กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา เณรแอ๋

เณรแอ๋

สวัสดีครับ...เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
มันต่อเนื่องมาจากที่ผมได้ไปเที่ยวแสวงบุญ กราบสังเวชนียสถานที่ อินเดีย
ตามที่ได้เล่าไว้ในซีรี่ส์...กรรมทันตา โอ้..อินเดีย
แต่ยังไม่จบนะครับ
บังเอิญว่าทริปที่ไปกันครั้งนี้ ผมได้พบกับผู้เป็นกัลยาณมิตรหลายท่าน
ตั้งแต่แรกที่เห็นหน้ากันก็เกิดความสนิทสนมคุ้นเคย เกิดความปารถนาดีต่อกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
ยิ่งเมื่อได้ไปกินนอน ร่วมเดินทางตะลอน ๆ อย่างทรหดด้วยกัน 10 วัน
ทำให้กลมกลืนเข้าหากันอย่างสนิทใจ
มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ชื่อ คุณวิศิษฐ หรือที่ผมเรียกกันว่า...พี่มหา
ท่านอายุมากกว่าผม 10 ปีพอดี แต่แม้จะอายุตั้ง 61 แล้วแต่ก็ยังดูฟิตเปรี๊ยะ กระชับกระเฉง แถมกระชุ่มกระชวยอีกต่างหาก
ดูไปดูมาหนุ่มกว่าผมซะอีกแน่ะ
พี่มหา ชอบออกกำลังกายโดยเฉพาะต่อยมวย
ประวัติของท่านน่าสนใจมาก...มาก
เป็นชาวขอนแก่น คนอิสานขนานแท้
บวชตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งเป็นหนุ่ม
สมัยนั้นยังเป็นชนบทกันดารอย่างยิ่ง แม้แต่การเผาศพยังเป็นแบบ
เผากันบนกองฟืนสด ๆ หลาย ๆ ชั่วโมงหรือทั้งคืนก็มี
ความที่มันเป็นชนบทกันดาร ทำให้มีข้อดีคือ...วิเวก
การเล่าเรียนตามแบบ พระเณร ก็เน้นไปทางวิปัสนากรรมฐาน
เน้นปฏิบัติ เพื่อเป็นรากฐานไปสู่การเรียนปริยัติ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็แสนจะเข้มงวด เพียรให้ปฏิบัติจิตเป็นเรื่องหลัก
แล้วก็ด้วยความเป็นคนแข็งแรง ซุกซน ก็อยากรู้อยากเห็น ใฝ่หาความรู้ไปเรื่อย
อยากเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต่าง ๆ นา
จนเมื่ออายุมากพอ ก็ยังบวชพระต่อเนื่องมาเรื่อย
ย้ายมาอยู่ที่ วัดบวรมงคล แถวบางพลัด ฝั่งธนบุรี
แถมยังโชคดีได้เล่าเรียนที่วัด...บวรนิเวศ
เคยรับใช้ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ซะด้วยซ้ำ

พี่มหาวิศิษฐ เคยเป็นนักเทศน์ฝีปากเอก
เทศน์จนโยม น้ำตาร่วง มานักต่อนักแล้ว
อีทีนี้เมื่อเทศน์จนเก่ง มีญาติโยมติดตามกันมาก ก็ยิ่งอยากศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น
แต่...ความที่บวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสเรื่องทางโลกซักเท่าไหร่เลย
สอนให้ญาติโยมดับทุกข์ โดยที่ไม่เคยสัมผัสทุกข์อย่างฆราวาสเค้า
สอนคนทั้งโลกว่า เกลือ มันเค็ม
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่เคยได้ชิมเกลือซักครั้ง
ตัดสินใจสึกออกมาศึกษาความทุกข์ให้รู้แจ้งกระจ่างจริง
ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็ห้ามนักหนาว่าอย่าสึกเลย
อายุมากแล้ว ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเค้าหรอก
แล้วก็สมใจอยาก...ทุกข์ ซะนักหนา
โลกภายนอกมันช่างยอกย้อนเหลือคณา เล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์มันมากเหลือเกิน
การทำมาหากินก็ไม่ง่ายสำหรับคนที่บวชมาเกือบครึ่งชีวิต
แต่พี่มหา ก็ต่อสู้กับเล่ห์เหลี่ยมของสังคมมาได้อย่างหวุดหวิด
ท่านบอกว่า รอดตัวเอาดีได้ก็อาศัย ธรรมะ ของพระพุทธเจ้านี่แหละ
ระมัดระวังตัวไม่ให้ล่วงละเมิดศีลห้า และเอาความอุตสาหะเข้าสู้
จนกระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจมองเห็นและให้โอกาส
ปัจจุบันนี้ท่านเป็นเจ้าของ บริษัทรักษาความปลอดภัย ที่เปิดดำเนินการอยู่รอดมาได้กว่า 15 ปีแล้ว
และยังเป็นประธาน สมาคมบริหารงานบุคคล และงานสังคมอื่นอีกมากมาย

ด้วยความที่เป็นคนชอบออกกำลังกาย ชอบกีฬาลูกผู้ชาย
เลยสนองความชอบด้วยการตั้ง ค่ายมวย ซะเลย
น่าจะประมาณปี 2545 หรือ 2546 นี่แหละ
ค่ายมวยศิษย์พี่มหา ก็ปลุกปั้นนักมวยหลายฝีมือดีหลายคน
มีการส่งขึ้นชกตามเวทีดัง ๆ หลายครั้ง
รายการอื่น ๆ ที่ผ่านมาก็ม่มีปัญหาอะไร ทั้งกำลังเงิน กำลังใจ ไปได้สวย
จนกระทั่ง...ศึกเพชรยินดี ละมั๊ง
บังเอิญเปรียบมวยจับคู่ได้กับ ค่าย ที่กำลังมาแรงแซงโค้งโด่งดังเปรี้ยงปร้าง
โด่งดังเพราะเจ้าของค่ายนี้...ค่ายศิษย์เณรแอ๋ จอมขมังเวทย์
ใช่ครับ คนที่เรียกตัวเองว่า...เณรแอ๋ จอมขมังเวทย์ นั่นแหละครับ

สมัยนั้น...คนที่เราก็รู้ว่าใคร...กำลังโด่งดังเป็นที่ฮือฮา รู้จักกันในลักษณะจอมขมังเวทย์
เรียนคาถาอาคมจากอาจารย์เขมร เน้นหนักไปทาง ไสยศาสตร์ มนต์ดำ
ทำเสน่ห์ยาแฝด น้ำมันพราย เลี้ยงผี กุมารทอง เดรัจฉานวิชาสารพัด
เรียกตัวเองว่า เณร แต่ไม่เคยศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนอันเที่ยงแท้
แต่สนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ...หนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า
มีผู้นับถือ และหลงไหลไม่ใช่น้อย เอาเป็นว่าคนดัง ๆ ในสังคมยังยอมไปเป็นลูกศิษย์กันมากมาย
เรื่องรายได้ไม่ต้องพูดถึง แค่น้ำมันพรายขวดกระจิดริด ขวดละ 15,000
ยังมีคนแย่งกันซื้อ...
แถมยังรับจ๊อบ รับจ้างสาปแช่ง กระทำคุณไสย เสกหนังควาย อีกแล้วแต่ใครจะออร์เดอร์มา
เอาเป็นว่าในช่วงนั้นเป็นช่วงขาขึ้น นาทีทองของแกเลยแหละ
มีคนเชื่อถือในความเก่งกล้าด้าน หนังเหนียว ขนาดออกทุนให้เปิดค่ายมวย...ศิษย์เณรแอ๋
เน้นโฆษณาว่า นักมวยทุกคนลงอาคม อาบน้ำมันว่าน หนังเหนียว ต่อยยังไงก็ไม่มีการบาดเจ็บ ไม่มีเลือดตกยางออก
ภาษามวยเรียกว่า...ไม่มีแผล ไม่มีแตก

แล้ววงโคจรแห่ง กรรม ก็มาถึงจนได้
ในการชกเวทีใหญ่ ศึกเพชรยินดี ก็ดั๊นมาจับคู่ระหว่าง
ศิษย์เณรแอ๋ ปะทะ ศิษย์พี่มหา
โธ่เอ๊ย จะไปรอดเหรอวะ...เป็นคำพูดของเซียนมวยทั่วสารทิศที่คิดว่า นักมวยของพี่มหา คงตายแน่ แพ้ชัวร์
บรรดาสารพัดจะพูดกันไป บรรดาคนที่รู้จักกับพี่มหา ก็มาเตือนว่าให้ระวังตัวให้ดี
ทั้งนักมวย ทั้งพี่มหา เจ้าของค่ายนี่แหละ
อย่าไปจ้องตามันนะ...วิชามันเหลือร้าย อาจจะเสียท่าถูกสะกดเอาได้ง่าย ๆ
คาถาอาคมของเราจะถูกดูด จนเสื่อมไปหมด

ทางด้าน พี่มหา ก็ใช่ว่าจะประมาท ตื่นเต้นตึงเครียดอยู่ไม่น้อย
กินไม่ได้ นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว
เรื่องคาถาอาคม คุณไสยอะไร ก็ไม่มี
ร่ำเรียนมาก็แต่ ธรรมะ ของพระพุทธองค์เท่านั้น
พอกลุ้มหนัก ๆ เข้าก็เลยเข้าห้องพระสวดมนต์ ตั้งสติ ปฏิบัติกรรมฐาน
เอาพุทธัง สรณังคัจฉามิ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก
ระหว่างที่อยู่ในภวังค์ เกิดปัญญา มีสติระลึกได้
ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม
สวดมนต์มาแทบเป็นแทบตาย ทำไมไม่เอามาใช้...

