กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 
วัดป่า...มหาสนุก 20

วัดป่า...มหาสนุก 20

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

มีคนอยากให้เล่าเรื่องการปฏิบัติฯ ภาวนาต่ออีก....
หลวงพ่อ....ท่านให้
คำสั่งแรก คือ เอาความรู้ที่ได้อ่านมา เรียนมาฟังมา เอาออกไปซะก่อน ให้เริ่มต้นนับ 1 กันใหม่หมดที่นี่

คำสั่งที่สอง...ท่องคำว่า พุ ท โ ธ. อย่างเดียวไม่มีอย่างอื่น ไม่ต้องสนใจลมหายใจ ไม่ต้องมีรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น 

แค่...พุทโธ อย่างเดียว จะช้า จะเร็ว ตามสบายเอาที่ตัวเราถนัด
แต่ก็แนะนำว่า ตอนเริ่มต้น จิตใจ มันยังว้าวุ่น ให้ พุทโธ เร็ว ๆ ๆๆๆๆๆๆ
หรือขณะที่กำลังกำลัง ภาวนา พุทโธ ไปเรื่อย ๆ เหมือนรถที่วิ่งเลาะเรียบไปตาม ชายทะเล เครื่องยนต์เดินเรียบสม่ำเสมอดี
แต่...มีอะไรมาตัดหน้า หรือมากระตุ้นเราให้หลุดจากการท่องภาวนา จิตใจ แส่ส่ายไปแว่บนึง
ให้รีบ ท่อง พุทโธ เร็ว ๆๆๆๆ เพื่อให้ใจมันกลับมาอยู่ที่คำบริกรรมอีกครั้ง
ถ้าเผลอลืม หรือหลุดจาก พุทโธ...ก็ไม่เป็นไร กลับมาต่อใหม่ได้เสมอ
เคล็ดลับสำคัญ...คือทำไปเรื่อย ๆ ทำไปบ่อย ๆ 
ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว ... มันก็เหมือนกับเรามีเป้าหมายจะเดินขึ้น ดอยสุเทพ
เรามายืนที่เชิงดอย ตีนเขา แล้ว... เราก็แค่ ก้าวเดินออกไป ทีละก้าว ทีละก้าว ๆๆๆๆๆ
เดิน ...เดิ๊นนน เดิน ๆๆๆๆ แค่ ก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แค่นั้นเอง
แต่บางทีมันหยุด กินน้ำกินข้างทาง แวะฉี่ แวะพักแก้เมื่อยบ้าง...ก็ไม่เห็นเป็นไร
ก็แค่...กลับมา ก้าวเดินต่อไป. พุทโธ ต่อไป
หรือเอาแบบผู้หญิงหน่อย เปรียบเหมือนคุณกำลัง...ถักทอ เสื้อคลุมวิเศษตัวหนึ่ง
เราใช้...พุ ท โ ธ  เป็นดั่งเส้นไหมทองคำ เราก็แค่...ถักทอ มันไปทีละปม ทีละปม ทีละปม ไปเรื่อยๆ 
มีธุระต้องรับโทรศัพท์ ก็วางไว้ ไปห้องน้ำก็วางไว้...แต่ต้องกลับมาถักทอ ต่ออีกอย่าได้ทิ้งได้ขว้างห่างหาย
สักวันนึง มันก็ต้องเสร็จ  สักวันนึงก็ต้องเดินขึ้นไปถึง...ยอดดอยสุเทพ
มันไม่ใช่เรื่อง ประหลาดมหัศจรรย์พันลึก อะไรสักนิด.....จดจ่อกับอะไร สิ่งนั้นก็จะขยายผล

