กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา คุยกันนิด

คุยกันนิด

ครั้งแรกที่เขียนกระทู้ก็เนื่องมาจาก
เย็นวันหนึ่ง นั่งดูรายการ เรื่องเล่า 84,000
เป็นแนวกฏแห่งกรรม ดูแล้วสนุกดี ทำให้นึกได้ว่าเราก็เคยเห็นตัวอย่างมาบ้างเหมือนกัน อยากแชร์บ้าง
เลยเขียนกระทู้เล่าเรื่อง กฏแห่งกรรม ที่เห็นกับตา โดยคิดว่าจะเล่าแค่เรื่องเดียว
แต่มีคอมเม้นท์กลับมา ผมก็นึก เอ๊ะ...มีคนอ่าน มีคนสนใจเหมือนกันแฮะ
เลยเขียนเรื่องที่สอง กรรมทันตา ก็มีคนตามมาคอมเม้นท์อีก
ทำให้ชักสนุก เลยอยากเล่าให้ฟังว่า สิ่งมหัศจรรย์ที่เคยพบ
ตอนที่ไปปฏิบัติฯ ที่วัดอัมพวัน แบบโดนกับตัวเอง สัมผัสด้วยตัวเองมันเป็นยังไง
พอมีคนชอบ...ผมก็บ้ายอ...เล่าไปเรื่อย ไม่คิดมาก

จนมาเล่าเรื่อง อธิษฐานหนีกรรม อีทีนี้ชักยุ่ง
มีหลายท่านโทรหาผม...ทำให้ผมดีใจมาก...ดีใจที่มีคนฟัง
ดีใจจนใจพอง หุบไม่ลงเลย....บ้าไปทั้งวัน
จนนึกได้ โธ่...มันแค่โลกธรรม....มีคนชม ก็ต้องมีคนด่า เดี๋ยวก็มา

แต่หลายท่านโทรมา มักจะถามเรื่อง อธิษฐาน อยากทำบ้าง ต้องทำยังไง ขอรายละเอียด
ผมก็จะห้ามไปทุกราย ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมไม่เห็นด้วย
ยิ่งคนที่ต้องการอธิษฐานให้หมดหนี้หมดสิน อันนี้ผมเข้าใจ
แต่ที่อยากจะขอให้ถูกล๊อตเตอรี่ ถูกหวย หรือขอสักล้าน
ผมบอกว่า คุณน่าจะโฟกัสผิดแล้วละ
น่าจะคิดเรื่อง ขอความสุข มากกว่าขอเงินนะ
ถ้าคุณได้เงิน มีเงินมาใช้หนี้ใช้สิน แต่ไม่มีความสุข
ผัวไปมีเมียน้อย หรือเมียเบื่อไปหาใหม่ ลูกติดยา หรือตัวเองเป็นมะเร็ง
แล้วถ้างั้นจะมีเงินไปทำไม ถ้าไม่มีความสุข

มีท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เพื่อนที่ทำงานกลุ้มใจเรื่องเงินคิดไม่ตก
เกิดเฮี้ยนอธิษฐานว่า ขอให้ได้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนลูก...จะแลกด้วยอะไรก็ยอม
วันรุ่งขึ้น ถูกรถชนเปรี้ยงเข้าให้...ได้ค่าทำขวัญ ค่ารักษาพยาบาล
บาดเจ็บเกือบพิการ แต่ได้เงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนจริงๆ
อย่างงี้เอามั๊ย......

เคยได้ยินเรื่องเล่า
ชายสองคน เดินผ่านวัดแห่งหนึ่ง
เห็นรูปปั้นเทวดา ก็พูดขึ้นว่า
เฮ้ยแกเชื่อเรื่องเทวดามั๊ยวะ....ข้าไม่เชื่อว่ามีจริงหร๊อก.ก..
อีกคนบอก เชื่อว่ะ ถ้าไม่จริง ทำไมมีเล่ากันทั่วโลก
พอเดินลับกำแพงวัด ไปก็เจ๊อะ กับเทวดา ยืนยิ้มอยู่
พร้อมแนะนำตัวว่าท่านเป็นเทวดาจริงๆ อย่าสงกะสัย
ไอ้คนแรกดันไม่เชื่อ บอกต้องแสดงหลักฐานให้ชัดเจน
เทวดาท่านบอก...เอางี้เราจะให้ท่านขอได้คนละครั้ง
โดยให้เลือกว่า...จะเป็นผู้รับ...จะได้รับตลอดชีวิต
หรือ จะเป็นผู้ให้...จะให้ไปตลอดชีวิต
ไอ้คนแรกไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้ว เลยท้าทาย
...ขอเป็นผู้รับดีกว่า ได้รับตลอดชีวิต ยังไง ๆ ก็ไม่มีขาดทุน อยู่ๆ มีคนมาให้ สุดแสนจะสุขโข....
ส่วนอีกคน คิดไปคิดมา บอก
...ขอเป็นผู้ให้ดีกว่า ความสุขจากการให้ เอ็นโดฟิน สารหลั่งสุขมันฉีดพล่าน น่าจะดีกว่านะ...
ท่านเทวดา ก็ถามย้ำ ให้ตัดสินใจให้แน่นอน จะมาเปลี่ยนไม่ได้แล้วนะ
ทั้งสองก็ยืนยันมั่นเหมาะ
ท่านก็โอเค๊.....โอม.ม..เพี้ยง.....
คนแรก...ขอเป็นผู้รับ...ได้ไปเป็นขอทาน เที่ยวร่อนเร่พเนจรขอเขาไปทั่ว
งานบุญ งานเทกระจาดที่ไหน ไปหมดไม่เคยขาด...เคยเห็นมั๊ย
ต่อแถวกันยาว.ว...หน้าโรงเจ ถ้าไม่เชื่อไปตะโกนถามหาก็ได้ว่าคนไหน.
อีกคน พอหมดคำว่า เพี้ยง...กลายเป็นมหาเศรษฐี สนุกสนานการบุญ
บริจาคทำทานไปเรื่อย ก่อตั้งมูลนิธิ องค์การการกุศล...นี่ได้ข่าวว่าพยายามชักชวน บิลเกต ให้ร่วมก๊วน ห้าวหาญการกุศล ด้วยกันอยู่

เอ๊า...หรืออีกเรื่อง
ผัวเมียสองคน เพิ่งจะเกษียน
ไปท่องเที่ยวเพราะว่างจากงานแล้ว เงินบำนาญรวมกัน อยู่ได้สบายๆ
ไปเจอสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานได้ทันใจ ก็อยากลอง
ฝ่ายเมีย จิตใจสงบ รักธรรมชาติ สายลม แสงแดด เกลียดการดูถูกคนจน
มีสิ่งที่ห่วงที่สุด คือสามี อยากให้เขามีสุขภาพแข็งแรง เหมือนตอนอายุ 30 เลยอธิษฐานทันใด....
เพี้ยง...ทันใดนั้น ตาผัวก็เป็นหนุ่มขึ้นมาทันตา กลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ 30 สุขภาพไม่ต้องพูดถึง...ฟิตเปรี๊ยะ.
ผัวคึกคักแจ่มใส เมียก็ดีใจ เป็นสุขสมปารถนา
ตาผัว ตัวเองได้เมียดีคิดเห็นแต่คนอื่น อยากให้คนอื่นได้ดี
แต่ตัวแก ออกแนวเห็นแก่ตัว อัตตาเยอะ ตัวเองเป็นใหญ่
ตั้งท่าอธิษฐานมั่ง...อะไรดีน้า.ขอเจ๋ง..เจ๋ง....
...ขอให้ได้เมียอายุน้อยๆ อ่อนกว่าตัวเอง ซัก 30 ปี ตอนนี้อายุ 60 น่าจะได้ซัก 25 -30 กำลังดี
เพี้ยง...ได้ทันใด มองที่เมีย ทำไมเหมือนเดิมไม่เห็นสาวขึ้น
เอ...หรือท่านรู้ใจ ให้คนใหม่..อู๊ย..ย...ดี…
พอดูตัวเอง....ตาผัวกลายเป็นคนอายุ 90 แก่หง่อม...เมียอายุ 60 ...อ่อนกว่า 30 พอดี๊...พอดี
นี่แหละ จะอธิษฐาน คิดดี..ดี..นะ จะบอกให้