พอถึงวันชก บรรยากาศในสนามมันช่างระทึกใจซะจริง ๆ
ใคร ๆ ก็อยากดูว่า นักมวยของ ศิษย์เณรแอ๋ จะแน่แค่ไหน จะหนังเหนียวปานใด
นักมวยในค่ายที่ว่านั้น ก็แสนจะฮึกเหิมเหลือคณา
ตัวลูกพี่ก็เดินกร่างไปทั่วสนามมวย ทักทายเอะอะเสียงดังกว่าใคร
ส่วนทางนักมวยค่ายของพี่มหา กลับตรงกันข้าม
ลูกพี่บอกให้ใช้ สงบสยบเคลื่อนไหว ตั้งสติให้เต็มกำลัง
เรื่องอาคม เรื่องไสยศาสตร์ เดี๋ยวจะจัดการเอง...ไม่ต้องห่วง
พี่มหา เล่าว่าช่วงเวลาตอนนั้นมันเหลือทน
ใครต่อใคร ก็เตือนว่าอย่าสบตากับเค้านะโว้ย เดี๋ยวคาถาเราจะเสื่อมซะหมด
ไม่มีใครซักคนที่คิดว่า นักมวย ของเราจะชนะ
แถมไอ้ตัวลูกพี่ฝั่งโน้นก็เล่นสงคราม...จิตวิทยา...อย่างแรง
ทำตาขวาง บริกรรมคาถา ปากขมุบขมิบตลอดเวลา
ยิ่งถึงนาทีที่ต้องขึ้นชก...สายตาทุกคู่จ้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เณรแอ๋...เดินกร่างนำหน้านักมวยมาอย่างฮีกเหิมเต็มที่
ทำตาแข็งขวาง จ้องหน้าพี่มหา ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อสู้มาแต่ไกล
จนระยะใกล้เข้ามา เณรแอ๋ ก็หยุดนิ่ง จ้องเขม็ง บริกรรมขมุบขมิบ
ส่วนพี่มหา ก็รอเวลาอยู่แล้ว...
หันไปประสานสายตาจ้องตอบ จิตจับที่ลมหายใจ สงบนิ่ง
แล้วท่อง...พุทธชัยมงคล คาถา
พาหุง สะหัส .......................................
ทั่วทั้งสนามมวยที่กำลังอึกทึกครึกโครม บรรยากาศวุ่นวายสับสนสารพัด
แต่สำหรับลูกพี่ของทั้งสองค่ายกำลังปะทะ ต่อสู้กันแล้วด้วยพลังของจิต
ช่วงนาทีนั้น พี่มหา ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ดำรงสติ ตั้งจิตจับอยู่ที่ความมั่นใจใน...พุทธคุณ
ด้วยเดชะแห่ง พระบรมศาสดา ที่ได้ผจญมารร้ายมาหลายหลาก
ด้วยอานุภาพแห่ง พระพุทธเจ้า ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า
แล้ว...พี่มหา ก็เร่งเร้าพลังศรัทธา เป่าพรวดออกไป
ทางฝ่าย เณรแอ๋ ที่กำลังตาแดง ตาขวาง จ้องเขม็งด้วยจิตมุ่งร้ายหมายสะกดจิตใจอีกฝ่าย
ก็มีอันตกใจ สะดุ้ง...หลบตา
เฉไฉหันไปทำทีพูดกับ นักมวย ลูกศิษย์ของตัว
ไอ้ฝ่ายลูกศิษย์ที่ว่า ก็ออกอาการลอยหน้าลอยตา เชื่อมั่นซะเหลือเกิน
แต่ทางด้าน นักมวย ที่เดินตามหลังพี่มหามา ก็จับจ้องมองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด
เกิดความเชื่อมั่นในลูกพี่ขึ้นมาทันตาเห็น
หูได้ยินแต่ พี่มหา สั่งเฉียบขาด...อย่าประมาท หาโอกาสจังหวะให้ดี

พอกรรมการ สั่งให้ชก...
นักมวย ฝ่ายทางโน้นก็โดดผางออกมาอย่างลำพองใจ
เดินเข้าใส่ไม่ยั้ง โยนอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอก
ไม่มีการป้องกันตัวเอง ด้วยมั่นใจ...เหนียว
ทางฝ่ายนักมวยของ พี่มหา ได้ยินอยู่แค่...อย่าประมาท หาโอกาสจังหวะให้ดี
แล้วไม่รู้อีท่าไหน ชักศอกเปรี้ยงเข้าให้
นักมวยค่ายอาคมเขมร ก็มีอันคิ้วแตกเป็นแผลลึกยาว...เลือดอาบหน้า
กรรมการต้องให้หยุดชก เรียกหมอมาตรวจดู
คนทั้งสนาม...เงียบกริบไปชั่วอึดใจ แล้วก็ตะโกนกันวุ่นวายยกใหญ่
แตกได้ยังไงวะ...แตกได้ยังไง
หันไปมองตัวลูกพี่กันทุกคน ซึ่งเจ้าตัวเองก็หน้าซีด และงุนงงในเหตุการณ์ตรงหน้าเหมือนกัน
เมื่อกรรมการสั่งให้ชกต่อได้ อีกไม่กี่นาทีก็มีอันแพ้น๊อค...ด้วยความประมาท การ์ดตก
พี่มหา เล่าต่อว่า...ไม่น่าเชื่อ นักมวย อีกสองคนของค่ายนั้น
มีอันแตกเลือดอาบในยกหนึ่งเหมือนกันหมด...
ตัวเณรแอ๋ รีบหลบออกจากสนามมวยไปตอนไหนก็ไม่รู้
ภายหลังเห็นว่า นายทุนใหญ่ ถอนตัวไม่เอาด้วย
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเหตุการณ์วุ่นวายถึงขั้นโดนเมียตัวเอง แจ้งความจับในคดีที่รุนแรงมาก
แล้วก็ถูกแจ้งข้อหาจากคนที่เคยมาทำเสน่ห์อีกหลายราย ว่าหลอกลวงต้มตุ๋น
แล้วในที่สุด...คนที่เราก็รู้ว่าใคร...ก็มีอันจบเห่

ผมอยากเล่าเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการซ้ำเติมผู้ใด คนที่เห็นผิดในอดีต ก็อาจจะเห็นถูกในภายภาคหน้าก็ได้
แต่ก็เพื่อ ชี้ให้เห็นว่า...เราสามารถจะเอา พุทธคุณ เป็นสรณะ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ขอเอาพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งที่ระลึก ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้า...ไม่มี

แล้วท่านผู้ฟังทั้งหลายล่ะ
ยังเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งให้รุงรัง อยู่อีกหรือเปล่า ครับ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2555 0:26:08 น.
Counter : 4329 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 20

โอ้..อินเดีย 20

ครั้งที่แล้วว่าเรื่องสถานที่สำคัญในเมือง สาวัตถี ไปบ้างแล้ว
เล่าถึงบ้านของท่าน อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ผู้ถือว่าเป็นมหาอุบาสกคนสำคัญ
ช่วยเหลือพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง เพราะท่านได้ฟังธรรมะจนสำเร็จเป็น พระโสดาบัน
เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์แล้ว ไปเกิดเป็น...อนาถบิณฑิกเทพบุตร อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

ใกล้ ๆ กับบ้านของท่านเศรษฐี จะมีบ้านของ ปุโรหิต ภัคควพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าโกศล
ซึ่งเป็นบิดาของ พระองคุลิมาล ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี
ลักษณะบ้านที่หลงเหลือในปัจจุบันนี้ ก็เหมือนกับโบราณสถานแถวสุโขทัย อยุธยา ในบ้านเรา
เป็นกองอิฐเผาที่มีโครงสร้างว่าเคยเป็นอาคารสถานที่อยู่
หลายคนก็ชอบที่จะปีนป่ายตะกายขึ้นไปข้างบนบ้านเพื่อถ่ายรูปกัน
ผมเองก็กำลังคิดอยู่ว่าจะขึ้นไปบ้างดีมั๊ย
แต่เดินไปเจอกับ...พี่มหา หรือคุณ วิศิษฐ
เพื่อนร่วมแก็งค์บางบ่อของพวกคุณหมอ

คงต้องเล่าประวัติพี่มหา ซะนิดหน่อยก่อนจะได้เข้าใจ
พี่มหา เป็นเด็กอีสานแท้แต่กำเนิด ดูเหมือนจะเป็นคนขอนแก่นนะ
บวชเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก 10 กว่าขวบเท่านั้น
ท่านเล่าว่าสมัยนั้นที่มันกันดารมาก วัดที่อยู่ก็เป็นวัดเล็กๆ บ้านน๊อก..ก..บ้านนอก
แม้แต่ศพก็ยังเผากันบนกองฟืนกลางแจ้งเลยแหละ
ความที่เป็นวัดในชนบท ห่างไกลความเจริญอย่างยิ่ง
ผู้ที่บวชเรียนก็จะเน้นหนักไปทางคาถาอาคม กสิณภาวนา ซะเป็นส่วนใหญ่
พี่มหาก็บวชเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 20 กว่าถึงได้เข้ากรุงเทพฯ
มาอยู่ที่ วัดลิงขบ หรือวัดบวรมงคล แถวๆ บางพลัด ฝั่งธนฯ
เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ได้เพียงเดือนกว่า ก็ยังปรกติดี
มีเรื่องยุ่งยากในการปรับตัวจากเด็กบ้านนอก มาเป็นคนกรุงเทพฯ บ้างเหมือนกัน
ท่านเล่าว่า กุฏิ ที่เจ้าอาวาสจัดให้อยู่นั้นแต่เดิมเป็นของพระรูปหนึ่งซึ่งมรณะภาพไปแล้ว
พระรูปนี้จากเดิมที่เป็นนายอำเภอ มาบวชเอาเมื่อเกษียณอายุราชการ
แล้วเรี่ยไรเงินจากบรรดาญาติโยม และเพื่อนๆ ข้าราชการด้วยกัน
เพื่อปลูกสร้างกุฏิหลังนี้ขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่า...กุฏินักปกครอง
ต่อมาเมื่อ พระนายอำเภอ ได้มรณะภาพไปแล้วกุฏิก็ว่างร้างไปช่วงเวลาหนึ่ง
มาถึงเมื่อ พี่มหา เข้าอยู่แทนใหม่ๆ ก็ปรกติดี
แต่ผ่านไปประมาณเดือนกว่าๆ ในกลางดึกคืนหนึ่ง
พี่มหาวิศิษฐ ท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยอาการแปลก ๆ งุน ๆ งง ๆ .......
รู้สึกแต่ว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ร่างกายเกือบทั้งหมดไม่สามารถควบคุมได้
แต่เหมือนกับว่ามีคนอื่นได้มาเข้าแทรก แย่งการควบคุมร่างกายไปได้กว่าครึ่ง
สมองงุนงง เลอะเลือน สติสัมปชัญญะลดน้อยลงทุกที
ในหัวมีแต่เสียง วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...ตลอดเวลา

พี่มหาเล่าว่า เมื่อค่อย ๆ ตั้งสติ ตรวจเช็คสภาพจิต และร่างกายแล้วก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา
เอ๊ะ..ทำไมเหมือนกับมี ใคร ซักคนพยายามเข้ามาแทรกการควบคุมสติ และร่างกายของเรา
แต่ด้วยความที่เป็นคนจิตใจห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ
บวกกับที่ท่านเองก็บวชเรียน และฝึกปฏิบัติกรรมฐานมาหลายปีแล้ว
ทำให้เข้าใจได้ว่า...กำลังถูก ผีเข้า
หรือกำลังตกอยู่ในสถานะการณ์ถูกพลังงานบางอย่างเข้าครอบงำจิตใจ
ความรู้สึกในตอนนั้น ผี ที่เข้ามาครอบงำพยายามให้ พี่มหา ร้องตะโกนคลุ้มคลั่ง
และสิ่งที่อยากจะทำมากที่สุดคือ ฉีกกระชาก สบง ที่ใส่นอนอยู่ขณะนั้น
พูดหยาบ ๆ ก็คือต้องการให้ท่าน...แก้ผ้าแก้ผ่อน ร้องตะโกนเหมือนคนบ้าคลั่ง

