Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
29 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
▶ แกะรอยคัมภีร์ฉบับคนกันเอง ภาค 1-2 ..




คลิ๊กดูภาพขนาดจริง

คัมภีร์ปรัชญาจีน : จาก “ขงจื่อ” ถึง “เหมาเจ๋อตุง”

หนังสือ “ปรัชญาจีน จากขงจื่อถึงเหมาเจ๋อตง” เขียนโดยเฝิงอิ่วหลัน ศาสตราจารย์ผู้สอนวิชาปรัชญาจีนให้กับชาวตะวันตก แปลและเรียบเรียงโดย ส.สุวรรณ

ท่วงทำนองการเขียนเป็นการร้อยเรียงให้เห็นถึงปรัชญาจีนในความสำคัญด้านต่างๆ โดยย่อ ไล่ไปเรื่อย อาทิ ขงจื่อ ม่อจื่อ เมิ่งจื่อ เหลาจื่อ จวงจื่อ สวินจื่อ หานเฟยจื่อ กระทั่งถึงซุนจงซันและเหมาเจ๋อตง


แต่ถึงกระนั้นก็ตั้งต้นที่ปรัชญาของขงจื่อเป็นหลัก แล้วค่อยตามด้วยปรัชญาสำนักอื่นๆ ที่แสดงความเห็นต่างไปจากขงจื่อ หรือโดยนัยหนึ่งก็คือแนะแนวให้ชาวตะวันตกเข้าใจรากฐานความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของจีน ผ่านรูปแบบทางความคิดหรือระบบปรัชญาที่มีอิทธิพลเป็นอย่างสูงต่อสังคมจีน


อนึ่ง เมื่อเพ่งนาม “ขงจื่อ” และ “เหมาเจ๋อตง” คนหนึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ซึ่งระบบปรัชญาของขงจื่อนั้นได้กลายเป็นเนื้อหาทางวัฒนธรรมที่ห่อหุ้มคนจีนเอาไว้ด้วยกัน ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำการปฏิวัติคนสำคัญ


ทว่ารากฐานการดำเนินชีวิตทางวัฒนธรรมก็เปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก และยังคงอยู่ในแนวทางของขงจื่อ ระบอบคอมมิวนิสต์ของจีนยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดในหมู่ประชาชน มิหนำซ้ำยังต้องส่งเสริมวัฒนธรรมหรือยกย่องขงจื่อขึ้นมาว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง


กลายเป็นว่าเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับไปสู่การอนุรักษ์ และอาจพูดได้ว่าขงจื่อประสบผลในการสร้างแบบอย่างของคนจีนขึ้นมา อิทธิพลทางความคิดของขงจื่อจึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาใคร่ครวญ

แนวคิดหรือปรัชญาของขงจื่อเป็นประการใด เมื่อต้องอธิบายให้ชาวตะวันตกเข้าใจ เฝิงอิ่วหลันก็ได้เปรียบเทียบกับนักปรัชญากรีกด้วย และได้ชี้แจงให้เข้าใจตั้งแต่ความหมายว่า “ปรัชญา” ของชาวจีนนั้นเป็นคนละความหมายกับปรัชญาชาวตะวันตก


“ปรัชญา คือความคิดที่คิดทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตอย่างเป็นระบบ คนทุกคนหากยังไม่ตาย ล้วนต้องอยู่ท่ามกลางชีวิตทั้งนั้น แต่คนที่มีความคิดทบทวนชีวิตนั้นมีไม่มาก คนที่ทบทวนใคร่ครวญชีวิตอย่างเป็นระบบยิ่งมีน้อย”


ดังนั้น ปรัชญาจีนจึงอิงอยู่กับการคิดเกี่ยวกับชีวิต หรือไม่ก็เป็นการวางระบบชีวิต นักปรัชญาชาวตะวันตกจึงเห็นว่าชาวจีนสนใจปรัชญาในแง่ที่เป็นศาสนาน้อย


“คนจีนไม่ได้ถือความคิดทางศาสนาและกิจกรรมทางศาสนาเป็นส่วนสำคัญที่สุดและน่าหลงใหลที่สุดในชีวิต พื้นฐานจิตวิญญาณของวัฒนธรรมจีนคือจริยธรรม มิใช่ศาสนา”


