กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 30

โอ้..อินเดีย 30

สวัสดีครับ...
ผมเล่าเรื่อยเปื่อยมาถึงวันสุดท้ายที่อยู่ใน อินเดีย แล้วนะครับ
อย่างที่บอกไปหลาย ๆ ตอนแล้วว่าความรู้สึกที่ได้รับจากการมา แสวงบุญ
กราบสังเวชนียสถาน นั้นมัน...สุดจะบรรยาย
ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร หรือเป็นคำพูดได้ทั้งหมด
ในตอนแรกก็ สนุก แปลกใหม่ต่อสถานที่
แถมตื่นเต้นไปกับการเดินทาง การใช้ชีวิตปลดทุกข์ตามท้องทุ่ง
ความสนใจในวัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่
แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับ สังเวชนียสถานต่าง ๆ ความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมามากมาย คือ
มันซาบซึ้ง ความปิติ อิ่มสุข เกิดความตื่นตัวใน...จิต
เกิดสิ่งที่บางท่านเรียกว่า...สภาวะธรรม
ผมเองไม่ใช่ นักปฏิบัติ หรือฝึกการทำสมาธิมาอย่างช่ำชอง
แต่คงจะด้วยสถานที่แต่ละแห่ง ที่ถูกอัดแน่นไปด้วยพลังบารมีอธิษฐาน
ของผู้ที่มากราบสักการะมานับเป็นพัน ๆ ปีแล้ว
บวกกับพลังแห่งความ ปิติยินดี ของเราที่ได้มาถึงแทบบาท พระบรมศาสดา
ทำให้การรวมจิต อธิษฐานถึงบารมีพระองค์ท่าน ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือ...ความปิติ อิ่มเอิบ ที่มันพลุ่งพล่านขึ้นจนระงับไม่ทัน
ทำให้ น้ำตา มันไหลทะลักออกมาแทบจะทุกครั้ง ทุกสถานที่
คิดว่าความรู้สึกของผม ก็คงจะเหมือนกับทุก ๆ ท่านที่เคยมาแล้ว

ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทาง ตลอด 8 วัน 8 คืน ระยะทางหลายพันกิโลเมตร
ต้องบอกว่า ทรหดอดทน น่าดูเชียว
แต่ก็แฝงไว้ด้วยความ สนุก ตื่นตาตื่นใจ
ได้ทำกาย คือทำตัวให้เป็น กุศล เพราะไม่มีช่องทางทำบาปได้เลย
ทำจิตให้เป็น บุญ เพราะสวดมนต์ นั่งปฏิบัติฯภาวนา เดินจงกรม เวียนเทียน แผ่ส่วนกุศล เยอะ มาก..มาก
เรียกว่าแทบจะทุกสถานที่ ทุกวัด ทุกโอกาสอำนวย
ยังได้รับความรู้ ได้ฟังธรรมะ จากพระอาจารย์วิทยากรตลอดเวลา
แต่ก็ไม่ยักกะเบื่อ นะ
กลับสนุก และตื่นเต้นไปกับเรื่องราว เหตุการณ์ ที่ไล่เรียงกันไปตามสถานที่ ที่เราผ่าน เราแวะ
ที่หลับที่นอน ก็แสนจะสะดวก แถมสบาย เกินความคาดหมายไปมากหลาย
ซาบซึ้งจริง..จริง กับคำว่า ...วัดไทย
วัดของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย
ห้องนอนที่ท่านจัดให้ ก็น้อง ๆ โรงแรม 4 ดาวแหละ
อาหารการกิน...อาหารไทย อร่อยทุกมื้อ
ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งอร่อย

ถ้าจะพูดถึง ข้อเสีย ก็มีเหมือนกันนะ
แต่มันก็ไม่รู้จะบ่นไปทำไม เพราะมันเรื่องของเมืองเค้าน่ะ
ถนนหนทาง มันแสนจะทุลักทุเล ยิ่งกว่าจังหวัดไกล ๆ ของเราซะอีก
แล้วก็เสียงแตร...โอ๊ย มันบีบแตรกันลั่นสนั่นเมือง ตลอดเวลา
เค้าบีบแตรเสียงสนั่นหวั่นไหว แรก ๆ ฟังแล้วแทบบ้าตาย
เรื่อง ขอทาน อีกอย่างมันช่างเยอะ จริง ๆ
ขอทานตัวเล็ก ตัวน้อย เดินประกบติด
ขอย้ำอีกครั้ง...เดินประกบติด แบบตัวต่อตัว
หรือ เราหนึ่งตัว กับเค้าอีกหลายตัวตาม...ประกบติด
บางครั้งมอง ๆ ดูแล้ว เหมือนกับพวกเค้าเป็น...วิญญาณ มาขอส่วนบุญ
เป็นเจ้ากรรมนายเวร คอยติดตามประกบ...ติด
ร้องเรียกเราว่า...มหาราชา มหารานี
แต่ออกสำเนียงประมาณ...หมาราจ๊า หมารานี๊...
เดินตามทำหน้าทำตา น่าสมเพชเวทนาอย่าง สุด สุด
แต่...หัวหน้าทัวร์ สั่งแล้วสั่งอีก และก็สั่งอีกสั่งแล้ว..ว...ว
ห้ามให้สตางค์ ขนม หรือของกิน อะไรโดยเด็ดขาด
มิฉะนั้นอาจถูกรุมล้อม จนเสียสติได้...แน่ะ
ไอ้พวกเรา ชาวแสวงบุญ ก็ช่างเป็นพวกที่บำเพ็ญทานกันมาเป็นกิจวัตร
พวกใจดี ใจง่าย ให้ง่าย มาตั้งแต่เกิดแล้ว
พระอาจารย์ฯ ท่านว่า คนไทยเราชอบให้ทาน เลยไม่ต้องเกิดที่อินเดีย
ไปเกิดที่เมืองไทย ดินแดนแสนสบาย เลยลืมความทุกข์ที่แท้จริงไปซะนี่
พอเห็นเด็ก ๆ หน้าตาน่าสมเพช มาเรียกร้องขอ
ใจรึมันก็อยากจะให้ ใจจะขาด...กลายเป็นความทุกข์ของเราเอง
แต่ ในความเป็นจริงแล้ว พวกขอทานเหล่านี้
เขาเห็นเป็น อาชีพ ชนิดหนึ่ง
แถมขยันทำงานอาชีพนี้ซะด้วยซิ
พวกเรามาสะอึก รู้สึกตัวเอาในวันที่ผ่านไปสถานที่ห่างไกลจากจุดสำคัญ แต่เป็นหมู่บ้านธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง
พวกคนอินเดียชาวบ้านเค้า ไม่ชอบให้เด็ก ๆ มาเป็นขอทานนะ
แถมยังว่าเรา...พวกคนไทย นี่แหละตัวดี
มาทำให้พวกเด็ก ๆ ของเค้า...เสียนิสัยหมด
ขนาดออกปากว่าเอาเลยนะ
เค้าบอกว่า อย่าให้สตางค์กับเด็ก ๆ เพราะจะสร้างนิสัยขี้เกียจ ขี้ขอ
แถมเด็กที่มันได้สตางค์ง่าย ๆ จากการแบมือขอ น่ะ
มันไม่ยอมไปโรงเรียน คอยแต่จะขอเงินจากนักท่องเที่ยว
แล้วเอาเงินไปเล่นการพนัน หรือซื้อยาเสพติด
สรุปว่า...เค้าด่าว่า พวกเรานี่แหละไปทำให้เยาวชน อนาคตของชาติเสียผู้เสียคนหมดแล้ว
ไอ้พวกคนใจดี แต่ไม่มีปัญญาทั้งหลายนี่แหละ
อู๊ย..ย...ถูกด่าซะ แสบบบบบ
บอกตรง ๆ ฟังแล้ว อึ้งไปเลย

แต่ที่พาราณสี ริมแม่น้ำคงคา นั่นคนละเรื่องเลย
ขอทานผู้ใหญ่ทั้งนั้น...มากมายก่ายกอง
แล้วก็สารพัดจะน่าสมเพช เห็นแล้วหดหู่
แต่พวกนี้ ขยันชะมัด...ขยันการขอ ซื่อตรงสืบสานจาก ชูชก จริงๆ
พอดูพวกขอทานอินเดียมาก ๆ แล้ว ลงความเห็นเหมือนกันอย่างหนึ่งว่า
ขอทานไทย ชิดซ้ายแลดูกระจอกไปเลย
เทียบกันแล้ว ขอทานบ้านเราดูไม่น่าสงสาร ไม่จริงจัง
แถมไม่ขยันเท่ากับของอินเดียเค้าน่ะ

ข้อเสีย...ที่พอจะนึกได้อีกอย่างคือ
พวกเรามุ่งแต่เรื่องจะไป สังเวชนียสถาน ซะจนไม่ได้เข้าถึงการท่องเที่ยว
หรือเรียกได้ว่า เราไม่ใช่ทัวริสต์
ไม่ได้สนใจ อารยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
ไม่ได้ค่อย ๆ มองอินเดีย แบบอินเดีย
สายตาไปจับจ้อง มองแต่พุทธสถาน สนใจแต่พระพุทธเจ้า
แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ...เรามาแสวงบุญ

ข้อเสียที่รู้สึกแน่ ๆ คือ...เวลามันน้อยไป
เวลาที่ได้มาแค่ 8 – 9 วัน แต่รู้สึกมันสั้นนิดเดียว
ดูเหมือนเวลาแค่ แป๊บ..บ...เดียวเอง
กำลังอินน์ กับความสุข ความอิ่มเอิบ ความสงบทางจิต
เริ่มที่จะได้ ปิติ เริ่มเข้าใจในธรรมะที่เคยขัดข้อง
กำลังตื่นตัว ลุกโพลง ไปด้วยศรัทธาที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย
พุทธสถานแต่ละแห่งที่ไปสัมผัส พอได้ที่ เริ่มจะได้...สมาธิ แน่วแน่
กำลังเริ่มจะได้...ปัญญา
อ้าว...เวลาหมดซะแล้ว ต้องไปต่ออีกแล้ว
เสียดาย..ย...ย อ่ะ
แล้วที่ตามมาในความรู้สึกต่อมาคือ...เสียดายเวลา
เสียดายเวลาที่มันผ่านไปแล้ว
เรามัวไปทำบ้าอะไรอยู่ ตั้งครึ่งค่อนชีวิต
ตลอด 40 - 50 ปีที่สูญหายไป เราไปทำอะไรอยู่
ทำไมเพิ่งจะมา อินเดีย มากราบสังเวชนียสถานเอาตอนนี้

และความเสียดาย ที่ตามติดมาอย่างแรงอีกอย่างนึง
เสียดายเวลา...ชีวิตที่เหลืออยู่ มันน้อยนิดเหลือเกิน
กลับไปแล้วจะเริ่มสนใจ ปฏิบัติฯ กรรมฐาน
สนใจพระไตรปิฏก อุปถัมภ์พระสงฆ์
ตั้งใจจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้ยั่งยืนต่อไป...จะทันมั๊ย
ความตาย มันจะรอให้เราปฏิบัติฯ ได้ทันมั๊ย...