พี่มหาวิศิษฐ ยืนยันว่าสติในตอนนั้นไม่ได้ขาดสัมปชัญญะ
แต่มีอีกจิตหนึ่ง เข้ามาควบคุมร่างกายไปเกือบหมด และพยายามจะแก้ผ้าออก พร้อมกับร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
แต่...พอเรียก สติ กลับมาอย่างยากลำบากได้บ้างแล้ว
พยายามบังคับร่างกายอย่างที่สุดเพื่อหยิบ จีวร มานุ่งห่มอย่างรัดกุม
ในหัวก็ยังมีเสียงดัง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...อยู่ตลอดเวลา
ขณะนั้นเวลาประมาณ ตีหนึ่ง แต่ก็ยังดึงดันกันระหว่าง พี่มหา และวิญญาณที่พยายามเข้าแทรก
ดึงกันระหว่าง ความอยากบ้าแก้ผ้าร้องตะโกน กับ สติสัมปชัญญะ
ต่อสู้กันอย่างหนัก ดึงดันกันสุดฤทธิ์
แล้วพี่มหาก็นุ่งจีวรได้อย่างทุลักทุเล แต่ก็ยังแย่อยู่มาก
ตะเกียกตะกายไปที่โต๊ะหมู่บูชาซึ่งมี พระพุทธรูป ตั้งอยู่ด้วย
ใช้มือข้างที่พอจะสั่งงานได้จุดธูปเทียน ปักลงแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น
นั่งลงสวดมนต์เท่าที่พอจะนึกได้สารพัดบทสวด
ทั้งสรรเสริญพระพุทธคุณ ทั้งคาถาที่เคยร่ำเรียนมา...แต่ก็ไม่ได้ผล
พลังงานวิญญาณ ที่เข้าแทรกก็ดูเหมือนจะรู้ทัน แถมยังสวดมนต์คลอตามไปด้วยอีก แน่ะ
พี่มหา บอกว่าแทบจะถอดใจยอมให้ วิญญาณ เข้าครอบงำทั้งหมดแล้ว
แต่..มานึกได้ว่ามีคาถา ชนะมาร อยู่อีกบทหนึ่ง
รีบขึ้นต้นทันที...พาหุง สะหัส................. เรื่อยไป
จนถึง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
สติสัมปชัญญะ บอกกับตัวเองได้ว่า คู่ต่อสู้ ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
อ๊ะ..มาถูกทางแล้ว
รีบรวบรวมสมาธิ ขึ้นต่อ...มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง......เรื่อยไป
จดจ่อสวดต่อไปอย่างยากเย็นพร้อมกับคอยเช็คดู วิญญาณ คู่ต่อสู้ว่ามีท่าทีอย่างไรบ้าง
เอ๊ะ...ไม่สวดคลอตามแต่ก็ยังดึงดันไม่ยอมแพ้ แถมยังเร่งเร้าพลังโถมกระแทกเพิ่มมากขึ้น
แต่เที่ยวนี้แรงที่มามันกระท่อนกระแท่น เสียง...วิ้ง...วิ้ง...วิ้ง...ในหัวก็แผ่วลงมากเลย
พี่มหา ที่ขณะนั้นกำลังเรียกสติกลับคืนมาได้มากแล้ว ก็เร่งสวดบท พระพุทธเจ้าชนะมาร อย่างรัดกุม
พอขึ้นท่อน...อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
ซึ่งเป็นบทที่กล่าวถึง การเอาชนะจอมโจรองคุลิมาล ด้วยอิทธิฤทธิ์บารมี
เท่านั้นแหละ พลังวิญญาณคู่ต่อสู้ ก็มีอันกระเด็นผึงออกไปจนรู้สึกถึงแรงกระชากวูบ....
หลังจากวินาทีนั้น สติสัมปชัญญะ รวมทั้งสภาพการควบคุมร่างกายก็กลับมาเกือบสมบูรณ์ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจ รวบรวมสมาธิสวดบท ชนะมาร ต่อไปอีกเป็นสิบ เป็นร้อยรอบ จนกระทั่งเช้า....

ว้นรุ่งขึ้น พี่มหาวิศิษฐ สอบถามพระรูปอื่นที่เคยอยู่มาก่อนจนแน่ใจว่า
พลังวิญญาณที่พยายามเข้ามาแทรกนั้นก็คือ พระนายอำเภอ ที่เป็นเจ้าของกุฏิหลังนี้
เมื่อพิจารณาอย่างใจเย็น ก็พอจะจับเค้าแห่งเรื่องว่า ตัวพี่มหานั่นแหละ...
ด้วยความตื่นเต้นที่ได้มาเล่าเรียนต่อในกรุงเทพฯ ทำให้มัวแต่สนใจเรื่องราวรอบตัวซะจนหย่อนยานใน วัตรปฏิบัติ อันควรแห่งสมณะเพศ
อาจจะทำให้ วิญญาณพระนายอำเภอ ที่ยังหวงกุฏิซะจนไม่ยอมไปไหน...ไม่พอใจ
พี่มหา เล่าว่าไม่กล้าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง แต่ก็รีบหาซื้อบ้าวของมาทำสังฆทาน ถวายกับพระรูปอื่น
แล้วอุทิศผลบุญกุศล ส่งตรงไปยังเจ้าของกุฏิหลังนี้ พร้อมขอขมาลาโทษในสิ่งที่อาจจะทำผิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีกเลย

เมื่อเล่าเรื่องให้ผมฟังจนจบแล้ว
พี่มหา ก็ยังสำทับอีกว่า คาถาชัยมงคล พระพุทธเจ้าชนะมาร บทนี้ขลังมากนะ อย่าดูถูกเชียวแหละ
เพราะตัวท่านเอง หลังจากที่ได้สึกหาลาเพศมาเป็นคนธรรมดาเอาเมื่ออายุเกือบจะ 40
ความรู้ทางธรรมน่ะมีมาก แต่ไอ้ความรู้แบบทางโลกทั่วไปมันมีน้อย
มาตกระกำลำบาก ต่อสู้ชีวิตอย่างแสนสาหัส กว่าจะลืมตาอ้าปากได้
ทุกครั้งที่มีปัญหาหนัก หรือมีคู่แข่ง คู่ต่อสู้ ที่เข้มแข็งกว่ามาก
ก็ได้อาศัยบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ช่วยให้รอดปลอดภัยจนกระทั่งผ่านพ้นมาได้เสมอ
ขอเพียงให้มีศีล มีธรรม มีความศรัทธา เชื่อมั่น อย่างเต็มหัวใจเท่านั้น
ก็เอาชนะทุกอย่างได้

พอฟังท่านเล่าจบ ผมงี้ออกจะทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน
จนต้องเงยหน้ามองไปที่...บ้านพระองคุลิมาล อีกครั้ง
แล้วรีบยกมือขึ้นประนม นึกในใจ...
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถัง.....คุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
ด้วยเดชะบารมีของ พระองคุลิมาล ผู้ที่กลับกลายจากความพลาดพลั้งมืดบอด
เพราะหลงเชื่อในครูอาจารย์ที่สอนในสิ่งผิดบาปอย่างมหันต์
มาเป็นผู้ที่สว่างไสวด้วยปัญญา จนบรรลุอรหัตผล ด้วยครูบาอาจารย์อันเป็นกัลยาณมิตร อย่าง...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอให้ผมได้พบครูบาอาจารย์ ผู้มาสอนสั่งใน ธรรมะ อันประเสริฐด้วยเทอญ...สา ธุ

พี่มหาวิศิษฐ ท่านเห็นผมศรัทธาใน พระองคุลิมาล ก็ออกจะสงสัย
ในวันหลัง ๆ ที่เดินทาง กิน นอน ด้วยกันจนสนิทใจกันมาก
ผมก็เลยเล่าเรื่องราวในชีวิตที่ผิดพลาด จนทำบาปทำกรรมแสนสาหัสมากมายนัก
เพราะเหตุที่ไปได้ครูอาจารย์ผิด ไปเชื่อในสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฐิ
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เชื่อในสิ่งชั่วร้ายว่าเป็นสิ่งดี ตามที่คนพวกนั้นสั่งสอน
แถมยังเอาไปพัฒนา ฝึกฝน จนช่ำชองในความชั่วนั้นอย่างยิ่ง
เรื่องของ องคุลิมาล จึงเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจ และซาบซึ้งมากเป็นพิเศษ

สำหรับท่านที่เพิ่งจะมาอ่าน มาฟังเรื่องของผมก็คงจะ งง งง ว่าผมพูดบ้าอะไร
ขอให้ไปหาอ่านจาก...กรรมทันตา ตอนต้น ๆ เอานะ
ในบล๊อกแก็งค์ ก็มีครับ

พี่มหาวิศิษฐ ยังได้เมตตาเล่าเรื่องน่าสนใจ และสนุกตื่นเต้นใน...ธรรมปาฏิหารย์ ที่เกิดกับตัวท่านเองอีกหลายเรื่อง
บางเรื่องก็ยังเป็นเรื่องที่ฮือฮา กันไปทั่วประเทศซะด้วยซ้ำ
โดยที่ท่านนี่แหละเป็นคนทำ
อย่างเช่นเรื่องอันไปเกี่ยวข้องกับ...เณรแอ๋ จอมขมังเวทย์ที่ชอบย่างเด็ก
พี่มหาวิศิษฐ นี้แหละเป็นผู้ดับอาถรรพ์ความขลังของเดรัจฉานวิชาผู้นี้
อ๊ะ...อยากฟังกันมั๊ยล่ะครับ
เอ๊ะ...มันจะเกี่ยวกับ โอ้...อินเดีย มั๊ยล่ะเนี่ย...
แล้วจะเอาไงดีล่ะ บอกผมทีนะ ครับ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 19:56:41 น.
Counter : 3369 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 19

โอ้..อินเดีย 19

เมื่อวันก่อนเล่าเกริ่นถึง นครสาวัตถี
ว่าในสมัยพุทธกว่า 2,600 ปีมาแล้ว เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองทุก ๆ ด้าน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ได้เคยเสด็จมาประทับอยู่ถึง 25 พรรษา
มีเรื่องราวอันเกี่ยวพันกับ พระพุทธศาสนา ของเรามากมายหลายเรื่องทีเดียว
ทั้งยังมีคนที่เดินทางรอนแรมมาเพื่อฟังธรรมะ จากพระโอษฐ์
และวางจิต คิดพิจารณาไตร่ตรอง ตามไปจนบรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกเหลือคณานับ

วันนี้จะเล่าถึงบรรยากาศที่ผมได้เข้าไปสัมผัสกับสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองนี้
เริ่มกันตั้งแต่นั่งรถบัสมาอย่างทรหดหลายชั่วโมง
พอเริ่มเข้าสู่เมืองสาวัตถี ก็มีผู้ร่วมแสวงบุญหลายท่านขอให้แวะไปที่...แม่ชีบงกช
บอกตรง ๆ นะครับ เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินชื่อนี้
หันไปถามพรรคพวกแก็งค์คุณหมอ จากบางบ่อ
ก็ทำหน้างง ๆ เหมือนกัน
พอรถจอดที่หน้า..สถานที่ใหญ่โตมโหราฬแห่งหนึ่ง ชื่อ แดนมหามงคลชัย
เข้าประตูไปปุ๊ป ก็จะมีแม่ชีหลายท่านออกมาต้อนรับอย่างเป็นทางการ
ถ้าจำไม่ผิดจะต้องถอดรองเท้าฝากไว้ตั้งแต่ที่หน้าประตูเลยทีเดียว นะ
สถานที่แห่งนี้...ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเหลือหลาย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก..ก...ก
เราต้องเดิน..ด้วยเท้าเปล่าไปไกลกว่าจะถึงศาลาปฏิบัติธรรม
แต่ระหว่างทางจะเห็นมีผู้หญิงสาว ๆ ถือศีลนุ่งขาวห่มขาวเป็น แม่ชี
นั่งปฏิบัติฯ อยู่บนสนามหญ้ากลางแจ้งหลายท่าน
แต่อยู่ห่าง ๆ นะ ไม่ได้จับกลุ่มอยู่ด้วยกัน
ผมเดินตามหลังพระอาจารย์วิทยากร เลยได้เห็นบรรดาแม่ชีทั้งหลายกระทำอาการ...
ก้มลงกราบ..บ...แบบนอบ..บ..น้อม..ม..นิ่มนวล ทู๊ก..ก..คนไป
ในสายตาผมออกจะสะดุดในความคิดนิ๊ด นิดนะว่า...มันแปลก ๆ ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติยังไงไม่รู้
ดูจะเป็นกริยาทึ่ฝึกหัดมาเหมือน ๆ กันมากกว่า....ฝึกมาอย่างดี
เดิ๊น เดิน เท้าเปล่าไปจนถึงศาลาหลังบะเริ่มเทิ่ม ก็ถูกชี้สั่งให้เลี้ยวไปล้างเท้าให้สะอาดซะก่อน และต้องถอดถุงเท้าซะด้วย นะ..ค๊ะ
เอ้อ...ก็ดีเหมือนกัน
แล้วก็พากันขึ้นไปกราบพระประธาน...พระพุทธชินราชจำลอง
แต่ผมกราบแล้ว มันสะดุด สะดุดยังไงก็ไม่รู้
คงเป็นเพราะผมเป็นคนบาปหนามากกว่าปรกติละมั๊ง
ดั๊น..น..ไปรู้สึกว่า พระพักตร์ท่านไม่คล้ายกับพระพุทธชินราช ที่เราคุ้นเคยเลย
และความรู้สึกอีกอย่างที่ผมสลัดไม่ออก คือ...ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนจะมีแม่ชีคอยประกบต้อนรับ แบบจับตามองทุกฝีก้าว
พอรู้สึกอึดอัด จนต้องขอออกไปเดินดูพระเจดีย์...ขนาดใหญ่โตมโหราฬที่กำลังสร้างใกล้เสร็จแล้ว
ใหญ่ขนาดน้อง ๆ พระปฐมเจดีย์ของเรานั่นแหละ
ก็ได้คำตอบว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง...ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด
คงจะกลัวเกิดอันตราย อะนะ
ได้ยินคนถามถึง คุณแม่ชีบงกช ก็ได้ยินคำตอบว่า ท่านอยู่ที่นี่แหละ
แต่อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบได้...ไม่สามารถให้คำตอบได้ ค่ะ
เลยไม่รู้จะดูอะไร ต้องรีบกลับออกมา
ระหว่างทางเดิน..เดิ๊น..เดิน เท้าเปล่า ก็มีผู้ทำหน้าที่ต้อนรับเดินประกบมาด้วยแทบจะตลอดทาง
แถมบรรยายด้วยความภาคภูมิใจว่า ท่านแม่ชีได้ตั้งใจสร้างที่นี้มาก
ด้วยเห็นว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในอดีตกาลเคยมีพระอรหันต์มาเดินเหยียบย่ำไว้มากมาย
แต่ตอนที่ก่อสร้าง ทางเราได้ทำการกลับหน้าดินใหม่ทั้งหมด...นัยว่าเพื่อขจัดขี้แขกทั้งหลาย
ผมกับ พระอาจารย์ มองหน้ากันทำตาปริบ ๆ
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ผมงุนงงมาก คือแม่ชีหลายท่านรูปร่าง หน้าตา ทรงผมหน้าม้าเต่อ เหมือนกันหมด...เอ๊อะ แปลกดีแฮะ
กริยาอาการที่ปฏิบัติต่อพระสงฆ์ ก็ช่างนอบน้อมเหลือหลาย..ย...ย
แต่ก็พอสรุปแบบ งง งง ได้ว่า ศรัทธาผู้สร้างคงเยอะ....หลายพันล้านแน่ ๆ
ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนตั้งมากตั้งมาย
และคงตั้งอกตั้งใจ ฝึกหัดกันมาอย่างดีมาก นะ
เอ๊...ทำไมผมไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นวัดของเรา ซักกะนิ๊ดเลย แฮะ
ไม่ถูกจริต หรือบาปหนาเกินกว่าจะเข้าพวกกับท่านได้...
มีบางท่านมากระซิบกับผมว่า พวกเค้ามีความตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ไปเกิดในสมัย...พระศรีอาริยเมตไตร พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
และเชื่อว่าในสมัยนั้น มนุษย์ทุกคนจะมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม คล้ายหรือเหมือน..น...น กันหมด
อ้อ...โมทนาสาธุ ครับ

จากนั้นเราก็เข้าไปที่...วัดไทยเชตวันมหาวิหาร
วัดไทยของเรา ของคนไทยเรา
ก้าวแรกที่เหยียบย่างก็อุ่นใจ...บ้านเรา
ที่จริงวัดนี้อยู่ระหว่างกำลังก่อสร้างอย่างยิ่ง คือยังสร้างไปได้ไม่เท่าไหร่เอง
เพิ่งจะเริ่มไปได้แค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ ยังต้องการแรงศรัทธาของคนไทยเราอีกเยอะเลยเชียวแหละ
ผู้แสวงบุญพวกเราก็ได้อาศัยบ้านของเรา วัดของเราแห่งนี้...ปลดทุกข์
แล้วก็สร้างสุขด้วยการกินข้าวปลาอาหาร และกาแฟกันอย่างเอร็ดอร่อย
พออิ่มหนำสำราญกันแล้วก็เริ่มทำบุญทอดผ้าป่า
ถวายเงินปัจจัยเป็นกำลังสำคัญสำหรับการเผยแผ่ศาสนาของพระธรรมทูตท่าน

สถานที่สำคัญของเมืองนี้ ที่เราต้องไปให้ได้มีหลายแห่ง
แน่นอนแหละครับ สำคัญที่สุดก็...วัดเชตวัน ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี
อย่างที่ผมได้เล่าเกริ่นไปในตอนที่แล้วว่า วัดนี้มีความเป็นมาและเรื่องราวมากมายแค่ไหน
ฟังว่าตลอดเวลาหลายร้อยปีนี้ ก็ยังมีชาวพุทธที่ศรัทธามากราบไหว้สักการะที่วัดแห่งนี้ไม่เคยขาด
วันที่ผมไปนั้น...คนก็ยังแน่นขนัดไปด้วยผู้แสวงบุญสารพัดเชื้อชาติเหมือนที่อื่น ๆ
ทั้งไทย ญี่ปุ่น พม่า ศรีลังกา ฝรั่ง ธิเบต ญวน...ยั้วเยี้ยไปหมด
แต่ก็ดีนะครับ ทำให้รู้ได้เลยว่า ศรัทธา ที่คนทั้งโลกเค้ามีต่อ พระบรมศาสดา นั้นมากมายแค่ไหน
อยู่ที่เมืองไทย เราก็ว่าเราเป็นพวกศรัทธาหนักหนา บ้าศาสนามากแล้ว
พอมาเห็นที่อินเดียเนี่ยะ...อู๊ย เรามันแค่หิ่งห้อยน้อยนิด
ไม่ถึง หนึ่งในสิบ ในร้อย ของพวกเค้า
ยิ่งเห็นผู้คนมากหลายที่ตั้งใจ นั่งปฏิบัติภาวนาอย่างสงบตามมุมสถานที่ ที่เคยเป็นกุฏิของพระอัครสาวก และอรหันต์สาวก
ทำให้เกิดความมั่นอกมั่นใจ...พุทธศาสนาของเรานั้น เป็นของดีแน่แท้
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนทั่วสารทิศ แห่แหนกันมามากมายอย่างนี้หรอก
แต่ละกลุ่ม แต่ละพวกไม่มีใครสนใจใคร
ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งจิตภาวนาอธิษฐานเอาบุญกุศลกันเต็มที่
มองไปแล้วให้เกิดความอิ่มเอิบ ซาบซ่าน ไปกับพวกเค้าด้วย
จนต้องอนุโมทนาบุญ ในกุศลศรัทธาที่มากมายนั้นด้วย
ดูพวกท่านแล้วทำให้เกิดสติ
ฉุกคิดว่า... เวลาล่วงไป ล่วงไป เรามัวทำอะไรอยู่

เสียดายที่การมา อินเดีย ของผมครั้งนี้ไม่ได้ทำการบ้านศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ มาก่อน
มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ก็เก็บไปได้แต่ศรัทธา
ไม่เหมือนกับหลายท่านที่เตรียมตัวหาข้อมูลอย่างดี ได้เก็บเกี่ยวเอาทั้งศรัทธา และปัญญา อย่างเต็มที่
อีกทั้งเวลาที่มีน้อย ทำให้ไม่ได้เดินทั่วถึงทุกจุด
ที่เสียดายมากก็ ใต้ต้นอานันทโพธิ์ มีผู้ศรัทธาชาวศรีลังกานั่งสวดมนต์เสียงดังหนักแน่นกันอยู่เต็มพื้นที่
จนเข้าไม่ถึง ได้แต่ยืนมองระลึกถึงอยู่ห่าง ๆ
ไฮไลท์จุดเด่นของการสักการะที่นี่ก็...มหามูลคันธกุฏี
บริเวณที่เป็น กุฏิของพระพุทธเจ้า
คณะทัวร์ทุกคณะต้องไปสวดมนต์ภาวนากันทุกคน
อาจจะเป็นด้วยบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาอันมากมาย
ทำให้เราพลอยได้รับกระแสแรงพลังให้รวมจิต ภาวนาได้ดีไปด้วย
แม้เวลาจะน้อยนิด แต่จิตที่รวมเร็ว แรง เป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ได้ บรรยายไม่ถูก จริง จริง
ถ้าสถานที่แห่งนี้เปรียบเหมือนกับ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่
ไม่ต้องพูดถึง บารมีของพระบรมศาสดา
แค่อรหันต์สาวกทั้งหลาย ที่ชาร์ตอัดกระแสพลังไว้เหลือคณานับ
ทำให้ผู้แสวงบุญทั้งหลาย พอนั่งลงรวมจิตให้แน่วแน่
กระแสพลังอันมหาศาลก็หลั่งล้นถึงใจของเราได้
เสียดายก็แต่ที่ผมเองยังไม่รู้วิธี นำกระแสพลังนั้นไปจุด ปัญญา ให้ติดสว่างขึ้นมาได้
แต่ก็เอาน่ะ...ผมจะพยายามต่อไป