หลวงพ่อ...ท่านเน้นว่า...ห้ามทิ้งคำภาวนา พุ ท โ ธ
ต้องท่องบริกรรมไว้ในใจ ตลอดเวลา  ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ขับถ่าย ก็ต้องให้มีติดอยู่ตลอดในใจ
แม้แต่ หลวงพ่อเอง ก็ยังทำอยู่ทุกขณะจิต
ในตอนแรก ๆ มันคอยหลุด คอยหาย ใจแว่บบบ ไปแว่บมา
แต่ก็ต้องอดทนสู้ ท่องไว้ตลอดเวลาให้มากที่สุด....จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไปอย่างปรกติธรรมดา
ผมไม่อยากบอกว่า...ทำไปเรื่อย ๆ แล้วมันมีความก้าวหน้าอะไรแค่ไหน เพราะมันแล้วแต่ สติปัญญาของแต่ละคน
บางคนฟังแล้วเข้าใจ มีกำลังใจ แต่บางคนฟังแล้ว...ใจร้อน ฟุ้งซ่าน อยากได้ ฤทธิ์ ได้เดชไปโน่นนนน เลย
แต่ก็บอกใบ้แค่ว่า....ทำไปเถอะ ผลที่ตามมามัน คุ้มค่า และมหัศจรรย์ เหลือหลาย. เรื่องฤทธิ์เดชน่ะจิ๊บจ๊อยย

เมื่อบริกรรมท่อง...พุ ท โ ธ ไปจนใจเริ่มสงบดี สำหรับผมนะ ....จะได้ยิน ได้รู้สึกถึง หัวใจเต้น ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...
ผมก็ยัง ภาวนา พุทธโท ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด แต่จะมาจดจ่อกับหัวใจที่เต้น...ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ.........
แล้วตามดูมันไป ว่า...เลือดมันวิ่งไปที่ไหนบ้างในร่างกาย พุ่งปรี๊ดปร๊าก ไปที่ปลายมือ ปลายเท้า
หรือพอหัวใจเต้นได้ที่ดี เราเองนี่แหละจะรู้ว่า...จิตใจ ของเรานิ่งสงบดี
อีทีนี้ ก็จับความรู้สึกตรงโน่นบ้าง ตรงนี้บ้าง...สนุกไป
หู ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ ผิวหนังร่างกายรู้สึกถึง ลมที่มากระทบ
หายใจ ลึกบ้างตื้นบ้าง ตามดูว่า....ลมเข้าปอดพอง ลมออกปอด แฟบบบ
แต่...ที่สังเกตุตัวเองได้อย่างหนึ่ง คือ....คำบริกรรม พุทโธ พอทำไป ทำมา ความเร็วในการท่องจะไปสัมพันธ์ กับอัตราการเต้นของหัวใจ 
ของคนอื่น ๆ เป็นยังไง ผมไม่รู้นะ
หลวงพ่อ...ท่านจะบอกว่า....ทำไป ทำไป ๆๆๆ แล้วจะรู้เอง
เหมือนเดินขึ้นภูเขา ดอยสุเทพ ...พอเริ่มก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ตัวเราก็จะรู้เองว่า กำลังของเราควรจะเดิน ด้วยสปีดความเร็วแค่ไหนจึงจะดี
เมื่อเดินไปเจอ...ทางแยก เราก็ออกจะสงสัยว่าจะไปทางไหนดี
ก็ต้องกลับมาที่ เป้าหมายของเรา คือยอดดอย คือ...พระนิพพาน
ถ้าจับจ้องมองเป้าหมาย ไม่หลุดออกจากใจเราก็จะเลือกทางได้ถูก 
ถึงแม้จะผิดพลาดในบางครั้งเราก็จะรู้สึกตัวได้เร็ว กลับมาสู่ทางที่ถูกต้องได้ง่าย ไม่ถลำลึก

