กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา แรงฤทธิ์อธิษฐาน

 

กรรมทันตา แรงฤทธิ์อธิษฐาน

 

เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน

คุณพ่อตาของผม พอ.พิเศษ ลิขิต สว่างวรรณ

อาจารย์ ..นายร้อย จปร.

ท่านชอบทำบุญ ด้วยการถวายพระพุทธรูป...พระประธาน...เป็นอย่างมาก

ถวายมาแล้วซัก 10 กว่าองค์ เห็นจะได้

และมักจะไปถวายให้ตามวัดที่อยู่ในถิ่นกันดาร และอยากได้จริง 

 

วันหนึ่ง มีวัดที่จังหวัด ชัยภูมิ...

ชื่อวัดสง่าคงคาราม

และยังเป็นวัด ที่มีการสอนปริยัติธรรมด้วย

ทางวัดได้ เขียนจดหมายมาขอพระประธาน เนื่องจากได้สร้างโบสถ์ใหม่

แต่....ที่สำคัญ ขอโต๊ะหมู่บูชาที่ใช้ประดับหน้าพระประธานด้วย

แถมยังเน้นมาว่า อยากจะได้เป็น...โต๊ะประดับมุก...ด้วยนะ

 

คุณพ่อตา ท่านมาปรึกษาว่าสนใจมาก

อยากทำบุญนี้ กับวัดนี้มาก ๆ 

แต่ถ้าให้ถวายทั้งสองอย่าง ออกจะไม่ค่อยสะดวก

เพราะพระประธาน อย่างเดียว ราคาประมาณ 50,000 บาท

 

ส่วนโต๊ะหมู่ไปเช็คราคาแล้ว ก็ประมาณ 45,000 บาท

ปัญหาอีกอย่างคือ มีเวลาไม่เกิน 10 วันเท่านั้น

จะถึงวันฉลองโบสถ์ใหม่ 

ต้องมีการตัดลูกนิมิตด้วย

 

ผมเองก็คิดว่า.....โอ๊ย อะไรกันเวลาแค่ 10 วันเท่านั้นเอง

ทางวัดไม่คิดหรือว่าจะหาใครมีสตางค์ได้ทันกันนะ

ถ้า เกิดไม่ทันเวลาจะทำยังไง ไม่แย่เหรอ.....

 

แต่คุณหม่อง ภรรยาของผม...ได้ฟังแล้วสนใจอยากร่วมทำบุญนี้มาก

เลยปรึกษากันว่า….

ผม กับภรรยา จะรับเรื่องโต๊ะหมู่เอง

 

ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าไม่ค่อยมั่นใจ เงินไม่ค่อยมี

อยากทำก็อยากทำ แต่ติดแค่เรื่องเงิน

คุณพ่อตาท่านก็บอกว่า...คนเราต้องมีศรัทธา

ถ้า ศรัทธา ถึงก็จะทำได้

แล้วท่องภาษาบาลีให้ฟังว่า

....มโนปุพพัง คมา ธัมมา

....มโนเสรฐา มโน มะยา

 

แปลแล้วหมายความว่า

...ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน

ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ...

 

และท่านก้อบอกว่า….

ตั้งใจให้ดี แล้วไปตั้งจิตอธิษฐานกับ พระ ดูสิ....

ผมกับภรรยา ก็ไปที่หิ้งพระ  ยกมือพนมขึ้น อธิษฐาน

เราอยากทำบุญ...สร้างโต๊ะหมู่บูชา 

เพื่อเป็นศรีสง่า แก่องค์พระประธาน…..แต่ไม่มีสตางค์

ขอบุญกุศลที่เคยได้ทำมา ดลบันดาลให้สำเร็จด้วยเถอะ ครับ

 

อันที่จริงเงินก็พอมีนะ แต่เป็นเงินทุนการค้า เป็นเงินหมุนเวียน

จะเอามาทำบุญถวายวัด...คงไม่ไหวนะ

 

วันรุ่งขึ้นไปทำธุระการงานตามปนกติ

 แล้วคุณหม่อง ชวนให้ไปดูที่เขาขาย….พระประธาน กับ โต๊ะหมู่ กัน

เรามุ่งไปที่เสาชิงช้า เลือก…พระประธาน ได้ถูกใจมาก

ขนาดองค์ใหญ่ งดงาม พระพักตร์ยิ้มน้อย  

มองดูแล้ว ให้ความรู้สึกว่า…..ท่านใจดีมาก 

 

แต่เราไม่ชอบโต๊ะหมู่เลย ไม่สวย …สีดำ 

ลายมุกที่ฝัง ก้อไม่สวย ไม่เป็นศิลปะพอ

 