เอ้อ...เพิ่งนึกขึ้นได้อีกอย่าง
เมื่อตอนที่อยู่อินเดีย แล้วกลับเกิดความรักเมืองไทย
บ้านเราดีกว่าเค้าเยอะ สะอาดสอ้าน สดวกสบาย ทันสมัย
ถนนหนทางดีกว่ามาก ผู้คนจิตใจดีมีเมตตา มีลู่ทางเปลี่ยนฐานะทางสังคมได้อย่างสบาย
ต่างจากพวกเขา ที่เกิดมาปุ๊บ ก็ถูกตีตราจำกัดชั้น วรรณะ อย่างแข็งแรง
ต่อให้เก่ง หรือขยันแค่ไหนก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
ถึงพวกเราจะอยู่กัน ปกครองกันแบบมั่วอีตั้วไปหน่อย
แต่ก็สนุกดี
เรามี ในหลวง ที่ประเสริฐสุด...
รู้สึกรักเมืองไทย ชูชาติไทย ขึ้นมาเยอะ

พอกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ผมให้รู้สึก เบื่อหน่าย คลายจางบางอย่าง
เบื่อข่าว เบื่อฟัง เบื่อดู...ข่าวสาร
โดยเฉพาะเรื่อง การเมือง เบื่อแทบอ๊วก
ผมบอกเลิกรับหนังสือพิมพ์ ไม่เปิดวิทยุฟังข่าว วิจารณ์
แรก ๆ นี่ไม่ดู สรยุทธ์ กนก หรือธีระ อะไรอีกหลายคน
ยิ่งเห็นแกนนำ สีแดง เหลือง เขียว ขาว ฯลฯ
บอกตรง ๆ มันจะอ๊วก..ก...ก
แต่เปิดฟัง เทศน์ ทั้งวัน
ค้นหาแต่บทสวดแบบอินเดีย ที่ทำนองไพเราะ มาฟัง
จนคุณหม่อง ภรรยาที่รักยิ่งบอก...
ถ้ารู้ว่าไปอินเดีย แล้วดีอย่างนี้ คงจะส่งไปซะตั้งแต่วัยรุ่นแล้วละ

เฮ้อ...ไอ้ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี่
ท่านที่เคยไปกราบสังเวชนียสถาน มาแล้ว
ไม่ทราบว่ามีอาการเป็นเหมือนกันบ้างมั๊ย
ได้โปรดเขียนมาเล่า ความรู้สึกให้ฟังบ้างเถอะครับ
ส่งมาตาม อีเมล์ของผมก็ได้
อยากรู้ว่า...กระผม บ้าไปคนเดียวหรือเปล่า...
ได้โปรด เถอะ


อนณ 093-149-9564
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2555    
Last Update : 10 ตุลาคม 2558 22:07:50 น.
Counter : 3809 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 29

โอ้..อินเดีย 29

สวัสดีครับ...
อันที่จริงก็ว่าจะจบซีรี่ส์ โอ้...อินเดีย ซะที
เพราะเล่าตั้งแต่วันก่อนเดินทาง จนเรื่อยเปื่อยไปจนถึงวันสุดท้ายที่ได้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ดินแดนเกิดของ พุทธศาสนา
แต่ก็ให้รู้สึกขาด ๆ หาย ๆ อะไรไปหลายอย่าง
ต้องมานั่งคิดดูว่า อะไรที่เป็นเหตุให้มีไฟอยากมาเล่าเรื่องตั้งมากมาย
ก็นึกได้ว่า...การที่ได้ไป สังเวชนียสถาน
ความรู้สึกขณะที่ได้กราบลง ณ. ที่ตรงก้อนดิน ก้อนหิน ที่พระพุทธองค์ได้เคยประทับ
มันเหมือนกับเราได้กราบลงที่...พระบาทท่านจริง ๆ
ชั่วขณะเวลานั่งปฏิบัติสมาธิ กรรมฐาน ที่หน้ามูลคันธกุฎีที่ประทับ
ก็เหมือนกับได้มาเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่าน
มันอธิบายไม่ได้ บรรยายไม่ถูก
บอกได้แต่ว่า...ปิติ อิ่มเอิบ เปี่ยมศรัทธา ได้สติ ได้ปัญญา
ความคลอนแคลน ความขัดข้องสงสัย ที่เคยมีมานาน..น...น
มันหายไปซะหมดสิ้น
ความกังวล ความติดยึดในบาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต...มันหลุดออกไป
ได้สติ ว่า...ไม่มีประโยชน์อะไรกับการมานั่งเสียใจ
มีปัญญา คิดมุ่งมั่นสร้างสมเสบียงบุญซะดีกว่า
วันคืนล่วงไป...ล่วงไป เรามัวทำอะไรอยู่
สิ่งที่ตามมาคือ ความกระตือรือล้น อยากรู้ให้ลึกซึ้งมากกว่านี้
อยากเข้าให้ถึง...แก่น
แต่สิ่งที่แย่ก็มีนะ ตั้งแต่กลับมาคราวนี้แล้วไม่สนใจความแตกต่างระหว่างลัทธิ นิกาย
จะเถรวาท มหายาน หรือสำหนักไหนจะมีกิจกรรมแอ๊คติ้งอะไรก็ตามสบาย
ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เป็น กรรม ของเขา
ที่แปลกประหลาดกว่าเดิม คือจิตประหวัดคิดถึงแต่...พุทธคยา
ก้มกราบพระสวดมนต์ ก็ระลึกว่ากราบ...พระพุทธเมตตา
ทุกครั้งที่เห็นต้นโพธิ์ ก็ให้คิดไปถึง...ต้นพระศรีมหาโพธิ์
มีความรู้สึกหลอน ๆ ว่า...ได้ขยับเข้าใกล้พระพุทธเจ้า ขึ้นอีกนิ๊ด.ด..ด
มองเห็นแสงสว่างของพระองค์ท่านอยู่ ลิบ...ลิบ

ไอ้ความรู้สึกอิ่มเอิบที่ว่านี้ มันมากมายซะจนอยากแบ่งปันให้ใคร ๆ
อยากชักชวนให้ได้ไปชิม ไปรับเอามาบ้างนะ
เมืองไทยมี พระ ให้กราบตั้งเป็นหมื่น เป็นแสน
แต่...ก็เป็นสิ่งจำลองทั้งนั้น
ต้องไปกราบให้ถึงที่ ณ. จุดเดิมแท้ ซักครั้ง
แล้วอีทีนี้ จะกราบตรงไหนก็ได้ไม่สำคัญ
เพราะเหตุว่า...พระพุทธองค์ ท่านอยู่เต็มหัวใจซะแล้ว

ผมเลยอยากจะขอร้องให้ท่านที่เมตตามาตลอด
ช่วยเขียนมาเล่าให้ด้วยเถอะครับว่า...
ก่อนไป อินเดีย กับหลังจากที่กลับมาแล้ว...เป็นยังไง
ความรู้สึกเมื่อได้กราบลงที่ตรง สังเวชนียสถาน มันเป็นยังไง
แล้วได้เห็น ได้คิด หรือมีสิ่งเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างมั๊ย
เงินที่เสียไป สามหมื่น ห้าหมื่น น่ะ...มันคุ้มมั๊ย
สำหรับท่านที่เป็นสมาชิก พันทิป คงไม่มีปัญหา
แต่ท่านที่ไม่ใช่สมาชิก ช่วยอีเมล์มาด้วยนะครับ
tobeteam@yahoo.com
ได้โปรดเถิด นะครับ อยากได้เป็นข้อมูลเล่าสู่กันฟัง
และเป็นการชักชวนคนที่ยังลังเล หรือเริ่มสนใจ
ให้รีบตัดสินใจ...

อ้อ...พูดถึงอีเมล์แล้ว
ใน โอ้..อินเดีย 17 ผมเล่าเรื่องวัดไทย 960 และท่าน อ.วรพร
ผู้เดินทางไปเป็นอาสาสมัครฯ ช่วยงาน
ปรากฏว่าท่านได้อ่านเรื่องนี้ด้วย และเขียนมาถึงผมด้วย
ลองอ่านดูนะครับ...

