กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 6

โอ้..อินเดีย 6

สวัสดีครับ...ผมเล่าเรื่องไปแสวงบุญที่อินเดียกับ...สังคมทัวร์
ซึ่งราคาประหยัดอย่างยิ่ง ออกแนวทัวร์ทรหด
แต่ก็สนุกดีนะ
ได้ประสบการณ์ที่คิดว่าทัวร์ราคาแพงๆ คงไม่มีวันได้เจอ
แต่อีทีนี้ ถ้าจะเล่าแบบว่าไปไหนมาเหมือนคนอื่นก็ไม่ค่อยถนัด
เอาเป็นว่าขอเล่าแบบที่ผมเห็น ที่ผมรู้สึกก็แล้วกันนะ

วันต่อมาเราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปเมือง ราชคฤห์
ไอ้แต่ละเมืองที่ไปน่ะ เคยได้ยินชื่อมาตั้งนานแล้ว
จนบางครั้งยังคิดว่าเป็นแค่ในนิทาน แต่นี่มีจริง ๆ ด้วยแฮะ
วันนี้เราไปขึ้น เขาคิชฌกูฏ
พอได้ยินผมนึกถึงในเมืองไทยที่เคยไป โอ๊ย..สาหัสสากรรจ์
พอไปถึง เอ๊...ทางขึ้นแสนจะสบาย มีเสลี่ยงให้นั่งด้วยแน่ะ
ในตอนแรกผมคิดว่าคงจะเหนื่อยแน่ ๆ โดยเฉพาะยิ่งไม่ได้นอนมาทั้งคืนด้วย
แต่ในความเป็นจริง ออกจะสนุกมาก...
มีสถานที่อันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนา หลาย...หลาย แห่ง
หลาย ๆ เรื่องทีเดียว
ได้เห็นถ้ำที่อยู่ของ พระโมคคัลลา พระสารีบุตร
พวกเราก็เข้าไปจุดธูปเทียน สวดมนต์ ปิดทองคำเปลวกันอย่างมีความสุข
เออนะ ท่านอยู่กันแบบนี้เองนะ สันโดษ เรียบง่าย
แต่ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับเรื่องราวรอบตัว ก็เริ่มมีทัวร์แสวงบุญจากประเทศอื่นมาอีกหลายคณะ
จำได้ว่ามีทั้ง ศรีลังกา ญี่ปุ่น จีนไหนก็ไม่รู้ และมีฝรั่งที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน
ดูว่าพวกเค้า ศรัทธา กันแรงกล้าไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ไม่ค่อยเหมือนกับที่คนไทยเราแสดงออกนะ
ผมเลยตื่นเต้นที่ได้เห็น ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธเรา
ความเชื่อมั่นที่เมื่อก่อนมีน้อยในเชิงที่ว่าคนทั้งโลกก็นับถือ
ได้เชื่ออย่างสนิท และมั่นใจว่าศาสนาของเรา...ดีจริง
ที่ว่ากันว่า คนสำคัญ ๆ ของโลกยังนับถือก็คงจะจริงซินะ
ผมเพิ่งจะเชื่อก็ครั้งนี้แหละครับ

ไฮไลท์ที่สุดคือ...พระคันธกุฎี กุฏิที่ประทับของพระพุทธเจ้า
ที่อยู่บนยอดเขาเลยทีเดียว
ผมเคยเห็นในรูปนะ แต่ไม่อินน์ ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่
แต่พอนาทีแรกที่โผล่ขึ้นไปเห็น...ผมทั้งอึ้ง ทั้งซาบซึ้ง
นี่นะเหรอ...กุฏิที่ประทับของพระศาสดาของโลก
แค่นี้เองเหรอ...กว้างยาวไม่น่าเกิน 3 x 3 เมตร
ท่านเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ เคยอยู่อย่างเหลือเฟือ แต่ที่เห็นนี่...แค่นี้เองนะ
ท่านสอนคนอื่นให้สันโดษ กินอยู่พอประมาณ
และท่านก็ทำอย่างนั้นจริง จริง

ทางทัวร์และพระอาจารย์ ท่านจัดที่ทางให้พวกเราสวดมนต์
คุณเอ๊ย.ย..เนื้อที่มีแค่ไม่กี่ตารางเมตร
แต่คนอัดยัดกันเข้าไปเต็มจนล้นพื้นที่ หลากหลายชาติพันธุ์
พวกเรารีบตั้งหลักสวดมนต์บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ยังไม่ทันจบ มีคณะทัวร์ชาติไหนก็ไม่รู้มาถึงก็สวดมนต์กันเสียงดังลั่น
ประสานเสียงแข่งกัน แต่คนละภาษา ก็สวดกันไปได้แบบตัวใครตัวมัน
พอจบแล้วก็ปฏิบัติสมาธิกันแบบสั้น ๆ
เริ่มตั้งจิต รวมลง กำลังได้ที่
ทันใดนั้น...ทัวร์ญี่ปุ่นซะละมั้ง สวดมนต์เสียงดังมาก
แถมยังมีกลองตีให้จังหวะอีกด้วย
บรรยากาศบนยอดเขาคิชฌกูฏ...มันช่างสุดยอดซะจริง จริ๊ง..ง..ง
หลังจากตกใจเสียงกลองจนต้องลืมตาดู แต่เอ๊ะ...คนอื่นเขาเฉยเลย
หลับตารวมจิตกันแบบไม่สะทกสะท้าน
อ๊ะ ยอมไม่ได้...รีบสงบจิต รวมลง สู้กับเสียงอึกทึกครึกโครมรอบตัว
คิดแต่อย่างเดียว...พระพุทธเจ้าท่านอยู่ตรงหน้าเรา ห่างไปไม่ถึง 4 เมตรเท่านั้น
โอกาสอย่างนี้...ไม่มีอีกแล้ว
ไม่น่าเชื่อ...แค่ไม่กี่วินาทีผมก็ สงบ นิ่ง วูบเข้าภวังค์เลย อ่ะ
เป็นการทำสมาธิที่สั้นมากทั้งตอนเข้า และตอนทรงสมาธิ
อย่างที่เค้าว่ากันละมั๊ง...ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น
สัมผัสได้ถึงจิตที่กระจ่าง สดชื่น มีพลัง และเปี่ยมศรัทธา
สถานที่แห่งนี้...มีมนต์ขลัง และศักดิ์สิทธ์เหลือประมาณ

ระหว่างที่เดินลงจากยอดเขา ผมก็ยังรู้สึกปิติ ซาบซ่าน
อดคิดถึงความรู้สึกในขณะที่ปฏิบัติสมาธิหน้า พระคันธกุฎี ไม่ได้
ตอนนั้นสภาพรอบตัวมันแสนจะวุ่นวาย เสียงสวดมนต์สารพัดชาติ
มีทั้งเสียงเดินเวียนรอบ ทั้งเสียงกลองแถมเข้าไปอีก มันเซ็งแซ่ไปหมด
แต่ทำไมเราถึงเข้าสมาธิได้เร็ว ลึก นิ่ง...สงบ
แล้วก็พาลคิดเลยไปถึงในสมัยที่ พระพุทธเจ้า ยังมีชีวิตอยู่
ใครที่มาฟังธรรมจากท่านเพียงไม่กี่คำ ปฏิบัติฯ ไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมง
ก็พากันบรรลุอรหันต์กันไปหมด
เอ๊...หรือว่าเป็นเพราะ พระพุทธองค์ ท่านเป็นแหล่งกระแสอันทรงพลังอย่างยิ่งใหญ่
ชักนำ จูงจิต ผู้ที่อยู่ใกล้ท่านให้เข้ากระแสพลังสมาธิ ปัญญา
เหมือนท่านเป็นจุดศูนย์กลางพลังแรงเหวี่ยง
ผู้ที่กระโดดเข้าหาแรงเหวี่ยง ก็จะได้รับแรงนี้ไปด้วย
หรือเปรียบกับ พลังแม่เหล็ก
ถ้ามีขุมพลังแม่เหล็กที่เข้มข้น แล้วตัวเราที่เปรียบเหมือนกับ...ท่อนเหล็กธรรมดา
แต่เมื่อเข้าใกล้พลังแม่เหล็กที่เข้มข้น ท่อนเหล็กก็กลายเป็นแม่เหล็กไปด้วย
แม้จะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็เถอะ
ยิ่งถ้าเราใช้ช่วงเวลานั้น ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิ ด้วยแล้ว
ก็เหมือนกับเอาแม่เหล็กพลังแรง มาถูไล่ท่อนเหล็กธรรมดาอย่างเรา
ให้โมเลกุล มันเรียงตัวกันอย่างเป็นระบบ ระเบียบ
เหล็กกระจอกอย่างเราก็พาลกลายเป็นแม่เหล็กไปได้เหมือนกัน
เอ...หรือเราต้องไปฝึก เรียงความคิด ศีล สมาธิ สติ ปัญญา
อย่างสม่ำเสมอ จริงจัง...
คิดแล้วก็อดเหลียวขึ้นไปมองยอดเขาไม่ได้
ณ.ที่แห่งนี้เคยมีพลังอันยิ่งใหญ่ ประดุจความร้อนของพระอาทิตย์
แผ่กระจายพลังอย่างเต็มที่
แม้เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ลับไปแล้ว แต่ความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในผืนแผ่นดินนี้
ผู้ที่มาก็จะสัมผัสได้ถึง พลังและความศักดิ์สิทธิ์ ที่สะสมอยู่
รีบมานะครับ...รีบมา
มาสัมผัส มาตักตวง มาเอาแรง เอาพลัง
ล้างความไม่เป็นมงคลทั้งหลายทั้งปวง
ล้างบาปอกุศลที่นอนเนื่องสะสมอยู่ในใจเราให้หมดไป
แล้วเริ่มต้นชีวิตกันใหม่
ที่นี่ผมคิดว่า...ได้ชิมตัวอย่าง นิพพานน้อย..น้อย
อย่างที่ท่านพุทธทาส ว่าไว้แล้วละครับ