จากนั้นพระอาจารย์ก็พาเราไปดูสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง
ที่บ้านท่าน อนาถบิณฑิกะเศรษฐี
ยังมีร่องรอยของความมั่งคั่งให้เห็น มีห้องที่เป็นบ่อเก็บ เงิน ทอง และอัญมณี ขนาดใหญ่มาก
มีคนไปไหว้เพื่อขอให้ร่ำรวยเหมือนท่านเศรษฐีกันเยอะแยะ
หัวหน้าทัวร์เล่าให้ผมฟังว่า ทริปก่อนหน้านี้มีคนที่ขึ้นไปไหว้อธิษฐานแล้วเดินร่วงตกแอ๊ก..ก..ลงไปในบ่อเก็บสมบัติ
กระดูกหัก ซี่โครงร้าว บาดเจ็บมากจนต้องส่งขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยทันทีเลยแหละ
แต่ก็ได้สอบถามเจ้าตัวคนเจ็บถึงสาเหตุของการพลัดตกลงไป ได้เล่าว่า...
ก่อนที่จะตกลงไปนั้น เขาได้พยายามงัดเอาเศษก้อนอิฐ บริเวณด้านบนบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี แล้วก็เดินกลับลงมา
ขณะที่กำลังก้าวข้ามบริเวณร่องขั้นระหว่างหลุมนั้น ก็รู้สึกว่ามีลมแรงวูบมากระทบ
แล้วจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
มาได้สติอีกทีก็ร่วงตุ๊บ ไปอยู่ที่พื้นบ่อแล้ว
และเท่าที่ได้สอบถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์ บอกว่าเห็นท่านนี้ก้าวเหยียบพลาด
ฟังแล้วเสียวใส้ไม่กล้าขึ้นไป ได้แต่ยืนระลึกอนุโมทนาในบุญกุศลที่ ท่านเศรษฐีได้สร้างไว้กับพุทธศาสนา
อย่างนี้เรียกว่า เจ้าที่ แรง..ง...อ่ะ

แล้วก็พาลนึกไปถึงเรื่องของท่าน อนาถบิณฑิกะ เรื่องหนึ่งว่า
ระหว่างที่ทำการค้าอยู่นั้น มีช่วงเวลาหนึ่งพวกพ่อค้าด้วยกัน มากู้ยืมไปหลายรายเป็นเงินประมาณ 18 โกฏิ หรือ 180 ล้านในสมัยนั้นอะนะ
เทียบกับสมัยนี้ไม่รู้เท่าไหร่
แล้วเมื่อถึงเวลาก็ยังไม่ได้มาชำระคืน ขอผลัดผ่อนไปก่อน
แถมในเวลานั้นท่านเศรษฐี ได้ฝังทรัพย์สมบัติไว้ใกล้กับแม่น้ำถึง 18 โกฏิ หรือ 180 ล้าน เหมือนกัน
วันนึงน้ำเซาะจนพัง ทรัพย์สมบัติได้จมลงสู่มหาสมุทรทั้งหมด
ทำให้ท่านถึงกับจนวูบลงทันตาเหมือนกัน
แต่ท่านก็ไม่เคยสิ้นศรัทธาต่อพุทธศาสนาซักกะนิด
ยังทำบุญทำทาน อยู่เหมือนเดิม
กระทั่งวันหนึ่ง เทวดาที่เฝ้าประตูบ้านได้แสดงตัวต่อหน้าท่านเศรษฐี
บอกให้เลิกนับถือ พระพุทธเจ้า แล้วให้ไปนับถือเทพเจ้าอย่างเดิม
โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้น ท่านเศรษฐีในได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน
มีความมั่นคงในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
ท่านอนาถบิณฑิกะ ฟังเทวดาพูดจบแล้วก็บอกว่า... พูดจาอย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง มีความคิดเห็นเป็นมิจฉาทิฐิอย่างแรง ถ้าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
แล้วก็ออกปากไล่ให้เทวดาองค์นั้นให้ไปอยู่ที่อื่น...
เทวดาถูกเศรษฐีขับไล่ ก็อยู่ไม่ได้จำต้องอพยพออกไปหาที่อยู่ใหม่
ซึ่งในตำรายังว่า เทวดาองค์นั้นต้องอพยพไปทั้ง...ครอบครัว
เอ้อ...เทวดาก็มีครอบครัวด้วย แน่ะ

พอครั้นออกไปแล้วก็หาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ กลายเป็นเทวดาโฮมเลส เร่ร่อน ตกระกำลำบากมาก
จึงได้คิดว่า...เราคงจะผิดไปแล้ว น่าจะขอให้ท่านเศรษฐียกโทษให้ แล้วขออยู่ในที่เดิมนั้น
แต่จู่ ๆ จะเดินเข้าไปหาท่านตรง ๆ ก็กลัวว่าจะไม่สำเร็จ
เลยต้องหาเทวดาผู้ใหญ่ไปช่วยพูดให้
แล้วก็เข้าไปหาเทพบุตรผู้รักษาพระนคร แจ้งความผิดที่ตนทำแล้ว เชิญให้ท่านไปช่วยพูดให้ท่านเศรษฐีอดโทษแล้วให้ที่อยู่ตามเดิม
แต่...เทพบุตรกลับว่ากล่าวเทวดานั้นว่า พูดจากล่าวคำไม่สมควร
ท่านไม่กล้าช่วยพูดให้หรอก

เทวดาองค์นั้นจึงไปสู่สำนักของท้าวมหาราชทั้ง 4 เพื่อขอให้ช่วย
แต่ก็ถูกท่านเหล่านั้นปฏิเสธอีก
จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
แล้ววิงวอนอย่างน่าสงสารว่า...ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ลำบากมากไม่มีที่อยู่ต้องพาครอบครัวเที่ยวระหกระเหิน หาที่พึ่งมิได้
ขณะนี้ได้สำนึกผิดแล้ว
ขอได้โปรดช่วยพูดให้ท่านเศรษฐีให้ที่อยู่ด้วยเถิด...
ท้าวสักกะเห็นแล้วก็สงสาร แต่ก็ไม่กล้าไปพูดให้เหมือนกัน
จึงทรงแนะนำอุบายให้เทวดาองค์นั้นว่า
ให้แปลงกายเป็นเสมียนของเศรษฐี นำสัญญากู้เงินไปตามทวงเก็บหนี้กับบรรดา พ่อค้าจอมเบี้ยวที่กู้ยืมไปแล้วยังไม่ยอมชำระ
ในที่สุด...ด้วยฤทธิ์แห่งเทวดา และท้าวสักกะ ทำให้ตามเก็บเงินคืนมาได้ทั้งหมด
แล้วเอาไปใส่ไว้ในห้องเก็บสมบัติของท่านเศรษฐี
เท่านั้นยังไม่พอ ยังใช้ฤทธิ์เดชกู้สมบัติที่จมลงยังมหาสมุทรกลับมาไว้ในบ่อที่เก็บอีกด้วย
และยังได้ทรัพย์สมบัติอันหาเจ้าของไม่ได้แล้วอีก 8 โกฏิหรือ 80 ล้านมาแถมด้วยนะ
จากนั้นก็ขอเข้าพบท่าน อนาถบิณฑิกะ เพื่อแจ้งเรื่องที่ไปตามทรัพย์สมบัติกลับมาไว้ในบ่อที่บ้านของท่านรวมแล้วถึง 54 โกฏิ
พร้อมกับขอขมาโทษ ที่ได้พูดจาไม่สมควรและขอกลับมาอยู่ที่เดิม
ท่านเศรษฐีเห็นว่า เทวดาองค์นี้ได้สำนึกผิดแล้วอย่างจริงใจก็ยกโทษให้
แต่เรื่องที่จะมาขออยู่อย่างเดิมนั้นยังไม่มั่นใจ
แล้วท่านก็พาเทวดาองค์นั้นไปพบพระบรมศาสดา เพื่อกราบทูลเรื่องทั้งหมด
ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็เห็นว่าสมควรให้อภัย
นั่นแหละ เทวดาองค์นั้นจึงได้พาครอบครัวกลับมาอยู่ที่เดิม
เอ๊...ไม่รู้ว่าท่าน เจ้าที่ ในปัจจุบันนี้ จะยังเป็นเทวดาองค์นั้นหรือเปล่า นะ
ใครรู้ช่วยบอกผมด้วย ครับ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2555 10:57:32 น.
Counter : 3418 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 18

โอ้..อินเดีย 18

สวัสดีครับ วันนี้มาเล่าถึง เมือง...สาวัตถี
ชื่อ นครสาวัตถี เนี่ยะผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ หลายครั้งหลายหนมาก
ก็เพิ่งจะได้มาถึงจริง ๆ ก็ครั้งนี้
อย่างที่เคยบอกนะครับว่า การมากราบสังเวชนียสถาน ที่อินเดีย
ทำให้เกิดความมั่นใจใน พระพุทธศาสนา ขึ้นมาอีกมากมาย
ซึ่งแต่เดิมนั้นก็เชื่อนะ แต่เป็นความเชื่อแบบถูกสั่ง และสอนมาให้เชื่อ
มันเป็นความเชื่อในระดับหนึ่งเท่านั้น...
หลายครั้งหลายหน หลายเรื่องที่ยังอดสงสัย อดเคลือบแคลงใจไม่ได้
โดยเฉพาะเกี่ยวกับปาฏิหารย์ เกี่ยวกับตัวบุคคลซึ่งเป็นเหมือนตัวละครในนิทาน
หรือสถานที่บางแห่งที่นึกภาพไม่ออก เพราะเราคุ้นเคยแค่ในบ้านเมืองของเราเท่านั้น
แต่พอได้มาถึง อินเดีย มาถึงสถานที่สำคัญ ๆ ทางประวัติพุทธศาสนา
ได้เห็นภูมิประเทศ ได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดรับรู้
ถึงได้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ได้เชื่ออย่างสนิทแนบแน่น...อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ยกตัวอย่างเรื่องวันก่อน ตรัสรู้
พระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้บรรลุสัมโพธิญาณ ยังไม่ได้เป็น...พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านได้อธิษฐานลอยถาด แล้วเดินลุยแม่น้ำเนรัญชราไปอีกฝั่งหนึ่ง
ในตอนที่อ่านเรื่องนี้ ผมไม่ค่อยเชื่อว่าแม่น้ำที่กว้างใหญ่คล้าย ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำปิง แม่น้ำแคว
จะเดินลุยข้ามไปได้ยังไง
แต่พอมาเห็นสถานที่จริง..จริง ถึงได้เข้าใจว่าเมืองของเขาเวลาที่น้ำมากก็คงคล้าย ๆ บ้านเรา
แม่น้ำคงทั้งลึกทั้งเชี่ยว แต่พอฤดูน้ำแห้ง...มันก็แห้งผากจนเห็นแต่ผืนทรายยาวเหยียด