เลยไปดูตามแหล่ง ร้านเฟอร์นิเจอร์ ไฮโซ 

ไปเจออยู่ชุดหนึ่งสวยมาก โต๊ะหมู่เก้า ขนาดกำลังดี

สีน้ำตาลแดง ประดับมุกลายเถาว์ตำลึง

อู๊ย........ถูกใจสวยจริง 

แต่...ราคาในสมัยนั้น 40,000 บาท ขาดตัว

 

ผมกับคุณหม่อง หันมามองหน้ากัน ทำตาปริบ 

แล้วเล่าเรื่องให้เจ๊ เจ้าของร้านฟัง ว่าจะซื้อไปทำบุญถวายวัดที่ต่างจังหวัด

เจ๊ แก….นิ่งอึ้ง ไปอึดใจนึง

มองหน้าเราสองคน แล้วเดินไปหยิบสมุดบัญชีมาเปิดดู

บอกอยากช่วยนะ…เอาอย่างนี้ 35,900 บาท ขาดใจ

 

เราเลยกัดฟันวางมัดจำไว้ 5,000 บาท

จากนั้น ก็กลับมานอนคิด...เอ๊ ทำยังไงดี

คุณพ่อตา ก็มาปลอบใจบอกขอให้มี ศรัทธา

ก้อเลยตั้งใจสวดมนต์ จะได้นอนหลับ

 

วันรุ่งขึ้นมัวแต่ยุ่งกับเรื่องงานธุรกิจจนลืม

ภรรยาของผมขาย...ของเด็กเล่น

เค้าจะไปซื้อตามโรงงานที่ผลิตส่งออก

เหมาซื้อของที่ไม่ผ่าน Q.C. เป็นพวกเกรด B

แต่ปัจจุบัน โรงงานพวกนี้ย้ายไปเมืองจีนหมดแล้ว

 

พอตอนบ่าย มีโทรศัพท์จาก...คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ว่าที่ รง.ของเขามีของค้างตกสต๊อกเหลืออยู่อีก 1 อย่าง

เป็น...ตุ๊กตาช้าง จำนวน 5,000 ตัว

เย็บด้วยผ้าร่ม ขนาดเท่าฝ่ามือ แต่เป็นของเกรด A นะ

ผมถามว่า มีอย่างอื่นอีกด้วยมั้ย

เขาบอก อย่างอื่นขายไปหมดแล้ว

รง.เลิกแล้ว กำลังเก็บของย้ายไปเมืองจีน

เลยตกลงกันว่าวันพรุ่งนี้เช้าจะเข้าไปดู

 

แต่ก็ถามว่า ได้เบอร์โทร.ของผมมาจากไหน

เขาบอก...ไม่รู้ใครให้มาเหมือนกัน

และสินค้า ก็เหลืออยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น

ไม่รู้ทำไมถึงยังมีไอ้ตุ๊กตานี่เหลืออยู่ได้ยังไง

เค้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

รุ่งขึ้นเช้าผมกับภรรยา ก็ไปดูที่โรงงานแห่งนี้

เอ๊อ....โรงงานมันเลิกแล้ว อ่ะ...

มีแต่โกดังเปล่า  โล่ง ๆ เลย

โต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์อะไรสักอย่างก้อไม่มีสักชิ้นเดียว

 

แต่….มีตุ๊กตาช้างผ้าร่มสีสดสวย แพ๊คใส่กล่องกองไว้อย่างเด่นชัด

กลางโกดัง อย่างดีเลย

ผมก็ตกลงซื้อมา ราคาไม่แพงแค่ตัวละ 5 บาท เท่านั้นเอง

เรียกรถมาขนไปบ้าน...กองพะเนิน แทบไม่มีที่เดิน

 

ตอนบ่ายคุณหม่อง แกก้อเอาตัวอย่าง...ตุ๊กตาช้าง...ไปให้ร้านค้าส่งที่สำเพ็งดู

ระหว่างเดินไปเ จอคนรู้จักที่มีแผงขาย อยู่ริมถนนราชวงศ์ หน้า .กรุงศรีฯ

ซึ่งเป็นทำเลทอง มาก ๆ

ก้อทักทายกันตามประสาคนค้าขายแล้วก็เอา ตุ๊กตาช้าง ให้เค้าดู

เขากลับบอกว่า ยังไม่เอาเพราะจะไปเที่ยว และหาซื้อสินค้าที่ ….เกาหลี

 

ปรกติตัวเจ้าของไปคนเดียว ปล่อยให้สามี หรือลูกน้องเปิดขายทุกวัน

แต่เที่ยวนี้ไม่รู้เป็นไง...จู่  ก้ออยากให้ลูกน้องได้หยุดไปเที่ยวซัก 2 วัน

ซึ่งมันเป็นเรื่องแปลกมาก….เพราะไม่ใช่หน้าเทศกาล

ในย่านสำเพ็ง ค่าที่แพงมาก

ถ้าไม่จำเป็นจะไม่หยุดขายกัน หร๊อก...