พวกเราก็ไปต่อที่ บ่อน้ำร้อน...ตโปธาราม
ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่าไม่เข้าใจว่าให้มาดูอะไร รู้แต่ว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
พอไปเห็นแล้ว...โอ้ เศร้าใจ การแบ่งชั้นวรรณะนี่มันสุดทนสำหรับเรา
วรรณะสูง ก็อาบต้นน้ำใส ๆ แล้วน้ำที่อาบแล้วก็ปล่อยลงมาให้พวกวรรณะที่ต่ำกว่าอาบต่อ
กว่าจะไปถึงขั้นสุดท้าย วรรณะต่ำที่สุดก็ต้องอาบน้ำที่คนอื่นอาบมาแล้ว
ไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ซึ่งทั้งเหม็น ทั้งขุ่นดำคลั่ก
อาบกันเข้าไปได้ยังไง เนี่ยะ
ดูไปก็อดคิดไม่ได้...ไอ้ชั้นบน ๆ มันอาบแล้วถูขี้ไคลแถมฉี่ลงมาด้วยแหง๋ ๆ
ชั้นล่างๆ ก็ต้องอาบน้ำอุ่นปนน้ำฉี่ ผสมขี้ไคลของคนข้างบนซิวะ โอ๊ย.ย..
ผมดูไปคิดมากไป แล้วโอกาสที่คนวรรณะต่ำจะพัฒนาก้าวข้ามขั้นมันจะมีมั๊ยนะ
ต่อให้ขยันแทบเป็นแทบตายก็เหอะ...โอ้ กรรม กรรมแท้ ๆ
แล้วนึกถึงบ้านเมืองไทยของเรา ช่างแสนจะดีหนักหนา
ถึงจะมีการแบ่งชั้นวรรณะกันบ้าง ตามฐานะรวย จน
แต่ก็ไม่ดุเดือด หยามเหยียดกันเข้มข้นอย่างพวกเขา
ที่ดีกว่านั้น คนไทยเราสามารถพัฒนาตัวเอง ยกระดับก้าวข้ามขึ้นไปอีกชนชั้นได้ง่าย ๆ
ขอเพียงให้มีความขยัน หมั่นเพียร เท่านั้น
โอกาสมีมาให้มากมาย
คิดแล้วก็ให้รู้สึก รักเมืองไทย ชูชาติไทย ขึ้นมาจับใจเลย

จากนั้นเราก็เดินไป...วัดฬุวัน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
ทั้งเป็นวัดที่ พระเจ้าพิมพิสาร ถวาย
ความสำคัญอีกประการ คือเป็นวัดที่ พระพุทธองค์ แสดงโอวาทปาติโมกข์
ประกาศจุดยืน และนโยบายหลักของศาสนาพุทธ
ถือเป็นการชี้ทิศทางไดเรคชั่น ที่มุ่งไปอย่างแน่วแน่ คือ...นิพพาน
ยึดนโยบาย...ขันติ อดทน อดกลั้น
ไม่ตอบโต้ ไม่ให้ร้าย ไม่เบียดเบียน ไม่เรื่ยไรวุ่นวาย...สำรวมระวังอยู่เสมอ
ยึดแนวทางหลัก 3 อัน
ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ซึ่งก็คือ...ศีล...สมาธิ...ปัญญา
ชัดเจน กระชับ ทำได้ง่าย
แต่ที่ผมมองแล้วนึกเสียดาย ที่วัดสำคัญอย่างที่สุดนี้
กลับไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ หรือเชิดชูขึ้นมา
วัดแถวๆ บ้านผม ยังตกแต่งซะหรูกว่าเลย...เสียดาย เสียดายมาก

แล้วทัวร์ก็พาไปดู...พระพุทธรูปองค์ดำ ที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
ใครบนบานขออะไรก็มักจะได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ
มีการสร้างวิหาร หรือศาลาพอคุ้มฝน คุ้มแดด
มีประตูเหล็กดัดปิดตอนกลางคืน แล้วก็มีการขายพระพุทธรูปจำลองที่ไม่เห็นจะเหมือนท่านซักกะนิด
แต่ผมกลับมองว่า...ท่านน่าสงสาร
ดู ดู ไปแล้วเหมือนกับท่านโดนแขก จับขังไว้เป็นตัวประกัน
แล้วคอยรีดเงินค่าไถ่จากเรา...
ใช้ท่านหาประโยชน์จนน่าเกลียด

จากนั้นก็เดินไป...มหาวิทยาลัยนาลันทา
ดูซากสิ่งที่เคยคงความยิ่งใหญ่ในอดีต ดูให้เห็นถึงความไม่จีรังยั่งยืน
ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็มีอันพังทลายด้วยน้ำมือคนศาสนาอื่น
แต่เห็นว่ากันว่า...ในที่แห่งนี้มี พระอัฐิธาตุ ของพระสารีบุตร ฝังอยู่ด้วย
พวกผม ซึ่งหมายถึงทีมคุณหมอได้ทำการสักการะ อัครสาวกองค์นี้เป็นพิเศษ
ที่จริงพวกคุณหมอทั้งหลาย เค้ามีบทสวดที่สรรหามาโดยเฉพาะของแต่ละที่แต่ละแห่ง
เรียกว่าค้นคว้าทำการบ้านมาดี...ตามประสาพวกหมอ
แล้วก็มักจะเรียกไปทำพิธีสวดกันนอกรอบ ต่างหากจากที่พระอาจารย์ท่านพาสวดก่อนแล้ว
เลยทำให้คนอื่นในบรรดาคณะทัวร์ที่มาด้วยกัน เค้าค่อนข้างจะแปลกใจ
เมื่อสงสัยก็พากันจับตาดู ด้วยคิดว่ามีการทำพิธีลึกลับอะไรเป็นพิเศษ
อีทีนี้ เลยกลายเป็นว่าทีมคุณหมอไปทำพิธีลับ ๆ ที่ไหน
จะมีคนเร่ตามกันมานั่งยองๆ ร่วมสวดด้วยเสมอ
ว่าไปแล้ว หลายวันที่ผมติดสอยห้อยอยู่กับพวก คุณหมอ
ก็ได้เห็น ได้เรียนรู้อะไรแปลก ๆ ดีเหมือนกัน
บางเรื่องก็น่าขำ บางเรื่องก็หัวเราะไม่ออก และก็มีบางเรื่องที่น่าสนใจขบคิดตาม
เอาไว้แล้วจะเล่าให้ฟังนะ
เอ๊ะ...อยากฟังกันหรือเปล่า เนี่ย


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 04 เมษายน 2555    
Last Update : 4 เมษายน 2555 15:09:39 น.
Counter : 3639 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 5

โอ้..อินเดีย 5

สวัสดีครับ มาฟังกันต่อนะ
เมื่อวานเล่าค้างไว้ถึงการไปปฏิบัติธรรมที่ พุทธคยา ในตอนกลางคืน
แต่เมื่อเช้าขึ้นตอนตี 3 กว่าๆ พวกเราเก็บสัมภาระแล้วแต่ยังออกไม่ได้ เพราะประตูจะเปิดตอนตี 4 ตรง
พระอาจารย์เกษมสันต์ แห่งวัดนครปฐม ที่เมตตาไปดูแลพวกเรา
ท่านก็เลยเล่าเรื่องของ พระพุทธเมตตา ให้ฟัง
ซึ่งผมฟังแล้วตื่นเต้น ประทับใจมาก แต่จำได้ไม่ค่อยหมด
เลยต้องมาหาข้อมูลเพิ่มนิดหน่อย
หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ
อ้อ...อีกอย่างนึงที่ต้องขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาฟ้าดิน และผู้อ่านไว้ก่อน
คือผมขอเล่าในแบบของผม ในภาษาง่าย ๆ ที่อาจผิดพลาดในเรื่องศัพท์ และราชาศัพท์นะครับ