เรียน คุณอนณ
ดิฉันบังเอิญได้อ่าน blog ของคุณที่ลงเรื่องประเทศอินเดีย (//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tobeteam&date=26-04-2012&group=1&gblog=129)
โดยมีน้องที่รู้จักส่งมาให้อีกต่อหนึ่ง
ด้วยความขอบคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาเขียนบางส่วนถึงดิฉันแต่ในทางที่ดี ๆ ทั้งนั้น
อ่านแล้วสบายใจเป็นที่สุดค่ะ
แต่ในช่วงที่ดิฉันไปปฏิบัติงานที่ วัดไทย 960 นั้น มีโอกาสได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตานับพันนับหมื่นคน
ดิฉันต้องเรียนตามตรงว่าจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
ทั้งที่แต่ละคนดูหน้าตาอิ่มบุญด้วยบรรยากาศของแดนพุทธภูมิ ที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำจิตว่างได้ในช่วงเวลาหนึ่งจริงๆ
( คือลืมภารกิจหมกมุ่นจากเมืองไทยได้หมด )
และที่แน่นอนคือทุกคนแสดงความเป็นมิตรไมตรีกับดิฉันทั้งนั้น
ที่น่าภาคภูมิใจยิ่งกว่านั้นคือแทบทุกท่านจะสอบถามดิฉันว่ามาได้อย่างไร
ถ้าจะมาเป็นอาสาสมัครแบบนี้บ้างจะสมัครได้ที่ไหน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็แสดงความชื่นชม กราบอนุโมทนาบุญกับดิฉันทั้งนั้น
ด้วยกำลังใจเหล่านี้เอง ทำให้ดิฉันสามารถยืนหยัดปฏิบัติงานได้ถึง 6 เดือนตามสัจจะที่ตั้งไว้
ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณญาติโยมทุกท่านที่ได้มีโอกาสสนทนาปราศรัยกันที่นั่น
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะเดินทางไปอินเดีย ดิฉันไม่กล้าคิดว่าเราจะไปกอบโกยบุญหรืออะไรทั้งนั้น
ดิฉันคิดเพียงอยากไปช่วยทำประโยชน์ให้กับทางวัดและได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคมเพียงเท่านั้น
เพราะในชีวิตของลูกผู้หญิงก็มักจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวตนเอง
ชีวิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องลูกและสามีตลอดเวลาถ้ามีโอกาสเราต้องหาประสบการณ์อย่างอื่นในชีวิตบ้าง
แล้วก็สมความตั้งใจตามที่คุณทราบแล้ว

ดังนั้นดิฉันจึงขออนุญาตเรียนคุณหม่อง ภรรยาของคุณว่า
เธอเป็นคนมีจิตกุศล เพียงแต่คิดว่าอยากจะช่วยงานวัดไทยก็เป็นบุญแล้ว
งานประจำที่ทำในวัดก็...ไม่หนักหนาอะไรเลย
พระสงฆ์ในวัดทุกรูปก็มีเมตตาสูง
ช่วงแรกดิฉันก็รู้สึกอึดอัดบ้าง พอครบ 6 เดือนจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว
ถ้าเราตัดอัตตาทิ้งได้ก็พบความสุข
ดิฉันจึงยังคิดอยู่เสมอว่าดิฉันเป็นหนี้บุญคุณ วัดไทย 960 มากเหลือล้น
ที่เป็นเสมือนโรงเรียนกวดวิชาอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากโลกสมมติที่เราคุ้นเคย
งานวัดบางครั้งก็ละเอียดอ่อนไหวมาก เมื่อเราผ่านมาได้ในช่วงเวลา 6 เดือน
ก็เปรียบเหมือนเราได้ภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับความทุกข์ ความเป็นอนิจจังต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ในอนาคตบางส่วน
( จะหลุดพ้นเต็มที่คงยาก มาก...ก )
กลับมาเรื่องคุณหม่องใหม่นะคะ
การจะออกจากบ้านนั้นก่อนอื่นจะต้องได้รับวีซ่าจากคุณอนณก่อน...หมดภาระดูแลลูกด้วย
เพราะอย่าลืมว่าพวกเรามักจะเป็น ยายแจ๋ว คนเก่งของบ้านใช่ไหมคะ
ช่วงที่ดิฉันอยู่อินเดีย สามีใช้บริการกับข้าวที่ขายในถุงพลาสติกเป็นประจำ (ทำเองไม่เป็น...ไม่เคยทำ)
ตอนที่ดิฉันกลับมาใหม่ๆ เมื่อต้นเดือน เมษายน
ช่วงอาทิตย์แรก ดิฉันก็ปล่อยให้เขาดูแลบ้านเหมือนเดิมตามความคุ้นเคยเหมือนช่วง 6 เดือนก่อน
ดิฉันก็ทำตัวเหมือนเป็นแขกคนสำคัญของบ้านไปโดยปริยาย
แต่ขอประทานโทษ ณ วินาทีนี้ ดิฉันก็กลับกลายมาเป็นยายแจ๋วคนเก่งเหมือนเดิม
ดิฉันก็ยังงง ๆ อยู่ว่าภาระงานบ้านเหล่านี้ผ่อนถ่ายมาอยู่ในมือดิฉันได้อย่างไรก็ไม่ทราบ

ทีนี้ขั้นตอนต่อไปที่คุณหม่องจะตัดสินใจจากบ้านไปได้ ก็คือ...
ต้องคิดเสียว่าคุณอนณเป็นของนอกกาย
เราต้องมีอิสระในการใช้ชีวิตบ้าง โดยเฉพาะเป็นการใช้ชีวิตในการสร้างต้นทุนบุญให้กับตนเอง
คิดว่าคุณคงจะอนุโมทนาด้วย จริงไหมคะ...
เพราะอย่างไรเสียทั้ง พ่อ และแม่ คงออกจากบ้านไปนานๆ พร้อมกันไม่ได้
ดิฉันแนะนำเล่น ๆ ขำ ๆ นะคะ
เพราะความเป็นจริงแล้วการจากครอบครัวนาน ๆ นี้...ทำใจยากที่สุด
แต่ถ้าตัดใจทำได้ก็จะรู้จักรสชาตของ Homesick
และถ้าไปได้จริงๆ ก็จะทราบซึ้งเลยว่ามันเป็น “ เกียรติประวัติ ” ของชีวิต
ที่เราจะสบายใจทุกครั้งเมื่อย้อนไประลึกถึง

บางครั้งดิฉันยังแปลกใจว่า 6 เดือนของชีวิตในวัดโดยไม่ออกไปข้างนอกเลยยังผ่านมาได้
น่าเสียดายที่กลับมาบ้านต้องมาใช้ชีวิตตามแบบเดิมๆ “ คล้าย ๆ ว่า เฮฮาที่ไหนไปที่นั่น ”
เคยโทรไปหารือพระที่ วัด 960
ท่านบอกว่า “ ให้โยมทำตัวไปตามโลกสมมติเถิด แต่ให้บวชใจอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องบวชกาย ”
ดิฉันก็ยังงง ๆ อยู่เลย ไม่รู้จะบวชใจกันอย่างไร

ตอนดิฉันกลับมาใหม่ๆ มีญาติโยมโทรศัพท์มาคุยหลายคน ส่วนใหญก็ถามเรื่องการไปทำงานที่ อินเดีย ดังกล่าวแล้ว
ดิฉันขอแก้ข่าวนิดนึงคือดิฉันไม่ใช่ไฮโซค่ะ ดิฉันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับไฮโซด้วยซ้ำ ( แต่ก็อดจะขอบคุณไม่ได้ที่ถูกมองเป็นอย่างนั้น )
และบ้านของดิฉันอยู่กม. 6 ถนนรามอินทรา อายุ 66 ปีแล้วค่ะ
สถานที่ที่ดิฉันอยากไปมากที่สุดคือเมืองพาราณสี โดยเฉพาะตรงบริเวณแม่น้ำคงคา อยากไปเห็นภาพจริง ๆ

ฝากความปรารถนาดีมายังคุณหม่องและลูกๆด้วยนะคะ
วรพร เสถียร

อย่างที่บอกนะครับ...
อยากได้ความเห็น ความรู้สึกของแต่ละท่านที่เคยเดินทางไปแสวงบุญ
กราบสังเวชนียสถาน มาแล้ว
เพื่อเป็นข้อมูลเผยแพร่ ให้คนที่อยากฟังอีกมากมายก่ายกอง
ช่วยกันนะครับ...ช่วยกันนะ


อนณ 093-149-9564
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2555    
Last Update : 10 ตุลาคม 2558 22:08:22 น.
Counter : 3626 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 28

โอ้..อินเดีย 28

สวัสดีครับ...
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนก่อนแล้วว่า การเดินทางแสวงบุญ
กราบสังเวชนียสถาน ในอินเดียของผมมาถึงคืนสุดท้าย
ได้ปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน ที่บริเวณ...มหาโพธิวิหาร
ใต้ต้น พระศรีมหาโพธิ์ ตลอดคืน

ในครั้งแรกที่เริ่มเขียนซีรี่ส์ โอ้..อินเดีย
ตั้งใจว่าซัก 3 หรือ 4 ตอนก็น่าจะจบ
แต่พอได้นั่งหน้าคอมพ์ ลงมือพิมพ์จริง ๆ แล้ว
ความทรงจำ ความรู้สึก ความตื้นตัน ประทับใจ มันพลุ่งพล่านออกมาตลอดเวลา
ในที่สุดก็กลายมาเป็น 28 ตอนเข้านี่แล้ว
ก็แปลกนะครับ ตลอดเวลาการเดินทางตะลอน ตะลอน อย่างทรหดอดทน
มันแป๊บ..บ...บ เดียวเอง
จำได้เลยว่าก่อนจะมาน่ะ...กลัวอินเดีย แทบเป็นแทบตาย
กลัวไปสารพัดบ้าบอคอแตก กลัวแม้กระทั่งว่า...จะฉี่ จะอึ กันยังไง
จะกิน จะนอน กันได้มั๊ยละเนี่ยะ
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เหอะ...สนุกจะตาย
หัวเราะกันไปซะแทบจะทุกเรื่อง
กินอาหารไทยที่แสนอร่อย และดีต่อสุขภาพทุกมื้อ
ได้เดินออกกำลังตั้งมากมาย
เดิน 8 วัน ระยะทางเท่ากับที่ผมเดินรวมกันมา 8 ปีได้มั๊ง
ได้ลดพุงลงไปตั้งเยอะ แต่แข็งแรงขึ้นมากเลยแหละ
ไม่รู้เพราะอากาศดีด้วยหรือเปล่า เย็นสบาย โอโซนสดชื่นที่สุด
คล้าย ๆ กับหน้าหนาวทางเหนือของบ้านเรา
แหม...ยิ่งตอน ฉี่ กลางทุ่งมันช่างสุขใจ สูดหายใจได้เต็มปอดดีจริง ๆ