อีกอย่าง ไม่ว่าคุณจะขออะไร ผมว่ามันเป็นเดิมพันใหญ่
โลกนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ...ได้อย่าง ต้องเสียอย่าง
คุณมีอะไร เป็นทุนไปพนันกับท่านล่ะ...
แน่ใจหรือเปล่า...สิ่งที่ตั้งใจแลกน่ะ...คุณทำได้
ท่านคงเอาตาย ถ้าทำไม่ได้
สุดท้าย ผมคิดว่า เทวดาฟ้าดิน ท่านคงให้โอกาสเรา
แค่ครั้งเดียวในชีวิต...เท่านั้น คงไม่มีมากหรอก
ฉะนั้น ขอให้คิดให้ดี ขอเป็นทางเลือกสุดท้าย ท้ายสุด
เมื่อจนหนทางแล้ว จริงๆ ก็เชิญเหอะ....ผมเอาใจช่วย

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 53 19:20:04




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:36:55 น.
Counter : 1297 Pageviews.  

กรรมทันตา เฮียน้อย

เฮียน้อย

เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไป มันทำให้ผมกลัวเวรกรรมขึ้นมาทันตา

สมัยที่ยังเป็นลูกน้องเต็นท์รถของเฮียเฮง ก็คงกว่า 20 ปีมาแล้ว
ตอนนั้นผมระแคะระคายมาบ้างว่า เฮียเฮง เจ้านายผมรู้เห็นกับแก็งค์ขโมยรถแก็งค์หนึ่ง
หาอ่านจากเรื่อง แก็งค์ขโมยรถ นะครับ

ที่เต็นท์รถ ซึ่งต้องเรียกว่า ตลาดนัดรถยนต์ น่าจะถูกกว่า
เพราะมีหลายเต็นท์ หลายเจ้ามาอยู่รวมกัน มีคนอยู่กันเยอะพอสมควร
จะมีรถเข็น หรือรถกระบะ มาขายของกิน ขนม อะไรสารพัด
มีอยู่คนหนึ่งสนิทกับเฮียเฮงมาก เพราะเคยเป็นลูกน้อง เคยขับแท๊กซี่ ซึ่งเช่าจากเฮียเฮงนะแหละ
แกชื่อ เฮียน้อย อายุสัก 55 ปีได้มั๊ง เป็นคนจีน ขาวๆ ผอมๆ อารมณ์ดีหัวเราะเสียงดัง
เมียแกเราเรียกแต่ อาซ้อ ขยันขันแข็ง สองคนผัวเมียช่วยกันทำมาหากิน

ต่อมาเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็ไปดาวน์รถกระบะมือสอง เพื่อตระเวณขายเป็ดพะโล้ โดยแกมีหม้อต้มเป็ด และตู้แขวนขายเพียบพร้อม
เฮียน้อย จะเป็นคนขับ เมียนั่งท้ายคอยเรียกลูกค้า
ถ้าถึงที่มีลูกค้าซื้อเยอะ เฮียน้อยก็จะโดดมาสับเป็ด กุลีกุจอช่วยกันสองคนผัวเมีย ขยันขันแข็งมาก
ทุกครั้งที่แก มาขายที่เต็นท์ เฮียเฮงก็จะซื้อทุกครั้ง แกชอบกิน
และที่สำคัญ เฮียน้อยแกจะแถมให้เยอะมากเพราะสำนึกในบุญคุณนายเก่า
พวกผมก็พลอยได้กินเป็ดพะโล้เป็นประจำ แกทำอร่อยมากเลยนะ
บางครั้งขายไม่หมดก็จะโล๊ะให้พวกผมฟรีๆ แล้วก็ถือโอกาสล้างรถเสียที่นี่เลย อุปกรณ์ครบครัน
ผมสังเกตุดู เฮียน้อยแกมีความสุขกับการขายเป็ดพะโล้นี่มากทีเดียว
ดูแกแจ่มใส กระตือรือ พูดคุยเสียงลั่นเลย
แกรักรถคันนี้มาก ฝากความหวังไว้กับมันทุกอย่าง
อาการที่แกล้างรถ ดูรู้เลยว่าแกทนุถนอม เอาใจใส่ ค่อยๆ ล้าง ค่อยๆ เช็ด

แต่แล้วบ่ายวันหนึ่ง เฮียน้อยแกวิ่งมาที่เต็นท์คนเดียว กระหืดกระหอบอย่างหน้าตกใจ มาตบประตูเรียกเฮียเฮงเสียงลั่น
เฮีย...รถผมหาย...มันขโมยรถผม...มันเอาไปต่อหน้าต่อตาเลย...ผมวิ่งตามไม่ทัน....
แกเล่าเสียงสั่นด้วยความโกรธ...ด้วยความแค้น หน้าแดง ตาเบิกโปน หายใจหอบตลอดเวลา
ผมไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้เลย เฮียน้อยที่ใจดี อารมณ์ดี หัวเราะเสียงดัง ไม่ใช่คนนี้เลย...

ไล่เรียงกันอยู่นาน ได้ความว่า เมื่อคืนตอนประมาณ ตีสอง แกจอดรถไว้หน้าบ้านเป็นประจำ ได้ยินเสียงสตาร์ทรถสองสามครั้ง แต่ไม่ติด
แกเลยลุกขึ้นมาดูด้วยความตกใจ แต่กว่าจะไขกุญแจบ้านตัวเองวิ่งถลาออกมาได้
คนที่ขโมยก็สตาร์ทรถติดพอดี แกวิ่งไปถึงมันออกรถพอดี
แกคว้าได้แต่เสาหลังคาแล้วไม่ยอมปล่อยมือ ด้วยหวังจะกระโดดขึ้นบนรถให้ได้
แต่ไอ้โจรมันก็เก่ง กระชากรถออกตัวอย่างเร็ว ทำให้แกโดดขึ้นไม่ได้
ด้วยความเสียดายรถแกไม่ยอมปล่อยมือ กำเหล็กหลังคาท้ายรถไว้แน่น
รถมันเลยกระชากให้แกวิ่งตามไป...แกก็วิ่งตามสุดชีวิต
จนเกือบ 200 เมตร ถึงได้ล้มลง แต่ยังกัดฟันลุกขึ้นวิ่งตาม พร้อมตะโกนให้คนช่วย....
แกวิ่ง...วิ่ง...วิ่ง....อย่างลืมตาย.....หวังว่าจะเอารถคืนมาให้ได้.....
สุดท้ายก็ไม่ทัน....สะดุดขาตัวเอง ล้มถลาไปกับพื้นถนน
แต่เที่ยวนี้ลุกไม่ไหว ได้แต่พยายามคุกเข่าเงยหน้ามอง...มอง...ไฟท้ายรถ ค่อยๆ ห่างไป...ห่างไป

แกไม่ยอมแพ้ เรียกรถแท๊กซี่ตระเวณตามหาไปในทิศทางที่คิดว่ามันจะขับไป...จนสายก็ไม่มีวี่แวว
หลังจากไปแจ้งความ และพยายามให้ตำรวจสกัดจับให้ได้ แต่ก็ไม่คืบหน้า
ตกบ่าย หมดหวังจากโรงพักแล้วถึงได้มาที่เต็นท์
แกพยายามถามว่า พวกโจรขโมยรถมันจะทำยังไงกับรถแกต่อไป ทำยังไงถึงจะได้คืน
เฮียเฮงและคนอื่นๆ ก็ช่วยกันออกความเห็นว่า ควรจะทำยังไงต่อ...แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
พอไม่ได้ความอะไร แกก็ผลุนผันออกไปอย่างเร็ว...จะรีบไปตามรถ
พวกเราก็ได้แต่พูดกันว่า จะไปตามที่ไหน.น..