เมือง สาวัตถี นี้อยู่ในแคว้น...โกศล
อ้อ..ต้องเล่าก่อนว่าในสมัยพุทธกาล หรือสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ยังทรงมีพระชมม์อยู่นั้น
ประเทศอินเดีย หรือชมพูทวีป แบ่งออกเป็นแคว้นใหญ่ ๆ ถึง 16 แคว้น คือ
อังคะ , มคธะ , กาสี , โกสละ , วัชชี , มัลละ , เจตี , วังสะ , กุรุ , ปัญจาละ , มัจฉะ , สุรเสนะ , อัสสกะ , อวันตี , คันธาระ , กัมโพชะ.
แต่แคว้นใหญ่ที่เป็นมหาอำนาจ มีอยู่ 5 แค้วน คือ
มคธะ หรือมคธ
โกสละ หรือโกศล
วังสะ
วัชชี
อวันตี

สาวัตถี นี่แหละคือเมืองหลวงของ...แคว้นโกศล
มีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชาอันเข้มแข็งครองอำนาจอยู่
นอกจากนั้นพระองค์ยังครอง แคว้นกาสี อีกด้วยนะ
แม้แต่ แคว้นสักกะ ซึ่งเป็นแคว้นเล็ก ๆ บริเวณที่ราบเชิงเขาหิมาลัย
ของพวกศากยะ หรือต้นตระกูลของเจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าของเรา
ก็ยังขึ้นอยู่ในความปกครอง แคว้นโกศล ด้วยเหมือนกัน

จะว่าไปแล้ว กรุงสาวัตถี นี้มีเรื่องราวอันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวพุทธเราเยอะแยะเลย
อย่างแรกคือ เป็นเมืองที่ พระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่มากที่สุดถึง 25พรรษาในช่วงปลายของพระชนม์ชีพ
แต่ไม่ได้ต่อเนื่องกันตลอดนะ พระองค์ท่านเสด็จไปโปรดไปยังที่ต่าง ๆ มากมายทั่วไปหมด
ในสมัยพุทธกาลตอนนั้น สาวัตถี เป็นเมืองหลวงของแคว้น โกศล
อันเป็นรัฐใหญ่ มีอิทธิพลกำลังอำนาจมาก
ในทางการศึกษา ทางแนวคิดปรัชญา หรือทางศาสนาก็
อุดมไปด้วยนักบวชลัทธิต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะพราหมณ์ฮินดูผู้บูชาเทพเจ้าทั้งหลาย
เต็มไปด้วยเจ้าสำนักอาจารย์ที่ตั้งตนว่าเก่งกาจเหนือใครเยอะแยะในทางเศรษฐกิจก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญทางการค้าขนาดใหญ่
และในเมืองนี้ก็มีเศรษฐีติดอันดับว่าทรัพย์สินขนาด..นับไม่ถ้วน หลายคน
ที่สำคัญ ๆ ก็คือตระกูลของท่าน สุทัตตะ หรือฉายาว่า...อนาถบิณฑิก แปลว่าผู้เป็นที่พึ่งของคนยากไร้
ที่ได้รับฉายานามดังนี้ก็เพราะท่านมีนโยบายให้ทานด้วยอาหารแก่คนยากจน ที่ไม่มีข้าวจะกิน
เรื่องนี้ก็เหมือนกันนะ แต่ก่อนผมก็นึกภาพไม่ออกว่า คนยากจน ยากไร้ มันจะมีมากขนาดไหน
แต่พอมาถึงอินเดียจริง ๆ ถึงได้เห็นเลยว่าคนประเภทนี้มันมีมากมายอย่างนึกไม่ถึง
ตระกูลเศรษฐีที่สำคัญต่อ ศาสนาพุทธ ของเราอีกท่านหนึ่งคือ...นางวิสาขามหาอุบาสิกา
ทั้งพระราชา คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งเศรษฐีใหญ่หลายคนต่างก็ศรัทธานับถือพระพุทธองค์อย่างแรงกล้า
และได้เป็นกำลังสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้ ศาสนาพุทธ ของเราก่อร่างสร้างความมั่นคงจนแผ่ขยายออกไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
อุบาสก อุบาสิกา ถือได้ว่าเป็นเสาเข็มหลักของศาสนาเลยทีเดียวนะ

ในอีกมุมหนึ่ง เมืองสาวัตถี ในครั้งพุทธกาล
ก็มีคนที่มาฟังธรรมจาก พระพุทธเจ้า แล้วเกิดปัญญาญาณจนบรรลุโสดาบันไปจนกระทั่งถึง อรหัตผล มากมายก่ายกองนับไม่ถ้วน
ดังนั้นก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ชุมนุมของ พระอรหันต์ มากที่สุดก็ว่าได้
และก็เป็นเมืองที่ก่อให้เกิดเรื่องราวสารพัด เกิดพระสูตรสำคัญต่าง ๆ เยอะแยะ
แต่....
ก็ยังมีตัวละครในด้านความชั่วจนถูก...ธรณีสูบถึง 4 คน
คือ พระเทวทัต ผู้อาฆาตและทำร้ายพระพุทธองค์จนห้อเลือด
พระเจ้าสุปปพุทธะ หรือพ่อของพระเทวทัต ที่โกรธแค้นพระพุทธองค์ ว่าเป็นเหตุให้ลูกของท่านถูกธรณีสูบ จนมากลั่นแกล้งขวางทางเสด็จบิณฑบาตร
นางจิญจมานวิกา ผู้ทำอุบายให้ร้ายว่ามีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว
และ นันทมาณพ ผู้ทำร้ายข่มขืนพระอรหันต์ ท่านอุบลวรรณาเถรี
ภิกษุณีที่ออกบวชตั้งแต่อายุ 16 ปี และต่อมาได้สำเร็จอรหันต์ผล

ที่สาวัตถี นี้มีวัดสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ พุทธศานา เราคือ...
วัดเชตวันมหาวิหาร...ที่ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี เป็นผู้สร้างถวาย
วัดบุปผาราม...ที่นางวิสาขามหาอุบาสิกา สร้างถวาย
วัดราชการาม...ที่พระเจ้าปเสนทิโกศล สร้างถวาย
ที่อยากจะเล่าก็เรื่องของวัด เชตวันมหาวิหาร
วัดนี้พระบรมศาสดา ได้ประทับจำพรรษามากถึง 19 พรรษา
มีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึง 80 ไร่ มีกุฏิของพระบรมศาสดา และพระอรหันต์สาวกหลายท่าน
มีสถานที่แสดงธรรม และส่วนสังคสภา ที่ใช้ในการบริหารงานพระศาสนาให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้
มีต้นโพธิ์ ที่พระอานนท์ท่านขออนุญาตปลูกเพื่อเป็นที่บูชาสักการะของประชาชนในยามที่พระพุทธองค์ เสด็จจาริกไปที่อื่น
ซึ่งเรียกว่า ต้น...อานันทโพธิ์ หรือ โพธิ์พระอานนท์
ปลูกโดยที่พระโมคคัลลานะ เหาะไปอธิษฐานขอเมล็ดจากต้น พระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา
ซึ่งคือต้นที่พระพุทธองค์ประทับในเวลาที่ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง
ที่สำคัญก็คือ เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว พระพุทธองค์โปรดให้ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี เป็นผู้ลงมือปลูก
แล้วพระองค์ท่านได้นั่งปฏิบัติเข้าสมาธิ ณ.ที่นั้น...ทั้งคืน
ปัจจุบันนี้ ต้นอานันทโพธิ์ ก็ยังยืนต้นอยู่
ถึงแม้อายุจะมากเกือบ 2,600 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นต้นเดิมแท้
มีคนไปเคารพกราบไหว้กันมากทุกยุคทุกสมัย...จนถึงทุกวันนี้
ซึ่งจะว่าไปแล้ว วัดเชตวันมหาวิหาร แห่งนี้
ช่างมีเรื่องราวเกิดขึ้น หรือเกี่ยวพันกับหลักคิด รวมถึงวิธีปฏิบัติตนของศาสนาพุทธ หรือชาวพุทธอย่างเรามากหลายเหลือเกิน
บางเรื่องก็ได้ยินได้ฟังบ่อยมาก เช่นเรื่องของบุคคลสำคัญในประวัติศาสนา
อย่างเช่น พระองคุลิมาล พระเทวทัต นางวิสาขา นางปฏาจาราเถรี
แต่ก็มีเรื่องราวอีกมากที่ไม่ค่อยได้ยินอย่างเช่นเรื่อง...เศรษฐีตีนแมว

ความสนุกของการมาเที่ยวเมืองสาวัตถี ก็คือได้เห็นสถานที่จริงในประวัติศาสตร์
ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสกลิ่นอาย รวมทั้งยังได้ยินเรื่องราวอีกมากหลากหลายเรื่อง
ทำให้เราเกิดความสนใจอยากรู้อยากเห็น ตั้งใจฟังจากท่านพระอาจารย์วิทยากร
แม้ว่ากลับมาถึงเมืองไทยบ้านเราแล้ว ก็ยังอดไปค้นหาทบทวนอ่านศึกษาอย่างละเอียดเพิ่มอีก
แต่เป็นการอ่านการเรียนที่เข้าถึงใจ อย่างทะลุปรุโปร่ง
ซึ่งมันส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในคำสอน
เมื่อศรัทธาเกิดแล้ว ก็พากเพียรปฏิบัติได้ไม่ยาก
จะว่าไปแล้วมันเป็นตัวเร่ง...พละ 5
ศรัทธา วิระยะ สติ สมาธิ ปัญญา...อย่างดีทีเดียว

สาวัตถี เมืองนี้มีเรื่องราวเยอะจริง ๆ
ไว้ค่อยฟังกันต่อนะ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com



ต้องขออภัยท่านที่ตามอ่าน ตามฟังด้วยนะครับ
ที่หายไปหลายวันเพราะงานก็เยอะ แถมคอมฯ ยังมาเสียตั้ง 2 เครื่องพร้อม ๆ กัน
คือมันเก่า...แก่ น่ะ
จะว่าไปแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาจากแสวงบุญ เนี่ยะอานิสงส์แรง..ง
งานการระดมโหมเข้ามามากเลย
คุณหม่อง ภรรยาใช้งานตั้งแต่เช้า...ยันดึก
หาเวลาส่วนตัวแทบไม่ได้เลย
ยิ่งตอนนี้ คุณหม่อง เธอออกปากตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้สักก้อนใหญ่ ๆ
แล้วไปช่วยงานวัดไทยที่ อินเดีย สัก 2 ปี
เทวดา...ท่านคงได้ยิน เลยหาออร์เดอร์มาให้ซะเยอะเลย
ลูกน้องอย่างผมก็เลยอานงานหนัก...ไม่ได้พักได้ผ่อน
แต่ก็จะพยายามเล่าให้ฟังกันนะครับ
เอ๊...บางทีมานึก ๆ ดู เรื่องของผมมันไม่ค่อยจะมีสาระเท่าไหร่
ออกแนวเล่าเรื่อยเปื่อยซะมากกว่า
ที่สำคัญมันเป็นความเห็น ความรู้สึก ของผมคนเดียว
ฟังแล้ว ถ้าไม่ถูกต้อง หรือถูกใจก็ร้องเรียนมาได้นะครับ
ผมเองก็ไม่เคยศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ อะไรกับเค้า
หลายเรื่องก็ได้ความเมตตาข้อมูล จากท่านพระอาจารย์เกษมสันต์
จากวัดพระปฐมเจดีย์ ที่เป็นวิทยากรไปด้วยกันเที่ยวนี้
เอาเป็นว่า ถ้ายังอยากฟัง ก็จะพยายามเล่าต่อไปนะ
ไม่รู้มันจะจบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เฮ้อ...สงสารคนฟัง เน๊อะ