แถมยังใจดี….บอกให้ผมมาขายแทนได้ 2 วัน ไม่คิดค่าที่ด้วย...นะ

โอ้ววว..มหัศจรรย์

 

วันรุ่งขึ้น จำได้ว่าเป็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เพราะธนาคารปิด

ผมไปยืนร้องตะโกนขายที่แผงของเขา

ขายตัวละ 20 บาท

ถ้าซื้อ 5 ตัว 100 บาท ขายบ้าง แถมบ้าง.....ขายดีแฮะ

 

แค่เวลา 2 วัน ขายหมดไปประมาณ 2,000 ตัวเห็นจะได้

แต่วันต่อมามีคนสนใจ โทร.มาขอซื้อไปขายต่อ

จำได้ว่าเจ้าที่ซื้อเยอะที่สุดอยู่บางลำพู

เป็นแผงกางเกงยีนส์ชื่อ...เจ๊หมวย

โดยสรุป ที่เหลือก็ขายหมดเกลี้ยงภายใน 5 วันเท่านั้นเอง

ที่แปลกมากก็คือ...ผมไม่มีเหลือซักตัวเดียวเลย

ทั้งๆ ที่อยากจะเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกอย่างมาก

แต่ตัวเดียวก็ไม่เหลือ

ไปขอซื้อจากลูกค้า ทุกคนก็บอกว่าหมด.....ไม่มีเหลือเลย

สักตัวเดียว…ก้อไม่มี

 

เมื่อคุณหม่อง….มานับเงินดู ยิ่งขนลุกมาก........

ผมมีกำไรจากการขายตุ๊กตาช้าง เป็นเงิน 35,900 บาท พอดีเป๊ะ

ไม่มีขาด ไม่มีเกิน เท่านี้จริง ๆ

คืนนั้น ตั้งใจสวดมนต์ ถวายบุญกุศล ให้เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ ซะยาว.......เลย

 

เมื่อถึงวันเดินทางนำ พระประธาน กับโต๊ะหมู่ไปตอนเช้ามืด

ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว ซึ่งในปีนั้น….หนาว มากพอควรเลย

เรื่องแปลกอีกอย่าง ก็คือ ผมหาเช่ารถบรรทุก ที่จะนำ พระประธาน ไปส่งไม่ได้

ต้องเอารถกระบะ มาสด้า สีขาวที่ตั้งขายอยู่มาบรรทุกแทน

 

อ้อ ลืมบอกไป...ตอนนั้นผมมีอาชีพเปิดเต็นท์รถ ขายรถมือสอง

ซึ่งรถคนนี้มีประวัติไม่ค่อยดี

เจ้าของเดิม เคยเอาไปทำธุรกิจ รับจ้างบรรทุกศพ

 

ไปหาอ่านได้จากเรื่อง...กรรมทันตา กฏแห่งกรรมที่เห็นกับตา

 

เค้าเอามาขายคืน

ซึ่ง…ไอ้รถคันนี้ สร้างความปวดหัวให้ผมอย่างมาก

ทำยังไงก็ขายไม่ออก

ฟิตเครื่องใหม่ก็แล้ว ทำสีใหม่เอี่ยมก็แล้ว

มีปัญหาจุกจิกตลอดเวลา ลูกค้ามาดูหลายราย

มอง ๆ แล้วก็ไม่เอา....ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

 

เราออกเดินทางกันตอนเช้ามืด

ตกลงกันว่ารถกระบะมาสด้าที่มีองค์พระประธาน กับโต๊ะหมู่ตั้งอยู่นำหน้า

คนขับพร้อมกับคนที่รู้ทางไปด้วยกัน

ผมและครอบครัวนั่งรถเก๋งตามหลัง ขับตามกันไปติด 

 

จุดหมายปลายทาง คือ…วัด สง่าคงคารม 

จ.ชัยภูมิ

พอไประหว่างทาง ประมาณ 7 - 8 โมงเช้า

หมอกลงจัดมาก......มองอะไรแทบไม่เห็น

ผมก็ไม่ค่อยได้เจอหมอกหนามาก ๆ อย่างนี้มาก่อน

มองไปได้ไกลแค่ไม่เกิน 10 เมตร

ต้องขับช้า  ไปเร็วไม่ได้ .... แต่รถดันพลัดหลงกัน

ผมเองก็ไม่รู้ทาง

ไอ้คนที่รู้  ก็นั่งไปกับรถกระบะ ซะด้วย

แล้วจะทำยังไง กัน.....

ขับตามมองหากันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง...ก็ไม่เจอ

คุณพ่อตาผม ท่านบอกให้ใจเย็น 

การทำบุญใหญ่ก็ต้องมี มาร มาผจญทั้งนั้น

ให้ตั้งจิตให้สงบ นึกถึงองค์พระ ท่านก็แล้วกัน

ผมก็สงบใจ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้เจอกันเถอะ ถ้าหลงกันละแย่เชียว

คันหน้าถึงจะรู้ทางแต่ก็ไม่มีเงินเติมน้ำมัน

 

ขณะนั้นรถอยู่กลางถนนที่ไหนก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าเป็น แถว  สระบุรี 

หมอกก็ลงหนามาก เพ่งมองถนนยังลำบากเลย

แล้ว จู่ ....ก็มีแสง แว๊บ...แว๊บ......อยู่ข้างหน้า ห่างไปพอดู

คุณพ่อตา บอกให้ตามแสงนั่นไป

ผมก็ต้องค่อย  ขับช้า ๆ ย่อง ๆ ตามแสงไป

สักพักใหญ่  เริ่มมีแดดบ้าง ไม่นานก็ตามกันทัน

ปรากฎว่า เป็นแสงแดดที่สะท้อนจากองค์พระนั่นเอง

ผมงี้...ขนลุกซู่เลย

ถามคนขับก็ยังไม่รู้เลยว่าพลัดหลงกัน นึกว่าขับตามมาติด 

 

พวกเราไปถึงวัดที่หมายก่อนเที่ยง

แต่ก่อนจะถึงวัดซัก 300 เมตร ได้ยินเสียง เฮ..เฮ...

เสียงเหมือนคนโห่ร้อง เชียร์มวย เชียร์กีฬา ….แว่ว  มา

พอถึงวัดถึงได้รู้ว่าเป็น…เสียงชาวบ้านเขาร้องดีใจกัน

เพราะเห็นแสงที่สะท้อนออกจากองค์พระมาแต่ไกล

พวกเค้าว่า เห็นเป็นแสงสีทอง สว่างไสว

เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น

 

พอรถกระบะจอดหน้าวัดเท่านั้นแหละ

คนทั้งหมู่บ้าน....ทั้งหมู่บ้าน...เลย

กรูกันเข้าไปช่วยกันยก...องค์พระประธาน

และโต๊ะหมู่ รวมทั้งข้าวของทุกอย่างเข้าไปในโบสถ์หลังใหม่

 

ปรกติองค์พระท่านหนักมาก น้ำหนักหลายร้อยกิโล….

แต่พวกเค้ายกกันปลิวเลย

คนที่ไม่มีอะไรให้ยก ก็วิ่งตามกันไปเอิกเกริก

แต่ไม่มีใครสนใจพวกผม..เจ้าภาพ

พวกเราเป็นเจ้าภาพ..นะเนี่ยะ

 

เมื่อช่วยกันตั้งองค์พระ บนฐานที่ทำเตรียมไว้...อย่าง พอดี๊ พอดี เลย

แล้วคนที่อยู่ในโบสถ์กันแน่น น น น น ไปหมด

รวมถึงคนที่เข้าไม่ได้ อยู่นอกโบสถ์ ก็ทำกริยา….ก้มลงกราบพระพร้อมกัน

ไม่รู้ใครขึ้นต้นเสียง... ดังกังวาลออกมาจากในโบสถ์

ช้า  แต่...แจ่มชัด

...อะระหัง    ....สัมมา...สัมพุทโธ ภะคะวา ,

พุทธัง   ...ภะคะวันตัง... อภิวาเท มิ.

กราบ

...สวากขาโต.... ภะคะวะตา... ธัมโม ,

ธัมมัง   ...นะมัสสา มิ.

กราบ

...สุปะฏิปปันโน.... ภะคะวะโต... สาวะกะสังโฆ ,

สังฆัง    ...นะมา มิ.

กราบ

ชาวบ้านทุกคนสวดตาม เสียงดังง..... ก้องกังวาลไปพร้อมกัน

แล้วก้มลง กราบ.....กราบ.....กราบ...

ผมเอง ที่วิ่งตามพระไป ก็เข้าไม่ถึงยืนชะเง้ออยู่นอกโบสถ์เหมือนกัน

ได้แต่ยืนดูภาพนั้น.....ไม่รู้ทำไม น้ำตาไหลไม่หยุด

เดินแหวกคนเข้าไปพยายามมองท่าน.......โอ้ โฮ

องค์พระ ท่านเปล่งประกาย ยิ้มน้อย  งดงาม สว่าง

องค์ท่านดู…มีชีวิต ชีวา

อย่างกับคนละองค์กันเลย

 

คืนนั้นกลับถึงบ้านอย่างปิติสุข สุด...สุด

แต่ปาฏิหารย์ยังไม่ยอมหมด

ตอนเช้ามีคนมากดกริ่งเรียก...ขอซื้อรถกระบะมาสด้า คันนั้น

คันที่ผมขายไม่ออกซักที เลยเอาไปบรรทุก พระประธาน น่ะ

เป็นใครก็ไม่รู้ บอกแต่ว่า….