อีกสองสามวัน เฮียน้อยก็มาที่เต็นท์อีก มาถามว่า มีใครเห็นรถแกบ้างมั๊ย มีใครเอารถแกมาขายมั่งมั๊ย....
มาถาม และสั่งนักสั่งหนา ถ้าเห็นให้จับไว้เลยนะ ช่วยกันหน่อยนะ
แล้วก็บอกเลขทะเบียน บอกลักษณะ ทุกอย่าง.....โธ่..พวกผมจำรถแกแม่นจะตาย
อีกหลายวัน ก็เงียบไป ก็ช่วยๆ กันดูบ้าง แต่มันไม่เห็นวี่แววหรอก...ยาก
ทุกๆ สามสี่วัน แกก็จะยังแวะมาถามหารถของแกตลอดว่ามีใครได้ข่าว หรือวี่แววมั่งมั๊ย...

สิ่งหนึ่งที่พวกผมรู้ต่อมาคือ เฮียน้อยแกตระเวณไปตามเต้นท์ขายรถ อู่ซ่อมรถแทบทุกแห่งที่แกสงสัย
แกไปถึงก็บุกเข้าไปดูรถที่ซ่อมอยู่ โดยเฉพาะอู่เคาะ-พ่นสี
ถ้ารุ่นเดียวกันแกไม่ดูเปล่า
เล่นจะขอขูดตัวรถดูว่ามีการพ่นสีทับหรือเปล่า หรือขอขูดดูเลขตัวถังก็ยังดี ว่าใช่รถของแกมั๊ย
สร้างความปวดหัวให้เจ้าของเต็นท์ขายรถ และอู่ซ่อมรถทั้งหลายมาก สงสาร ก็สงสาร...แต่แหม..มันไม่ไหวนะ
หลายๆ วัน แกก็จะแวะมาที่เต็นท์ครั้งหนึ่ง มาถาม..ถาม..แล้วก็ไป
แต่ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมาก คือ
แกไม่เหมือนเดิมแล้ว แกโทรมมาก หนวดเคราไม่โกน เสื้อผ้าสกปรกยับเยิน
เนื้อตัวก็ชักจะแย่ สกปรกเข้าไปทุกที
แต่ที่แย่ที่สุดสำหรับผมคือ...แววตาของแก สับสน อ่อนล้า
บางทีก็แข็งกร้าว...โกรธแค้น...แต่ บางทีเลื่อนลอย

ผมไม่เจอ เฮียน้อย สัก 3 - 4 เดือนแล้ว รู้แต่ว่าอาซ้อ เมียแกมาหาที่เต็นท์หลายครั้ง ไม่รู้มาหาเฮียเฮง หรือมาตามหาเฮียน้อย
จนวันหนึ่ง ผมเจออาซ้อที่เต็นท์ ผมเลยถามว่าเป็นยังไงบ้าง มีความคืบหน้าอะไรมั๊ย
อาซ้อแกบอก เรื่องรถยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย แต่หนักใจก็เรื่องเฮียน้อย นี่แหละ
ผมก็ถามว่าทำไม แกบอก...เฮียน้อยแกไม่ยอมตัดใจ แกโกรธแค้นมาก
เพราะแกรักรถคันนี้มาก มันเป็นรถคันแรกในชีวิต จนอายุ 50 ถึงเก็บเงินมาดาวน์คันนี้ได้
เฮียน้อย แกฝากความหวังทุกอย่างในชีวิตไว้กับรถคันนี้
แกไม่หลับ ไม่นอน ตระเวณหารถ ใครบอกว่าที่ไหน อู่ไหนน่าสงสัย แกบุกไปหมด
หลายครั้งตำรวจต้องเอาตัวมาส่งที่บ้าน แล้วแกก็หายออกไปอีก ไปทีละหลายๆ วัน
อาซ้อเป็นห่วงว่าแกจะไม่ได้กินข้าว หรือไม่ยอมพักผ่อน นี่ก็หายไปหลายวันแล้ว...ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน..เป็นห่วงจริงๆ
พูดคุยกันอีกหลายคำ แล้วแกก็ออกไป

ผมทำธุระอีกสักพัก จึงขับรถออกไปบ้าง
พอเลี้ยวรถเลยไปหน่อย จะมีป้ายรถเมล์ห่างไปนิดนึง
ที่ป้ายรถเมล์...ผมเห็น
เห็นอาซ้อ แกนั่งร้องไห้...ร้องไห้อยู่เงียบๆ คนเดียว....ไม่มีใครเลย
ภาพที่ผมเห็นมันทารุณจิตใจ มันเศร้า และไม่ยุติธรรมเลย...
ทำไมนะ...คนดีๆ ขยันขันแข็ง สองผัวเมียช่วยกันทำมาหากิน...ต้องมาโดนอย่างนี้...กรรมเวรอะไรของเค้าน้า
แต่ที่รู้...ไอ้คนที่เอารถเขาไป ก่อกรรมหนักซะแล้ว
พวกมันคงไม่รู้หรอกว่า ได้ทำความเดือดร้อน ความเจ็บแค้น ความสูญเสีย ความเศร้า มากมายแค่ไหน...มันไม่ใช่แค่รถคันเดียว

ผมเศร้ามากเพราะตอนนั้น ผมกำลังคิดจะโดดเข้าร่วมมือกับแก็งค์ขโมยรถที่เฮียเฮงแกข้องแวะอยู่
แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า...มันหดหู่มาก...
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเราล่ะ...สิ่งที่ถูกขโมยไปไม่ใช่แค่รถ แต่มันคือความหวังทั้งชีวิต
ภาพอาซ้อนั่งร้องไห้...มันยังติดตาผมจนทุกวันนี้
ทุกครั้งที่ผมผ่านป้ายรถเมล์ป้ายนี้ ก็ยังใจหายทุกครั้ง

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 53 22:14:56




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:34:10 น.
Counter : 1199 Pageviews.  

กรรมทันตา หมอจัดกระดูก



หมอจัดกระดูก

เรื่องนี้ต้องใช้วิจารณญานในการฟัง มากๆ หน่อย
แล้วแต่บุญกรรมนะครับ...
วันก่อนดูรายการ วี.ไอ.พี. มีเรื่องหมอ เอ๋ย พลังจักรวาลบำบัด
ดูแล้วนึกถึง หมอคนหนึ่งทันที...

สมัยที่ยังทำบาปทำกรรม ทำเต็นท์ขายรถแบบบาป..บาป
ผมก็ได้รับกรรมทันตาเห็น หลายเรื่องนะครับ มีทุกข์สารพัด
มีทุกข์อย่างหนึ่งที่ไม่เคยนึกว่าจะเป็น คือ
ปวดหลัง...ปวดขา...ปวดกระดูก

เริ่มเป็นทีละนิด ทีละหน่อย จนเริ่มมากขึ้น
ทางบ้านผมฝ่ายพ่อ จะมีพันธุกรรม เรื่องกระดูกขาไม่ค่อยดี
ตัวผมเลยไม่ได้นึกว่าเป็นเพราะกรรมที่เราทำในชาตินี้
มันเริ่มจากปวดตามข้อต่อที่ขา ปวดไม่มากก็ไม่ค่อยสนใจ
จนเริ่มมากขึ้น หาหมอ ก็ได้ความว่า เป็นรูมาตอย ข้ออักเสบ
ถ้าเป็นมากกว่านี้ ก็จะกลายเป็นโรค เก๊า...
สาเหตุมาจากความเครียด...เมื่อเครียด

