวันสิบวันมันก็คงจะหายไปเอง

แต่เชื่อไหมว่า ห้าวันสิบวันที่คิดไว้ว่ามันจะหายนั้น มันผิดไปหมด ฉันรู้ตัวว่าฉันใกล้จะตาย ไข้ขึ้นสูงทุกวัน หายใจไม่ออก ไอหนักตลอดวัน เจ็บหน้าอกและเจ็บไปหมดทั้งตัว

มิหนำซ้ำยังคลื่นไส้ อาเจียน ท้องก็ปวดและมีลมดันจนดูเหมือนคนพุงโร เอ! นี่เป็นอะไรกันแน่ มันทำท่าจะไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาเสียแล้ว และอาการของมันทำไมจึงแปลกประหลาดพิสดารดีเหลือเกิน มีทั้งอาการไข้หวัด ไข้เลือดออก ปอดบวม เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ปวดทั้งตัว ยุ่งกันไปหมด ข้อสำคัญก็คือว่า จากวันนั้นมาถึงวันที่ไปบ้านนอก เกือบสามเดือนกว่าแล้ว ฉันก็ยังไม่หายดี น้ำหนักลด 5 กิโลกรัม ไม่มีแรง เดินตัวปลิวเหมือนคนขี้ยา

จนกระทั่งได้ลองไปสอบถามผู้รู้ดู พร้อมกับได้อ่านรายงานเกี่ยวกับไข้หวัดสมัยนี้ จึงได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไข้หวัดมันพัฒนาตัวเองขึ้นมาก ไม่เหมือนไข้หวัด ใหญ่อย่างแต่ก่อน มันเอาไข้ชนิดต่างๆซึ่งมีเชื้อโรคคล้ายๆกันมารวมกันเป็นพันธมิตร แล้วก็พัฒนาตัวเองเป็นกลุ่มใหม่ขึ้นมา มีทั้งไข้เลือดออก ไข้จากเชื้อตัวสำคัญในระบบหายใจ แม้กระทั่งไข้หวัดจากแอฟริกาก็มารวมอยู่ด้วย มันปนเปเละเทะเหลือประมาณ จนฉันอยากจะเรียกว่า ไข้ยำใหญ่มากกว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ด้วยซ้ำไป

ที่ฉันแปลกใจก็คือ เชื้อไข้หวัดใหญ่นั้นเป็นเชื้อไวรัส ส่วนเชื้อในคอและทรวงอกนั้นเป็นแบคทีเรียและเชื้อรา แล้วเจ้าสองก๊กสามก๊กนี้มันมารวมกันเป็นไข้ยำใหญ่ได้อย่างไร น่าคิดนะ หรือว่าสมัยนี้พวกนักกินเมือง เสือสิงห์กระทิงแรดมันรวมตัวกันซัดชาวบ้านถึงกับตายซากเป็นแถวๆได้แล้ว เจ้าเชื้อต่างๆพวกนี้เลยเอาอย่างบ้าง รู้จักรวมตัวฮั้วกัน จะได้เล่นงานชาวบ้านตาดำๆอย่างพวกฉันให้มันตายกันง่ายขึ้น สะใจโก๋ดีไหมล่ะ

ก่อนจะมาบ้านนอกคราวนี้ ฉันไปเจาะเลือดดู ปรากฏว่าผลของเลือดต่ำกว่าปกติหลายตัว เลยเป็นอันยืนยันกับความรู้สึกที่ว่าหมดแรงเดินเหมือนคนขี้ยาได้ชัดแจ้งว่า ภูมิชีวิตของฉันคงจะต่ำอย่างเหลือเกินแล้วขณะนั้น

นี่ก็คงตรงกับทฤษฎีของนายแล้วใช่ไหมว่า ถ้าภูมิชีวิตดี เราก็จะไม่ป่วย ถ้าเราป่วย ภูมิชีวิตของเราก็ต่ำหรือไม่เหลือเลย นายว่าไว้อย่างนั้นใช่ไหม

ที่ฉันพูดถึงทฤษฎีภูมิชีวิตแบบของนายนี่ ขออย่าได้ทำหัวพองโตนึกว่ากูแน่เป็นอันขาด เพราะเรื่องของภูมิชีวิตไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องของนายโดยเฉพาะ นายเป็นแต่เพียงไปค้นคว้าของเก่ามารวบรวมให้ดูเป็นของใหม่ขึ้นมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นขออย่าได้บังอาจทำตัวเป็น “โก๋เบ่ง” ต่อไป หน้าตาอย่างนาย ไม่มีใครเชื่อถือกันง่ายๆหรอก