หลังจากที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ปรินิพพานไปแล้ว 200 กว่าปี
กษัตริย์ผู้เรืองอำนาจในอินเดียขณะนั้น คือ...พระเจ้าอโศกมหาราช
แห่งราชวงศ์โมริยะ
ในช่วงที่พระองค์ยังหนุ่มแน่น ได้ทำสงครามอย่างดุเดือดมากมาย
สามารถปราบแคว้นต่าง ๆ จนรวบรวมดินแดนทั้งหมดในอินเดีย ไว้แต่ผู้เดียว
พระองค์ครองราชมาถึง 20 กว่าปี ด้วยความที่กลัวจะถูกแย่งบัลลังก์
ทำให้ท่านฆ่าญาติพี่น้องของตัวเองตายไปถึง 99 องค์
อยู่มาเช้าวันหนึ่ง พระเจ้าอโศกฯ อารมณ์ดีเปิดหน้าต่าง
มองออกไปเห็น สามเณรน้อย ที่มีอิริยาบถน่าเลื่อมใสอย่างที่สุด รูปหนึ่งเดินผ่านไป
ในทันทีที่เห็นสามเณรน้อยนี้ ท่านความรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
จึงให้คนไปนิมนต์ท่านเข้ามาในวังเพื่อสอบถาม
เมื่ออยู่ต่อหน้าสามเณรรูปนี้ พระเจ้าอโศกฯ ท่านมีอาการใจเต้น ตกประหม่า อย่างระงับไม่ได้
หลังจากสอบถามแล้ว จึงทราบว่า สามเณรน้อยนี้ชื่อ สามเณรนิโครธ
เป็นลูกของพี่ชาย ที่ท่านสั่งประหารไปเพราะกลัวแย่งราชบัลลังก์
แต่มเหสีที่มีท้องอยู่ขณะนั้นหลบหนีออกไปได้ ท่านจึงรอดชีวิตมาจนบวชเป็นสามเณร
บำเพ็ญเพียรด้วยบารมีจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ

เมื่อพระเจ้าอโศกฯ รู้ความจริงแล้วก็ให้เกิดความเสียใจในบาปกรรมที่ได้กระทำมา
ว่ากันว่า คนที่ถูกท่านฆ่าตายไปมากมายขนาดเลือดท่วมถึงหัวเข่าทีเดียว
จนประชาชนเรียกท่านว่า พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม
ท่านบังเกิดความรัก และเลื่อมใสต่อ สามเณรนิโครธ เป็นอย่างมาก
ได้ถามว่าท่านเป็นศิษย์ของผู้ใด ศาสนาอะไร
ซึ่งในตอนนั้น พระเจ้าอโศกฯ นับถือพวกนักบวชชีเปลือย
สามเณรน้อย ได้บอกว่าท่านเป็นศิษย์ในศาสนาพุทธ ประพฤติอยู่ในธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าอโศกฯ ก็นิมนต์ให้สามเณรนิโครธมาสั่งสอนจนบังเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างที่สุด

ขอย้อนไปเหตุการณ์หลังจากที่ พระพุทธเจ้า ได้เสด็จปรินิพพานแล้ว
มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเพื่อไม่ให้กษัตริย์ผู้มีอำนาจที่เลื่อมใสทะเลาะทำสงครามแย่งชิงกัน
ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรู ต้องการสร้างบุญกุศลเพื่อลดทอนบาปกรรมจากการฆ่า พระเจ้าพิมพิสาร พ่อของตนเอง
พระมหากัสสปเถระได้แนะนำให้ พระเจ้าอชาติศัตรู ไปหาวิธีรวบรวมเอาพระบรมสารีริกธาตุ กลับมาไว้ยังกรุงราชคฤห์
โดยเก็บรวบรวมไว้ที่พระสถูปแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นที่...เกสริยาสถูป

ทางด้าน พระเจ้าอโศกฯ ท่านมีความต้องการบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการไถ่บาปกรรมที่เคยกระทำไว้ให้ลดน้อยลง
จึงพยายามรวบรวม พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้ามาเพื่อกระจายออกไปให้ทั่วทั้งชมพูทวีป
และได้พยายามดั้นด้นไปขุดค้นจนพบ พระบรมสารีริกธาตุ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูรวบรวมไว้
แล้วสั่งให้สร้างพระเจดีย์ที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ ทั่วทั้งอินเดียทั้งหมด 84,000 องค์
โดยมีพระเจดีย์ใหญ่ที่สุดก็คือ เจดีย์พุทธคยา นี้เอง
เมื่อทุกอย่างดำเนินไปอย่างยากลำบากแสนสาหัส แต่ก็สำเร็จลงได้ด้วยดี
พระเจ้าอโศกมหาราช จึงจัดให้มีงานเฉลิมฉลองทั้งเมืองอย่างยิ่งใหญ่มโหราฬถึง 7 วัน
แต่ทว่าการทำบุญกุศลครั้งใหญ่ก็ย่อมต้องมีมารตัวใหญ่มาผจญ
ท่านจึงได้อัญเชิญ...พระอุปคุตเถระ มาช่วยคุ้มครอง
ปรกติแล้ว พระอุปคุต ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแต่ไม่ชอบอยู่ในเมือง
ท่านไปปลีกวิเวก อยู่กลางมหาสมุทรโน่นแน่ะ
เมื่อพระอุปคุตเถระ ยอมมาช่วยก็เป็นที่เบาใจ งานฉลองก็เป็นไปอย่างเต็มที่ระบือลือลั่นไปถึงแม้ในสวรรค์
พญามาร ซึ่งก็คือ...พระยาวสวัตตีมาร
องค์เดียวกับที่เคยขัดขวางพระพุทธเจ้าขณะจะบรรลุสัมโพธิญาณ
ปรกติจะอยู่ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี โดยสวรรค์ชั้นนี้จะมีเทพ และมารอาศัยอยู่ร่วมกัน แบบต่างคนต่างอยู่

พญามาร เห็นการจัดงานฉลองอันยิ่งใหญ่ก็ทนไม่ได้
เพราะเกรงว่าคนจะเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเกินไป
ก็รีบมาป่วนงาน โดยเนรมิตลมพายุอย่างหนักเข้าถล่ม
แต่ก็ถูก พระอุปคุตเถระ ปัดเป่าไปได้
เลยเอาใหม่ซัดพายุลูกเห็บเข้ากระหน่ำ แต่ก็ถูกพระเถระปัดไปทิ้งทะเลหมด
อีทีนี้ซัดกระหน่ำด้วยพายุหอกดาบอีก แต่ก็ไม่เป็นผล
พอรู้ว่า พระอุปคุตเถระ นั่นเองคอยปัดเป่าจึงเนรมิตร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่เข้าขวิดท่าน
พระเถระ ก็เนรมิตตัวเป็นเสือใหญ่เข้าไล่กัดจนกระเจิงไป
พญามารแค้นจัด เนรมิตร่างเป็นพญานาคที่มี 7 หัวเข้ามาทำร้าย
แต่พระอุปคุตเถระ ท่านแน่กว่าเนรมิตร่างเป็นพญาครุฑเข้าไล่จิกจนกระเจิงไป
พญามารวิ่งไปตั้งหลักด้วยความแค้นจัดสุดขีด แปลงร่างเป็นพญายักษ์เข้าทำร้ายท่านอีก
แต่พระเถระ ตอบโต้ด้วยการแปลงร่างเป็นพญายักษ์ที่ใหญ่กว่ากระโดดถีบ แล้วจิกหัวยักษ์แปลงตนนั้นไว้
พญามาร หมดท่ากลายร่างกลับมาเป็นชายหนุ่ม เข้าก้มกราบขอขมาพร้อมขอให้ไว้ชีวิตด้วย
พระเถระท่านใจดี แต่ไม่ไว้วางใจจึงเอาหมาเน่าคล้องคอพญามารไว้แล้วเสกสำทับไม่ให้มีใครนอกจากท่านเอาออกได้