ผมเคยปวดกระดูกขา กระดูกข้อมากจนเดินแทบไม่ได้
นอนก็ปวด นั่งก็ปวด เดินก็ปวด ปวดมากจนเดิน ขเยก..ขเยก
ดูไกลๆ เหมือนคนพิการ...กินแต่ยา
ความเครียดมันมาจากเรื่องเงิน หมุนแต่เงิน หาแต่เงิน อะไรก็เรื่องเงิน
หาความสุขไม่ได้ มันเคยพอ...ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่าเป็นกรรมเก่า...ไม่คิดว่าเป็นกรรมใหม่

หลายปีต่อมา อาการปวดอักเสบข้อ ก็เป็นๆ หายๆ
จนกระทั่ง มาเลิกทำบาป ทำกรรม...มันก็หายไปเอง
อาจจะเป็นเพราะ ละ ลด ปลดวาง หันมาปฏิบัติธรรมละมั๊ง
มันเลยไม่เครียด มันก็ไม่มีอาการขึ้นมาก็ได้...คิดแบบวิทยาศาสตร์

แต่อาการ ปวดหลัง นี่เป็นโรคประจำตัวเลย บางทีปวดมาก บางทีปวดน้อย
ผมจะดูเป็นคนหลังค่อม ยืดสุดอกผายไหล่ผึ่งไม่ได้
ไปหา อาจารย์หมอวินัย พากเพียร รพ.จุฬา อันดับต้นๆ ด้านกระดูกของเมืองไทย
เอ็กซ์เรย์แล้ว ตรวจแล้ว สรุป เป็นโรค แบมบูสปาย หรือ กระดูกสันหลังยึดติด
คือกระดูกสันหลังคนเรา ต้องขยับ เคลื่อนไหว ให้ตัวได้
....แต่ของผมมันมีหินปูนไปเกาะยึดเอาไว้ ตายตัวไปหลายข้อ
ทำให้ปวดมาก เวลานอนหงายจะทำได้ไม่ดี ท้ายทอยไม่ถึงพื้น
ทุกข์ทรมานสารพัด บางวันปวดมาก บางวันปวดน้อย
วินิจฉัยกันหมด สุดท้ายคุณหมอให้ไทลินอล มาเต็มเลย
แล้วให้พยายามทำกายภาพ ออกกำลังกายเอาก็แล้วกัน....

ผมก็ทำใจแล้ว รู้ว่าเป็นกรรมยอมรับมัน ทุกครั้งที่ปวดก็นึกว่าใช้กรรมนะจ๊ะ..อูย...ย....
พอปฏิบัติฯ รักษาศีลห้ามากๆ เอ๊...มันก็ดีขึ้น...ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หาย แค่ทรมานน้อยลง

จนเมื่อสัก 3 – 4 ปีก่อน มีอาการปวดหลังมาก..ก...จนท้อ
อยู่ดีๆ วันหนึ่งไปทำธุระที่ตึก เอ.ไอ.เอ. ระหว่างนั่งคอยก็ได้ยินคนคุยกัน
คนสองคนแต่งตัวดี คงเป็นตัวแทนขายประกันฯ คนนึงเล่าให้เพื่อนอีกคนฟังว่า
เมื่อก่อนเขามีอาการปวดหลัง และปวดขามาก อาการปวดเริ่มรุนแรงจนทนไม่ไหว
ไปหาหมอที่ รพ.เอกชน ทำการรักษา และเอ็กซ์เรย์สารพัดแล้ว สรุปต้องผ่าตัด ไม่มีทางอื่น
ผมฟังแล้วก็ เอ๊ะ...อาการเหมือนของเราแฮะ เลยตั้งใจกางหูฟัง
เขาเล่าต่อว่าระหว่างนัดวันรอการผ่าตัด ต้องไปพบลูกค้าคนหนึ่ง
ลูกค้าคนนี้เป็นร่างทรงด้วย...ผมก็นึก โอโฮ...ร่างทรงยังเสร็จคนขายประกันเลย เก่งจริงๆ
ร่างทรงท่านนั้นก็ทักเขาว่า อย่าผ่าตัดนะ...ถ้าผ่าแล้วจะเดินไม่ได้
ให้รอหน่อยจะพบหมอดี มีวิชาฯ รักษาให้หายได้
จากนั้นเขาอีกไม่กี่วัน ก็มีคนแนะนำไปหาหมอจัดกระดูกคนหนึ่ง
ตอนที่ไปหาหมอกระดูกคนนี้ ต้องให้คนอื่นขับรถให้ เพราะอาการหนักแล้วขับเองไม่ไหว
แต่พอไปถึงแล้ว รอคิวคนเยอะมาก พอถึงคิวเขา หมอก็จับเขาบิดหลัง
บิดหัวเข่าสองที แล้วบอกให้เขาลุกขึ้นเดิน
ปรากฏว่า เดินได้ ไม่ปวดอีกแล้ว
จนเขาบอกกับตัวเองว่าเขาหายแล้วนี่นา ทั้งๆ ที่ใช้เวลาการรักษาแค่ไม่ถึง 10 นาทีเอง ขับรถกลับบ้านปร๋อเลย

ตอนนั้นผมฟังแล้ว ไม่อยากเชื่อ...เป็นไปได้ยังไงว่ะ...เดินไม่ได้ รักษา 10 นาทีหาย...โม้หรือเปล่าวะ
สุดท้ายผมทนไม่ไหว เลยหันไปขอถามรายละเอียด และที่อยู่ของหมอคนนี้...
ที่จริงคนเล่าเขาใช้คำว่า หมอเทวดา ด้วยซ้ำแต่ผมไม่กล้าใช้ในที่นี้ กลัวผู้ฟังจะว่าเอา....

จากนั้นผมก็ไปด้วยกันกับภรรยา
ครั้งแรกที่เจอ ผมอึ้งมาก เพราะคนที่ไปหา นั่งรอกันอยู่เต๊ม..ม..ไปหมด ประมาณ 30 กว่าคน
มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 60 ปี ผิวดำแดง เสียงดัง เอะอะ อารมณ์ดี
กำลังรักษาคนที่ไปหาอยู่
ผมรับบัตรคิว แล้วถอยไปสังเกตุการณ์
คนป่วยที่มาหา มีทุกเพศ แต่วัยจะอยู่ประมาณ 40 – 80 ปี
วัยรุ่นที่มาไม่แน่ใจว่ามารักษา หรือพาญาติมากันแน่
คนที่อายุมากๆ หน่อย ก็จะกระย่องกระแย่ง เดินแทบไม่เป็นคนแล้ว
ในตอนหลังๆ ที่ไปหา เห็นมีประเภทรวยจัด นั่งรถตู้อย่างหรูสุด
มีเก้าอี้ไฮโดรลิคมาเลย บ่าวไพร่หามลงมาเข้าคิวเหมือนกัน

เมื่อไปถึงคุณหมอ แต่ละคนก็จะถูกตรวจ ด้วยการที่คุณหมอจับที่ข้อเท้า
แล้วให้เล่าอาการมา มีเอะอะ เอ็ดตะโรกันพอสนุกๆ เพื่อให้คนป่วยหายกังวล หายกลัวการรักษา
จากนั้น คุณหมอ ก็จะจับบิด หรือทำอาการเหมือนดัดกระดูกคนไข้
คล้ายๆ คนไข้คือหุ่นโชว์เสื้อตามหน้าร้าน แล้วมันเบี้ยว คุณหมอก็จับบิด จับดัดกลับให้เข้าที่น่ะ...