และก็เพราะอย่างนี้ ฉันถึงได้ตั้งอกตั้งใจว่าจะมาพักผ่อนรักษาตัวที่บ้านนอกของญาติฉันนี้ ฉันลองพิจารณาดูแล้วเห็นว่าน่าจะพิจารณาดูสูตรการปรับปรุงตัวเอง ซึ่งนายเขียนไว้ด้วยใจเป็นธรรมสักนิด เรื่องประโยชน์ที่จะได้นั้น จริงหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่เมื่อยังมองไม่เห็นว่ามันมีอันตรายอะไรเลย ฉันก็คิดว่าน่าจะลองทำดู และฉันก็ตั้งใจว่าจะทำด้วยความมีใจกว้าง โดยขจัดอคติออกไปให้หมดสิ้น ฉันเตรียมเรื่องอาหารก่อน ได้ผู้ช่วยหลายคนซึ่งเขาไปจัดการซื้ออาหารตามสูตรของนายมาให้ ทำให้หายกังวลไปเยอะ

แม่บ้านของญาติฉันเขารับจัดการเรื่องอาหารและ “น้ำข้าวสารพัดอย่าง” ให้ ฉันไม่ชอบภาษาต่างประเทศที่นายตั้งชื่อขึ้นมาเสียโก้ และก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใช้ภาษาต่างประเทศแม้แต่คำเดียวในหนังสือฉบับนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่เรียกว่าน้ำชื่อโก้แบบของนาย แต่จะเรียกว่า “น้ำข้าวสารพัดอย่าง” อย่างนี้แหละ ใครจะทำไม ฉันทำของฉันเอง กินของฉันเอง ตั้งชื่อของฉันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร ก็จะเอาแบบนี้แหละ มีปัญหาหรือเปล่า?

ยังไม่จบนะครับ โปรดอ่านต่อฉบับหน้านะครับ.

**********
สาทิส อินทรกำแหง


เรื่องของนายฉ่อยโต้กับนายสาทิส ภูมิชีวิต (2)


อาทิตย์นี้ก็ยังต่อเรื่องราวจากอาทิตย์ที่แล้วนะครับ


กินน้ำข้าวสารพัดอย่าง แล้วก็กินอาหารตามสูตรเต็มที่ 3 มื้อ แถมด้วยน้ำสมุนไพรตลอดทั้งวัน ปรากฏว่าทุกคืนฉันนอนหลับเป็นตาย อากาศเชิงเขาบวกกับเสียงนกร้อง นอกจากจะทำให้หลับสบาย แล้ว ยังรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันใจดีเหลือเกิน

ฉันชอบนั่งริมสระน้ำใต้ต้นตะขบไป ค้นหนังสือกำลังภายในเก่าๆได้มาหลายเล่ม ตั้งใจจะเอาไปอ่านใต้ต้นตะขบด้วย แต่ยังไม่ทันจะอ่านก็มาได้คิดว่า อากาศมันสดชื่น ใต้ต้นตะขบก็ร่มเย็นสงบดี ทำไมไม่ลองทำชั่วโมงผ่อนคลาย และสมาธิให้ตัวเอง นายเห็นไหมว่า ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาต่างประเทศซึ่งนายคิดว่ามันโก้แบบของนายเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันใช้ภาษาไทยง่ายๆของฉันว่า “ชั่วโมงผ่อน คลายและสมาธิ” อย่างนี้แหละ นายเข้าใจหรือเปล่าล่ะว่าฉันหมายถึงอะไร

ฉันอดคิดในใจเงียบๆไม่ได้ว่า อยู่ใต้ต้น ตะขบอย่างนั้น เห็นเขาสูงทะมึนอยู่ไกลๆข้างหน้า ที่นายพูดว่า ให้ชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติและใช้ชีวิตง่ายๆ เราน่าจะลองดูของจริงสักหน่อยว่า เราใช้ชีวิตเพียงแวบเดียวกับธรรมชาติอย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้น

ขยับตัวไปหน่อยก็พ้นเสื่อ ฉันลองนอนแผ่เต็มที่บนพื้นดิน รู้สึกแปลกๆ ดินแข็งเป็นเม็ดๆเจ็บหลังหน่อยๆ แต่พอเราแผ่ตัวเรากางออกไปเต็มที่มันรู้สึกสบายบอกไม่ถูก อาการเจ็บหลังหายไปเลย รู้สึกเหมือนมีใครมานวดหลังเราให้อย่างนั้นแหละ

ฉันเริ่มหายใจแรงๆ แล้วก็ปล่อยลมหายใจออกมาจนหมดปอด ลองคลายเกร็งแขน ขา ต้นคอ ช่องท้อง และหน้าอก ต่อจากนั้นฉันก็หายใจเบาๆตามปกติ ตั้งใจว่าจะผ่อนคลายแล้วก็ลองฝึกนอนสมาธิดู