ทั้งคน ทั้งเมืองอินเดีย มันมีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ให้ดูมากมาย
บางครั้งก็รู้สึกเหมือนย้อนเวลา กลับไปเป็นร้อย เป็นพันปี
ได้ดูธรรมชาติ ดูวิถีชีวิต ดูความเชื่อ ดูความสุข ความทุกข์ ของพวกเค้า
ก็เอามาย้อนมองดูตัวเอง แล้วก็เกิดความรู้สึกทั้งดีใจ ทั้งสงสารตัวเอง
ดีใจที่เราไม่ต้องมาตกระกำลำบาก ยากจนอย่างพวกเค้า
บ้านเมืองเรายุ่งวุ่นวายแค่ไหน ก็ยังดีกว่าเยอะ
รักเมืองไทย ภูมิใจขึ้นมาตะหงิด ตะหงิด
แต่ก็สงสารตัวเอง ที่มัววิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ
เพลิดเพลินไปกับกิเลส ตัณหา ยุ่งไปหมด
ลืมสัจธรรม ลืมความสุขอย่างง่าย ๆ ที่ควรจะไขว่คว้าไว้
บางครั้งถึงกับอับอายในความหรหดอดทน ประหยัด รู้ค่าชีวิตของพวกเขา

อย่างที่ท่าน...พระราชรัตนรังษี หัวหน้าพระธรรมทูตอินเดีย ได้เขียนไว้
ตั้งแต่ขึ้นรถบัสที่สนามบินกัลกัตตา พวกเราก็ใช้รถคันนี้เป็นเหมือนโบสถ์
มีพระอาจารย์วิทยากรเป็นผู้นำ สวดมนต์ ทำวัตร
ฟังท่านเทศน์ ตลอดการเดินทางนับเป็นหลายพันกิโลเมตร
ฟังท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ สอนพุทธประวัติ ชี้ชวนให้ดูโน่น นี่ นั่น ตลอดทาง
ทั้งเรื่องตื้น ๆ ง่าย ๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่เคยได้ยิน
ไปจนถึง ธรรมะ เรื่องอันลึกซึ้ง
บางครั้งฟังเพลิน..น...ถึงที่หมายแล้วยังไม่จบ ต้องคอยติดตามตอนต่อไป
แล้วท่านพระอาจารย์ ก็ชอบลืมต่อเรื่องเดิม โดดไปเรื่องใหม่อีกแล้ว

เอ้อ...มันแปลกนะ
พุทธประวัติ นี่เรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม ยันมัธยมก็ว่าจำได้หมด
แต่ก็เป็นเพียงโครงเรื่องใหญ่ ๆ คร่าว ๆ
ตั้งแต่ทรงประสูติ เดินได้ 7 ก้าว จนแต่งงานอภิเสกกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมต่างเมือง
ต่อมาก็มีบุตร แล้วคืนนั้นท่านก็เสด็จขี่ม้าหนีออกไปแสวงหา สัจธรรม อันลึกซึ้ง
ทรมานตนอยู่ตั้ง 6 ปี จนสำเร็จวิชาอันสูงสุด....
เรียนมาฟังมา จำได้เหมือน...นิทาน
จำเอาไว้สอบพอให้ผ่าน แค่นั้นเอง

พอใช้ชีวิตล้มเหลว ก็ค่อยสนใจศาสนาขึ้นมาบ้าง
หลาย ๆ เรื่องเคยตามอ่านจากตรงโน้น ตรงนี้ไม่ค่อยปะติดปะต่อ
เหมือนจิ๊กซอว์ ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังขาดตัวเชื่อมต่อที่สำคัญอีกหลายชิ้น
แต่...พอมาถึง อินเดีย ได้ฟังพระอาจารย์ฯ เล่าทวนซ้ำความทรงจำ
ชี้ชวน ชักนำพาไปถึงที่เกิดเหตุ
ไปยืนอยู่ตรงนั้น...ตรงที่ พระพุทธองค์เมื่อยังทรงเป็นเจ้าชายน้อย ๆ
ไปสัมผัสก้อนหิน ผืนดิน ตรงที่ท่านเกิด แล้วก้าวเดิน...ก้าวแรก
ได้นั่งอยู่ต่อหน้า โพธิบัลลังก์
ได้ตั้งจิต ยังสถานที่เหล่าปัญจวัคคีย์ฟัง ปฐมธรรมเทศนา
ไปสวดมนต์ วิปัสสนาตรงกลางสถานที่ พระอรหันต์ 1,250 รูป
มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
ได้ก้มกราบกรานสัมผัส พระแท่นบรรทม ที่พระพุทธองค์หลับตาลงครั้งสุดท้าย...ไม่ลืมตา ไม่ลุกขึ้นอีกเลย
ขนาดว่าผมเป็นพวก ศรัทธาน้อย ปัญหามาก ข้องใจซะทุกเรื่อง
แต่พอได้สัมผัสสถานที่แห่งนั้น ๆ ทุก ๆ แห่ง
จิตมันก็ดำดิ่งจินตนาการ เห็น และเข้าใจเหมือนได้ย้อนเวลาไปด้วยตัวเอง
เรื่องราวต่าง ๆ จิ๊กซอว์ทุกตัว ที่กระจัดกระจายสะเปะสะปะ ขาด ๆ หาย ๆ
ก็เกิดความเข้าใจ ร้อยเรียงเรื่องราว ได้ตามลำดับ
ปะติดปะต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ...ศรัทธา บังเกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจ
โอ้...เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้า เราสัมผัสได้
เมื่อเกิดศรัทธา ท่วมท้นจนมากมายเพียงพอ...สิ่งมหัศจรรย์ ปาฏิหารย์
ก็แสดงตัวออกมาให้เห็น ให้รู้สึกได้เฉพาะตัว
ไม่รู้จะเอาอะไรยืนยัน...ปัจจัตตัง เวทิ ตัพโพ
แล้วที่ผุดขึ้นตามมา คือ...ปัญญา
สามารถเข้าใจแจ่มแจ้ง แทงทะลุ เรื่องที่เคยข้องใจทั้งหลาย ทั้งปวง
มันง่าย ที่จะเข้าใจ
ขนาดว่าผม บุญน้อย ยังได้รับตั้งมากมายขนาดนี้
แล้วท่านที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม กันมาหนักหนาแล้ว
จะได้บุญกุศลมากมาย ท่วมท้นกันขนาดไหน
พอมันถึงขนาดแล้ว ความเพียร ขยันปฏิบัติฯ ก็จะตามมา
หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้ว ทุกครั้งที่สวดมนต์ไหว้พระ
ก้มลงกราบ...ใจก็ประหวัดคิดถึง พระพุทธเมตตา
คิดถึง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แทบทุกครั้ง
ทุกคนที่เคยไปกราบ สังเวชนียสถาน มาแล้วเป็นกันทั้งนั้น...แทบทุกคน
เวลาที่สวดมนต์ มันก็ให้ระลึกได้ทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ผมออกจะห่างไกล ครูบาอาจารย์ พระผู้ปฏิบัติดีที่คนอื่นเค้านับถือกัน
แต่ไปเที่ยวนี้ได้รู้จักพระสงฆ์ ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ได้แอบเห็นวัตรปฏิบัติ เห็นความตั้งใจของ...พระธรรมทูต
และพระอาจารย์วิทยากร ที่ทุ่มเททั้งตัวและหัวใจ
เป็น พุทธบุตร ผู้ยัง...พระธรรมจักรให้หมุนไป

พระสงฆ์ อีกรูปหนึ่งที่ผมได้พบคือ...หลวงพ่อเทิด
พระป่า สายธรรมยุติฯ ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ท่านเป็น พระ ที่นิ่งสงบมาก
โดยปรกติท่านก็เป็นพระที่ตั้งใจปฏิบัติฯ เต็มกำลังอยู่แล้ว
แต่หลังจากกลับมาแล้ว ผมได้มีโอกาสไปกราบท่านถึง วัดป่ากะพี้ อุดรฯ
คุยกับท่านแล้ว ท่านพูดน้อยมาก
แต่ท่าทางที่แสดงออกเห็นชัด อินเดีย ให้อะไรมามากมาย
ท่านบอกแค่ว่า...มุ่งมั่น ยิ่งกว่าเดิม
จะว่าไปแล้วนะ ท่านที่มีเงินมากมายแล้วอยากได้อานิสงส์แรง ๆ
ขอแนะนำให้ อุปถากออกเงินสนับสนุนให้ พระ ดี ดี ได้ไปกราบแผ่นดินพ่อ
ได้ไปสัมผัสก้อนหิน ก้อนดิน รอยพระบาทพุทธองค์
รับรองว่า บุญกุศล มากล้นพ้นประมาณ

อีกอย่างหนึ่งที่ได้ยินมา และได้กับตัวเอง...
ท่านที่เคยมี...อดีต อันเศร้าหมอง เลวร้าย ไม่ว่าเรื่องแย่ ๆ แค่ไหนก็ตาม
ที่มันชอบผุดพรายขึ้นมาทำร้ายเรา
ผมเองเป็นบ่อย โดนอดีตของตัวเองทำร้ายเอาตอนเผลออยู่เสมอ
ไปกราบอธิษฐาน ที่ลุมพินี...ขอเกิดใหม่
ตั้งจิตเป็นกุศล แล้วเกิดใหม่ใน พุทธศาสนา
ได้ผลนะ...อดีตไม่มีกำลังมาทำร้ายผมได้อีกเลย