บังเอิญขับรถหลงทางผ่านมา เห็นแล้วชอบ 

อยากได้...จะเอาไปทำมาหากิน

 

เรื่องนี้ทำให้ผมกลับมาคุยกับภรรยา ถึงความมหัศจรรย์หลายครั้งที่เกิดขึ้น

คุณพ่อตาผม ก็ได้แต่ยิ้ม 

ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว

แต่ท่านเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้ผมเข้าใจถึงพลัง ศรัทธา

และ แรงอธิษฐาน .......

 

ปลวัด แห่งนี้ชื่อ

...วัดสง่าคงคาราม...

อยู่ที่ .แก้งคร้อ 

.ชัยภูมิ

นี่ผมว่าจะหาเวลาไป กราบ... อีกสักครั้ง

ปาฏิหารย์ของท่าน...มากมายเหลือเกิน

ลองไป ตั้งจิตอธิษฐาน ดูซิครับ

 

 

อนณ 093-149-9564

ไลน์ :  anon.nisarut

 




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2565 12:06:42 น.
Counter : 2381 Pageviews.  

กรรมทันตา นายเปี๊ยก


ย้อนไปประมาณ 30 กว่าปีก่อน ในซอยวัดโพธินิมิตร ตลาดพลู
ซอยนี้เป็นซอยใหญ่พอสมควร สมัยนั้นรถยนต์เข้าถึงได้แค่วัดที่อยู่กลางซอย
พอเลยไปหน่อยถนนแคบสวนกันได้แค่มอเตอร์ไซค์
แล้วสมัยนั้นยังไม่มีวินมอไซค์ หรือผู้มีอิทธิพลอย่างปัจจุบันนี้
แต่ก็มีคนพาลเกเร ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าอยู่เสมอ
ดังเช่นที่จะเล่าต่อไปนี้ ชื่อ...นายเปี๊ยก

นายเปี๊ยก รูปร่างเล็กสันทัด อายุประมาณ 30 - 35 ปี อยู่ในซอยนี้มาตั้งแต่เกิด
นิสัยอันธพาล เคยติดคุกตะรางมาหลายครั้ง
ชอบมั่วสุมอยู่กับวงเหล้า และบ่อนการพนัน
แต่ก็ไม่ใช่บ่อนใหญ่โตแบบสมัยนี้นะ
นายเปี๊ยก ชอบอวดเบ่ง อวดศักดาด้วยการชกต่อยเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่า อ่อนแอกว่า
ว่าข้านี้เจ๋ง ใครหน้าไหนจะลองดี
บ่อยครั้งที่เมาเหล้าแล้วอาละวาดหาเรื่องชกต่อย เป็นประจำ
พอเงินก็หมดไปไถ แม่ ที่ขายข้าวแกงอยู่หน้าวัด ในซอยนี้เหมือนกัน
ชาวบ้านต่างก็เอือมระอา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ได้แต่หลบๆ เลี่ยงๆ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
ผมเองก็ยังเคยถูกนายเปี๊ยก ชกคว่ำกลางซอยต่อหน้าคนมาแล้ว

ที่วัดโพธิ์ฯ มีเด็กวัดคนหนึ่งอายุประมาณ 15 ปี ชื่อ...ไอ้อ่อน
ที่ได้ชื่อนี้เพราะเป็นเด็กสมองช้า...ปัญญาอ่อนหน่อย ๆ
พูดไม่ค่อยได้ แต่ไม่ถึงกับเป็นใบ้ รูปร่างผอม ๆ ขี้กลัว...ไม่สู้คน
ไม่รู้มันเซซังมาจากไหน พระ ท่านสงสารก็ให้ที่นอน ให้ข้าวก้นบาตรกิน
และให้ช่วยกวาดขี้หมา หรือทำงานสารพัดแล้วแต่ใครจะเรียกใช้
ไอ้อ่อน มีนิสัยว่าง่ายใครสั่งใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ วนเวียนอยู่แถวๆ วัดนั่นแหละ
กินข้าวก้นบาตร คอยดูแลหมาแมวสารพัด
ชาวบ้านก็ให้ของกินบ้าง เสื้อผ้าบ้าง เรียกใช้งานบ้าง
ซึ่งทุกครั้งไอ้อ่อนก็จะแสดงออกถึงการรู้บุญคุณทางสายตา และอาการนอบน้อมเสมอ
แต่มันคงทำกรรมบางอย่างไว้
จึงมักจะถูก นายเปี๊ยก อันธพาลประจำซอย...รังแกเป็นประจำ
 




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2565 13:59:46 น.
Counter : 1322 Pageviews.  