คำสั่งที่สาม...ท่านบอกให้. ดูแต่ตัวเอง ไม่ต้องไปดูคนอื่น

ไม่ต้องไปวุ่นวายแส่ส่ายเรื่องของคนอื่น ให้สนใจดูแต่ตัวเรา ...เอ้าาา แล้วดูอะไรล่ะ การดูตัวเองน่ะ
ก็ดู...ทู้กกกก อย่าง ดูร่างกาย ดูจิตใจ ดูอารมณ์ ดูความรู้สึก ดูไฟ 3 กอง .... โลภะ โทสะ โมหะ ที่มันลุกโชติช่วงชัชวาล อยู่ในใจเรา
เอาจริง ๆ นะ ผมเป็น คนกรุงเทพ เป็นพ่อค้า และเคยเป็นโจรมาก่อน
ผมเรียนมาทาง บริหารธุรกิจ ถูกฝึกหัดให้รับรู้ สนใจ และจับความเคลื่อนไหวของสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง ใครทำอะไร มีปฏิกริยาอย่างไร
โธ่...ผมฝึกหัด ดูคนอื่นมาทั้งชีวิต 50 กว่าปี แล้วหลวงพ่อ...กลับมาบอกให้เลิกดูโดยเด็ดขาด มันทำยากที่สุด
ปรกติแล้ว การเป็นพ่อค้านักธุรกิจ ...เรื่องของชาวบ้าน คืองานของเรา
แต่ตอนนี้ท่านให้มาดู ใจ ของเรา กายของเรา กิเลสของเรา สิ่งที่เราคิด ที่เราเป็น สิ่งที่เราหวัง สิ่งที่เราจะมุ่งไป
ไม่ต้องไปสนใจว่า คนอื่น ๆๆๆๆๆ เค้าคิดอะไร ทำอะไร สนใจอะไร ....มันเรื่องของเค้า เราไปยุ่ง ไปเฉือกก อะไรกับเค้าล่ะ
สิ่งที่ต้องยุ่ง ต้องจดจ่อ คือตัวของเรานี่แหละ ใจ ของเรานี่แหละเรื่องใหญ่ที่สุด
หัวใจ ...ที่โตเท่ากำปั้น แต่สิ่งที่อยู่ข้างใน...มันใหญ่โตมโหราฬ ไม่มีที่สิ้นสุด
ค้นไปเถอะ หาไปเถอะ ท่องเที่ยวไปเถอะ ไม่จบไม่สิ้น

ผมเคยถามแย้งท่าน ว่า...ผมเป็นพ่อค้า ต้องสนใจเรื่องของคนอื่นสิครับ
เค้าชอบอะไร เกลียดอะไร อยากได้อะไร ผมต้องเข้าใจเค้าเรียนรู้เค้า เพื่อจะได้หาช่องหาประโยชน์จากเค้าได้น่ะครับ
หลวงพ่อ...ท่านบอก ถ้าอยากรู้เรื่องของคนอื่น ให้ดูที่ตัวเเราให้แตกฉานซะก่อน
ดูตัวเรา เห็นตัวเรา ก็จะเห็นคนอื่น เข้าใจคนอื่น .....เค้าก็เหมือนกันเรา และเราก็เหมือนกับเค้า
เนี่ยะ ท่านบอกอย่างนี้
ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เชื่อฟังไว้ก่อน... เลิกสนใจคนอื่น เลิกยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น หันมาสนใจแค่...ตัวเรา
แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เดินจงกรมอยู่ คำสั่งของหลวงพ่อ...ก็เด้งขึ้นมาในหัว
ฉับพลันนั้นต่อด้วยความเข้าใจ ตีโจทก์แตกได้นิดหน่อย
อ๋อ...ดูแต่เรื่องของเรา ไม่ต้องดูเรื่องคนอื่น
แล้วผมก็ได้คำจำกัดความ ที่เอาไว้ใช้คนเดียว ห้ามลอกเลียนแบบ... 
เรื่องของ ตู 
เรื่องของ มะรึง 
และ ไม่ใช่เรื่องของ ตู
อธิบายเปรียบเทียบเหมือนกับผม กำลังจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน
เรื่องของตู คือ...ผมต้องใส่หมวกกันน๊อค ให้เรียบร้อย แน่นหนา ขับขี่อย่างระมัดระวัง
แต่พอขี่ออกไปในถนนแล้ว ไปเห็นรถคันข้าง ๆ มันไม่ใส่หมวกกันน๊อค...ผมก็ไม่ต้องไปเฉีอกก ไปยุ่งกับเค้า มันเรื่องของ มะรึง
เค้าจะประมาท จะไม่รักตัวเอง ไม่รักครอบครัว มันก็...เรื่องของมะรึง
และถ้าขี่ ๆ ไป แล้วเห็นเค้าถูกตำรวจ จับเพราะไม่สวมหมวกก็ไม่ใช่เรื่องของเราจะต้องไปสนใจ
ใครจะมีอุบัติเหตุ ใครจะทะเลาะกับใคร ยังไง...ก้อไม่ใช่เรื่องของตู