แต่ที่น่าประหลาดใจอย่างที่สุด คือ
คนป่วยที่เดินไม่ได้ หรือแทบไม่ได้ นั่งโอย ลุกโอย ต่างๆ นาๆ
คุณหมอแกจับดัดไปดัดมา 5 – 10 นาทีแค่นั้นเอง จริง..จริ๊ง...
แล้วก็ไล่ให้เดินให้ดู....ทุกคน...ทุกคน ก็เดินปร๋อ...หรืออย่างน้อยก็เกือบ ปร๋อ
ผมดูอยู่เกือบ 20 คนกว่าจะถึงผม ผลก็คล้ายๆ กัน
ยกเว้น...คนที่ผ่าตัดมาแล้ว
คุณหมอ แกบอกหมดหวัง แกช่วยไม่ได้...ถ้าผ่าตัดมาแล้วช่วยไม่ได้

พอถึงคราวผมเองบ้าง....ก็กลัวเหมือนกันนะ...กลัวเจ็บ ดูน่าจะเจ็บ
คุณหมอก็ให้นั่งตรงข้าม เหยียดขาไปทางคุณหมอ
แล้วจับชีพจรที่ข้อเท้า สอบถามอาการ
ผมบอกปวดหลังมาก แต่ก่อนปวดข้อที่ขาด้วย....
คุณหมอ ก็ให้นั่งหันหลัง...แล้วท่านก็นั่งซ้อนหลัง
เอามือสอดใต้รักแร้ของผมสองข้าง เพื่อล๊อคโดยประสานมือของคุณหมอเข้าด้วยกัน
จากนั้นชวนคุย ถามเรื่องแปลกๆ ผมก็สงสัยจะถามทำไม...
ตอนที่ผมเผลอคิดนั้นเอง....ท่านบิดตัวผมทั้งตัว...ทั้งตัว
เสียงกระดูกในตัวผมมันดัง...กึก..กึก..
ทำอย่างนี้ ซ้ายที...ขวาที
คุณหมอถาม ดีขึ้นมั๊ย....เออมันดีขึ้นมาก..ก....จริงๆ แฮะ
ตอนจับบิด มันก็ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่กระดูกมันดัง..กึก..ลั่นเลย
แล้วคุณหมอ ก็บอกว่าผมเป็นมาก เป็นมานานแล้วด้วย...ขออีกที
จากนั้น ล๊อคตัวผมแต่ไม่ใช่ท่าเดิม...แล้วกระตุก กระชากช่วงอกผมขึ้น
โอ้โฮ...ดัง..กึ๊บ...
ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด
แต่ความทุกข์ ทรมานที่มีมาหลายปี.....มันหายไป..เกือบหมด
แล้วให้ผมลองเดิน ลองยืดดู...โอ้...สบายตัวมาก ตัวเบาเลย
ก่อนกลับ ท่านสั่งว่า สัก 7 – 10 วันให้มาอีก เพราะกระดูกมันยึดแน่นมาก คงหลายปีแล้ว
ต้องมาดัดอีก 10 – 20 ครั้ง จะดีขึ้น แต่คงไม่หายสนิทเหมือนคนธรรมดานะ

กลับบ้านรู้สึกร่างกายมันเฟร๊ชมาก มันสดชื่นขึ้น ไม่ทรมานอีกแล้ว
ต่อมาก็กลับไปรักษาอีกหลายครั้ง ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ
พอไปรักษากับท่านบ่อยๆ ผมก็พยายามถามหลักการ
ได้ความว่า...ท่านไม่ใช่แพทย์ แผนวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
แต่ท่านศึกษาจากกระดูกคนจริงๆ
แนวทางที่ท่านเมตตาพอจะอธิบาย ให้ฟังด้วยความรำคาญ คือ
คนเรานี้ แต่เดิมเกิดมา ร่างกายมีสมดุลที่ดีอยู่แล้ว
ต่อมาใช้ร่างกายไปในทางที่ผิด...ผิดท่า...ผิดทาง
ร่างกายคน มีเส้นเลือด เส้นเอ็น จุดเส้นประสาท มากมายก่ายกอง
ปลายประสาทจะทำงานได้ เลือดต้องผ่านจุดเส้น มาตามเส้นเลือด
แต่เราใช้ร่างกายผิดท่าทาง จนกระดูกมันบิด มันกดทับเส้นประสาท
กดทับเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ปลายประสาทไม่ได้ หรือไม่ดีพอ
ทำให้ชาตามมือ ตามเท้า....นานๆ ไปจะเป็นอัมพาต
บางคนจุดเส้นที่ไปเลี้ยงสมองตีบตัน ทำให้เป็นเรื่องระบบประสาท ปวดหัว
สรุปสาเหตุใหญ่ คือเราเองใช้ร่างกายผิดท่า ผิดทาง
ทำให้เสียสมดุลย์ วิธีการรักษา คือ ให้มันกลับมาสู่สมดุลย์เดิม
ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ดัดให้เข้าที่ หรือขยับกระดูกให้เข้าที่

ฟังดูเหมือนซ่อมรถยนต์ที่ถูกชนมา จนกระดูกแชชซีส์ มันคด มันงอ
ก็ต้องให้เครื่องไฮโดรลิค ดึงกลับมาให้เท่าเดิมมากที่สุด
หรือเหมือนรถวิ่งไม่ตรง ก็ต้องตั้งศูนย์กันใหม่

ทางไปนะครับ
คุณหมออยู่ที่ จังหวัด ราชบุรี
แต่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะจ๊ะ

ถ้าไปทางเส้น ถนนพระราม 2 จากกรุงเทพฯ
ก็ วิ่งไปจนเลย สมุทรสงคราม
พอถึงแยก...วังมะนาว แล้วเลี้ยวขวาไปอีก 18 กิโลเมตรเท่านั้น
เจอปั๊ม ป.ต.ท.
จะมีทางเลี่ยงเมือง ให้เลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นทางเลี่ยงเมือง
วิ่งไปสักพักประมาณ 2 กม.
จะเจอทางที่จะขึ้นสะพานข้ามแยก ... ไม่ต้องขึ้น
ให้ชิดซ้าย เพื่อเลี้ยวซ้าย เข้าถนน ( น่าจะเป็นทางเข้าเมือง )
วิ่งไปแค่ประมาณ 20 เมตร จะเจอซอย จัดสรรสัตตนารถซ้ายมือ
มีป้าย...หมออดุล อยู่หน้าซอย
เลี้ยวเข้าไปเลย
วิ่งผ่าน " โรงเรียนดรุณา ราชบุรี วิเทศ ศึกษา "
หาป้ายชื่อหมู่บ้านสรรเสริญ วิลล่า ทางขวา
มีป้ายบอก อีก
แล้ว เลี้ยวขวา บ้านอยู่ซอยที่ 2 ซ้ายมือบ้านหลังหัวมุม
ในบ้าน มีร่มธนาคาร ไทยพาณิชย์ สีม่วง มีชิงช้า (แต่ไม่มีป้ายบอกชื่อบ้านหมอนะ)

ท่านชื่อ.....อดุล พลศรีราช
ผู้รักษาโรคกระดูกด้วยความชำนาญเฉพาะด้าน

เบอร์โทร 032-326-556
086-571-6981
089-965-7441

นวดรักษาโรคทางกระดูก ...
เป็นห้องติดแอร์อย่างดี ค่ารักษา เรียกว่าค่าครู 209 บาทเท่านั้น
ผมจำรายละเอียดไม่ได้หมด ไม่ได้ไปหาท่านนานแล้ว
เมื่อวานนี้ ยังโทรไปเช็คเบอร์โทร.ว่ายังใช้อยู่มั๊ย ก็ยังใช้เบอร์นี้อยู่
ไม่ต้องกลัวอันตราย เพราะรักษากันต่อหน้าญาติ หรือคนอื่นเลย
ไม่ต้องกลัวเจ็บ เพราะไม่เจ็บเลย

ขอเตือนก่อน นะครับ
คุณหมอท่าน เป็นคนอารมณ์ดี แต่เอะอะมาก คนไม่รู้อาจตกใจ
ปัจจุบันนี้มีคนไปรักษาเยอะมาก จนรับไม่ไหวต้องจำกัดแค่วันละ 150 คนเท่านั้น
เราต้องไปรับบัตรคิว ตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า
ไม่เกิน 7 โมงคิวก็เต็มแล้ว
วันพระหยุดนะครับ......วันพระ ไม่รับ
อีกเรื่องนะครับ....
ถ้าจะโทรไป ต้องทำใจก่อนนะ บางทีท่านกำลังรักษาอยู่ อาจจะมารับโทรศัพท์ด้วยความโมโห
อาจจะพูดจายวนๆ แปลกๆ ต้องทำใจนะครับ ที่จริงท่านใจดี
นอกเวลาดูเหมือนจะปิดเครื่องด้วยแน่ะ
คนเก่งๆ ก็มักจะแปลกๆ