ท่านพญาวสวัตตีมาร เป็นเทพที่ยิ่งใหญ่และสำอางค์มาก
เจอหมาเน่าผูกคอแบบนี้ก็แทบบ้า รีบเหาะไปหาผู้ช่วยเอาออก
แต่ไปหาเทพผู้ใหญ่องค์ไหนๆ พอรู้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้เสกไว้ก็ไม่มีใครกล้าเอาออกให้
ขนาดไปหาพระอินทร์ให้ช่วย พระอินทร์ยังเหาะหนีเลย
พญามาร ทนทุกข์เวทนากับหมาเน่าที่ส่งกลิ่นเหม็ฯมากขึ้นอย่างสุดจะทน
แถมยังถูกเทพทั้งหลายยิ้มเยาะอีกต่างหาก
ในที่สุดหมดท่า เข้ามากราบกรานขอให้พระอุปคุตเถระ ยกโทษให้
ตนยอมแพ้ราบคาบแล้ว จะทำยังก็ยอมขอแต่เอาหมาเน่านี้ออกไปทีเหอะ
พระเถระ ท่านก็เห็นแก่ว่า พญามาร ละพยศลดทิฐิแล้วก็เอาหมาเน่าออกให้
แต่งานฉลองยังมีอีกตั้ง 7 วัน กลัวเหตุการณ์ผลิกผันจึงเอาสายประคตไปผูกเอว พญามาร แล้วผูกไว้กับภูเขา
พอครบกำหนด พระอุปคุตเถระ ก็แอบย่องไปดูพญามารว่าละพยศหรือยัง
ฝ่ายพญามาร ถูกมัดไว้กับภูเขาหลายวันเข้าก็นั่งบ่นอุบอิบ
ว่า แต่ก่อนตนเองไปรังควานพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ก็ยังไม่เห็นถือโทษโกรธเคืองขนาดนี้
แต่นี่อะไรกัน พระเถระ เป็นลูกศิษย์ซะอีกกลับทำกับตัวได้ถึงขนาดนี้
คิดไปคิดมาแล้วว่า พระพุทธเจ้า ท่านดีกว่าเยอะ....เลย
ต่อไปนี้ขออธิษฐานว่า...ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ในกาลข้างหน้าด้วยเถิด
พระเถระ ท่านจึงออกมาสอนว่า...
ที่ทรมานพญามาร ก็เพื่อให้ท่านได้สำนึกเท่านั้น ไม่ได้มีความโกรธแค้นใด ๆ
แล้วต่อแต่นี้ขอให้บำเพ็ญบารมีให้เต็มที่ เพื่อให้สำเร็จตามคำอธิษฐานในอนาคตกาลแน่นอน
แต่ก่อนอื่นขอให้ช่วยทำความดีให้ซักอย่างหนึ่งเถอะ
พญามารก็รับปากทันที
พระเถระ อธิบายว่า ท่านและคนในยุคนี้เกิดมาไม่ทันได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
แต่พญามาร ต้องเคยเห็นแน่นอน เพราะเคยไปขัดขวางการบรรลุโพธิญาณด้วยซ้ำ
จึงขอให้ช่วยแปลงร่าง ให้เหมือนกับ พระพุทธเจ้า ให้ดูหน่อยเถอะ...อยากเห็น
พญามาร กลับบอกว่าไม่ได้หรอก
เพราะว่า พระพุทธเจ้า นั้นมีบารมีสั่งสมมามากล้นพ้นประมาณ ยังไงก็ไม่เหมือน
ถ้าให้คล้ายเต็มที่ซักหนึ่ง ใน หมื่นแสน ก็คงจะพอได้
แต่ห้ามพระเถระ ไหว้รูปที่แปลงโดยเด็ดขาดนะ เพราะจะเป็นบาปกรรมแสนสาหัสแก่ข้าพเจ้า

เมื่อตกลงกันได้แล้ว พระอุปคุตเถระ ก็นำพญามารไปให้ พระเจ้าอโศกมหาราช และคนทั้งหลายได้ดู
พญามาร ได้เข้าไปในที่กำบังแล้วแปลงกายเป็น พระพุทธเจ้า
มีบุคคลิกลักษณะ 32 ประการมีรัศมีสว่างไสว เหาะออกมาบนท้องฟ้า
ประชาชนคนทั้งหลายเห็นแล้วเกิดปิติเลื่อมใส พากันยกมือขึ้นไหว้
พญามาร ก็ยังเกรงว่าจะไม่เหมือนจึงเนรมิตให้ร่างแปลงนี้มีรัศมีออกมาอีก 6 สีเหมือนดังที่พระพุทธเจ้า ท่านมี
พระอุปคุตเถระเอง ก็เกิดความเลื่อมใสจนยกมือขึ้นไหว้ร่างเนรมิตนี้
ทันใดนั้น พญามารก็กระเด็นไปไกลโพ้นตกกระแทกอย่างแรง
แล้วรีบเหาะมาต่อว่าพระเถระ...ไหนท่านว่าจะไม่ไหว้ข้าพเจ้าไงล่ะ
ดูซิอย่างนี้ข้าพเจ้าก็ต้องเป็นบาปกรรมไปอีกมากแค่ไหนกันล่ะ
พระเถระ ท่านจึงกล่าวว่า...พวกเราไม่ได้ไหว้ท่าน เราไหว้พระพุทธเจ้าของเราต่างหาก
บาปกรรมย่อมไม่มีแก่ท่านแน่นอน
แล้วก็ปล่อยพญามารไป.....

พระเจ้าอโศกมหาราช ที่ได้เห็นร่างเนรมิต ก็ให้เกิดความเลื่อมใสอย่างล้นพ้นประมาณ
สั่งให้จัดหาช่างฝีมือดีที่สุดมา สร้างจำลองรูปพระพุทธองค์ไว้
จึงได้เกิด พระพุทธเมตตา ขึ้นอย่างที่เราได้เห็น ให้เป็นบุญหนักหนา
นี่แหละที่ว่า...พระพุทธเมตตา คือพระพุทธรูปที่เหมือนพระพุทธเจ้ามากที่สุด
เหตุเพราะช่างที่ทำ ก็ได้เห็นร่างเนรมิตด้วยพร้อมกันนั่นเอง

พอฟังจบ พวกผมทุกคนไปกราบระลึกพระคุณของ พระเจ้าอโศกมหาราช พระอุปคุตเถระ และพญามาร
ที่ช่วยให้เราได้เห็น พระพุทธเจ้า ด้วยตาของเราเอง...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 03 เมษายน 2555    
Last Update : 3 เมษายน 2555 1:24:09 น.
Counter : 1606 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 4

โอ้..อินเดีย 4

มาฟังกันต่อนะ
เมื่อวานเล่าถึงความซาบซึ้ง ความมหัศจรรย์ของพุทธคยาในตอนกลางวัน
พอออกมาแล้วก็ไปดูบ้าน นางสุชาดา ผู้ถวายข้าวมธุปายาส
ซึ่งกลายเป็นเพียงกองอิฐที่ทำไว้ให้รู้ว่าเป็นบริเวณนี้นะ
แล้วก็ไปดูแม่น้ำเนรัญชรา ซึ่งขณะนี้เป็นหน้าแล้ง ไม่มีน้ำซักหยด
แม่น้ำกลายเป็นผืนทรายกว้างใหญ่สุดลูกตา แต่ดูจากตลิ่งแล้วก็เห็นได้ว่า
ถ้าเป็นหน้าฝน ก็จะมีน้ำขึ้นสูงพอสมควรเลยละ
แต่ก็ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เคยสงสัยมานานมาก
คือสงสัยว่า พระพุทธองค์ท่านเดินลุยข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งพุทธคยาได้ยังไง
พูดอย่างไม่อายนะครับ...
แต่ก่อนที่จะมาอินเดีย ผมก็เชื่อแหละว่าพระพุทธเจ้า ท่านมีจริง
พุทธประวัติ หรือพระไตรปิฎก ก็น่าจะจริง
แต่...มันเลือน ๆ ลาง ๆ ลอย ๆ ยังไงชอบกล
มันเหมือนกับ ท่านเป็นพระเอกในนิทานซะมากกว่า
แต่พอได้มาสัมผัสกับร่องรอยต่างๆ และกระแสพลังบางอย่าง ทำให้เชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า
พระพุทธเจ้า มีจริง ท่านเป็นคนจริง ๆ
ทำให้ทุกเรื่องราวที่เคยเรียนรู้มามันกระจ่างชัด เข้าใจแจ่มแจ้ง
จิตใจของผมเกิดความฮึกเฮิม กล้าที่จะเดินตามรอยบาท เข้าในมรรคาแห่งความหลุดพ้น
อย่างไม่มีข้อสงสัย