พูดแล้วก็อดเล่าไม่ได้
ผมยังได้พบเรื่องมหัศจรรย์ ที่ไม่รู้จะหาเหตุผลไหนมาอธิบาย
เป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนกลับเมืองไทยไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากในตอนเช้า พวกเราต้องนั่งรถมาที่เมือง กัลกัตตา
เพื่อขึ้นเครื่องบิน ซึ่งต้องเดินทางรวดเดียวกว่า 7 ชั่วโมง
ด้วยความเหนื่อยอ่อน จากการปฏิบัติฯ กันมาทั้งคืนโดยที่ไม่ได้หลับเลยซักนิด
บวกกับเป็นหวัดมาด้วย ทำให้หลับกันมาในรถหลายชั่วโมง
พอมีแรงกันบ้างแล้ว พระอาจารย์ก็พาสวดมนต์ เอากุศลกันครั้งสุดท้าย
พระอาจารย์ท่านหนึ่ง คือ...พระปลัดเชาวลิต
วัดบางกะพ้อม อัมพวา สมุทรสงคราม
ท่านสวดมนต์ได้ไพเราะมาก...มาก
ยิ่งบทแผ่เมตตา พอท่านขึ้น...
ซาบ..บ เพ ซ๊าต..ต..ตา...อันว่าสัตว์ทั้งหลาย..ย..ทั้งปวง
ผมละมีอันน้ำตาร่วง ทู๊ก..ก ที
หลังจากสวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลกันเรียบร้อยแล้ว
ผมก็คิดอธิษฐานในใจ ขอให้สวดมนต์ได้น่าฟัง มีพลัง อย่างท่านบ้าง
จากนั้นก็นั่งภาวนา ตามลมหายใจไปเรื่อย ๆ
แล้วด้วยความอ่อนเพลีย ระหว่างที่อยู่ในภวังค์
กึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่นั้น...ได้ยินเสียงเทวดาผู้ชาย มาบอกว่า
...ต่อไปนี้ให้สวดมนต์บท ชัยมงคลคาถา แบบนี้นะ
จะทำให้มีพลังมาก...
แล้วก็ตามมาด้วยเสียง...ผู้ชาย ชาวอินเดีย สวดมนต์
ด้วยทำนองที่ผม...ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต
...บ่าฮุ้ม ซะฮัด สะมาภินี หมิตะสา.. วุดันตัง..ง...
คิริ เม๊ คะรัง อุดิตะโค ระสะเส นะมารัง
ด่านา ถิธัม มะวิธินา ฉิตะวา.. มุนิน..น...โท
ตั่น..น..เต๊ ชะสา ภะวะตุเต ชะยะมัง..ง..คะ ลานิ
แล้วก็ต่อไปอีกหลายท่อน
แต่ด้วยทำนอง และสำเนียง ที่ขอย้ำว่า...ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
เป็นเสียงสวดที่แปลกหู คงเพราะเป็นเสียงคนอินเดียสวด
แต่ก็ไพเราะมาก
เป็นการสวดฯ ที่มีมิติ คือมีเสียง สูง ต่ำ หนักเบา
มีความหนักแน่น และพอจะแยกแยะได้อย่างที่พอจะอธิบายสั้น ๆ ว่า
แต่ละท่อน...ขึ้นต้นตื่นเต้นเร้าใจ เนื้อหาตรงกลางกลมกลืน
ตอนจบ จับใจ...
ยิ่งช่วง...ตั่น..น..เต๊ ชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมัง..ง..คะ ลานิ
มันมีแววของความภาคภูมิ ความสุข สบายใจ
เหมือนกำลัง ยิ้มไป สวดไป
แหม ไม่รู้จะอธิบายยังไง...

พอรู้สึกตัวตื่น ผมรีบไปท่องสวดตามที่ได้ยินมาให้พวก คุณหมอ แก็งค์บางบ่อฟัง
แต่ละคนทำหน้าแปลก ๆ บอกว่า...คล้าย ๆ เคยได้ยินมาก่อน
ไอ้ผมน่ะ ยืนยันอีกครั้งว่า ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนในชีวิต
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย 3 วันแรก ไม่เป็นอันทำไรเลย
วิ่งไปตามร้านที่ขาย ซีดีธรรมะ ซีดีบทสวด
หาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ไม่เหมือนที่ได้ยิน
ลองไปค้นดูในเว็บไซด์สารพัด...ได้เรื่อง
ที่ใกล้เคียงที่สุด เป็นของ อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง
เป็นทำนอง สรภัญญะ
ลองเปิดฟังดูนะครับ
https://www.youtube.com/watch?v=qWdAycW3Et8
แต่...แต่ นะครับ
ต้องขอประทานโทษท่าน อ. สุภีร์ ทุมทอง ด้วย
เสียงที่ผมได้ยินในภวังค์ มันหนักแน่น ไพเราะ มีพลัง มีมิติ
มากกว่าซัก 100 เท่าได้ละมั๊ง...ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เฮ้อ....

ทุกวันนี้ผมก็ยังสวดมนต์แบบปรกติธรรมดาเหมือนเดิม
แต่พอว่าง ๆ ก็จะฮัมร้องสวด ตามที่ได้ยินในภวังค์
ที่แปลกก็คือ ถ้าสวดแบบนี้แล้ว...จิตรวมง่ายดี
เรื่องยุ่ง ๆ ในหัวจะหายไปอย่างง่ายดาย
ลองฟังแล้ว ลองสวด ดูนะครับ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2555    
Last Update : 18 มิถุนายน 2555 0:26:32 น.
Counter : 3603 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 27

โอ้..อินเดีย 27

เอ้า...มาฟังกันต่อนะ
เล่าค้างไว้ถึงว่าได้กลับมาที่...มหาโพธิเจดีย์ พุทธคยา
มีพวกเราทั้งหมด 40 คนที่เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า
ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน...ตลอดคืน
ผมเองก็ตั้งใจมาตั้งแต่ที่ได้มาปฏิบัติฯ ตลอดคืนแรกแล้ว
หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องมาในคืนสุดท้ายนี้ให้ได้ และจะต้องทำให้ดีกว่าครั้งก่อนด้วย
ยิ่งตลอดเวลาหลายวัน ที่ได้เดินทางไปกราบสังเวชนียสถานในที่ต่าง ๆ
ได้ตามรอยบาท พระบรมศาสดา
ได้ทนทุกข์กับความกันดาร ได้สัมผัสบรรยากาศ ความทรหดของการเดินทาง
ได้เห็น ได้เข้าใจ อะไรต่อมิอะไร...แม้จะเพียงหนึ่งในหมื่นของสมัย พุทธกาล
ก็ยังเหนื่อยยากขนาดนี้
แต่ก็ได้ความเชื่อมั่น ความอิ่มเอม
เมื่อได้กราบลง...ทุกแห่งที่พระพุทธองค์เคยประทับร่องรอยไว้
ความ ปิติ มันจะเต็มตื้นขึ้นในหัวใจ...ทุกครั้ง
มีหลายต่อหลายหนเลยที่ น้ำตา มันไหลออกมาเอง
น้ำตาแห่งความ ปิติ ซาบซ่าน
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ มันทำให้เกิดความกระตือรือล้นที่จะมา ปฏิบัติฯ ตลอดคืนให้ได้

แต่...อานิสงส์คงจะมากเหลือ มาร จึงมาผจญอย่างแรง
สิ่งแรกที่ต้องต่อสู้ คือความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางตะลอน ๆ
ทรหดทัวร์มา 8 วัน 8 คืนเต็ม ๆ
แล้วที่นึกไม่ถึงคือ อากาศเย็นจนหนาวอย่างกระทันหัน
ทำให้เริ่มเป็นหวัด มีไข้อ่อน ๆ น้ำมูกใส ๆ ไหลย้อย
หายใจไม่ค่อยออก

คนที่มาด้วยกันทั้ง 40 คน ก็ต่างจริต ต่างครูบาอาจารย์
ที่เล่าว่า คุณป้า คนหนึ่งที่ แม่ชี ท่านเตือนให้ระวังน่ะ
เค้าก็มากางกระโจมมุ้งอยู่ในกลุ่มติด ๆ กัน
พอทุกคนเริ่มเข้าที่ สวดมนต์ ตั้งจิตเข้าสมาธิ...
คุณป้า ก็ทำเหมือนกัน แต่...แกเล่นสวดออกเสียง อ่ะ
ถึงแม้ว่าจะเสียงดังไม่มาก แต่ก็ด้วยความเงียบสงัดของสถานที่ เลยทำให้ได้ยินกันหมด
ที่สำคัญ แกสวดเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ จังหวะก็แปลก ๆ
แถมมีออกท่า ออกทางด้วยแน่ะ
ทีแรกผมนึกว่าแกปัดยุง แต่พอดูไปนาน ๆ ถึงได้เข้าใจว่าน่าจะเป็นแนวปฏิบัติฯ แบบเคลื่อนไหวน่ะ
ตัวผมเองไม่ได้มีปัญหากับ คุณป้า อาจจะเป็นเพราะอยู่ห่างกันพอสมควร
และก็มัวแต่กลุ้มใจเรื่อง ยุง กับน้ำมูกไหลหายใจไม่ออก
จนตั้งสมาธิไม่ติด...
แต่พวกคุณหมอทั้งหลาย เค้ากางกระโจมอยู่ติด ๆ กับคุณป้าคนนี้
คุณหมอเค็ก ไม่ต้องพูดถึงลำพังเรื่องหวัดก็แย่อยู่แล้ว
แต่คนอื่น ๆ ที่เหลือมาเล่าให้ฟังทีหลัง โดยเฉพาะคุณหมอปุ๊กกี้ ชาราร่า
เธอบ่นว่า คุณป้า แกส่งคลื่นแปลก ๆ ออกมารบกวนตลอดเวลา
แม้จะพยายามตัดออกไปเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สำเร็จ
ทนไม่ไหว ต้องออกมาเดินจงกรมอยู่ห่าง ๆ
คุณหมอโอ๋ หนุ่มหล่อเล่นหอบกระโจมหนีไปอีกด้านของพระเจดีย์เลย
คุณหมออีก 2 คนใช้วิธีนอนเอาแรงรอให้ คุณป้า แกเหนื่อยซะก่อน
แต่แกยิ่งสวด ยิ่งคึก ยิ่งดึกเสียงยิ่งดัง
ต้องหนีออกมาเดินภาวนาเหมือนกัน
มาภายหลัง ผมไปคุยกับคุณป้าคนนี้ว่าสวดมนต์ด้วยภาษาอะไรเหรอ ครับ
ท่าทางขลังดีชมัด
แกยิ้มบอก ภาษาไทยนี่แหละ แล้วก็หยิบหนังสือสวดมนต์ของแกให้ดู
เป็นของสำนักสงฆ์แถว ๆ กาญจนบุรี เป็นทำนองสรภัญญะ
แต่แต่งเนื้อใหม่ทั้งหมด บทยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษ
คุณป้า แกบอกยิ่งสวด ยิ่งคึกคัก พลังยิ่งเพิ่ม
สามีคุณป้าที่มาด้วยก็เล่าว่า เขาเองก็ปฏิบัติฯ ใกล้ ๆ กันไม่ได้
เค้าจะส่งกระแสแปลก ๆ ออกมารบกวนอย่างแรง...
แปลกดี แฮะ