ถ้าถามว่าตัวผมเองเชื่อถือมั๊ย....ผมเชื่อ 100 เปอร์เซนต์
ภรรยา และลูกสาวก็ไปหามาแล้ว
คุณแม่ของผม อายุมากแล้ว 70 กว่า ปวดหัวเข่ามาก
ยิ่งเวลาเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ทุกข์ทรมานมาก
ผมพาไปหา คุณหมออดุล ท่านจับบิดทีเดียว หายเลย
ดูเหมือน 5 นาทีเอง....คุณแม่บอกไม่เจ็บด้วย...ตอนรักษาไม่เจ็บปวดนะครับ
จากนั้นหายสนิท ยังคุยว่าเดี๋ยวนี้นั่งพับเพียบได้เลย....

ทั้งหมด ทั้งปวงนี้ เป็นความเห็นของผมคนเดียวนะครับ
กลัวจัง...เรื่องแนะนำให้คนไปรักษาเนี่ยะ....
ต้องมี ศรัทธา ซะก่อน
อีกอย่างก็แล้วแต่บุญกรรมนะครับ
ถ้ายังมี กรรม อยู่ก็คงยาก
ไม่แน่เหมือนกันนะ...ทรมานมานาน อาจหมดกรรม
ได้พบหมอถูกโรค รักษาได้นะครับ.

คนที่ ปวดหัว อย่างหนักเพราะเป็น...ไมเกรน
ก็รักษาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ใครที่เป็นให้รีบไปรักษานะครับ


อนณ 089-429-5655
จากคุณ : tobeteam
แก้ไขเมื่อ : 10 เม.ย. 57




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 1 กรกฎาคม 2559 19:17:45 น.
Counter : 24689 Pageviews.  

กรรมทันตา ไหว้เจ้า


ไหว้เจ้า

คุยกันก่อนนะครับ...เรื่องนี้ เป็นความคิด ความเห็น และการกระทำของผมคนเดียวเท่านั้น
บอกแล้วนะ...ผมมันแบบขวาง ๆ

คนไทย คนจีน มีนิสัยบางอย่างที่เหมือนกัน คือ ความกลัว ความหวาดหวั่น ความโลภ ....
เราเชื่อว่ามีเทวดา มีเทพเจ้า คุ้มครอง ต้องเส้นสรวงเอาอกเอาใจ
ผมมีเชื้อสายจีนเหมือนกัน
ที่บ้านก็ไหว้เจ้า เผากระดาษ ตั้งแต่จำความได้
ก็ไหว้ด้วย เป็ด ไก่ หมูสามชั้น ผลไม้....กระดาษเงิน กระดาษทอง
ไหว้ตอนตรุษจีน ปีละครั้งเท่านั้น
ต่อมาไปทำงานกับเถ้าแก่ เต็นท์รถ ที่นั่นยิ่งไหว้หนักเข้าไปอีก
ตรุษจีน สารทจีน ขายรถได้ ขายรถไม่ค่อยได้ หรือ วาระโอกาสสำคัญตามแต่จะนึกเอา
รถขายดีก็ไหว้ รถขายไม่ดีก็ไหว้

ภายหลังไปทำงานที่ สยามกลการ ก็ไหว้ที่โชว์รูมเพิ่มอีก
เหมือนเดิม รถขายดีก็ไหว้ รถขายไม่ดีก็ไหว้ ตรุษจีนก็ไหว้
กลุ้มอกกลุ้มใจ ก็ไหว้
พวกเซลส์ยิ่งตัวดี แทบจะไหว้ทุกครั้ง ที่ขายได้แต่ละคัน
ขายเข้าเป้าก็ไหว้ ขายไม่ได้เป้า โดนผู้จัดการด่ามากๆ ก็รีบไปไหว้
สรุปคือในรอบปี ไหว้หลายรอบ ไหว้จนเหนื่อย
ไหว้ทุกครั้ง เป็ด ไก่ เคราะห์ร้ายทุกครั้ง
พอไหว้แล้ว ก็ไม่เห็นแต่ละคนจะมีความสุขจริงจังสักคน
ดูๆ ไปพวกเรานี่โหดร้ายมากเลย เอาชีวิตเขา เพื่อหวังให้เราสุข
แล้วสุดท้าย....สุขมั๊ย

เมื่อผมไปทำบุญบ่อยๆ เข้า ก็เริ่มมีปัญหา...ทำไมต้องไหว้ ไม่ไหว้ได้มั๊ย
โดยเฉพาะหลังจากอธิษฐาน ว่าจะถือศีลห้า ยิ่งแย่ใหญ่
ผมมีปัญหาติดอยู่ในใจ ข้อปาณาฯ...เราไม่ฆ่าสัตว์ แต่ก็เหมือนเราสั่งฆ่า
ตามทฤษฎี....ไม่มีคนซื้อ ก็ไม่มีคนขาย เมื่อมีคนอยากได้ ก็มีคนสนอง.
ลำพังที่กินกันวันธรรมดา ก็มากพอแรงอยู่แล้ว.ว...

ยิ่งในวันตรุษจีน ผมมีหน้าที่วิ่งไปซื้อ เป็ด ไก่ ของไหว้สารพัด ที่ตลาดพรานนก
สิ่งที่เห็นทู๊ก.ก..ปี คือศพเป็ด ศพไก่ เรียงรายมากมายก่ายกอง
เฉพาะร้านที่ผมซื้อร้านเดียว ร้านเล็กๆ เขาบอก อย่างละ 300 ตัว
ของผมอย่างน้อย 4 ศพ เอ๊ย..ตัว....เขาเตรียมไว้ให้ผม
มันต้องตายเพื่อให้ผมไปไหว้เจ้า 4 ตัว
ตายเพื่อให้ผมขายดี มีการค้าขึ้น มีโชค มีลาภ.... 4 ตัว
คิ๊ด.ด...ทุกครั้งที่ไปซื้อ....ไม่ไหว้ได้มั๊ย
ไม่ด๊าย.ย..ไม่ได้...เดี๋ยวการค้าไม่ดี เดี๋ยวไม่มีโชค ไม่มีลาภ...เอ็งต้องตาย 4 ตัว
เคยคุยกับภรรยาเรื่องนี้....เธอบอกดีเหมือนกันนะ ไม่ไหว้ก็ไม่ต้องทำบาป

ผมอึดอัดใจมาก เรื่องแบบนี้ สุดท้ายคิดไม่ตก
ไปปรึกษา คุณลุงสำเนียง ดีกว่า...รู้กันนะ...ว่าท่านหมอดูในดวงใจ
เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง.....
ท่านให้ความเห็นว่า การไหว้เจ้า ให้คิดดูก่อนว่าเราไหว้ใคร ไหว้เพื่ออะไร...
เราไหว้เทวดา ให้ปกปักษ์รักษาคุ้มครองเรา ให้โชคให้ลาภเรา

อีทีนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า เจ้า หรือ เทวดา ก็มีกิเลส มีนิสัยเหมือนคนเรา
มีทั้งที่เป็น เทวดาที่ดี และเทวดาที่ไม่ไคร่ดีเท่าไหร่
ให้นึกก่อนว่า เราอยากได้เทวดาแบบไหนมาคุ้มครอง
ถ้าเทวดา ที่ยังชอบ เป็ด ไก่ หมูสามชั้น เหล้ายา ปลาปิ้ง เงินทอง ฯลฯ
ก็แสดงว่า ยังเป็นเทวดาชั้นต่ำๆ ซีน้อยๆ อำนาจบารมีอะไร ก็ยังไม่มาก
ไม่น่าจะดลบันดาลอะไรให้เราได้หรอก ตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเลย…

หรือเราอยากได้เทวดาที่มีบุญฤทธิ์กล้าแข็ง มาปกปักษ์รักษาเราล่ะ
ท่านเหล่านั้น ยังสนใจกะอีแค่ ของไหว้ประเภทนี้อีกเหรอ
ท่านน่าจะเป็นเทวดา ที่อยู่ในภพภูมิสูงๆ มีกายทิพย์ อาหารทิพย์
ไม่อยากได้อะไรที่ไม่เข้าเรื่องอีแบบนี้หรอก
ที่ท่านอยากได้ น่าจะเป็นบุญกุศลที่เราทำ แล้วอุทิศให้ด้วยจิตบริสุทธิ์มากกว่า....