ตอนเย็นกลับไปที่วัดไทยพุทธคยาเพื่อกินข้าว
และเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรม ต่อที่พุทธคยาในกลางคืน
ซึ่งต้องยื่นรายชื่อ และเสียเงินอีก 100 รูปี
ปรากฏว่าเที่ยวนี้มีแค่ 8 คนเท่านั้นที่จะไป โดยมีพระอาจารย์ พระมหาเกษมสันต์ จากวัดพระปฐมเจดีย์ ไปคอยดูแลพวกเรา
เรา 8 คนอันประกอบไปด้วยทีมของผม คือบรรดาคุณหมอทั้งหลาย
และมีคุณน้อง วี ซึ่งเป็น ผจก.สปาอยู่ที่เกาะสมุย
น้องวี คนนี้เป็นชายหนุ่มอายุไม่ถึง 30 แต่สนใจในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก
แถมยังเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อจรัญ เหมือนกับผมอีกเลยคุยกันถูกคอ
ถึงได้รู้ว่าเค้าตั้งจิตอธิฐานขอให้ได้มาพุทธคยา ถึง 6 ปี กว่าจะสำเร็จ

พวกเราไปถึงบริเวณพุทธคยาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง
ประตูจะปิดตอน 3 ทุ่มตรง คนที่สมัครมาปฏิบัติฯ ต้องถูกตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัย
คืนนั้นมีประมาณ 150 คน เป็นพระจากทุกนิกายซะกว่าครึ่ง
และประตูจะเปิดให้ออกไปในตอน ตี 4 เท่านั้น
เราไปถึงก็ตรงไปไหว้ขอกำลังใจกับ พระพุทธเมตตา เป็นอย่างแรก
แล้วก็ไปหาที่กางเต็นท์ กางกระโจมมุ้ง
ซึ่งทีมเราโชคดีมากๆ ได้ทำเลดีที่สุด คืออยู่บริเวณใต้ร่มเงาของ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทางด้านซ้าย
อ้อ..ขอบอกคนที่จะไปบ้างว่าถ้าไม่ใช่หน้าฝน ใช้กระโจมมุ้งจะดีที่สุด
เพราะเหตุว่า กางง่าย น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ราคา 200 บาทเท่านั้นเอง
ซื้อได้ที่หน้าพุทธคยา หรือยืมจากวัดไทย มาก็ได้
ผมเอาเต็นท์ไป กางค่อนข้างยุ่งยาก แต่ก็ดีเพราะกว้างหน่อย
เมื่อยมากๆ ก็ยังพอยืดขาได้บ้าง
ที่นี่ยุงเยอะมาก ตัวอ้วนใหญ่ทีเดียวแหละ

เมื่อได้ที่กันแล้ว ก็พากันปฏิบัติฯ แบบตัวใครตัวมัน สไตล์ใครสไตล์มัน
บางคนก็สวดมนต์เสียงดังลั่น ไม่เกรงใจคนอื่นเลย
มีผู้หญิงคนนึงสวดอิติปิโสอย่างสปีดเร็ว เสียงดังเกือบทั้งคืน ฟังแล้วเหนื่อยแทน
ที่แย่ที่สุดอย่างไม่น่าให้อภัย คือนั่งคุยกัน
แม้จะคุยกันเบา แต่ด้วยความเงียบสงบของสถานที่ เสียงมันก็ดังอยู่ดีแหละ
ทำให้รบกวนผู้ที่ปฏิบัติฯ ท่านอื่น น่าจะเป็นบาปกรรมไม่น้อย
บางคนก็เดินสวดมนต์เวียนรอบพระเจดีย์ฯ บางคนเดินจงกรม
แต่ขอบอกเลยว่า เดินช้า..ช้า..ไม่ได้
ต้องเดินเร็ว ๆ...หนียุง
ผมเองก็ใช้วิธีเดินสวดมนต์รอบพระเจดีย์ฯ ก่อนแล้วสลับมานั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ
แต่มันมีปัญหา...
คือเกือบทุกคนก็อยากจะได้ ใบโพธิ์ฯ กันทั้งนั้น
เวลาเดินสวดมนต์เวียนมาถึงตรง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็จะชะลอจังหวะ
แล้วเงยหน้ามองหาว่าจะมีร่วงหล่นมาซักใบมั๊ย
อ้อ..อีกอย่างที่อยากบอก คือ ใบโพธิ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ นี้...ใบเล็ก
ขนาดใบไม่ใหญ่เหมือนต้นโพธิ์ที่บ้านเรา ขนาดเล็กกว่ากันเกือบครึ่ง
ครั้งแรกที่ผมได้จากท่านผู้มีพระคุณ ก็ยังแปลกใจมากว่า ทำไมใบเล็กจังเลย
ผมสังเกตุดู บางคนที่อยากได้มากๆ กลับไม่ได้ แฮะ
แต่บางคนที่สำรวมจิต ตั้งใจปฏิบัติฯ กลับหล่นลงมาตรงหน้าเองเลย
ในชั่วโมงแรก ผมก็ไม่เป็นอันทำอะไร
เดินจงกรมวนอยู่แถวๆ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คอยเก็บใบโพธิ์ฯ เหมือนกัน
ก็โชคดีเก็บได้ 3 – 4 ใบ แต่แจกให้พวกคุณหมอที่มาด้วยกันไปหมด
ก็เพราะเห็นพวกเค้าอยากได้กันมาก เลยอยากให้มีกำลังใจกัน
ซึ่งคนที่ได้รับ ก็สุดแสนจะดีใจมีแรงภาวนากันเต็มที่

จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ผมก็คิดได้...นี่เราเป็นบ้าอะไร
ตั้งใจมาปฎิบัติภาวนา ไม่ใช่มาไล่ตะครุบใบโพธิ์ฯ อย่างนี้
พระพุทธองค์ ท่านอยู่ข้างหน้าเราตรงนี้เองนะ ไม่อายท่านหรือยังไง วะ
พอคิดได้ก็รีบมุดเข้าเต็นท์ไปนั่งปฏิบัติฯ
ระหว่างที่นั่งตามลมหายใจอยู่ หูก็ได้ยินเสียง ใบโพธิ์ฯ หล่นใกล้ๆ บ้าง ข้างๆ บ้าง หลายใบทีเดียวแหละ
โอ๊ย...ใจมันอยากจะออกไปตะครุบอย่างที่สุด
ได้ยินเสียงคนเดินมาเก็บด้วย ก็ยิ่งเสียดาย...แต่ก็ตัดใจ เลิกบ้า
ในที่สุดก็สงบจิต สงบใจภาวนา ตามลมได้ดี...นั่งได้นานกว่าปรกติมาก
จนประมาณเกือบตี 1 ก็ให้รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างแรง แต่ก็พยายามสู้เพราะตั้งใจแล้วว่าจะไม่เอนลงนอนตลอดรุ่ง
พอง่วงมากๆ เข้าถ้าจะไม่ไหว ต้องออกไปเดินเวียนรอบพระเจดีย์ฯ
เดินไปก็เห็นเรื่องราวมากมาย เห็นศรัทธาของผู้ที่มาจากทุกมุมโลก
บางคนสวดมนต์ติดต่อกันทั้งคืน บางคนเดิน 3 ก้าว ก้มกราบราบแบบทั้งตัว 1 ครั้ง ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบพระเจดีย์ฯ
บางคนง่วงจนหัวส่ายไปมา แต่ก็ยังพยายามนับลูกประคำ
อย่างคุณน้องวี เค้าเดินจงกรมตามที่เรียนมา คือ...ช้า
เคล็ดลับคือ เดินช้า ๆ กำหนดให้ละเอียดทุกอริยาบท
ซึ่งมันต้องต่อสู้กับยุงอย่างหนัก...แต่เค้าก็สู้ เดินสลับนั่งทั้งคืน
ส่วนคนที่เดินเวียนรอบพระเจดีย์ฯ นั้นมีทั้งคืน ผลัดกันไป
นั่งจนง่วงก็ไปเดิน เดินจนเมื่อยก็มานั่ง