หลวงพ่อ....ท่านเน้นเรื่องการปฏิบัติ ฝึกหัดตนตาม พระวินัย ทุกเรื่อง
ท่านไม่ค่อยเทศน์ยาว ๆ แต่ถ้าอยู่กันแบบตัวต่อตัว หรือเฉพาะพวก พระ ด้วยกัน ละก้อ สอนยาววววว
ท่านไม่ค่อยเน้น ปริยัติ ทฤษฎี แต่มักจะหลุดคำคม คำพังเพย ประโยคเด็ด ๆ ออกมาอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว
บางคำถึงกับ สะอึก บางคำต้องเอาไปเดินจงกรมขบคิดอยู่หลายวัน
เช่นกำลัง ตีตาด กวาดลานวัด....ใบไม้ก็ปลิวร่วงหล่นลงมา กวาดไปยังไม่ทันเสร็จ  อ้าวว ร่วงลงมาอีกแล้ว
ยิ่งหน้าร้อน ลมพัดแรง ต้นไม้ทิ้งใบ กวาดไปเถอะเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ขณะที่กำลังกวาด ด้วยความหงุดหงิด หลวงพ่อ...ท่านกวาดมาข้าง ๆ แล้วพูด...
ใบไม้...ก็เหมือนกิเลส ที่มันร่วงหล่นมาสู่ใจเราอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวต้นนั้น เดี๋ยวต้นนี้
เหมือนกับเรื่องที่หล่นใส่ใจเรา เรื่องนั้นเรื่องนี้
เราก็มีหน้าที่ แค่กวาดมันทิ้งไป...กวาดไป ๆๆๆๆ สักวันหนึ่งก็ต้องหมดเกลี้ยง
ฟังแล้วจับใจ ได้ข้อคิด....
แต่พอเอาเรื่องนี้ ไปเล่าให้ หลวงตาฯ มหา...ท่านฟัง
ท่านกลับบอกว่า...เราต้องโค่น ต้นกิเลส มันทิ้งออกไป ตัดที่ต้นเหตุซะเลย
ผมแย้งว่า...ต้นมันใหญ่โตมโหฬาร จะเอาอะไรไปตัด ไปโค่นมันล่ะครับ
ท่านบอก....ปัญญา ไงล่ะ

ผมเคยกราบเรียนถาม หลวงตาฯ ว่าจะต้องไปเรียนรู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน แบบที่เค้าเรียน ปริยัติฯ กันมั้ย
ท่านบอก แค่รู้ตัวหลัก ๆ ไว้บ้างก็พอ เช่น...พระพุทธเจ้า ท่านสอนอะไร
ท่านสอนอยู่เรื่องเดียว นะ คือ....ทุกข์ และการดับทุกข์
วิธีคิด วิธีการดับทุกข์ต้องใช้อะไร....ก้อใช้วิธีการทั้ง 8 คือ มรรค 8
เริ่มจาก ....คิด พูด ทำ
ทุกอย่างมันต้องเริ่มต้น จาก....ความคิด ทั้งนั้นแหละ
คิดบ่อย ๆ ก็พูดออกมา  พูดบ่อย ๆ  ก็จะเริ่มลงมือทำ
ทั้งเรื่องดี เรื่องชั่ว มันต้องมาจากความคิดทั้งนั้น
เหมือนต้นมะม่วง....มันต้องมีต้นซะก่อน แล้วออกดอก  พอออกดอกแล้วก็ติดลูก เป็นผล เป็นลูกมะม่วง
พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่าทุกอย่าง มันต้องมี....เหตุ แล้วจึงมี...ผล
เราแค่ทำเหตุ ให้ดี ผลที่ออกมาก็ต้อง ดี แน่นอน
ส่วนว่าจะดี แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ว่าทำเหตุไว้เข้มข้นแค่ไหน ล่ะ