กรรมทันตา กฏแห่งกรรมที่เห็นกับตา

บุคคลในเรื่องนี้เป็น…ลุง ของผมเอง 

ชื่อ ลุงวินัย (นามสมมติ)


ลุงของผม เป็นหมอฝ่ายบริหาร 

มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นถึง…รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ทางภาคตะวันออก 
จังหวัดใหญ่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยนะแหละ
ลุงเป็นคนเก่งมาก ไต่เต้ามาจากการเป็นทหารเกณฑ์ หน่วยเสนารักษ์ เมื่อครบเกณฑ์แล้วก็ขอเรียนต่อทางการแพทย์ 
จนกระทั่งได้ออกมารับราชการเป็นแพทย์ที่ชลบุรี 

ต่อมาได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็คือป้าของผมเองชื่อป้าแจ่ม(นามสมมติ) และอีกไม่กี่ปีได้ย้ายไปประจำที่จังหวัดใหญ่ขึ้น
ทั้งคู่ได้ย้ายไปซื้อบ้านในจังหวัดนั้น จนกระทั้งปัจจุบันนี้ 
ที่บ้านหลังนี้เมื่อประมาณเกือบ 50 ปีก่อนยังค่อนข้างกันดารมาก 
ลุงผมได้เปิดคลีนิคเล็กๆ ที่บ้านด้วย ซึ่งดูเหมือนเป็นรายได้ที่ดีมากทีเดียว 
และยังได้รับการนับถือจากคนแถวนั้นมากทีเดียว

ลุงหมอวินัยมีลูกชายคนเดียว ชื่อต้น (นามสมมติ)
ลุงวินัย และป้าแจ่ม มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวมาก ด้วยความที่เคยจนยากมาก่อน 
ผิดกับ ต้น ลูกชาย ซึ่งเกิดมาขณะที่พ่อแม่มีฐานะดีแล้ว ออกแนวเกเร ฟุ่มเฟือยเอาแต่ใจตามประสาลูกโทน 

ตลอดเวลาที่รับราชการเป็นหมอใน รพ.ดังกล่าว ลุงวินัย มักจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก เช่น เบิกค่าเช่าบ้าน ทั้งๆที่อยู่บ้านตัวเองแท้ๆ ซึ่งเป็นการโกงหลวงอย่างหนึ่ง 
หรือเรื่องเกี่ยวกับการประมูลงานหลวงบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง  

แต่ตำแหน่งงานการก็ก้าวหน้าดีตลอดเวลา

ส่วนต้น ลูกชายหมอวินัย นั้นเรียนจบจากร.ร.มัธยมที่แพงที่สุดในจังหวัด ได้อย่างทุลักทุเลเต็มทน เพราะเกเรมาก 
ต่อมาก็มาเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นร.ร.ช่างกลแถวบางแค
ก็ไม่รู้เพราะกรรมที่หมอวินัยทำลงไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ลูกชายไปคบเพื่อนไม่ดี กินเหล้า สูบกัญชากันจนเมามาย 
ต่อมาไม่นานได้ไปปล้นผู้โดยสารบนรถเมล์ กลางวันแสกๆ จนกระทั่งถูกตำรวจตามจับได้ 

และส่งฝากขังที่คุกคลองเปรม


หมอวินัย และป้าแจ่ม เสียใจและทุกข์ใจอย่างมาก 
ซึ่งผมก็เพิ่งเข้าใจที่ว่าลูกติดคุก ก็เท่ากับพ่อแม่ติดคุกด้วยว่าเป็นอย่างไร 
ลุงและป้าผมร้องไห้ทุกวัน วิ่งเต้นทุกวิถีทาง เวลาไปเยี่ยมลูกที่คุก ผมเห็นลุงกับป้าผมทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลูกชายเขาอีก
เมื่อหมดเวลาเยี่ยม ลุงหมอวินัยก็ยังไม่ยอมกลับ ยืนมองดูกำแพงคุกจนกระทั่งค่ำถึงจะยอมกลับทุกครั้งไป

กว่าลูกชายจะหลุดคดีได้ ก็ประมาณหลายเดือนแต่มันดูเหมือนเป็นปีๆ ทีเดียว เสียเงินทองไปมากมาย 
ซึ่งเมื่อรอดคุกมาแล้ว ต้น ก็ทำตัวดีขึ้นในระยะแรกๆ 

ต่อมาก็กินเหล้า เมายาตามเคย 

หมอวินัยต้องเอาตัวไปรักษาเรื่องยาเสพติดหลายครั้ง 
ผมเคยได้ยินลุงหมอวินัยเล่าให้แม่ผมฟังว่า ใช้วิธีถ่ายเลือดทั้งตัว เอาเลือดเดิมออกขณะที่เอาเลือดใหม่ใส่เข้าไปแทน 

ก้อ แปลกดี.....