ปรัชญาของชาวจีนจึงเป็นเรื่องทางโลกหรือทางสังคม


นักปราชญ์จีนได้จำกัดความบุคคลที่เป็นอุดมคติไว้ว่า


“คนมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีความสำเร็จสูงสุดของประเภทนั้นๆ เช่นคนที่ทำกิจกรรมทางการเมือง ความสำเร็จสูงสุดที่เขาอาจได้รับคือรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ คนที่ทำกิจการทางศิลปะ ความสำเร็จสูงสุดที่เขาอาจได้รับคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่


“แม้คนจะมีหลายประเภท แต่คนประเภทต่างๆ ก็คือคน หากพูดจำเพาะคนคนหนึ่ง ความสำเร็จที่เขาอาจได้รับคืออะไรเล่า นักปรัชญาคงจะตอบว่า อริยบุคคลหรืออริยปราชญ์ (เซิ่งเหยิน) ซึ่งก็คือผู้ที่รวมส่วนตัวเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาล”


น่าจะหมายถึงคนที่สามารถรวมตัวเองเข้ากับทุกคน ทั้งสุขหรือทุกข์ก็ไม่แยกห่าง การแก้ปัญหาก็ไม่แยกระหว่างเรื่องของตัวเองหรือเรื่องของผู้อื่น เพราะผู้อื่นก็คือตัวเอง และตัวเองก็คือผู้อื่น



ดังนั้น ปรัชญาจีนโดยเฉพาะขงจื่อจึงเป็นระบบจริยธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นหลัก