อนณ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 23:46:25 น.
Counter : 3567 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 17

โอ้..อินเดีย 17

วันนี้ขอเล่าต่อจากที่ได้ไปกราบ มายาเทวีวิหาร ...สถานที่ประสูติ
ในเขตประเทศ เนปาล

ระหว่างการเดินทางออกจากอินเดีย ไปถึงเนปาล ระยะทางเป็นร้อยกิโลเมตร แถมยังเป็นถนนแคบ ๆ ไม่ค่อยดีนัก
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง
ซึ่งเรื่องอื่นไม่มีปัญหา ยกเว้นเรื่องเดียวที่หงุดหงิดใจสำหรับบางคน คือ เรื่องปวดฉี่
ที่ว่า บางคน ก็เพราะหลายวันที่เดินทางกันมา
หลาย..หลาย ท่านก็ชักชินกับการ..ฉี่..ข้างทาง กลางทุ่งนาอันเวิ้งว้าง
บางคนออกจะติดใจซะด้วยซ้ำไปนะ อย่างผมเป็นต้น
โธ่...ก็มันสะดวก สบาย ง่ายดาย สะอาด อากาศก็บริสุทธิ์อย่างกับอะไร
คุณผู้หญิง เกือบทุกคนก็ใช้วิธีนี้มาแล้ว ด้วยการใช้ผ้าถุง หรือกระโปรงสุ่มกว้าง ๆ
ก็ดูดี ไม่น่าเกลียดอนาจารซักกะนิ๊ด..ด แถมยังชอบอกชอบใจ เฮฮากันดีออก
มีก็แต่สาว ๆ เพียงไม่กี่คนแค่นั้นที่ยังทำใจไม่ได้ ไม่พูดไม่จา อดทนอดกลั้นจนหน้าเขียว...โธ่ เอ๊ย

ระหว่างทางที่ผู้แสวงบุญคนไทยเดินทางมาอินเดีย ก็ต้องใช้เส้นทางเดียวกันเกือบทั้งนั้น
เพราะจุดที่ต้องการไปกราบยัง สังเวชนียสถาน แต่ละแห่งก็ที่เดียวกันนั่นแหละ
จะต่างกันก็เพียงแค่ว่า ใครจะแวะที่แห่งไหนก่อน หลัง เท่านั้น
แต่จะว่าไปแล้ว ทุกทัวร์ก็แทบจะโปรแกรมเดียวกันทั้งนั้นแหละ
หัวหน้าทัวร์ที่ไปด้วยกันเล่าให้ฟังว่า...ทัวร์ไฮโซ หรือโลโซ นั้น
สิ่งที่เห็นคือเรื่อง สายการบิน และจุดแวะลงขาเข้าออก ประเทศอินเดียว่าจะลงที่เมืองไหน
นอกนั้นก็ต่างกันแค่ว่าจะนอน จะกินข้าวที่ โรงแรม หรือวัดไทย
อาจจะมีบ้างในช่วงไฮซีซั่น ช่วงที่คนชอบไปกันประมาณเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม เท่านั้น
ที่คนไทย รวมทั้งคนพุทธประเทศอื่น จะไปกันเนืองแน่นมาก
โปรดฟังอีกครั้ง...เนืองแน่นมาก
ที่กิน ที่นอน ที่ไหว้พระ แน่นสุด ๆ
แน่นจนกระทั่งที่นอนไม่พอ โรงแรมก็เต็ม วัดก็แทบจะปริ
ต้องกางเต็นท์นอนกันเลยแหละ...สนุ๊ก สนุก แค่หนาวหงิกนิดหน่อย
ส่วนเรื่องการเดินทางระหว่างสังเวชนียสถานแต่ละที่ ก็ต้องเดินทางด้วยรถบัส หรือรถตู้เท่านั้น
แต่รถบัสจะดีกว่า เพราะกระแทก กระเทือน น้อยกว่า
รถที่ใช้ไม่ว่าทัวร์แพง หรือทัวร์ถูก ก็รถแบบเดียวกันหมด ไม่ต่างกันเลย

ระหว่างทางจาก กุสินารา ไปถึง เนปาล ก็ไกลนะ...170 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 – 5 ชั่วโมง
ทางพระธรรมทูต ท่านเข้าใจความลำบากของผู้แสวงบุญเป็นอย่างดี
ท่านเลยหาทางจัดสร้างสถานที่ ปลดทุกข์ ให้กับญาติโยมคนไทยเรา
ทั้งทุกข์ทางกาย เรื่องห้องน้ำ ความเมื่อยล้า อาหารการกิน หรือป่วยไข้ไม่สบาย
ทั้งทุกข์ทางใจ ที่ต้องจากบ้านมาหลายวัน
ในที่สุดก็หาทางสร้างวัดเล็ก ๆ ขึ้นในรูปแบบกระทัดรัดเป็นศาลาเอนกประสงค์
โดยเอาไอเดียเพื่อเป็นศาลาพักข้างทางของผู้แสวงบุญ ห้องน้ำ
ห้องสุขา
ที่จัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ พระอาจารย์วิทยากร ระหว่างเดินทาง
ทำเป็นร้านกาแฟ หรือจุดแวะพักเหนื่อย ทั้งรับประทานอาหารแบบปิกนิก
จัดทำที่พักดื่มน้ำชา กาแฟ คลินิกปฐมพยาบาล ตู้ยาสามัญ
โดยตั้งใจให้เป็น...
สวรรค์บนดิน ชายแดนอินเดีย-เนปาล
สถานที่ปลดทุกข์ เห็นสุขทันตา
ซึ่งพูดจริง ๆ นะครับ...พวกท่านทำได้ดีอย่างที่สุด
วัดของท่านน่ารักม๊าก..ก..มาก
เมื่อสร้างเสร็จใหม่ ๆ ใคร ๆ ก็เรียกว่า วัดสุขาราม หรือแดนสุขาวดี
ฟังแล้วมันยังไงชอบกล แฮะ
ต่อมาได้ชื่ออย่างเป็นทางการ ว่า...วัดไทยนวราชรัตนาราม 960
เพื่อเฉลิมฉลอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 9 ครองราชย์ครบ 60 ปี
มีป้ายข้างหน้าเขียนบอกเจตนารมย์ไว้ชัดเจนว่า...ศูนย์การดูแลผู้แสวงบุญ 960

วันที่ผมมาถึงวัดแห่งนี้ครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่กำลังอ่อนเพลียจากการนั่งรถมาอย่างมาก
แต่พอได้เหยียบย่างเข้าเขต วัดไทยของเรา
ความรู้สึกมั่นคง อบอุ่น และวางใจ มันเกิดขึ้นทันที
แถมห้องน้ำก็แสนสะอาด สวย มีสไตล์ ซะด้วย
ออกจากทำธุระส่วนตัว ล้างหน้าล้างตาให้หายงัวเงียแล้วก็ให้ตื่นตา ตื่นใจกับบรรยากาศที่นี่มาก..ก..
นึกภาพนะครับ...คน 80 คนที่อ่อนเปลี้ยเพลียกายใจลงมาเข้าห้องน้ำพร้อมกัน
แต่ที่นี่ไม่ต้องห่วง มีห้องน้ำห้องสุขา รวม 35 ห้อง ...
สำหรับ อุบาสิกา 20 ห้อง
อุบาสก 10 ห้อง
พระสงฆ์อีก 5 ห้อง
ตามอัตราส่วนของจำนวนผู้มาแสวงบุญ ...เหลือเฟือ
แค่ไม่กี่นาที คนทั้ง 80 ที่...ปลดทุกข์ เห็นสุขทันตา
แถมกระชุ่มกระชวย และวุ่นวาย ทันที
ก็เดินเอะอะคึกคักกันเข้าไปข้างใน...โอ๊ย..บรรยากาศมีสไตล์ น่ารักมาก อ่ะ
มีซุ้มกาแฟเก๋ ๆ พร้อมกับซุ้ม...โรตี ที่โด่งดัง
ครับใช่ โด่งดัง เพราะว่าพระอาจารย์วิทยากร และหัวหน้าทัวร์ตะโกนบอกมาตั้งแต่ก่อนถึงวัดไทย 960 แล้วว่า...
อย่าลืมไปกิน โรตี ให้ได้นะ
ตอนที่ได้ยินทีแรก ผมก็ว่าอะไรกันวะ กะอีแค่โรตี ที่เมืองไทยผมกินเป็นประจำ
พอมาถึงยังไม่ทันลงจากรถ ท่านก็ตะโกนบอกสำทับอีกหลายครั้ง
อย่าลืมกิน โรตี 960 นะ...สุดยอด
ผมก็ยังนึกในใจว่า...แหมมันจะอะไรกันนักหนา กะอีแค่โรตี
แต่ภาพที่ผมเดินไปเจอ คุณเอ๊ย..ย..
คนเข้าไปมะรุมมะตุ้มกันแน่นซุ้มเล็ก ๆ นั่น จนมองไม่เห็นอะไรเลย
ผมก็เลยเดินเร่ไปทางซุ้ม กาแฟ ซะก่อน
แต่ก็มีคนมุงกันอยู่เยอะเหมือนกัน...ก็พวกที่เข้าไม่ถึงซุ้มโรตี เหมือนผมนี่แหละ
จะว่าไปแล้ว วัดไทย ที่อินเดียนี่ก็มีมุมกาแฟเล็ก ๆ ให้พวกเราอิ่มเอมกันทุกแห่ง
ผมก็ได้อาศัยน้ำร้อนชง ชาจีน ชาเขียว น้ำขิง เก็กฮวย มะตูม สารพัด
ได้เสพสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้หายอ่อนเพลียซะทุกที่