ที่ไหนได้ มารู้ตัวอีกที ปรากฏว่าหลับไปแล้วชั่วโมงกว่าๆ เป็นการหลับสนิทตอนกลางวันซึ่งฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย นอนกลางวันน่ะเคยนอนมาแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกหลับสนิทและสบายอย่างนี้ มิหนำซ้ำ รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงเหมือนกับเจ้าโรคไข้ยำใหญ่มันหายอันตรธานไปหมดแล้ว

ตั้งแต่วันนั้นมา ชีวิตใหม่ของฉันก็เริ่มเข้า รูป ฉันคิดว่าฉันจะอัดพลังใหม่ใส่ตัวฉันได้แน่ นอน ตื่นแต่เช้า ออกกำลัง เดินบ้างวิ่งบ้าง กินอาหาร อร่อย และกินเต็มที่ รู้สึกว่าอาหารยิ่งง่ายเท่าไหร่ ยิ่งกินได้มากเท่านั้น กินแล้วก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรง

ตอนสายๆฉันก็ไปนอนใต้ต้นตะขบ อ่านหนังสือบ้างนอนหงายมองดูฟ้าดูก้อนเมฆลอยฟ่องไปมา บางทีฉันก็ทำชั่วโมง คลายเกร็ง บางทีก็ทำสมาธิ

ตกกลางคืน กินข้าวเย็น แล้วฉันก็ทำสมาธิ แล้วเข้านอน อย่างมากไม่เกินสามทุ่ม หลับดีเหลือเกิน เงียบเชียบ มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรร้อง ไม่มีเสียงวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์

ไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์ ฉันว่ามันวิเศษจริงๆ มันช่วยให้รู้สึกว่า เรานี้อิสระเสรีดีเหลือเกิน ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติเสียง สี และแสงของใคร อากาศสดก็ เป็นของเรา ฟ้ากว้างก็เป็นของเรา ดวงดาวระยิบระยับก็ของเรา เวลาเป็นของเราเหลือเฟือ จะทำอะไรก็ ทำได้ ไม่มีโทรศัพท์มาตามมากวน ทำไมชีวิตมันวิเศษอย่างนี้

ฉันก็แน่ใจว่าฉันสร้างชีวิตใหม่ฉันได้แน่ ทำท่าจะรู้สึกภูมิใจตัวเองเอามากๆเสียด้วย แต่ไอ้ความทะนงตัวว่ากูแน่นี่แหละคือ สาเหตุของกิ้งกือตกท่อ เพราะอีก 2–3 วันต่อมาก็ได้เรื่องเลย

แรกทีเดียวมันเป็นตุ่มแดงที่หลังเท้าใกล้กับหัวแม่เท้า แล้วมันคัน พอคันเราก็เกา พอรุ่งเช้าตุ่มที่เราเกาก็แดงบวม แล้วแตกเป็นแผล

ตอนที่เป็นตุ่มแดง ฉันพยายามนึกว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เห็นว่าเป็นเพราะสองสาเหตุคือ ถ้าไม่ใช่ยุงกัดก็เหลือบกัด

ยุงที่นั่นตัวเล็กๆ เวลากัดมันทั้งแสบทั้งคัน แต่มันก็ไม่น่าจะตุ่มโตอย่างที่เป็นอยู่นี้ และยุงกัด หลายครั้งแล้วเราเกาบ้างลูบบ้าง มันเป็นลายอยู่หน่อย ไม่กี่วันก็หายไป เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่ตุ่มยุงแน่

ถ้างั้นก็เป็นตุ่มจากเหลือบ เห็นแม่บ้านของญาติฉันเขาบอกว่า ตั้งแต่กรมทหารข้างหมู่บ้านเกิดเอาวัวกลุ่มเบ้อเร่อจากไหนไม่ทราบมาเลี้ยง ทั้งแมลงวันและเหลือบจากฝูงวัวก็เริ่มอาละวาดในหมู่บ้าน เจ้าเหลือบจากฝูงวัวนี้มันกัดเจ็บมาก บางครั้งกัดอย่างจั๋งหนับ ถึงกับเป็นแผลเลือดออกซิบๆ

ตอนแรกฉันก็นึกว่าแผลที่เกาถลอกนั้นคงไม่กระไรนัก เลยเอาปลาสเตอร์มาปิดแผลไว้ และวันต่อมาก็บังเอิญมีธุระต้องไปใน เมือง ฉันเลยต้องใส่ถุงเท้ารองเท้าอบแน่นตลอดวัน

พอรุ่งเช้าแผลที่ตุ่มก็บวมโต ทั้งเท้าและขาพร้อมอกพร้อมใจบวมตามไปด้วย ที่ยอดของตุ่มเป็นวงขาว แสดงว่าเริ่มกลัดหนองแล้ว

รุ่งขึ้นวงขาวที่หัวตุ่มยิ่งโตขึ้น ขาและเท้าก็ปวดมากขึ้น ตัวอุ่นๆทำท่าจะเป็นไข้ เอ ชักจะไม่ค่อยดี มันจะเอายังไงของมันแน่