ต่อมา ต้น ก็ได้เมียคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อเลย เธอคนนั้นเป็นคนดีมากๆ สงบเสงี่ยมน่ารัก 

แต่มีนิสัยกลัวสามี เพราะมักจะโดน ตบตี เมื่อเมาเหล้าเป็นประจำ 
และมีลูกสาว 2 คน ก็เป็นเด็กดีมาก 

เป็นที่รักของ หมอวินัย กับป้าแจ่ม อย่างมาก

เวลาผ่านมาอีกหลายปี หมอวินัยก็เจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างดี 
นับได้ว่ามีความสุขกับการงาน และหลานสาวทั้งสองมาก 
แต่ก็มีกรรมที่ทุกข์ใจเรื่องลูกชายต้วเองมากเหมือนกัน
จำได้ว่า ลุงหมอวินัย ได้ใช้เส้นสายจนกระทั่งลูกชาย-ลูกสะใภ้ได้เข้าทำงานใน รพ.อยู่ด้วยกัน

จนกระทั่ง หมอวินัยได้เป็นถึง รองผู้อำนวยการ รพ. 

เป็นฝ่ายบริหารใหญ่มาก 

และมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง 
คือ เซ็นอนุญาตให้นำศพผู้เสียชีวิตออกไปจาก รพ.ได้ 
ซึ่งจังหวัดนี้ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 
มีคนงานเสียชีวิต จากอุบัติเหตุและโรคภัยมากมาย
แต่ศพคนงานหรือใครที่ตายต้องได้รับการผ่าชันสูตร

และต้องเซ็นอนุญาตจาก หมอวินัย ก่อน 
จึงจะนำออกจาก รพ.ได้ 
ซึ่งแต่เดิมก็มีคนเอารถมารับจ้างนำศพไปส่งให้ที่วัด หรือบ้านอยู่แล้ว 

ซึ่งเรื่องแบบนี้บอกได้เลยว่ามีคนรับจ้างอยู่ทุก รพ.แหละครับ

แต่หมอวินัยมองเห็นโอกาส จึงให้ลูกชาย ทำกิจการรับจ้างรับส่งศพเสียเอง 

โดยกีดกันไม่ให้คนอื่นได้ประโยชน์จากตรงนี้ 
และได้เรียกค่าขนส่งแพงมาก ก ก ก .....
ศพหลายรายเป็นคนงานที่อยู่ต่างจังหวัด ทางอีสาน เป็นส่วนมาก 
ซึ่งค่ารถส่งศพต่อครั้งหลายพัน หรือเกือบหมื่น ในสมัยนั้นถือว่ามากมายเหลือเกิน

ซึ่งสร้างรายได้อันงดงามนี้ มาพร้อมคำสาปแช่งมากมาย.........เช่นกัน


ญาติพี่น้อง ลูกเมียของคนที่ตายก็ทุกข์ใจแสนสาหัสแล้ว 

ยังมาถูกขูดรีดค่าส่งศพกลับบ้านอีก 

ถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องเอาศพออกไป......
หมอวินัย กับลูกชายกลับยินดีปรีดาในกิจการนี้มาก 

แต่ก็ไม่มีใครกล้าตักเตือนตรงๆ เพราะตำแหน่งใหญ่ สามารถให้คุณให้โทษใครก็ได้

ผ่านไปประมาณ 2 ปี ด้วยความที่รายได้ดี ทำให้ ต้น ลูกชายของหมอวินัย ร่ำรวยขึ้นจนมีเงินกินเหล้าเมายา 
แถมยังมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาอีก ทำให้อยู่ไม่ติดบ้าน ….เพราะไปติดผู้หญิง 
มีเรื่องทะเลาะกันในครอบครัวเป็นประจำ สร้างความกลุ้มใจให้หมอวินัยกับป้าแจ่มอย่างมาก


วันหนึ่ง ต้น ซึ่งเมากลับจากบ้านเมียน้อย 

เกิดอุบัติเหตุ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาดเสาไฟฟ้าอย่างแรง อาการหนักมาก 

สมองเสียหายไปบางส่วน
หมอวินัยได้ส่งลูกชายคนเดียวเข้าผ่าตัดที่ รพ.ที่ตนเองอยู่ 

แต่ความเสียหายของสมองมาก จนต้องผ่าตัดหลายครั้ง 

สุดท้ายรอดมาจนได้.......