คลิ๊กชมภาพขนาดจริง

แกะรอยคัมภีร์ฉบับคนกันเอง ภาค 2

คัมภีร์ผีและเทวดา: นาม และ รูป ของศาสนา



  พุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางความหลากหลายของศาสนาพราหมณ์ หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่าเป็นกิ่งก้านที่แตกออกมาจากรากกำเนิดเดิมของอารยธรรมอินเดีย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ศาสนาพุทธในอินเดียก็ผสมผสานปรุงแต่งไปเป็นหลายๆ นิกาย
ขณะที่ในสังคมอินเดียปัจจุบัน ศาสนาพุทธเกือบสูญสลายไปจากรากกำเนิดเดิม เหลือเพียงปรัชญา แต่กระนั้นก็ได้ไปแตกหน่อเจริญงอกงามอยู่ในหลายประเทศทั่วทวีปเอเชีย
ไมเคิล ไรท์ ผู้เขียนหนังสือ “ฝรั่งคลั่งผี” ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างผี พราหมณ์ และพุทธ ไว้อย่างน่าสนใจ
คำว่า “ฝรั่งคลั่งผี” โดยนัยของไมเคิล ไรท์ ยังหมายถึงว่า เขาเป็นฝรั่ง
แต่กลับไม่ชอบวิธีการของพวกฝรั่งที่กดขี่คนพื้นเมืองไว้ด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่ศิวิไลซ์ แล้วก็ชังน้ำใจคนไทยที่ยกย่องความศิวิไลซ์ โดยรังเกียจต่อรากเหง้าพื้นถิ่นของตัวเอง
และบอกว่า “อารยะ” เป็นคำอันตรายที่ใครๆ เข้าใจผิด
“ความเข้าใจผิดในคำว่าอารยะนี้นำไปสู่ความฉิบหายทางปัญญาโดยชักจูงให้หลายกลุ่มชนหลงใหลในเรื่องเชื้อชาติ ยกย่อง (หรือดูถูก) ชาติของตน และยกย่อง (หรือเบียดเบียน) ชาติอื่นอย่างไร้เหตุผล”
ด้วยเหตุนี้ ไมเคิล ไรท์ก็เลย “คลั่งผี” มากกว่า คือมีความลุ่มหลงพึงพอใจต่อวัฒนธรรมความเชื่อในสังคมดั้งเดิมที่ยังดิบ บริสุทธิ์ และไม่ถูกปรุงแต่งแบบสังคมอริยะ เขาเรียกวัฒนธรรมพื้นถิ่นว่า “ผี” เพราะคนพื้นถิ่นนับถือผี ซึ่งมีลักษณะดิบ เถื่อน โหดร้าย
ผีในสังคมอินเดียส่วนมากจะเป็น “เจ้าแม่” เพราะลักษณะภูมิประเทศเป็นลุ่มแม่น้ำ ทำการเกษตรเป็นหลัก
การนับถือเจ้าแม่ดิน ซึ่งเป็นผีของชาวพื้นเมือง ต้องสักการะด้วยการสังเวยบูชายัญสิ่งมีชีวิตเพื่อให้เก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ เพราะว่าทุกอย่างถือกำเนิดงอกงามขึ้นมาจากผืนแผ่นดิน ต้องทำให้เจ้าแม่พึงพอใจจึงจะได้รับผลการเพาะปลูกที่ดี
ส่วนใหญ่สังคมพื้นถิ่นจะนับถือเจ้าแม่ดิน ก่อนที่จะถูกทำให้เป็นสังคมศิวิไลซ์หลังการมาถึงของพราหมณ์ ซึ่งยกย่องเทพเจ้าผู้ชาย และลิดรอนอารมณ์ดิบๆ ของเจ้าแม่ด้วยการทำให้กลายเป็นเทพีหรือชายาของเทพเจ้า
นัยหนึ่งก็คือ เปลี่ยนสถานะของเจ้าแม่ผู้มีอำนาจในตัวเองมาเป็นความเชื่องเมื่อมี “ผัว”
ไมเคิล ไรท์เล่าว่า เมื่อได้ไปท่องเที่ยวยังประเทศอินเดีย พบว่าตำนานของเทวสถานในแต่ละท้องถิ่นจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือเป็นเรื่องของเจ้าแม่ได้ “ผัว” หมายถึงตำนานการเข้ามาของชาวอารยันที่ต้องการกลืนชนพื้นเมืองโดยเอาเจ้าแม่ท้องถิ่นมาเป็นเมียเทพเจ้าของตน
เรื่องเล่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า
“ที่นี่แต่เดิมเป็นป่ามะตาด เจ้าแม่ขี่เสือเที่ยวหาเลือด คนจึงตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองไม่ได้ พญาทั้งหลายฟ้องถึงพระอิศวรบนเขาไกรลาส พระองค์จึงเสด็จลงมาปราบปรามเจ้าแม่และเอาเป็นเมีย แต่นั้นมาเจ้าแม่กลายเป็นนางทองที่สุภาพเรียบร้อยไม่กินเลือดคน ตั้งแต่ได้ตั้งลึงค์พระอิศวรไว้ที่นี่ชาวบ้านก็ได้ถางป่ามะตาดให้เป็นทุ่งนาเรือกสวน และก่อเป็นบ้านเมืองอันอุดมสมบูรณ์และมโหฬารที่เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน”
“เจ้าแม่ดิน” เป็นสิ่งสักการบูชาของสังคมบรรพกาลในอินเดีย ก่อนจะถูกพวกอารยันนำศาสนาพราหมณ์เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อเดิมเพื่อกลืนชนพื้นเมืองเหล่านั้นไว้ภายใต้การปกครองของตน เปลี่ยนจากการนับถือ “ผี” มาเป็น “พราหมณ์”

   วิธีการที่พวกอารยันใช้ก็คือ แนวคิดเรื่องความศิวิไลซ์ เปลี่ยนเจ้าแม่
ท้องถิ่นผู้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจและความเป็นตัวของตัวเองมาเป็นศรีเทวี
ของผัว เปลี่ยนความดิบสดเป็นการปรุงแต่งจริตภายนอก ลดทอนแก่นแท้
และแทนที่ด้วยการประดับประดา
  การปรุงแต่งนั้นทำให้เกิดความไม่มั่นใจในคุณสมบัติเดิมแท้ของตัวเอง ขาดความเป็นตัวของตัวเอง เป็นวัฒนธรรมที่มีแต่เปลือกนอก
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ไมเคิล ไรท์จะรักผีมากกว่า

ส่วนสังคมไทยพื้นถิ่นก็มีการนับถือ “ผี” มาก่อนเช่นกัน

เสฐียรโกเศศได้เล่าไว้ในหนังสือ ชีวิตชาวไทยสมัยก่อนและการศึกษาเรื่องประเพณีไทย ว่า ก่อนจะมี “พุทธ” คนไทยก็นับถือ “ผี”