นอจากว่า ผล ที่จะเกิดขึ้นได้ ม้นต้องมี....เหตุ แล้ว
แต่ ไม่ได้มีแค่ เหตุอย่างเดียว...มันต้องมีองค์ประกอบของเหตุ ที่เราเรียกว่า...เหตุปัจจัย ด้วย
เช่น กองไฟ มันจะติดขึ้นมาลุกโชนได้ มันต้องมีอะไรเป็นองค์ประกอบ ล่ะ
ก็ต้องมี...เชื้อเพลิง ฟืน หรือ น้ำมัน
และยังต้องมีออกซิเจน มีประกายไฟ  ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ไม่ติด
เอาน้ำมันเบนซิน มาถังนึง...แล้วเอา ไฟแช็ค มาด้วย
ถ้าไม่มีใครจุดไฟแช็ค มันก็ไม่ติดไฟ ไม่ลุกขึ้นพรึบพรับ....ต่อให้เอา ไฟแช็ค โยนลงไปในอ่างน้ำมันเบนซิน ก็ไม่เป็นไร
เห็นมั้ย...เหตุปัจจัย มันไม่ครบ

ผมเรียนถามท่านว่า...ผมต้องเรียนรู้เรื่อง ฌาน มั้ยครับ
ว่าผมภาวนาไปได้ถึง ฌาน ไหน
ท่านบอกว่า...ถ้าจะเดินให้ถึง ยอดเขา ก็แค่ตั้งหน้า ตั้งตาเดินไป เหนื่อยก็พักแล้วก็ไปต่อ ก้าวเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง
จะไปมัววัดระยะอยู่ทำไมว่า เดินมากี่ก้าว ไปได้แค่ไหน สูงขึ้นมาจากน้ำทะเลเท่าไหร่แล้ว....รู้แล้วได้อะไร
แย่กว่านั้นคือ...รู้แล้วเหลิง ตะโกนคุยอวดใครต่อใครไปทั่ว
ต้องเงยหน้ามองยอดเขาอยู่ตลอดเวลา เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดอยู่เสมอว่า เราต้องไปให้ถึงยอด ไปให้ถึงที่สุดให้ได้
ถ้าชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าก็เอาอีก...ๆๆๆๆๆ

ผมถามต่อ...แล้วผมต้องเรียนรู้มั้ยว่า...จิต มันมีกี่ดวง เกิดดับเท่าไหร่ต่อนาที
หลวงตามหาฯ ท่านหัวเราะ...แล้วย้อนถามว่า ถ้าเราจะโค่นต้นไม้ แล้วจะไปมัวนั่งนับ...ใบ มันทำไมล่ะ
สิ่งที่ต้องทำ คือ หาวิธีโค่นมันลงให้เร็วที่สุด ง่ายที่สุด จะค่อย ๆ ริดกิ่งก้านใบ หรือจะฟัน ที่โคนมันเลย
เราต้องหาขวาน คือปัญญา ลับมันให้คมกริบ หาที่ยืนให้มั่นคงด้วยศีล ที่ปรับไว้แน่นหนาดีแล้ว 
ตั้งหลักมั่นจดจ่อด้วยสมาธิ  จับขวานให้มั่นเหมาะ ด้วยสติ แล้วเลือจุดที่จะ...ฟัน มันให้เหมาะ ๆ 
แล้วลงมือกระหน่ำฟาดฟัน ต้นกิเลส...ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าอ่อนข้อ อย่าท้อถอย
สักวันนึง มันต้องโค่นล้มลงมา...อยู่แทบเท้าเรา

โอ้ววว ฟังแล้ว...ฮึกเหิม 
ยกมือขึ้น...สาธุ. สา ธุ   สา........ธุ

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564


Create Date : 06 กันยายน 2562
Last Update : 6 กันยายน 2562 12:04:18 น. 0 comments
Counter : 548 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.