หลังจากอยู่ห้อง I.C.U.หลายเดือน เมื่อฟื้นขึ้นมามีอาการเหมือนคนปัญญาอ่อน 

ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 
ต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดอึ เช็ดฉี่ เหมือนเด็กแรกเกิดอีกหน 

รักษาอยู่หลายปี ก็ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิดๆ ค่อยๆพูดได้อ้อๆแอ้ๆ 

แต่จำความไม่ได้ จำใครก็ไม่ได้เลย แม้แต่ลูกเมีย
หมอวินัย กับป้าแจ่มนั้น มีแต่ความทุกข์ใจแสนสาหัส ที่ลูกชายคนเดียวมาเป็นอย่างนี้ 

ส่วนลูกสะใภ้ก็หนีกลับไปอยู่กับพ่อ-แม่ตามเดิม เพราะทนรับสภาพไม่ไหว 

สุดท้ายแล้ว การงานที่เคยรุ่งเรืองก็เริ่มมีปัญหา เพราะมัวแต่เอาเวลาไปรักษาลูกชาย
คนที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชา ก็แฉเรื่องทุจริตในอดีตหลายเรื่อง จนต้องลาออกมากินบำนาญอยู่กับบ้าน
รายได้หดหาย มีแต่รายจ่าย 

เงินทองที่เคยได้มามากมาย จากการขนส่งศพในราคาแพง ก้อเริ่มร่อยหลอ

มีแต่ความทุกข์ ที่กลับเพิ่มมากขึ้น  

เพราะเมื่อ ต้น ลูกชายค่อยๆ หายดีขึ้น แข็งแรงขึ้น

ถึงจะจำใครไม่ได้ แต่หลับอาละวาดจะกินเหล้าให้ได้ 
ต้องให้ยาระงับประสาทอย่างแรงกินทุกวัน ๆ  
กินยาระงับประสาทเป็นปีๆ จนกระทั่งมีอาการเซื่องซึมตลอดเวลา 

ถ้าไม่ให้กินยา ก็อาละวาดจะกินเหล้าอยู่ตลอด
เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ เป็นเดือน เป็นปี จน 10 กว่าปี หมอวินัย ก็แก่ลงมาก 

ร่างกายทรุดโทรม เพราะความทุกข์ใจ 
จนต่อมาล้มป่วย กลายเป็นโรคตับเรื้อรัง ต้องเข้าออก รพ.ที่เคยทำงานหลายครั้ง 
ส่วนป้าแจ่ม ซึ่งก็มีความทุกข์ใจไม่ต่างกัน แต่ยังแข็งแรง 

คอยสู้กับลูกชายยามที่อาละวาดทุกครั้ง

อยู่ต่อมาอีกไม่นาน หมอวินัย ก็มีอาการแปลกๆ เพิ่มขึ้นอีก 

คือมีอาการซึมเศร้า ไม่พูดไม่จา นอนนิ่งๆ ไม่อยากพบใคร ไม่สนใจอะไรอีก 

ซึ่งยิ่งสร้างความทุกข์ใจให้ ป้าแจ่ม เพิ่มเข้าไปอีก
จนในที่สุด.....ป้าแจ่มมีอาการ หลุดโลก

นั่งยิ้มอารมณ์ดีทั้งวัน ...ความจำเสื่อม จำใครไม่ได้สักคน
แต่ก็ยังหุงข้าวหาปลาไปป้อน หมอวินัย และลูกชายได้

ปลายปี 2553 

ที่บ้านหมอวินัย มีสภาพคือ มีหมอวินัยที่นอนซึมเศร้าไม่พูดไม่จา 

มีป้าแจ่มที่ความจำเสื่อมแต่นั่งยิ้มแย้มทั้งวัน 

และมี ต้น ที่แข็งแรงขึ้น แต่ความจำที่ไม่ประติดประต่อ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และยังอาละวาดเวลาอยากกินเหล้า..........

แต่ยังอยู่กันได้ด้วยเงินบำนาญ ซึ่งหลานสาวที่ขณะนี้ก็เริ่มเป็นสาวแล้ว คอยดูแลอย่างทุกข์ทนเต็มที

 

อีกหลายปีต่อมา

ผมได้ทราบข่าว ของพวกเค้าว่า

ป้าแจ่ม ถูกนำไปรักษา ที่ รพ. โรคจิต

และเสียชีวิตใน รพ.นั้นเอง

 

ตุ้ม ลูกชาย ก้อตายคาบ้าน เพราะไม่ยอมกินข้าว จะกินแต่เหล้า

 

หมอวินัย ป่วยหนัก ตรอมใจตายในอีกหลายปีต่อมา

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ผมได้เห็นกับตา….ถึงกฏแห่งกรรม ที่น่ากลัวมากจริงๆ 

กรรมชั่ว ที่เราทำไว้ มันไม่เคยหายไปไหน

มันกลับมาเล่นงาน อย่างแสนสาหัส

 

ผลของกรรม  อาจจะไม่ทันใจ

 แต่…ได้ทันเห็นกับตา  แน่นอน




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2565 13:56:25 น.
Counter : 1660 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.