ระหว่างที่เดินเวียนรอบอยู่นั้น สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจมากคือ...ขยะ
บริเวณรอบในของพระเจดีย์ฯ มีขยะประเภท ขวดน้ำดื่ม กระดาษทิชชู่
เศษใบไม้อื่นๆ เศษกระดาษทองคำเปลว อะไรพวกนี้
เดินไปเดินมาผมไปเจอเอา ไม้กวาดดอกหญ้า กับที่โกยผง วางแอบอยู่
เลยจัดการกวาดขยะรอบองค์พระเจดีย์ฯ จนสะอาดหมดจด
คนอื่นเค้าเดินปฏิบัติฯ กัน แต่ผมก้มหน้าก้มตากวาดทุกซอกทุกมุม...พิลึกดี เน๊อะ
พอทำเสร็จแล้ว ได้เหงื่อดี หายง่วง แต่อิ่มเอิบใจอย่างที่สุด
รีบมุดเข้าเต็นท์ไปนั่งภาวนาต่อ
ความอิ่มใจที่ได้กวาดทำความสะอาด ทำให้ปิติมันขึ้นจนต้องรีบระงับ
แล้วเอาเป็นแรงพลังรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว...นิ่ง สงบ วางหมดทุกสิ่ง
วูบเดียวได้ตั้งชั่วโมงกว่า สวดมนต์ซะอีกรอบ
ตอนตี 3 เราทุกคนก็เก็บกระโจม เก็บเต็นท์ไปยืนรวมกันที่หน้าประตูใหญ่
แต่ก็ออกไม่ได้ ต้องรอให้ตี 4 ซะก่อนเขาถึงจะมาไขกุญแจ
ระหว่างที่ยืนรอกันนั้น พระอาจารย์เกษมสันต์ ท่านเล่าเรื่องของ พระพุทธเมตตา
ว่ามีประวัติ และเรื่องที่น่าสนใจมาก คือ...
ท่านเป็นพระพุทธรูป ที่เหมือนพระพุทธเจ้า มากที่สุด

อยากฟังกันมั๊ย ว่าทำไมถึงว่าอย่างนั้น


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 02 เมษายน 2555    
Last Update : 2 เมษายน 2555 1:11:39 น.
Counter : 1817 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 3

โอ้..อินเดีย 3

รีบมาต่อกันเหอะ ท่าทางผู้ฟังใจร้อน...

เช้าวันแรกในอินเดีย ก็ได้เห็นชีวิตประจำวันอันนึกไม่ถึงของคนที่นี่ไปแล้ว
เราได้ตระหนักแล้วว่ากำลังอยู่ในประเทศอื่น ในบ้านของคนอื่น
ไม่ใช่แค่ต่างจังหวัดในประเทศของเราที่แสนจะอิสระ สดวกสบาย
กว่า 10 ชั่วโมงที่เดินทางมาอย่างเหนื่อยอ่อน
แถมหลายคนก็ยังอดกลั้นฉี่ไว้แทบจะไม่ไหว
บางคนอยากจะปลดทุกข์หนักซะด้วยซ้ำ
และแล้วในตอนสาย ๆ เราก็มาถึงที่หมายแรก คือ...วัดไทยพุทธคยา
ทันทีที่รถบัสของเราเลี้ยวเข้าประตูวัด มันเกิดความรู้สึกคุ้นเคย
บรรยากาศมัน...วัดบ้านเรานี่แหละ
นาทีที่เท้าแตะพื้น...มันอบอุ่นใจ
แผ่นดินตรงนี้...มันประเทศไทย ชัด ชัด
ที่น่าขำ คือ พระสงฆ์ไทยมายืนคอยต้อนรับด้วยคำพูดแรก ว่า...ห้องน้ำอยู่ทางนี้นะโยม
ยกมือไหว้ท่านแล้ววิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำ ทู๊ก..ก..คน
ออกมาก็ได้รับกุญแจห้องไปพักผ่อน ห้องละ 4 – 5 คน
ห้องพักสะอาดสะอ้าน น้องๆ โรงแรมเลยแหละ
ได้ผลัดกันอาบน้ำ แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวอย่างมีความสุข
แล้วก็ถูกต้อนเข้าห้องอาหาร ซึ่งมีอาหารไทยพวกแกงส้ม ผัดผัก น้ำพริกเผา
แถมมีกาแฟไว้รอต้อนรับอย่างดี
สังเกตุดูมี แม่ชี ที่อยู่วัดนี้คอยเป็นกำลังหลัก อย่างแข็งขัน
มีเด็กหนุ่มสาวชาวอินเดียเป็นลูกมือคอยทำเรื่องเช็ดล้าง
ผู้แสวงบุญอย่างผมไม่ต้องทำอะไรเลยซักนิด
อิ่มหนำกันแล้วออกมาเดินเล่นดูบริเวณวัด...ของเรา
โอ้..วัดสวยมาก ยิ่งภายในโบสถ์ซึ่งจำลองจากวัดเบญจมบพิตร
มีพระพุทธชินราชจำลอง มีภาพเขียนฝาผนังเรื่อง...พระมหาชนก
ทั้งหมดทั้งสิ้น งดงามมาก
เดินไปเดินมาก็จะพบกับ พระหนุ่มๆ ยืนคอยต้อนรับ
คอยโอภาปราศัย เล่าประวัติวัด ประวัติเมืองนี้ สารพัดจะให้ข้อมูล
ผมละ งง ไม่เคยเจอพระในแบบนี้ ออกจะประทับใจม๊าก.ก มาก
ท่านเอาใจใส่กับพวกเรา ผู้แสวงบุญคนไทย ที่มาถึงวัดแห่งนี้
ท่านตั้งใจทำหน้าที่แรก คือ...ปลดทุกข์ ให้เรา
ทุกข์ทางกายเรื่องห้องน้ำ ห้องน้ำห้องส้วม ที่พักที่นอน
ทุกข์เรื่องท้องหิว คอยดูแลหาอาหารไทย ข้าวต้ม กาแฟ สารพัดจะเอาใจใส่
ทุกข์ทางใจ เรื่องความตื่นตระหนก หวาดหวั่นจากที่มาต่างบ้านต่างเมือง
ทั้งยังให้ความรู้ความเข้าใจ ในศาสนาทั้งของเรา ของบ้านเมืองเขา
ยิ่งเรื่อง พุทธศาสนา ท่านให้แก่น ให้หลักอย่างที่พระพุทธองค์ท่านต้องการ
ไม่ใช่ พะ ที่สอนให้แต่เปลือก สอนแต่กระพี้ หรือยิ่งพาเราโง่ งมงาย หนักเข้าไปอีก
พระในแบบนี้ นี่เองที่เรียกว่า...พระธรรมฑูต

จากนั้นก็มีการเรียกรวมตัวมาทำการ...ทอดผ้าป่า
ตามโปรแกรม พวกเราจะทอดผ้าป่า ตามวัดไทยในที่ต่างๆ ที่เราไปพักทั้งหมด 9 วัด
ทำบุญตามศรัทธา ไม่มีการบังคับซึ่งก็ได้วัดละประมาณ 40,000 บาท
และยังมีการถวายเป็นการพิเศษอีกแห่งละก็หลายอยู่
ยิ่งฟังแต่ละวัด แต่ละที่ท่านเล่าถึงกิจกรรมที่ท่านกำลังทำกันอยู่แล้ว
มันช่างน่าศรัทธานัก
งานหลักอีกอย่างของพระธรรมฑูต คือ สร้างความเป็นมิตร สร้างความไว้วางใจ
ระหว่างคนอินเดีย กับคนไทย ฮินดู กับพุทธ
หัวหน้าใหญ่ของพระธรรมฑูตอินเดีย คือท่านเจ้าประคุณ...พระราชรัตนรังษี
ท่านมีอุบายแยบยลอย่างมากที่ทำให้คนอินเดีย รักและไว้วางใจ คนไทย
ท่านทำสารพัดวิธี ไว้ค่อย ๆ เล่าให้ฟัง

เสร็จจากทำบุญทอดผ้าป่า กันจนปลื้มจิตแล้วก็ยกขบวนไปยัง...พุทธคยา
ผมเองก่อนจะมา แทบไม่ได้เตรียมตัว เตรียมข้อมูลอะไรมาซักนิด
พอมายืนอยู่หน้า พระเจดีย์พุทธคยา ...ตื่นตะลึง
สถานที่นี้ช่าง...อลังการ
ทั้งขนาด ทั้งรายละเอียด ทั้งความพลุกพล่านของความศรัทธา
ยิ่งพอเข้าไปกราบ...พระพุทธเมตตา
โอ๊ย..ย...ท่านช่างงดงามตระการอะไรเช่นนี้
ในตอนนั้นผมยังงง..งง กับสถานที่และความวุ่นวาย ยังปรับสภาพจิตไม่ทัน
แต่พอได้เห็นองค์ท่าน เต็มตา เท่านั้นแหละ...ความคิด ความสับสน ความวิตกจริต ทั้งหลายทั้งปวงมันหายไปสิ้น
ในจิตใจมีแต่ความสงบเย็น...เย็นจิต เย็นใจ
เมื่อมองพระพักตร์ของท่าน ก็จะเห็นท่านจ้องมองเราอยู่อย่างไม่วางตา
ท่านอมยิ้มน้อย ๆ แต่ยิ่งมองนาน ๆ ก็เหมือนท่านแย้มยิ้มมากขึ้นอีก
ท่านมองทะลุทะลวงเข้าไปใน ก้นบึ้งของจิตของใจเรา
พลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาให้รู้สึกถึง...ความเมตตา กรุณา อันยิ่งใหญ่
ยิ่งมองยิ่งสัมผัส ยิ่งรู้สึกว่า ท่านไม่ใช่พระพุทธรูป แต่...ท่านมีชีวิต
ความรู้สึกคือ อยากจะนั่งอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าท่านให้นานที่สุด
แต่ก็ทำไม่ได้ คนหลั่งไหลกันเข้ามากราบท่านมากมาย