ผมฟังคุณลุงสำเนียง ที่รักยิ่งของผมแล้ว ซาบซึ้งเลย...เข้าใจเลย
ถ้าผมอยากได้คนมาปกปักษ์รักษา ผมคงไม่อยากได้ ขี้เมา แทะเป็ด แทะไก่ อยากได้หมูสามชั้น แน่นอน
ผมก็ถามท่านว่า ถ้างั้นผมไม่ไหว้เลยดีมั๊ย
ท่านก็ว่า แล้วแต่ใจนะ....แต่ถ้ายังตัดเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ไหว้ของเจ กับผลไม้ก็ได้
เพราะถ้ายังคิดว่า วันสำคัญ ตรุษ สารท ยังมีเทวดา ระดับอื่นๆ แวะเวียนมา
ท่านเหล่านั้นก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่า บ้านนี้รักษาศีลห้า บ้านนี้ไม่ต้อนรับเทวดาพาล วิญญาณชั้นต่ำ
แต่ยังกตัญญูแสดงความเคารพ และขอบคุณเทพเบื้องบนที่ปกปักษ์รักษา คอยช่วยอำนวยชัย
คุณลุงท่านยังสำทับอีกว่า...ถ้าเรารักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดเสียแล้ว
เคราะห์กรรมไม่กล้ำกลาย...แม้แต่เทวดาเบื้องบนยังอดเกรงใจไม่ได้เลย

โล่งอก...ตั้งแต่นั้นมา ผมเลยเปลี่ยนเป็น ไหว้ด้วยของเจ และผลไม้แทน
ไหว้เสร็จแล้ว ก็ถือโอกาสกินเจซะวันนึง
ในปีแรกๆ ก็ไหวหวั่นนะ กลัวเจ้าจะโกรธ กลัวการค้าจะไม่ดี....
แต่กลับตรงกันข้าม ทุกอย่างยิ่งราบรื่น ยิ่งเฮงมากขึ้น เงินทองไหลมาเทมา
การงานก็ก้าวหน้า ผมยืนยัน มีความสุขกว่าเยอะ
ใครอยากไหว้ด้วยวิธีไหน ผมไม่เคยขัด...เรื่องของมรึง
แต่ของผมไหว้แบบนี้ ใครว่าขี้เหนียว ผมบอก...เรื่องของกรู
ลูกน้องหลายคนที่ยังใช้วิธีเดิม ก็ยังเห็นทุกข์ทนวนเวียนเหมือนเดิม
ตามทฤษฎี...คิดเหมือนเดิม...ทำเหมือนเดิม....ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม

เดี๋ยวนี้...ทุกครั้งที่ไปซื้อของไหว้ ก็สบายอก สบายใจ จิตไม่เศร้าหมองอีกต่อไป
มั่นใจอย่างที่สุด....เราคบแต่เทวดาที่ดี

ในภายหลัง ถึงได้รู้ว่ามีคนคิดอย่างผม และทำอย่างเดียวกับผมเยอะแยะ เลย......

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 53 08:08:45




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:31:31 น.
Counter : 1627 Pageviews.  

กรรมทันตา จุดเปลี่ยน

จุดเปลี่ยน

ชีวิตผม เหมือนรถที่เมื่อเริ่มออกวิ่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งอุตลุดสุดชีวิต
แต่มันผิดทิศทาง ตั้งเป้าหมายผิดมหันต์แต่แรก
คือ พอเรียนจบ ก็ตั้งเป้าไว้ที่เงิน ความร่ำรวย ความมีหน้ามีตา ก็คงเหมือนๆ กับคนอื่นๆ อีกมากมาย
ทำงานหาเงินโดยไม่สนใจวิธีการ มองแต่เป้าหมาย ขอให้ไปถึงเร็วที่สุดเป็นพอ
ด้วยความอยากรวย ก็เลยทำอาชีพด้วยความไม่สุจริต เอาเปรียบคนอื่น
ไม่สนใจศีลธรรมจรรยาอะไรทั้งนั้น

ผมทำอาชีพค้าขายรถมือสอง ขายด้วยการโกหก หลอกลวง ในบางครั้งก็ผิดกฎหมายด้วย
ขายด้วยความกะล่อนสารพัด ขอให้ขายได้ก็พอ
ในตอนนั้น ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเป็นสิ่งผิด ทั้งกฎหมาย และศีลธรรม
ต่อมาเงินทองที่หามาได้ มันก็หมดไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่เขาว่า...เงินร้อน
ยิ่งหมดเร็ว ยิ่งต้องหาใหม่ให้เร็ว ให้ได้มาก หาด้วยวิธีการที่เลวมากขึ้น
มันเป็นวังวน ที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา.....แต่หมุน ลง ไปเรื่อย ๆ ตกต่ำลงไปตลอดเวลา

ผมมีโชคดีมหาศาล คือ มีภรรยา ชื่อ คุณหม่อง
เค้าเคร่งครัดในศีลห้า ตั้งหน้าทำแต่ความดี ซึ่งมันสวนทางกับผมตลอด
งานที่ทำ ต่างคนต่างทำ ผมค้าขาย เค้าสอนหนังสือ
ต่อมาเป็นเลขาฯ เป็นประชาสัมพันธ์ จนกระทั่งออกลูกคนเล็ก
จึงลาออกมาเลี้ยงลูก จนลูกได้ขวบ เธอถึงได้เริ่มค้าขาย

ซึ่งขณะนั้นผมยังทำเต้นท์รถ ยังวิ่งวุ่นหาแต่เงิน ทำบาป ทำกรรมอย่างเมามัน
ผมเชื่อตามที่ถูกสอนมา ว่า.....การค้าต้องมีเล่ห์เหลี่ยม การขายต้องใช้ทุกวิถีทาง โกหกก็ได้ กำไรให้มากไว้....
แหม.....ไอ้คนสอนนี่มันช่างเลว..ว...ไอ้คนเชื่อมันก็ช่างโง่ จริงๆ...