“ไทยแต่เดิมนับถือผี ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังนับถืออยู่”
ค้นคว้าจากผู้รู้ไทย คำว่า “ผี” มาจากภาษามคธ คือ “ภีตะ” ซึ่งแปลว่า “เงา”
“ผี” ใช้เรียกสิ่งที่คนไม่อาจเข้าใจได้ด้วยปัญญาหรือเหตุผล
เสฐียรโกเศศให้ความหมายว่า ผีคือสิ่งลึกลับซึ่งมีสภาพเกินคนเพราะฉะนั้น ตามปกติแล้วผีจึงมีอำนาจเหนือคน อาจทำคนให้ได้ดีหรือให้ได้ร้ายก็ได้
เมื่ออิทธิพลของลัทธิพราหมณ์เข้ามาครอบ สังคมไทยก็เปลี่ยนไปในลักษณะเดียวกัน “ผี” ของเราก็เปลี่ยนไปด้วย
สำหรับคนไทยสมัยก่อนนั้น เสฐียรโกเศศว่าแม้แต่พระอินทร์ก็ถือเป็นผีด้วย คือรู้จักกันในนาม “ผีฟ้า” ซึ่งเป็นผีผู้เป็นใหญ่ในท้องฟ้า สำแดงตนด้วยเสียงฟ้าผ่าเอ็ดอึงเพื่อขับไล่ความแห้งแล้ง (อสูร) ให้หนีไป หลังจากนั้นฝนก็ตกลงมา ผีฟ้าจึงเป็นผีให้คุณ คือขับไล่ความแห้งแล้งด้วยการบันดาลให้ฝนตก
นอกจากนี้ก็ยังมีผีอยู่ในแทบจะทุกสิ่ง ผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเรือนผีปู่ย่าตายาย ฯลฯ
เรียกว่าสังคมมีความเคารพต่อสรรพสิ่งรอบตัว
พระอินทร์เพิ่งจะมาเปลี่ยนเมื่อรับเอาอิทธิพลของพราหมณ์ จาก“ผีฟ้า” ที่ไร้รูปลักษณ์หรืออยู่ในรูปของธรรมชาติ กลายมาเป็น “เทวดา” ที่มีรูปลักษณ์ เป็นบุคลาธิษฐาน มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น และมีนิสัยใจคอเหมือนมนุษย์
เกิดศาสนาที่มี “รูป” ให้เชื่อถือยิ่งกว่าศาสนา “ผี” ที่เป็นนามธรรม
เทวดาอื่นๆ ก็พลอยเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พร้อมกับสวรรค์ก็กลายเป็น
สถานที่ซึ่งสามารถจะใฝ่ฝันถึงได้ในความรู้สึกของคน
“สวรรค์” ตามคติของพราหมณ์นั้น เป็นประหนึ่งรูปจำลองความปรารถนาของคน คือกอปรด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ศฤงคาร และหญิงผู้บำเรอความรัก
นางฟ้าบนสวรรค์ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง หน้าที่หลักคือทำตามคำสั่งของพระอินทร์ ซึ่งอาจใช้ให้ไปคอยยั่วยวนตบะของฤษีให้หย่อนยานสิ้นฤทธิ์ เพราะพระอินทร์กลัวผู้บำเพ็ญฌานว่าจะมีฤทธิ์ตบะเหนือกว่าตน
เรื่องเล่าของเหล่าเทวดาในลัทธิพราหมณ์ฮินดูนั้นเข้าใจได้ง่ายในระดับการรับรู้ของคนส่วนมาก เพราะเป็นการจำลองเรื่องราวของมนุษย์อย่างเช่นเหล่าเทวดาก็มีกิเลสเหมือนๆ กัน และต่างหมายปองที่จะได้อยู่บนสวรรค์เช่นเดียวกัน
เรียกว่าเป็นศาสนาประชานิยม อย่างที่เสฐียรโกเศศบอกว่า “ใครๆ ที่
ยังปรารถนาอยู่ก็ถูกใจ ไม่เหหันไปนับถือศาสนาอื่น”
แม้แต่ลำดับชั้นเทวดาแบบพราหมณ์ ก็ยังมีเทวดาใหญ่บนสวรรค์และเทวดารองลงมาในโลกมนุษย์ เช่น เจ้าที่เจ้าทาง เทพาอารักษ์ หรือเทวดาประจำถิ่น ซึ่งต้องปลูกศาลให้อยู่ คอยถวายสิ่งของให้พอใจเพื่อคุ้มครองตน