ทางคณะทัวร์ และพระวิทยากร ท่านจัดที่ทางให้พวกเราทั้ง 80 คนได้นั่งสวดมนต์...ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ผมนั่งอยู่เกือบหลังสุดในกลุ่ม
มีคนกระซิบให้ฟังว่า คณะของเราโชคดีมาก ได้ทำเลดีที่สุด
ผมมองไปรอบ ๆ โอ้โห...ผู้แสวงบุญมากมายก่ายกอง ไม่รู้มาจากไหนกันมั่ง
มีทั้งกลุ่มคนไทยด้วยกันก็หลายกลุ่มแล้ว ยังมีทั้งจีน ธิเบต พม่า ศรีลังกา
พระสงฆ์ ภิกษุณี สามเณรี แม่ชี มีครบหมดทุกประเภท
พระอาจารย์หัวหน้ากลุ่มของเราท่านก็นำสวดมนต์
แต่ก็เป็นการสวดท่ามกลางเสียงสวดเซ็งแซ่ของแต่ละกลุ่ม แต่ละคณะ แต่ละชาติ
มันฟังสับสนปนเป วุ่นวายดีแท้
ยิ่งผมมัวแต่แหงนหน้าจ้องมอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์
คอยมองหาแต่ใบโพธิ์ที่จะร่วงหล่นลงมา...อยากได้ซักใบ อ่ะ
จนไม่เป็นอันมีสมาธิกันละ
ผ่านไปสักพักค่อยรู้สึกตัว ได้สำนึก...เอ๊ะ เราตั้งใจมาทำอะไรกันแน่
ดั้นด้นเดินทาง เสียเงินทองไปตั้งมากมาย ก็เพื่อมากราบ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่เหรอ
ขณะนี้ นาทีนี้ ท่านอยู่ตรงหน้าเราแล้วนะ เวลาอย่างนี้ไม่รู้ว่าในชีวิตที่เหลือทั้งหมด จะมีโอกาสอีกมั๊ย
ต้องรีบตักตวงเวลา นาทีแสนวิเศษประเสริฐนี้ให้ได้มากที่สุด
พอคิดได้ก็รีบก้มหน้าไม่ดูแล้ว ตั้งใจสวดมนต์ตามเสียงพระอาจารย์อย่างจดจ่อ
ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับเสียงนำสวดของท่าน ถึงได้รู้ว่า...ท่านสวดไพเราะมาก
ทั้งน้ำเสียง ทั้งมีการทอดจังหวะ...ซาบซึ้งมาก
พอถึงท่อนแผ่เมตตา ท่านเปลี่ยนเสียงทอดเอื้อนขึ้น...
สาพ เพ ซ๊าด..ด..ตา
อันว่า สัตว์ทั้งหลาย..ย..ทั้งปวง..ง
ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ้บ.บ..ตา ย..ย
ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น.น.น.น
เสียงที่มีทั้งสูงต่ำ ทอดยาว ทำเอาผมอึ้ง เข้าใจอารมณ์การปารถนาดีต่อทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
สัมผัสความสุขของการให้ความรัก ความหวัง ความตั้งใจให้ผู้อื่นเป็นสุข
เป็นความอิ่มเอิบแบบนี้นี่เอง
พอพระอาจารย์ท่านให้...ตั้งจิตอุทิศผล
บุญกุศลแผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดา มารดา ครูอาจารย์
ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนที่เคยร่วมรักสมัครใคร่
ขอให้ได้ในกุศลผลของฉัน
ทั้งเจ้ากรรม นายเวร และเทวัญ
ขอให้ท่านได้กุศล ผลนี้เทอญ...
ผมละน้ำตาร่วง ตั้งแต่ให้บิดา มารดา แล้ว...คิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาจับใจ
คิดถึงลูก คิดถึงเมีย อย่างห้ามไม่อยู่

หลังจากนั้นพระอาจารย์ท่านก็ให้ทำสมาธิ ปฏิบัติฯ ตามแนวทางของแต่ละคน
ผมก็รีบหลับตาระงับสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
ซึ่งก็แปลกนะ รอบ ๆ ตัวมีแต่เสียงสวดมนต์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละภาษาเซ็งแซ่ไปหมด
แต่ก็รวมจิตลงเป็นหนึ่งเดียวได้ง่าย...อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
จิตจดจ่ออยู่แต่แค่ ลมหายใจ เท่านั้น
สงบ เย็น นิ่ง...นาน.น..น...
จนได้ยินท่านบอกให้ถอนจิตออก ก็ค่อยๆ ทำความรู้สึกให้กลับมา
ยกมือขวาออกจากตัก วางที่พื้นข้างตัว...เอ๊ะ รู้สึกว่ามือวางไปบนอะไรซักอย่าง
ลืมตามอง...โอ้ ใบโพธิ์
เราได้ใบโพธิ์ จริงๆ เหรอเนี่ย อู๊ย..ย..ดีใจ ดีใจ
ยกมือซ้ายออกวางข้างตัวอีก...โอ๊ะ ได้ใบโพธิ์ อีกใบแน่ะ
นาทีนั้นมันดีใจ...ดีใจจนต้องระงับสติ หายใจยาว ยาว
หยิบขึ้นมาดูทั้งสองใบ...อู๊ย เหมือนฝัน
คนอื่นๆ เค้าลุกขึ้นกันหมดเลยต้องรีบลุกตามไป
ทันทีทันใด...ใบโพธิ์ ร่วงลงมาตรงหน้าอีกใบ...เฮ้ย อะไรกันเนี่ยะ
ผมเงยหน้าขึ้นพนมมือขอบคุณ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาผมอย่างที่สุด
แล้วสิ่งที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ ก็เกิดตามมาอีก..ก...
เปลือกของ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ขนาดฝ่ามือกาง ๆ
หล่นลงมาเฉียดหัวผมไปนิดเดียวเลย
ตกลงข้างหน้าของผม แล้วแตกออกเป็นซัก 4 – 5 ชิ้นได้
ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
ผมกำลังตกตะลึง...มีผู้แสวงบุญชาวศรีลังกาคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ ผวาเข้ามาจะหยิบ
แต่ผมอยู่ใกล้กว่า รีบตะครุบไว้ทั้งหมด แล้วรีบวิ่งตามกลุ่มที่เขาไปกันไกลแล้ว
พอกลับถึงวัดมีการถามกันว่าใครได้ใบโพธิ์ฯ บ้าง
ดูเหมือนแทบจะไม่มีใครได้ พอในกลุ่มคุณหมอรู้ว่าผมได้มา 3 ใบ
ทุกคนทำหน้าชื่นชม พร้อมเกลียดชังยังไงไม่รู้ แฮะ

เล่ามายาวมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่าต่อตอนที่กลับไปนั่งปฏิบัติฯ ที่พุทธคยาตอนกลางคืน นะ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com





 

Create Date : 31 มีนาคม 2555    
Last Update : 2 เมษายน 2555 1:13:56 น.
Counter : 1790 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 2

โอ้..อินเดีย 2

เมื่อวานเล่าไปถึงว่าจู่ๆ ก่อนวันเดินทางแค่ 2 วันกลับโดนดี
ไม่รู้มารผจญ หรือเจ้ากรรมนายเวร มาขัดขวาง
จนต้องตั้งจิตอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วย
และก็ได้ผลทันตา แค่ 10 นาทีความเจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย
และอาการประหลาดต่างๆ ก็หายไปอย่างมหัศจรรย์
ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่เชื่อเด็ดขาด

พอวันเดินทาง ใจก็สู้นะแต่ก็ตุ๊ม ๆ ต๊อม ๆ ยังไงไม่รู้
ห่วงงาน ห่วงลูก ห่วงเมีย
พูดจริงๆ นะครับ หลายปีมานี้ผมไม่เคยห่างกันเลย
ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด งานก็กำลังมีปัญหายุ่งเหยิงหลายอย่าง
แต่พอวันนึงก็คิดได้...ถ้าเรามีอัน...ตาย...จากลูกเมียอย่างกระทันหัน
ไม่ว่าด้วยเหตุใด พวกเขาต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
ดีเหมือนกันนะ ไปอินเดียครั้งนี้ก็ถือซะว่าเป็นการซ้อม...ตายจากกัน
ตัวเราเอง ก็เหมือนกับวิญญาณที่ต้องเดินหน้าต่อไป หวนกลับมาไม่ได้
สิ่งที่ติดตัวไปได้ ก็มีแค่...บุญ กับ บาป เท่านั้น

ทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าผมไปกับ “ สังคมทัวร์ ” ซึ่งเป็นทัวร์แบบ...ประหยัด
แค่ 29,000 บาท เท่านั้นเอง
รวมทั้งเงินทำบุญ ทอดผ้าป่า จิปาถะน่ะ เบ็ดเสร็จผมใช้เงินไปประมาณ 40,000 บาท
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ถึงได้รู้ว่าคนไปทริปนี้ทั้งหมด 80 ชีวิต
มีพระเป็นไกด์วิทยากร ถึง 4 - 5 รูป คอยให้ความรู้ด้านพุทธศาสนา พุทธประวัติ และอื่นๆ อีกมากมาย
ท่านเป็นถึงผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม
คือ ท่านพระครูพิศาลฯ ซึ่งคนที่มาเที่ยวนี้เกือบทั้งหมดเป็นคนนครปฐม ลูกศิษย์ท่าน
เท่าที่เห็นยังมีอีกกลุ่มนึง เป็น 3 สาวเพื่อนเรียนมัธยมด้วยกัน
อายุไม่น่าเกิน 30 ท่าทางมาดมั่น ทะนงองอาจ ไม่สนใจใคร
ต่างคนต่างก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ การงานระดับผู้บริหารเหมือนกัน
ส่วนทีมของผมมาจาก บางบ่อ เป็นสารพัดหมอและนักปฏิบัติฯ
มีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเล๊ย.ย.ย

จากเมืองไทย บินไปร่วม 3 ชั่วโมง ถึงเมืองกัลกัตตา อินเดีย
ไปถึงเอาตอน 3 ทุ่ม เวลาบ้านเขานะ...ช้ากว่าเราประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
จากนั้นก็นั่งรถบัส ซึ่งแบ่งเป็น 2 คัน คันละ 40 คน
รถบัสที่จัดมาผมว่าก็ดีนะ เท่าที่เห็นก็ดีที่สุดในเมืองนี้แล้ว
ยี่ห้อ TATA ตาต้า...แปลว่า บ๊าย บาย... แปลกดีนะ
แต่เครื่อง-ช่วงล่าง มันเยี่ยมมาก แอร์เย็นเป็นบ้า
แถมช่องแอร์ เป่าตรงกระหม่อมพอดี
นั่งรถไปอีก...10 ชั่วโมง
นอนไม่หลับ ตื่นที่ และที่สำคัญรำคาญเสียง แตร
โอ๊ย เจ้าประคุณเอ๊ยยย เมืองนี้มันบีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว...ตลอดเวลา
แล้วอีกอย่าง ถนนบ้านเมืองเค้า คล้ายๆ จะดี
มันเหมือนถนนลาดยาง ที่ลาดมานาน..น มากแล้วตามต่างจังหวัดของเรา
อ้อ จังหวัดชายแดนไกลๆ นะ
รถวิ่งกระโดกกระเดก กระเด้ง มาตลอดคืน
มาตื่นเต้น รู้สึกตัวว่ามาถึง อินเดีย กันจริงๆ ก็อีตอนจอดให้ลงไปปลดทุกข์
เค้าเล่นจอดมันริมถนน มองไปมีแต่ความเวิ้งว้างของทุ่งนาข้าวสาลี
มีต้นไม้ใหญ่บ้าง...นิดหน่อย
แถมมัน มืดตึ๊ดด ตื๊อออ
แล้วให้ผู้โดยสารทั้ง 80 ชีวิต ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งฆราวาส
ไปตัดสินใจกันเองว่าจะ ถ่ายหนัก ถ่ายเบา จะฉี่ จะอึ...ตามสบาย
ในท้องทุ่ง โล้ง..ง โล่ง..ง....

เมื่อทุกคนตั้งสติได้ เข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
ต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ทำตากะปริบ กะปริบ
พวกผู้ชายถ้าแค่ฉี่ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าจะถ่ายหนักก็เครียดละทีนี้
ยังไม่ทันตัดสินใจกัน ไกด์ทัวร์ก็ตะโกนสำทับ...
ระวังเหยียบ ขี้แขก นะให้เอาไฟฉายไปด้วย
โอ้..มายก๊อด
พวกคุณผู้หญิงที่มีอายุหน่อย ก็คงจะทนปวดฉี่ไม่ไหว
ชวนกันไปเที่ยวทุ่งสาลีกันเป็นกลุ่ม ๆ
แต่พวกสาว ๆ ยังทำใจไม่ได้ ก็กัดฟันทนต่อไป
ผมเองลงไปเที่ยวทุ่งเหมือนกัน...คอยพะวงกลัวเหยียบขี้แขกจะแย่
จากนั้นรถก็วิ่งต่อไปอีกหลาย..ย..ชั่วโมง

จนกระทั่งเกือบตี 5 ถูกปลุกให้ลงไปปลดทุกข์ทางกายกันอีกรอบ
เที่ยวนี้มีสาว ๆ บางคนทนไม่ไหว ควักผ้าถุงมาสวมแล้ววิ่งจู๊ดไปเลย
เอ้อ..ขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
ผมดูแล้วมันไม่ได้น่าอาย น่าอุจาด น่ามอง อะไรอย่างที่หวาดกลัวกันมา
มันมองไม่เห็นอะไร อะไร อะไร ซักกะหน่อย
แต่ละท่านก็มีผ้าถุงคลุมอย่างดี แถมยังอยู่ไกลจนไม่เห็นอะไรหร๊อก.ก.ก
แล้วยังพอจะมีเนิน มีต้นไม้ใบบังบ้าง
ผู้ชายที่ไปแสวงบุญ ก็ไม่ทำตัวทุเรศหรอกครับ
ระวังแต่ ขี้แขก เท่านั้นเอง
ตลอดเวลาที่อยู่อินเดีย มีแต่ปลงกับความทุกข์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า
เรื่องราคะ มันหายหด ผุดไม่ขึ้นแม้แต่น้อยนิดดด
และยิ่งกว่านั้น คนที่ลงไปถ่ายทุกข์ ไม่ว่าหนักหรือเบา
ก็รู้สึกได้ว่า...ได้ทิ้งอัตตาตัวตน ออกไปเยอะ

พอขึ้นมาบนรถกันครบแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป
ท่านวิทยากร ก็เล่าเรื่องที่นึกไม่ถึง...
คนอินเดีย ที่อยู่นอกเมืองเขาไม่ทำห้องส้วมไว้ในบ้าน
ในตอนเช้ามืด ผู้หญิงอินเดียจะหิ้วน้ำไป 1 ถัง
แล้วเดินเข้าไปปลดทุกข์ตามทุ่ง
พอสว่างในตอนเช้า ผู้ชายก็จะหิ้วถังน้ำไปปลดทุกข์กันทุกคน
แต่ที่ผมว่าแปลกประหลาด คือ
เค้านั่งถ่ายทุกข์หนัก กันกลางทุ่งโล่ง...โล่ง
โล่งโจ้ง แถมกลางทุ่งซะอีกแน่ะ
นั่งยองๆ กันน่าตาเฉย...มีตะโกนคุยกันด้วยนะ
ดูมันเป็นเรื่องปรกติ ทำมะด๊า ธรรมดาของพวกเค้า
หลายวันที่ผมเห็นห้องส้วมในเมือง...มันสกปรก อ่ะ
คิดแล้ว ตามท้องทุ่งดีกว่ามาก...สะอาด ลมโชย สบายกว่ากันเยอะเลย

พอเริ่มสว่าง ทางทัวร์ก็แจกข้าวเหนียวหมูฝอยกินกันอร่อย
พวกผู้หญิงหัวเราะกันคิกคัก เฮฮาเรื่องใช้บริการท้องทุ่ง
มีการค่อนแคะพวกใจไม่ถึงกันนิดหน่อยด้วยแหละ
ยืนยันนะครับ...การถ่ายทุกข์ที่อินเดียเป็นเรื่องง่ายดาย
เป็นเรื่องสนุก ประทับใจ ได้ทิ้งอัตตา ได้เห็นสัจจะธรรม
ผมเห็นแต่ละคนออกแนว...ภาคภูมิใจ ด้วยซ้ำไปแน่ะ
นี่เองห้องส้วมที่ ใหญ่ที่สุดในโลก

วันนี้เหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่าต่อนะ

อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 31 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 เมษายน 2555 8:43:03 น.
Counter : 2066 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.