ต่อมาผมต้องการกลับตัว กลับใจเลิกทำบาป ก็ได้พยายามอย่างยากลำบาก กว่าจะหลุดรอดมาได้
แต่ไม่ใช่อยู่ๆ ก็คิดได้ทันทีหรอกนะครับ...มันมีเหตุให้เป็นไป ทีละนิด ทีละหน่อย
เหตุแรก คือ คุณพ่อตาของผม ท่านเป็นคนดี ปฏิบัติธรรมอย่างลึกซึ้ง
ท่านได้วางอุบาย ค่อยๆ ดึงผมให้กลับมาสู่ทางที่ถูกที่ควร
เช่น ชวนครอบครัวผมไปเที่ยว และถือโอกาสทำบุญไปด้วย
การไปวัดทำบุญแต่ละครั้ง ก็ต้องจุปธูป เทียน อาราธนาศีล
ซึ่งจะทำให้ผม เกิดตะขิดตะขวงใจทุกครั้ง ที่รับศีลห้า
ครั้งสองครั้ง ก็รับศีลส่งเดชไปงั้นเอง....
แต่พอไปทำบุญบ่อยๆ เข้า ชักอาย...จนเริ่มละอาย
ข้อปาณาฯ ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ฆ่าใคร อย่างดีก็ตบตียุง
ข้ออาทินา ท่าจะไม่ค่อยดี มีเอี่ยวกับเรื่องนี้นิด..นิด
ข้อกาเมฯ กลัวเมียไม่กล้าทำจริง คิดเล่นๆ ก็เป็นบ้าง
ข้อมุสาฯ...นี่แหละปัญหาใหญ่ จะรับศีลได้ไงข้อนี้ โอ๊ย.ย...กลุ้มใจ
ข้อสุราฯ ผ่านได้ง่ายไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้..สบาย

ปัญหาใหญ่สุด ก็มุสาวาทานี่แหละน้า...ทำยังไงดี เราคนค้าขาย
ถ้าไม่โกหกแล้วมันจะขายกันได้ยังไง เรื่องแบบนี้มันต้องโม้ ต้องโอ้อวด
รถเก่าก็ต้องมีชนบ้าง คว่ำบ้าง หงายบ้าง แต่จะบอกได้ยังไง ใครจะซื้อ
ทำหน้าซื่อบอกมือเดียว ใช้น้อยมาก....

จนกระทั่งวันหนึ่ง นัดลูกค้ามาดูรถที่บ้าน ประมาณว่ารถใช้เอง มือเดียว
ตอนนั้นลูกสาวคนโตประมาณ 7 - 8 ขวบ
สัญญากับแกว่า จะพาไปเที่ยวห้าง ถ้าขายรถคันนี้ได้จะให้ค่าขนมพิเศษ
แกก็ดีใจ รีบมาช่วยเช็ดล้างรถอย่างดี
เมื่อลูกค้ามาถึง ก็พูดคุยกัน ดูรถกัน โม้โกหกสารพัด
รถใช้เอง ตั้งแต่ออกห้าง ใช้อยู่ทุกวันรักษาอย่างดี...ฯลฯ
ลูกสาวก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ลุ้นให้ขายได้ จะได้พิเศษค่าขนม
แกเป็นเด็กฉลาด ช่างจดจำ สนอกสนใจ...ที่สำคัญเห็นพ่อเป็น ฮีโร่
สุดท้ายลูกค้าตกลงซื้อ ทำสัญญา จ่ายเงินเรียบร้อย...จบการขาย

ส่งลูกค้ากลับไปแล้ว หันหลังเดินเข้าบ้าน...
ผมยังจำเหตุการณ์ได้แม่น เหมือนเกิดขึ้นต่อหน้าตอนนี้เลย
ลูกสาวผมยืนรออยู่หน้าประตู ตาเป็นประกาย ดีอกดีใจ...
...เฮ้...ป่ะป๊าเก่งจริงๆ...ป่ะป๊าสุดยอด...บอกม่าม๊าแล้วว่าป๊าต้องขายได้ เย้...
ตอนนั้น ผมอึ้ง...ตะลึงไปเลย
ความรู้สึกในตอนนั้น..ตกใจ...ตามมาด้วย เสียใจ
เราทำอะไรลงไปเนี่ยะ ลูกย่อมเห็นเราเป็นพระเอก เป็นฮีโร่เสมอ
เราโกหก กะล่อนสารพัด ให้ลูกดู ให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง
โอ้...คุณพระช่วย....เท่ากับเราเอายาพิษให้ลูกกินแท้ ๆ....
นี่เรากำลังสอนลูกให้เป็นโจรเหรอ....
เรากำลังทำร้ายลูกสุดที่รักดังแก้วตาของเราเองเหรอ...
ลูกเราคงต้องจดจำไปตลอดชีวิตแน่นอน
เรามันเลวชาติ จริง..จริง.

ผมตัวชาไปหมด ความรู้สึกเสียใจ มันวิ่งจี๊ด..ด..ไปทั่วร่าง
ผมรักลูก..มาก รักและทนุถนอม
อยากเห็นแกค่อยๆ เติบโตเป็นคนดี คนเก่ง เป็นที่สุดของที่สุด
แต่ผมทำอะไรลงไป กำลังทำผิดมหันต์มากมาย
ความรู้สึกที่ตามมาทันที...คือ ละอายใจ
ละอายในความชั่วของตัวเอง ละอายในความกะล่อนปลิ้นปล้อน
ตัวตนความเป็นคนของผม มันไม่มีค่าเลย
เป็นสารเลว สวะสังคม แท้ๆ
แล้วผมจะเอาภาคภูมิใจที่ไหนให้ลูกดู
จะเอาอะไรไปสั่งสอนลูกได้ล่ะ....
ลูกเห็นเราเป็นพระเอก.....เห็นคนเลวเป็นฮีโร่…โธ่.เอ้ย

ช่วงเวลานั้น ลูกสาวของผมกระโดดโลดเต้นดีใจ
เกาะแขนจูงมือเดินเข้าบ้าน พาไปหาภรรยาผม
ผมไม่กล้ามองหน้าภรรยาเลย ทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไง
ผมละอายเธอ ผมเป็นสามีที่เฮงซวย เป็นพ่อที่แสนเลว
ผมมีภรรยาที่สุดประเสริฐ มีลูกสาวที่แสนวิเศษ
แต่ตัวผมล่ะ...ค่าของความเป็นคนอยู่ที่ไหน

ในนาทีนั้น ต่อหน้าภรรยา ต่อหน้าลูก ผมตัดสินใจทันที
...เลิก...เลิกกัน...เลิกโกหก...เลิกชั่ว...เลิกเลว...
ผมตัดสินใจ ที่จะเลิกกระทำความชั่วเลวทุกอย่าง
ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะเป็นไปได้อย่างไร จะทำยังไงต่อไป...ไม่รู้เลย
รู้อย่างเดียว ผมจะต้องเป็นคนดี เป็นคนที่ลูกและเมียภาคภูมิใจ
ต้องเป็นคนที่สอนลูกได้ เป็นตัวอย่างอันดีให้ลูกได้...ผมจะทำ

วันต่อมา...ผมตัดสินใจ นั่งคุยกับลูกสองคน
ผมสารภาพกับลูกสาว 7 ขวบ
ผมบอกแกว่า สิ่งที่ผมทำมันไม่ถูกต้อง
การโกหก มันไม่ดี มันชั่วร้าย...ป่ะป๊า ทำผิดไปแล้ว
ต่อแต่นี้ ป๊า..จะเริ่มต้นใหม่...จะทำตัวใหม่
ป๊าจะเป็นคนดีแล้วลูก...ที่ผ่านมามันไม่ถูกต้อง...ป๊า ขอโทษนะลูก.
ลูกสาวผม แกก็งงๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่...
แกยิ้ม...ยิ้ม ตาหยีเลย แล้วก็กอดผม.....
...ป่าป๊า เก่งที่สุดเล๊ย..ย...แล้วแกก็หัวเราะ
ผมน่ะ...น้ำตาคลอ...กลั้นแทบตาย...อายลูก
โธ่...ลูกเอ๊ย...นางฟ้า ของพ่อ......

เหตุการณ์นั้น มันแรงสำหรับผม มันกระแทกโดนใจ
ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง...ทุกอย่าง จริง ๆ
เป็นจุดหักเหของชีวิต
หลังจากนั้น ก็อย่างที่เล่าไปแล้วทั้งหมด
พยายามว่ายทวนกระแสกิเลส ที่เชี่ยวกราก
รับเคราะห์ รับกรรม เข้าคุกตะรางก็เคย...แต่
เรื่องราว ก็พลิกผันไปหมด...ไปในทางที่ดี
ชีวิตอันเลว เหลวไหลของผม ค่อยกลับมาเป็นคนเต็มคน
ก็เพราะ ภรรยา และ ลูกสาว
....นางฟ้าทั้งสองของผม...

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 09:42:47




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:29:44 น.
Counter : 1099 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.