ฉันรู้ว่าที่แผลกลัดหนองนั้น มันคงจะเกิดเชื้ออะไรเข้าแล้ว มันทำท่าจะเป็นฝี แต่ก็เป็นฝีไม่ได้ เพราะหลังเท้านั้นเนื้อมันบาง ถัดจากเนื้อไปนิดเดียวก็ถึงกระดูกเท้า จะมีเนื้อมีหนังหรือมีต่อมน้ำเหลืองนั้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นมันจะกลายเป็นฝีก็ไม่ได้ ได้แต่เป็นแผลกลัดหนองบวมเป่งอยู่อย่างนั้น จะทายา อะไรก็ยังทาไม่ได้ เพราะปากแผลยังปิดอยู่

ฉันตกลงใจว่าจะทำอะไรก่อน ต้องสะกิดปากแผลให้มันเปิดเสียก่อน จัดแจงไปหามีดปลายแหลมคมๆเผาไฟฆ่าเชื้อ แล้วก็แช่แอลกอฮอล์ จากนั้นฉันก็ทำความสะอาดแผล เอาปลายมีดสะกิดอย่างรวดเร็ว หนองข้นๆสีเหลืองพุ่งจู๊ดออกมาทันที

เรื่องสะกิดแผลด้วยมีดนี้ฉันมือไวมาก นายคงจำได้ สมัยที่เราต้องเข้าห้องทดลองด้วยกัน จะผ่ากบ ผ่าหนู หรือกระต่าย ฉันทำได้รวดเร็วและมั่นคงกว่าคนอื่น เมื่อจะมาทำให้ตัวเอง ก็รู้ว่ายิ่งเร็วและแน่นอนเท่าไหร่ ก็จะเจ็บน้อยเท่านั้น

สะกิดแผลคราวนี้ บอกได้ว่าไม่รู้สึกเจ็บเลย หนองทะลักออกมาแล้ว ยังบีบหนองให้ตามออกมาอีกจนหมดหนอง หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดเอายาแดงทา เพราะยาอย่างอื่นไม่มี ฉันมีหลอดยา ปฏิชีวนะจากเมืองนอก แต่ได้ตั้งใจว่าจะไม่แตะต้องยาปฏิชีวนะ เลยคิดว่าเพียงแต่ยาแดงแล้วก็ปิดผ้าปิดแผล แล้วตามด้วยปลาสเตอร์ แค่นั้นน่าจะใช้ได้แล้ว

มันก็ทำท่าจะใช้ได้จริงๆ แผลหายปวดเป็นปลิดทิ้ง บวมก็ลดลงกว่าครึ่งจนเห็นได้ชัด ตัวเย็น หายไข้ รู้สึกเป็นปกติ

คืนนั้นหลับสบาย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาเอาอีกแล้ว เปิดผ้าปิดแผลออก ปากแผลปิดสนิท แต่ทำท่าจะเป็นหัวฝีกลัดหนองแบบเก่า ตุ่มแดงโตกว่าเดิม ขาบวม เท้าบวมอีก และแน่นอนตัวร้อนเป็นไข้อีกตามเคย

คราวนี้แน่ใจแล้วว่าเป็นแผลติดเชื้อ และ หนองเหลืองข้นเช่นนั้นทำให้เราแน่ใจว่าเป็นเชื้ออะไร และฉันคงจะเสียท่านายตรงที่ว่า จะไม่ใช้ภาษาต่างประเทศในหนังสือฉบับนี้ แต่ตอนนี้คงจะต้องใช้เสียแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่

แต่ถึงจะต้องใช้ เราก็จะใช้อย่างย่อๆเมื่อสมัยเรียนด้วยกัน เรารู้จักเจ้าเชื้อวายร้ายอยู่สองตัวว่ามันดื้อด้านและอยู่กับตัวเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เชื้อสองตัวนี้เรียกสั้นๆว่า สเตร็ปและสแตฟ ชื่อเต็มฉันก็รู้ดี นายก็รู้ดี แต่ฉันไม่เรียก ฉันจะเรียกย่อๆตามภาษาที่นักเรียนแพทย์เขารู้จักกันดีอย่างนี้แหละ

ยังไม่จบนะครับ โปรดอ่านต่อฉบับหน้านะครับ.

*********
สาทิส อินทรกำแหง


credit : //www.thairath.co.th


Create Date : 25 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2554 7:21:55 น. 0 comments
Counter : 716 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Rain_sk
Location :
Upper Midwest United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]





"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล
คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง
เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น"
ขุ.ธ. 25/15/24
เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557



BlogGang Popular Award # 9


BlogGang Popular Award # 10


BlogGang Popular Award # 11


BlogGang Popular Award # 12


Friends' blogs
[Add Rain_sk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.