ส่วนตัวผม พอนั่งปฏิบัติฯ แล้วน้ำมูกมันไหลตลอดเวลา
เลยต้องมาใช้วิธีเดินสวดมนต์ เดินปฏิบัติฯ พอให้ได้เหงื่อ
แล้วก็มุดเต็นท์เข้าไปปฏิบัติฯ ต่อ
มุดออก มุดเข้าทุกครั้ง ยุง ก็เพิ่มมากขึ้นทุกที
จาก 3 ตัวเป็น 4 ตัว 5 ตัว 7 ตัว มันไม่ยอมออก แต่ตามเข้ามาทุกที...
ผมคอยนับด้วยความหวาดระแวง
พอเริ่มเข้าสมาธิได้ที่...อ้าว น้ำมูกไหลอีกแล้ว
วนเวียนอยู่อย่างงี้ ตลอดเวลา
ต้องใช้วิธีออกมา เดินจงกรม พิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบ
เดินไป ตามดูจิตไป...รอบ ๆ พระมหาเจดีย์
พอเหนื่อยนัก ก็มุดเข้าเต็นท์ไปนั่งปฏิบัติฯ ต่อ
สู้กันจนครึ่งคืนได้ละมั๊ง...
อีทีนี้ มารมาแบบใหม่ พอจิตนิ่งได้ที่ก็ ง่วงงุน เป็นบ้าเป็นหลัง
ง่วงจนคอตกหงึก ๆ บางทีหัวส่ายไป ส่ายมา ด้วยซ้ำ
ไม่รู้อะไรนักหนามัน ง่วง อย่างที่สุด
แต่ก็ตั้งอธิษฐานแล้วว่าจะไม่เอนลงนอนตลอดคืน
แถมมุ้งข้าง ๆ กันเป็นใครก็ไม่รู้ นาน ๆ ทีมีเสียง กรน เบา ๆ ด้วย
ฟังเค้ากรนแล้ว ผมยิ่งง่วงหนักเข้าไปใหญ่

ในที่สุด ไม่เป็นอันทำอะไร
ได้แต่ออกมาเดินสวดมนต์ เดินจงกรม เดินดูจิต...
พอเหนื่อยก็พัก ง่วงหนัก ๆ ก็เดินดูคนอื่นเค้าปฏิบัติกัน
ก็สนุกดีนะ...ได้เห็นคนอื่น ๆ ที่เค้ามีศรัทธาอย่างล้นเหลือ
พระธิเบต มากมายหลายรูป เดิน 2 – 3 ก้าว ก้มลงกราบทั้งตัว
แบบ อัษฎางคประดิษฐ์ นอนราบไปบนพื้นครั้งหนึ่ง
เดินไป กราบราบไปอย่างนี้ไม่รู้กี่รอบ ต่อกี่รอบพระมหาเจดีย์
พระมหายานบางรูป ก็นั่งสวดมนต์ไป โปรยเมล็ดพืชพวกถั่วลงไปบนฝาบาตรไป
แล้วก็กอบขึ้นมาโปรยใหม่ เสียงดัง แกร็ก...แกร็ก...แกร็ก...แกร็ก...ตลอดเวลา
บางรูปก็ง่วงหนัก แต่ก็สู้น่าดู...ง่วงโงกจนหัวขวิดซ้ายที ขวาที
แต่ก็ยังโปรยเมล็ดพืช ดังแกร็ก...แกร็ก...แกร็ก...ตลอดเลย
แล้วผมเห็น พระไทย รูปหนึ่งท่านมากางมุ้งปฏิบัติกรรมฐานอยู่มุมเงียบ ๆ
ด้านหน้า พระพุทธเมตตา
มาจากเมืองไทย มาเงียบ ๆ ไม่ต้องการอวดโอ่กับใคร
แต่ตั้งใจปฏิบัติฯ จริงจัง...
แอบรู้มาว่า ท่านมาปฏิบัติฯ ตลอดคืนมา 20 คืนแล้ว
ท่านนั่งสมาธิ ดำดิ่ง นิ่ง สงบ
เห็นแล้วชื่นใจ นับถือศรัทธา แทบจะก้มลงกราบเลย

เดินดูจิตไป ดูคนอื่นไป
เห็นคณะพวกเราหลายท่าน หลายคน ที่นึกไม่ถึง
แก็งค์สามสาวมั่น ที่เคยเล่าไว้ตอนแรก ๆ
พวกเธอยังอายุไม่น่าเกิน 30 เป็นนักเรียกนอกทุกคน
จำได้ว่าคนนึง เป็นผู้บริหารด้านการเงินของ เชฟโรเล็ต ประเทศไทย
คนนึงตำแหน่งใหญ่เหมือนกัน อยู่ชมรมพุทธ เอสโซ่ ประเทศไทย
ส่วนอีกคนมีกิจการใหญ่อยู่ที่บ้าน
ใครว่าคนปฏิบัติธรรมแล้ว นุ่มนิ่ม อ่อนแอ เงียบหงอย
แต่บุคคลิกจริตก้าน แต่ละคน...ห้าวหาญ
เพราะกลุ่มผู้หญิงที่มาแต่ละท่านนี่ เก่งกล้าสามารถกันทุกคน
สามสาวสวยห้าว แก็งค์นี้สนใจ พุทธศาสนา แบบพวกฝรั่ง
มุ่งมั่นเอาแต่แก่นธรรมะ ไม่เอาเปลือก ไม่เอากระพี้
หัวเราะเยาะเครื่องรางของขลัง ไม่สนใจพิธีกรรม
แต่ลึกซึ้งใน แนวคิด แนวทาง หลักการ ที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้
ตีโจทย์สัจธรรม กิเลส ตัณหา อุปาทาน เวทนา สังขาร ซะกระเจิง
ผมโชคดีระหว่างเดินทางได้นั่งติดกับ เธอ คนหนึ่งในแก็งค์นี้
ได้คุยถกเถียง ปุจฉา โดนเธอ วิสัชชนา ซะยับเยิน
พวกเค้าเข้าใจธรรมะ ถึงแก่นกลาง จริง จริง เลย
ทีแรกคิดว่า สนใจแต่แนวคิด ปรัชญา ในเนื้อหาอย่างเดียว
แต่พอมาเห็นพวกเค้า...นั่งปฏิบัติกรรมฐาน นิ่ง สงบ สู้สุดฤทธิ์
สู้อยู่ตลอดคืน ถึงเช้าแน่ะ
เห็นแล้วก็แทบอยากจะกราบพวกเธอทั้ง 3 สาวซะจริง จริง

เดินวนไปเจอกระโจมมุ้ง ของพระอาจารย์ พระครูพิศาลฯ
ตอนก่อนเที่ยงคืน เห็นท่าน...นั่งหลับ แล้วผมเกิดความรู้สึก แว๊บ..บ...ขึ้นในอกทันที
เห็นแล้ว สงสาร ท่าน สงสารพระอาจารย์วิทยากรทุกรูป เป็นอย่างมาก
พระครูฯ ท่านอายุไม่น้อยแล้ว แต่...ตลอดทางที่ทรหดทุกวัน ทุกวัน
ท่านคอยพูดคอยสอน ให้ความรู้ ชักชวนให้สนใจเรื่องนั้น เรื่องนี้ตลอดเวลา
ท่านทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา อย่างเต็มที่ เต็มกำลังในแบบของท่าน
ไม่ได้ย่อท้อ เหน็ดเหนื่อย หรือเอาแต่สบายแต่อย่างใดสักนิดเลย
โถ...ท่านคงเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อย่างถึงที่สุด
นอกจากทำประโยชน์ให้คนอื่น แล้วยังต้องหาเวลาทำประโยชน์ตน
เพื่อให้หลุดพ้นอีกต่างหาก
ทุกวันที่เห็น ท่านทั้งผลัก ทั้งดัน...กงล้อพระธรรมจักร
สุดแรง สุดกำลัง...ทุกวัน

ทุก ๆ คนที่ผมเห็นอยู่รอบ ๆ พระมหาเจดีย์
มาจากทั่วทุกสารทิศ มาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่กันคนละมุมโลก
แต่โคจรมาเจอกัน มาปฏิบัติฯ ในสถานที่ เวลา เดียวกัน
เป็น...นักสู้ กันทุกคน
ต่างคนต่างก็ สู้ กับ อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน เต็มที่เต็มกำลัง
แต่ละคน เห็นก็รู้ว่าเหนื่อยอ่อนเพลียทั้งนั้น
แต่ก็ ฮึด สู้กันสุดฤทธิ์
คงจะเป็นเพราะ...ทุกคนรู้ที่หมาย ที่ไป แน่ใจชัดเจนแล้ว
ถึงได้ดั้นด้น เดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา อย่างไม่ย่อท้อ
เฮ้อ..อ..อ...
เห็นพวกเค้าทั้งหลายแล้ว ศรัทธา มันเต็มตื้นขึ้นอย่างฮึกเฮิม
เอาละ...ผมจะขอเดินตามด้วยคน
ถึงจะยังไม่เก่ง ยังไม่เอาไหน แต่ก็จะเดินไปด้วย นะ
ท่านพุทธทาส เคยถามว่า...เกิดมาทำไม
ผมว่าพอจะรู้ ที่หมาย ที่ไป ชัดเจนแล้ว
เหลือก็แต่ ตีโจทย์ ตามดูจิต ตั้งสติรู้
แล้ว ปล่อยวาง ให้ได้เท่านั้น
กัลยาณมิตรทั้งหลาย อย่าทิ้งกันล่ะ
ช่วยฉุดกระชาก ลากถู เอาผมไปด้วยนะ