แต่...ที่นี่ วัดไทย 960 ผมได้เจอสิ่งที่ยิ่งกว่า เสพสุขได้มากกว่า
ที่ซุ้มกาแฟ ผมเห็นมีคุณผู้หญิงท่านหนึ่ง...บุคคลิกดีมาก
แต่งตัวไม่เหมือนแม่ชีที่ช่วยงาน แต่ใส่เสื้อผ้าดูดีมีราคา มีรสนิยม
อากัปกริยาอาการ...ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือล้น ออกมาจากใจ จากข้างใน
คอยบริการพวกเรามือเป็นระวิง ส่งเสียงถามไถ่ ห่วงใยโดยตลอด...
...เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั๊ย เข้าห้องน้ำกันหรือยังคะ
ทานกาแฟกันก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยไปต่อแถวที่ซุ้มโรตีนะ
ชาก็มีนะจ๊ะ ชงเองได้เลยค่ะ ตามสบายค่ะ .....
กระแสความรู้สึกบางอย่างที่ คุณผู้หญิง ท่านนี้ส่งออกมาทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความสนใจ
ท่านอายุประมาณ 60 แล้ว ดูเป็นพวก ไฮโซ มาก..มาก
บุคคลิกองอาจ แต่อารีอารอบ เอาใจใส่ ดูจะมีความสุขกับการบริการคนอื่นเหลือเกิน
ระหว่างที่ผมรอกาแฟที่ท่านชงให้ ก็ปากเบาถามเรื่องของท่าน
ถึงได้รู้ว่า...ท่านชื่อ คุณวรพร
เป็นอาจารย์ สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร แต่เพิ่งจะเกษียณได้ไม่เท่าไหร่
พอว่างงานก็ไปสังสรรค์ หรือช้อปปิ้งกับเพื่อนฝูงที่สนิทกัน
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นแก่นสาร
แล้ววันนึง...
เพื่อนไฮโซคนหนึ่งมาบอกด้วยความตื่นเต้นว่า...ฉันโชคดีได้ไปทำงานที่ วัดไทยกุสินาราฯ ประเทศอินเดีย
ท่านก็งง พอถามไปถามมาถึงได้รู้ว่า มีการรับอาสาสมัครทำงาน
ตามความรู้ความถนัดของแต่ละคน ในช่วงไฮซีซั่น ตุลาคม ถึงเมษายน 6 เดือน
หรือยาวกว่านั้น ก็ 1 - 2 ปีก็ได้
ซึ่งก็จะมีทั้งพวกนักศึกษา หรือคนที่ว่างจากงานการแล้วแต่ยังมีไฟ มีกำลัง ทั้งมีศรัทธา
มาช่วยกันดูแลวัดไทย และผู้แสวงบุญคนไทยด้วยกัน

แล้วอาจารย์ วรพร ยังเล่าอีกว่า...
พอได้ยินเพื่อนพูดว่า ดีใจ ที่ได้ไปทำงานในวัดไทย ที่อินเดีย แค่นั้น
รู้สึกอิจฉาเพื่อนขึ้นมาทันที
โอ้โฮ..เค้าโชคดีจริง ๆ เลยนะเนี่ยะ
ทนไม่ไหวพยายามสอบถามจนได้ข้อมูลละเอียดยิบ ว่า...
เป็นการมาช่วยงานพระพุทธศาสนาในแดนพุทธภูมิ
อุทิศเวลาเท่าที่ยังมีอยู่มาช่วยงานวัดและถือศีลปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนาไปด้วย

ประเภทงานที่ต้องการ ...
งานดูแลแผนงานส่วนบริหารของโรงพยาบาล และช่วยเสริมงานบริหารให้มีมาตรฐานนโยบาย
งานดูแลอาคารที่พักผู้แสวงบุญ ช่วยดูแลความสะอาด ความเรียบร้อย ซ่อมบำรุง
งานต้อนรับปฏิสันถาร ต้อนรับ ประสานภารกิจชุมชนสัมพันธ์ งานบัญชี งานศิลปะ
งานดูแลเรื่องครัว ปรุงอาหาร จัดบริการผู้แสวงบุญ ถวายภัตตาหารเพลเช้าเพล ปลูกผักสวนครัว
งานดูแลงานก่อสร้างวัดไทย สถาปนิก วิศวกร โฟร์แมน ช่าง มีศรัทธา มีน้ำใจ และมีฝีมือเชื่อถือได้
งานเกษตรดูแลไม้ดอก ไม้ประดับ ตกแต่งจัดดอกไม้ บูชาพระเจดีย์ และบูชาพระในอุโบสถ
งานช่วยเผยแผ่ จัดทำหนังสือ สื่อธรรมะ ประชาสัมพันธ์ เสริมทักษะ ไอที ทำเว็บไซต์ จัดรายการวิทยุ

กำหนดเวลาตามสะดวกมา คือ
เวลา 6 เดือน ต.ค. – มี.ค. (ฤดูกาลแสวงบุญ)
เวลา 1 ปี หรือตามกำหนดงานที่มอบหมาย
กำหนด 2 ปีขึ้นไป (วัดจะหาเจ้าภาพให้ตั๋วเดินทางไปกลับ)
ถ้าสะดวกในเดือนใด จะปฏิบัติงานอย่างมี มีเวลาเท่าไหร่ คุยกันก่อนได้
แค่...แจ้งความประสงค์ ส่งประวัติ โดยมีศรัทธาเป็นพื้นฐาน ต่อการถวายงานเป็นพุทธบูชา...เท่านั้นเอง

พอสอบสวนเพื่อนจนได้ที่แล้ว ก็บังคับให้พาไปสมัครด้วยซิ...
นั่นแหละท่านก็เลยได้มาทำงานที่ วัดไทย 960 นี่แหละ
โดยสัญญาว่าจะทำให้ได้ 6 เดือน
แต่..ก็มีอุปสรรค มารผจญเยอะ การมาทำงานที่นี่ก็มีเรื่องไม่สบายใจเหมือนกัน
ก็เรื่องคน เรื่องของกิเลสต่าง ๆ ต่าง ๆ นานา...ถือซะว่าเป็นการฝึกตน ฝึกจิตใจ
แต่มารตัวใหญ่ยักษ์อย่างนึกไม่ถึง คือ...น้ำท่วมใหญ่ที่เมืองไทย
เพราะท่านมาในเดือน ตุลาคม 2554 ก่อนจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ
บ้านท่านอยู่แถว ๆ ลาดพร้าวหรือยังไงนี่ผมก็จำไม่ค่อยได้
แรก ๆ ก็โทร.กลับบ้านทุกวัน
แต่พอรู้ข่าวจากลูกสาวว่าน้ำกำลังจะท่วมบ้าน ก็ให้ร้อนใจมาก
ยิ่งหลายวันต่อมา ลูกโทร.มาบอกว่าคงต้องอพยพไปพักที่อื่นสักระยะ
โอ๊ย..ย..ท่านก็ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจจนร้องไห้ทุกวัน
ไปเรียนท่านเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านก็บอกให้คิดดูดี ๆ ก่อนนะ
จะกลับก็ไม่ว่าอะไร...แต่กลับไปแล้วทำอะไรได้ ช่วยอะไรได้
ไหน ๆ ก็ตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะอยู่ทำบุญให้ได้ 6 เดือนก็น่าจะลองสู้ดูนะ
ท่านก็มาได้คิด...กลับไปแล้วเราช่วยอะไรได้ ยังไงลูก ๆ ก็ดูแลกันได้ดีกว่าท่านแน่ ๆ
อีกอย่างนึง ถ้ากลับไปก็รังแต่จะเป็นภาระให้ซะอีก
อยู่ที่นี่ พวกเค้ากลับสบายใจว่าท่านปลอดภัยหายห่วง
แต่พอลูกสาวโทร.มาบอกว่า อพยพกันแล้วนะ...ก็ใจหายแว๊บ เหมือนกัน
ต้องต่อสู้กับความรุ่มร้อน ห่วงใยลูก ห่วงใยทรัพย์สมบัติบ้าบอทั้งหลาย
เหนื่อยนะ สู้กับใจตัวเองเหนื่อยเชียวแหละ

ผมยังถามท่านว่า เรื่องทำงานที่นี่มีปัญหามั๊ยครับ
ท่านหัวเราะ บอกปัญหาสารพัด ต้องคอยเอาใจใส่มากมายเลย
อย่างเช่นต้องคอยต้มน้ำร้อนไว้ตลอด เพราะไม่รู้ว่าคณะผู้แสวงบุญจะมาถึงกันเมื่อไหร่ จำนวนเท่าไร
ไฟฟ้าที่อินเดียนี่ ไม่ค่อยแน่นอน เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ
จนถึงได้รู้ทีหลังว่า สโลแกนการไฟฟ้าที่นี่คือ...
ไฟจะมาเมื่อเวลาเราหลับ ไฟจะดับเมื่อเวลาเราต้องการ
แล้วยังบอกว่าตัวท่านเอง ยังไม่ได้ไปไหว้สังเวชนียสถานซักแห่งเลย
ผมก็อ้าว..ทำไมล่ะ
ท่านบอก ก็ห่วงคนไทยที่มาแสวงบุญทั้งหลายน่ะ
กลัวว่าจะไม่ได้รับความสะดวก กลัวว่ามาถึงแล้วจะไม่ได้กินกาแฟ กินน้ำร้อน
กลัวว่าพวกเราจะเหนื่อย จะหิว กลัวพวกเราจะมีใครเจ็บป่วยกันหรือเปล่า
กลัวว่าห้องน้ำห้องท่าจะไม่สะอาด จะไม่สะดวกสบาย
สรุปว่า...มัวแต่ห่วงคนอื่น เฮ้อ..อ..อ
แล้วท่านก็หัวเราะ บอกให้ไปกินโรตี อร่อยมากนะคะ...

พอเดินไปทางซุ้มโรตีอันโด่งดัง...คนไม่มีแล้ว
โรตี ก็ไม่มีเหมือนกัน...หมดเกลี้ยงเลย โธ่
ถือถ้วยกาแฟเดินเซ็งไปหาพวกคุณหมอ บางบ่อแก็งค์ของผม
เจอกำลังเอนจอยกับ โรตี อยู่พอดี
พอรู้ว่าผมไปไม่ทัน เลยแบ่งให้ได้ลองชิม
โอ้โฮ..อร่อย..ย..อ่ะ มันอร่อย มาก..มาก เลยอ่ะ
เอ๊ะ ทำไมมันอร่อยกว่าที่กินมาทั้งชีวิตนะ
ไปดูสูตรผสมแป้งถึงได้รู้ว่าเป็นยังไง...แต่จำไม่ได้แล้ว
เค้านวดแป้งกันสด ๆ แล้วลงทอดน้ำมันเยอะ ๆ
ราดด้วยนมข้น ใส่ในจานที่ทำด้วยใบไม้...ใบสาละ
อู๊ย..ย...อร่อยเหาะ
แย่งคุณหมอมาได้ 2 ชิ้นเอง แกทำตาขวาง แน่ะ
แต่ผมว่าทั้งกาแฟ ทั้งโรตี ของที่นี่อร่อยก็เพราะสูตรผสมที่หาที่ไหนได้ยาก
เพราะเค้าใส่ส่วนผสมพิเศษ...ใส่น้ำใจ ใส่ซะเต็มเปี่ยม
ทุกอย่างมันถึงได้อร่อยเลิศล้ำขนาดนี้
ผมได้เสพ...น้ำใจ อันแสนชื่นฉ่ำ
น้ำใจโพธิสัตว์

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ คุณหม่อง ภรรยาของผมฟัง
เธอพยักหน้า อึ้ง ๆ ไม่พูดไม่จา
แต่อีกหลายวันต่อมา กลับบอกกับผมว่า...
ถ้าอีกหน่อยหมดห่วงเรื่องลูก ๆ แล้ว เราไปอยู่อินเดียกันนะ
ไปช่วยงานที่วัดไทย ไปไหว้พระ ไปเอาบุญ
พูดแค่นั้นแล้วเธอก็...น้ำตาไหล
บอกฟังเรื่องอาจารย์ วรพร แล้วอิจฉา
โธ่เอ๊ย...คุณหม่อง


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 26 เมษายน 2555    
Last Update : 26 เมษายน 2555 4:33:50 น.
Counter : 3455 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.