ต่ำลงมากว่านั้นเรียกว่า “ผี” ผีของพราหมณ์มีตัวมีตนเช่นเดียวกับเทวดา แต่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัว เรียกรวมๆ กันว่าเป็นผีเลวหรือผีร้าย ซึ่งเป็นผีที่ไร้อำนาจ ได้แต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกคนเล่น มิได้มีฤทธิ์เดชให้คุณให้โทษกับใคร นอกเสียจากจะจับไข้หัวโกร๋นเพราะขวัญอ่อนไปเอง
พุทธศาสนาเข้ามาสู่สังคมไทย ด้านหนึ่งเป็นการดับความทุกข์ร้อน แต่อีกด้านก็เพื่อผ่อนความกลัว (ต่อผี)

ไมเคิล ไรท์ยังตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบตำนานเจ้าแม่ดินของอินเดียกับไทย สีสันเจ้าแม่ดินของอินเดียนั้นจะจัดจ้าน ดุร้าย เมื่อมีผัวก็หายดุร้าย กลายเป็นหญิงเรียบร้อย
ส่วนเจ้าแม่ดินแบบไทยๆ เช่น ผีนางนาคพระโขนงนั้นน่าสงสารนัก นอกจากจะตายทั้งกลม คือยังไม่ทันได้ให้กำเนิดวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาก็มีอันเป็นไปเสียก่อน แล้วก็ยังโหยหาอาลัยรักต่อผัว
วัฒนธรรมไทยจริงๆ แทบไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นตัวของตัวเองเหมือนอารยธรรมที่มีมาก่อนหน้า และสุดท้ายยังต้องเสียสละ ซึ่งเป็นการยอมแพ้ต่อศาสนาพุทธ เช่น นางนาคยอมแพ้ต่อ “พระ”

การนับถือ “ผี” เปลี่ยนเป็น “พราหมณ์” ได้ เพราะเสนอ “รูป” ขึ้นมาแทน “นาม” ทั้งสวรรค์ นรก เทวดา และผี มีการสมมุติกันขึ้นมาแล้วก็ครอบงำ ซึ่งส่วนใหญ่ความศรัทธาที่มีการปลูกสร้าง “รูป” ขึ้นมา จะมาพร้อมกับการปกครองเสมอ
การปั้น “รูป” มาแทน “นาม” นี่เอง พุทธศาสนาเห็นว่าเป็น “อวิชชา” และมีความพยายามที่จะคืนรูปกลับไปหลอมรวมกับนามหรือสัจธรรม ดังนั้น พระอินทร์ของพุทธศาสนาจึงไม่ได้เป็นอมตะ สามารถจุติลงมาเป็นมนุษย์ ถอดถอนจากตำแหน่งหัวหน้าเทวดา หรือถูกฤษีผู้มีตบะฌานสาปแช่งก็ได้ทั้งนั้น ตามกรรมจากผลที่ทำไว้
เพราะไม่มีสิ่งใดแน่นอนในชีวิตอันไม่เที่ยงของคนเรา เช่นเดียวกับนางนาคยอมรับในสัจธรรมของสุขทุกข์ที่อยู่เพียงชั่วครู่ยาม นางไม่อาจยึดมั่นต่อผัวไว้ได้ตลอดกาล จึงได้ปล่อยวางเสีย
“พุทธ” จึงเอาชนะ “ผี” ในสังคมไทย เพราะความเข้าอกเข้าใจและยอมรับด้วยเมตตา
ความนับถือต่อพระธรรมคำสั่งสอนจึงเป็นพื้นฐานอยู่ในหัวใจของคนไทยมาช้านาน

credit : matichon


Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 17:54:30 น. 0 comments
Counter : 969 Pageviews.

Rain_sk
Location :
Upper Midwest United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]





"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล
คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง
เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น"
ขุ.ธ. 25/15/24
เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557



BlogGang Popular Award # 9


BlogGang Popular Award # 10


BlogGang Popular Award # 11


BlogGang Popular Award # 12


Friends' blogs
[Add Rain_sk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.