ในที่สุดก็พยายามสู้ นั่งปฏิบัติฯ เดินภาวนา จนถึงตี 3 ครึ่ง
เพราะต้องรีบเก็บเต็นท์ออกไปตอนตี 4
ระหว่างที่นั่งเก็บพับเต็นท์ ได้ใบโพธิ์ที่ตกอยู่รอบๆ เต็นของผมอีก 2 ใบ
โอ้...ดีใจ๊ ดีใจ
แล้วก็นึกขำ ๆ พูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์...ในใจ ว่า
คืนที่ผ่านมานี่...แม้จะง่วง จะเหนื่อย จนปฏิบัติฯ แทบไม่ไหว
เข้าสมาธิได้ไม่นิ่งพอ แต่ก็...สู้สุดฤทธิ์
ไม่ได้เอนหลังลงแตะพื้น ตามที่อธิฐานไว้เลย นะครับ
ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผมจะ สอบผ่าน หรือเปล่า น๊า...
พอนึกจบเท่านั้นแหละ...คุณเอ๊ย.ย..ย
ใบโพธิ์ ร่วงลงมาที่ตักตรงหน้า ทันที เดี๋ยวนั้น เล๊ย
ที่สำคัญ...ใบโพธิ์ ใบนี้มีไม่เต็มใบ
แหว่งไปเกือบครึ่ง เหลืออยู่แค่ซีกเดียว...
ผมงี้ตัวชา ขนลุก
รีบเงยหน้าพนมมือขึ้นขอบพระคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในที่นั้น
ที่เมตตา ให้...ใบเกรด มา

เฮ้อ...ท่านที่รักทั้งหลายช่วยคิดหน่อยซิว่า
ผมสอบผ่าน หรือเปล่า



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2555    
Last Update : 11 มิถุนายน 2555 8:20:38 น.
Counter : 3551 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 26

โอ้..อินเดีย 26

สวัสดี ครับ...
วันนี้จะเล่าเรื่องของการอยู่ที่ อินเดีย น่าจะเป็นวันสุดท้าย
หรือเรียกว่า คืนสุดท้าย ก็ว่าได้
หลังจากที่ออกจาก ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ
และกลับจากไปดู แม่น้ำคงคา ดูวิถีชีวิตความเป็น ฮินดู อย่างตื่นตาตื่นใจแล้ว
กว่าจะออกเดินทางก็ช่วงบ่าย
ถ้าจำไม่ผิด จากนั้นก็นั่งรถบัสกันมาอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
เพื่อกลับมายัง...พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งพวกเราหลายคนโดยเฉพาะผม และคุณหมอแก็งค์บางบ่อ
มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ว่าจะไปภาวนากันทั้งคืนให้ได้
แต่...จะต้องไปลงทะเบียนขอเข้าไปอยู่ทั้งคืนที่ สนง.พุทธคยา
ก่อนเวลา 6 โมงเย็น หรือ 1 ทุ่มประมาณนี้แหละ
อีทีนี้...ก็นั่งลุ้นกันมาตลอดทางว่าจะทันมั้ย
บางช่วงรถก็ดันติดซะด้วย บางแห่งมีการปิดซ่อมถนน
ต้องวิ่งอ้อม..ม..ผ่าเข้าไปหมู่บ้านที่ถนนแคบนิดเดียว...
โอ้ย..ย...ลุ้นกันแทบแย่
ระหว่างที่แอบลุ้น พระอาจารย์ก็บรรยายเล่าประวัติของ เจดีย์พุทธคยา
และที่มาที่ไปของสังเวชนียสถานสำคัญแห่งนี้
รวมถึงบอกว่า วันแรกที่มาในทริปนี้ มีกลุ่มคุณหมอ 8 คนที่ได้มานั่งปฏิบัติภาวนาตลอดคืน
แล้วถามว่าเที่ยวนี้ ใครจะไปปฏิบัติฯ ตลอดคืนกันบ้าง
ปรากฏว่ามีผู้เกิดศรัทธา อยากไปบ้างถึง 40 คนเชียวนะ

ต้องขอเล่าก่อนว่า ตลอดเวลาประมาณ 8 วัน 8 คืนที่ผ่านมา
พวกเราก็ระหกระเหินเดินทางอย่างสนุกสนาน และทรหดอดทนไปหลายพันกิโลเมตร
โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลัง หรือสำอางค์ กินแล้วก็นั่ง ก็นอนอย่างผม
เวลา 8 วันที่ผ่านมาเนี่ยะ ผม เดิน รวมระยะทางเท่ากับที่เดินที่ผ่านมาหลายปีทีเดียวแหละ
แถมอากาศที่เย็นสบาย ๆ เหมือนทางเหนือของเมืองไทยเรา
ก็กลับเย็นจนหนาวขึ้นมาเฉย ๆ
ด้วยความตรากตรำ และอากาศที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันทำให้หลาย ๆ คนมีอาการหวัด
เริ่มมีไอ มีไข้ อ่อนเพลียนิด ๆ แต่ยังใจอุ่นใจที่มีกลุ่มหมอมาด้วยหลายคน
แต่ที่ไหนได้...คุณหมอเค็ก หัวหน้าแก็งค์บางบ่อของเรา เป็นมากกว่าใครเพื่อน
หน้าแดง ตัวร้อน มีไข้ น้ำมูกไหล ท่าทางโทรมสนิท
ผมเองก็ทำท่าไม่ค่อยดีเหมือนกัน ติดจากคุณหมอหรือเปล่าก็ไม่รู้
พยายามหลับมาในรถเอาแรงไว้ก่อน
ในใจก็ลุ้น ภาวนาให้ไปลงทะเบียนได้ทันเวลา

แล้วเหมือนปาฏิหารย์ ไปทันเวลาแบบฉิวเฉียด
หลังจากกลับไปอาบน้ำ ทำธุระ กินข้าวที่วัดไทย กันแล้วก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกเข้าไปในเขต มหาโพธิเจดีย์ ก่อน 3 ทุ่ม
แต่มีปัญหาเรื่อง กระโจมมุ้งที่วัดมีให้ยืมไม่ถึง 10 อัน
เลยต้องรีบไปหาซื้อกันที่หน้าพระเจดีย์ ราคาต่อแหลกราญได้แค่ 200 บาท
แล้วพวกเรา 40 คนทั้ง พระ ทั้งฆราวาส ก็แยกย้ายกันไปหาที่กางกระโจมมุ้ง รอบ ๆ พระเจดีย์กันอย่างเต็มศรัทธา
ผมกับแก็งค์คุณหมอ โชคดีได้ใต้ต้น พระศรีมหาโพธิ์ ใกล้พระแท่นวัชระอาสน์
รัตนบัลลังก์ ที่พระพุทธองค์ทรง...ตรัสรู้

พอกางกระโจม กางเต็นท์ กันเรียบร้อยแล้วต่างคนก็เข้าที่ตั้งใจนั่งปฏิบัติฯ กันเต็มที่
ของผมเป็นเต็นท์ที่ซื้อหอบไปตั้งแต่กรุงเทพฯ ขนาดนอน 2 คนกว้างพอยืดขาได้หน่อย
กลุ่มที่พวกเราอยู่กัน มีคนอื่นอยู่หลายคน
แต่...มีคุณป้าคนหนึ่ง แปลกมาก
แม่ชี ที่มากับพวกผม เคยเตือนให้ระวัง คุณป้า คนนี้เหมือนกัน
เพราะ ทางการภาวนา ของเค้าต่างจากของเรามาก
แนวทางแตกต่างกันบอกไม่ถูก
เริ่มแรก แต่ละคนก็สงบสติอารมณ์ สวดมนต์ภาวนากันไปเงียบ ๆ
ผมก็เหมือนกัน ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ระลึกรู้กาย ไล่ตามลมหายใจ เข้า...ออก...
จนจิตเริ่มนิ่ง..ง..ง รู้สึกถึงหัวใจเต้น ตุบ...ตุบ...ตุบ...
หันมาจับ เวทนา ดูว่า สุข...ทุกข์... เฉย
จับความรู้สึกระลึกรู้รอบตัว...เอ๊ะ หนาวแฮะ
เท่านั้นแหละ น้ำมูกไหลยืดออกมาเลย
อ้าว...เลยต้องหันไปหากระดาษทิชชู่มาเช็ด ไม่กล้าสั่งน้ำมูกกลัวเสียงดังรบกวนคนอื่น
โอ๊ย...ต้องคอยเช็ดป้อย ๆ มันไหลอยู่เรื่อย ๆ
เอาใหม่ เอาใหม่ เริ่มกันใหม่...
พอเริ่มตั้งสมาธิ จิตเริ่มนิ่งกำลังดี...น้ำมูก ไหล ย้อย..ย..
มีหายใจไม่ออกแถมอีก ต่างหาก
ไม่เป็นไร ออกไปเดินภาวนาให้เหงื่อออกสักหน่อยน่าจะหาย
ว่าแล้วก็มุดเต้นท์ ออกไปเดินสวดมนต์ภาวนา...

พอออกมาเดินสวดมนต์ได้ 3 รอบแล้ว
ได้เหงื่อ ได้สติ ดีแล้วก็มุดเต็นท์เข้าไปใหม่...
แต่มันมีปัญหาตามมาอีก
อีตอนมุดออก มุดเข้าเนี่ยะ...ยุง มันตามเข้ามาด้วย นะซิ
ผมรีบเอายาทากันยุงมาทาทั่วตัว ยกเว้นที่หน้า
เพราะคืนแรกไม่ได้อ่านฉลาก ดั๊น..ทาที่หน้าด้วย
ยุงไม่กัด แต่ตอนเช้าหน้าแดงอย่างกับแพ้แดด แสบไปหมด
เที่ยวนี้ฉลาดขึ้นไม่ทาหน้า...แต่ก็ประสาทแด๊ก..ก...กลัวยุงมันกัดที่หน้า อ่ะ
แถมไอ้ยุงอินเดีย ที่มุดตามเข้ามา 3 ตัว เกาะอยู่ที่ตาข่ายมุ้ง
อยู่ตรงหน้า...ตรงหน้า...ของผมพอดี๊ พอดี
ไอ้ผมก็กลัวมันกัดที่หน้า ระแวง คอยคิดแต่ว่าจะไล่มันออกไปยังไง วะ
มันเองก็เกาะนิ่งระวังผมอยู่...ตรงหน้า
โอ๊ย...ใจตอนนั้นมันอยาก ย๊าก อยาก...จะ ตบ มันจะแย่
โธ่...ก็มันเกาะล่ออยู่ตรงหน้า ห่างแค่คืบกว่า ๆ
มะรันดูแก มะแลดูกันอยู่อย่างนั้น...บ้าจริง จริ๊ง
จนสักพักใหญ่ ๆ นึกขึ้นได้...ยุงผจญ เอ๊ย มารผจญ นี่หว่า
พอคิดได้เลยหลับตา ปล่อยวาง ช่างมันอยากกัด กัดไป ยอมแล้ว
กลับมาระลึกรู้ กาย หายใจ เข้า...ออก...
ระลึกรู้ เวทนา สุข...ทุกข์... เฉย
รู้สึกน้ำมูก ไหล ย้อย..ย...อีกแล้วววว โว้ย..ย....ย
ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็อี ยุง เกาะอยู่ตรงหน้า คืบกว่า ๆ นี่แหละ
ออกไปเดินภาวนาดีกว่า...
พอได้เหงื่อ น้ำมูกก็หยุด วนเวียนอยู่อย่างงี้
ก็เลยเดินมองบรรยากาศรอบตัว นึกถึงเรื่องที่พระอาจารย์ฯ เล่าในรถ...

ที่สังเวชยนียสถานแห่งนี้ สมัยพุทธกาลเรียกว่า...อุรุเวลาเสนานิคม
แปลว่า กองทราย หรือตำบลกองทราย เดาว่าคงจะเป็น หาดทรายริมแม่น้ำ เนรัญชรา
มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ หลังจากที่ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้ใต้ต้นอัสสัตถะ หรือต้นโพธิ์
เป็นสหชาติ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับพระพุทธองค์
เมื่อบรรลุเป็น พระสัมมาพระพุทธเจ้า แล้ว
พระพุทธองค์ได้อยู่พิจารณา ธรรมะ อันสุดจะซับซ้อนลึกซึ้ง
และขัดกับความเชื่อของผู้คนดั้งเดิมที่มีกันมาเป็นพันปีก่อน
ทรงประทับอยู่เป็นเวลา 49 วัน แล้วก็เสด็จจากไป...
เดินไปด้วยพระบาทเปล่า...ทุกหนทุกแห่งแทบจะทั่วทวีปอินเดีย ตลอดเวลาอีก 45 ปีเต็ม ๆ
เพื่อโปรดผู้มีกิเลสบางเบาพอที่จะสั่งสอนได้

ต่อมาหลังจาก พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 220 ปี
มีกษัตริย์หนุ่มที่ทรงอำนาจทางทหาร ชื่อ...พระเจ้าอโศกมหาราช
ได้ทรงกลับใจจาก ผู้ที่ไล่ล่าฆ่าคนมานับหมื่น กลายเป็นผู้ที่ศรัทธาใน พุทธศาสนา อย่างสุดตัว
หันมาดั้นด้นค้นหาสถานที่แห่งนี้จนพบ และบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นการสักการะ พระพุทธเจ้า
ทำการปักเสาหินไว้เป็นเป็นที่หมายสำหรับคนรุ่นหลังอีกนับพันปี
ได้ทำนุบำรุง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ด้วยความเคารพรักอย่างยิ่ง
ทั้งยังตัดกิ่ง แบ่งไปปลูกที่ประเทศศรีลังกา ซึ่งยังยืนต้นอยู่มาจนทุกวันนี้

แต่ในปลายรัชการ ด้วยความที่ พระเจ้าอโศกฯ ทรงรักการพระศาสนามาก
มเหสีองค์ที่ 4 ของท่านโกรธที่ละเลยราชกิจ ไปสมคบกับหลานชาย ยึดอำนาจ
แต่ที่ร้ายที่สุดคือ ให้คนมาทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยเอาน้ำกรดมาราดลงไปจนล้มลง
พระเจ้าอโศกฯ ท่านเสียใจถึงกับสลบไปเลย
พอฟื้นขึ้นมาก็ไม่ยอมจากไปไหน
ให้คนเอานมจากโคบริสุทธ์ 100 ตัว มารดโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์
พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า
" ตราบใดที่หน่อแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ยังไม่งอกขึ้น
ตราบนั้นข้าพเจ้าจะยังมิยอมจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปเป็นแน่แท้
แม้ชีวิตของข้าพเจ้าจักวอดวายลงไป
ข้าพเจ้าจะยอมตายถวายชีวิตเพื่อบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์แต่อย่างเดียว "
ด้วยสัจจาวาจากิริยาธิษฐานของพระองค์ เพียงไม่กี่วัน
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่แห้งตายไปแล้วนานวัน กลับมีหน่อน้อยงอกขึ้นที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างอัศจรรย์ยิ่ง
( คัดลอกจาก หนังสือ ประวัติพุทธคยา พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2548 โดยวัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย )
กลายเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 2
รวมอายุของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นแรก 352 ปี

ในปี พ.ศ. 695 กษัตริย์ชื่อ พระเจ้าหุวิสกะ ได้มาสักการะยังสถานที่นี้
และได้ทรงดำริว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เคยถูกคนทำลายมาแล้ว
ในอนาคตหากมีคนมาทำลายอีก สถานที่แห่งนี้จะไม่มีใครรู้จัก
จึงทรงให้สร้าง พระเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม ขึ้นและนำพระพุทธรูปศิลามาประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ด้วย

เวลาผ่านไปอีก 200 ปี...
มีกษัตริย์ชาว ฮินดู ชื่อ พระเจ้าศสางกา เดินทัพผ่านมาเห็นเข้าก็เกิดความคิดชั่ว
ต้องการทำลายพระพุทธรูป พระพุทธเมตตา องค์นี้ให้ได้
ทว่าเมื่อได้จ้องพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วย พระเมตตา แล้วไม่กล้า
กลับสั่งให้แม่ทัพคนสนิท มาทำลายทั้งพระพุทธรูป และต้นพระศรีมหาโพธิ์
แม่ทัพคนนั้น ได้พากันมาตัดและเผา ทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ลง
แต่เมื่อได้เห็น พระพุทธเมตตา แล้วก็เกิดกลัวตกนรกไม่กล้าทำลาย
ใช้วิธีโบกปูนปิดเอาไว้ตบตาเจ้านาย
เมื่อ พระเจ้าศสางกา ได้รับรายงานการทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว
แทนที่จะดีใจ กลับเกิดความหวาดหวั่นกลัวขึ้นในจิตใจ
จนไม่เป็นอันกินอันนอน
ในที่สุดก็มากระอักเลือดตาย ที่หน้าพระเจดีย์แห่งนี้ในอีกไม่กี่วันต่อมา
รวมแล้ว ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 2 มีอายุ 890 ปี

แล้วด้วยความศรัทธาใน พุทธศาสนา
กษัตริย์ และประชาชน ก็ได้มาตั้งจิตอธิษฐาน
นำน้ำนมวัวมารดอีกเหมือนเดิม
แล้วได้เกิดปาฏิหารย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ได้แทงหน่อขึ้นมาจากรากต้นเดิมอีก เป็นต้นที่ 3
เจริญงอกงามอยู่คู่กับชาวพุทธ มาอีกนาน...น..มาก
จนถึง พ.ศ. 1750 กองทัพมุสลิมเตอร์ก ได้บุกเข้ายึดอินเดียตะวันออก
ทำลายศาสนาอื่นให้สิ้นซาก
มุ่งเป้าเข้าทำลาย...นาลันทา เข่นฆ่าพระสงฆ์ไปนับหมื่นรูป
บังคับประชาชนให้ ขลิบ อวัยวะและบังคับนับถืออิสลาม
ทำลายรูปเคารพของศาสนาอื่น โดยเฉพาะ พุทธศาสนา ให้หมดสิ้น
แต่ที่ พุทธคยา นี้มีชาวบ้านช่วยกันเอาไม้และปูนไปอุดพลางตาไว้
ทำให้ดูเหมือนเป็น เจดีย์ตัน จนรอดพ้นมาได้
ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ พวกนั้นกลับมองเห็นเป็นต้นไม้ธรรมดา...ไม่ได้สนใจ
น่าอัศจรรย์ มาก..ก..ก

ในช่วงนั้น ศาสนาพุทธ ได้ถูกทั้งอิสลาม และฮินดู เบียดบัง
บวกกับมีเรื่อง พุทธนิกายตันตระ ที่มั่วซั่วทั้งคาถาอาคม เหล้า นารี การเสพสมเมถุน
วุ่นวายกันไปจนประชาชนเสื่อมศรัทธา หายไปร่วม 700 กว่าปี
แต่ทว่า...ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 3 ก็ยังเจริญงอกงามดำรงอยู่เรื่อยมา
จนถึง พ.ศ. 2421 จึงได้ล้มลงเองด้วยความชรา
รวมอายุ ต้นที่ 3 นี้คือ 1,258 ปี เชียวนะ
และในปีเดียวกันนั้นเอง...
ได้มีนักโบราณคดี ชาวอังกฤษ ชื่อ... อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม
สนใจออกสำรวจค้นหา จนมาพบต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ล้มลงมา
จึงได้นำเอา หน่ออ่อน ที่เกิดขึ้นตรงจุดนั้น 2 ต้นมาปลูกขึ้นใหม่ที่เดิม
และใกล้ ๆ กัน
จนกลายมาเป็น พระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 4 ในปัจจุบันนี้
ยืนยงดำรงมาได้ 134 ปีแล้ว

เล่ามาซะยืดยาว แต่ยังไม่ไปถึงไหน
พรุ่งนี้มาฟังกันต่อนะ...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2555    
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 16:52:43 น.
Counter : 3653 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.