กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 
กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 29

โอ้..อินเดีย 29

สวัสดีครับ...
อันที่จริงก็ว่าจะจบซีรี่ส์ โอ้...อินเดีย ซะที
เพราะเล่าตั้งแต่วันก่อนเดินทาง จนเรื่อยเปื่อยไปจนถึงวันสุดท้ายที่ได้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ดินแดนเกิดของ พุทธศาสนา
แต่ก็ให้รู้สึกขาด ๆ หาย ๆ อะไรไปหลายอย่าง
ต้องมานั่งคิดดูว่า อะไรที่เป็นเหตุให้มีไฟอยากมาเล่าเรื่องตั้งมากมาย
ก็นึกได้ว่า...การที่ได้ไป สังเวชนียสถาน
ความรู้สึกขณะที่ได้กราบลง ณ. ที่ตรงก้อนดิน ก้อนหิน ที่พระพุทธองค์ได้เคยประทับ
มันเหมือนกับเราได้กราบลงที่...พระบาทท่านจริง ๆ
ชั่วขณะเวลานั่งปฏิบัติสมาธิ กรรมฐาน ที่หน้ามูลคันธกุฎีที่ประทับ
ก็เหมือนกับได้มาเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่าน
มันอธิบายไม่ได้ บรรยายไม่ถูก
บอกได้แต่ว่า...ปิติ อิ่มเอิบ เปี่ยมศรัทธา ได้สติ ได้ปัญญา
ความคลอนแคลน ความขัดข้องสงสัย ที่เคยมีมานาน..น...น
มันหายไปซะหมดสิ้น
ความกังวล ความติดยึดในบาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต...มันหลุดออกไป
ได้สติ ว่า...ไม่มีประโยชน์อะไรกับการมานั่งเสียใจ
มีปัญญา คิดมุ่งมั่นสร้างสมเสบียงบุญซะดีกว่า
วันคืนล่วงไป...ล่วงไป เรามัวทำอะไรอยู่
สิ่งที่ตามมาคือ ความกระตือรือล้น อยากรู้ให้ลึกซึ้งมากกว่านี้
อยากเข้าให้ถึง...แก่น
แต่สิ่งที่แย่ก็มีนะ ตั้งแต่กลับมาคราวนี้แล้วไม่สนใจความแตกต่างระหว่างลัทธิ นิกาย
จะเถรวาท มหายาน หรือสำหนักไหนจะมีกิจกรรมแอ๊คติ้งอะไรก็ตามสบาย
ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เป็น กรรม ของเขา
ที่แปลกประหลาดกว่าเดิม คือจิตประหวัดคิดถึงแต่...พุทธคยา
ก้มกราบพระสวดมนต์ ก็ระลึกว่ากราบ...พระพุทธเมตตา
ทุกครั้งที่เห็นต้นโพธิ์ ก็ให้คิดไปถึง...ต้นพระศรีมหาโพธิ์
มีความรู้สึกหลอน ๆ ว่า...ได้ขยับเข้าใกล้พระพุทธเจ้า ขึ้นอีกนิ๊ด.ด..ด
มองเห็นแสงสว่างของพระองค์ท่านอยู่ ลิบ...ลิบ

ไอ้ความรู้สึกอิ่มเอิบที่ว่านี้ มันมากมายซะจนอยากแบ่งปันให้ใคร ๆ
อยากชักชวนให้ได้ไปชิม ไปรับเอามาบ้างนะ
เมืองไทยมี พระ ให้กราบตั้งเป็นหมื่น เป็นแสน
แต่...ก็เป็นสิ่งจำลองทั้งนั้น
ต้องไปกราบให้ถึงที่ ณ. จุดเดิมแท้ ซักครั้ง
แล้วอีทีนี้ จะกราบตรงไหนก็ได้ไม่สำคัญ
เพราะเหตุว่า...พระพุทธองค์ ท่านอยู่เต็มหัวใจซะแล้ว

ผมเลยอยากจะขอร้องให้ท่านที่เมตตามาตลอด
ช่วยเขียนมาเล่าให้ด้วยเถอะครับว่า...
ก่อนไป อินเดีย กับหลังจากที่กลับมาแล้ว...เป็นยังไง
ความรู้สึกเมื่อได้กราบลงที่ตรง สังเวชนียสถาน มันเป็นยังไง
แล้วได้เห็น ได้คิด หรือมีสิ่งเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างมั๊ย
เงินที่เสียไป สามหมื่น ห้าหมื่น น่ะ...มันคุ้มมั๊ย
สำหรับท่านที่เป็นสมาชิก พันทิป คงไม่มีปัญหา
แต่ท่านที่ไม่ใช่สมาชิก ช่วยอีเมล์มาด้วยนะครับ
tobeteam@yahoo.com
ได้โปรดเถิด นะครับ อยากได้เป็นข้อมูลเล่าสู่กันฟัง
และเป็นการชักชวนคนที่ยังลังเล หรือเริ่มสนใจ
ให้รีบตัดสินใจ...

อ้อ...พูดถึงอีเมล์แล้ว
ใน โอ้..อินเดีย 17 ผมเล่าเรื่องวัดไทย 960 และท่าน อ.วรพร
ผู้เดินทางไปเป็นอาสาสมัครฯ ช่วยงาน
ปรากฏว่าท่านได้อ่านเรื่องนี้ด้วย และเขียนมาถึงผมด้วย
ลองอ่านดูนะครับ...

เรียน คุณอนณ
ดิฉันบังเอิญได้อ่าน blog ของคุณที่ลงเรื่องประเทศอินเดีย (//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tobeteam&date=26-04-2012&group=1&gblog=129)
โดยมีน้องที่รู้จักส่งมาให้อีกต่อหนึ่ง
ด้วยความขอบคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาเขียนบางส่วนถึงดิฉันแต่ในทางที่ดี ๆ ทั้งนั้น
อ่านแล้วสบายใจเป็นที่สุดค่ะ
แต่ในช่วงที่ดิฉันไปปฏิบัติงานที่ วัดไทย 960 นั้น มีโอกาสได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตานับพันนับหมื่นคน
ดิฉันต้องเรียนตามตรงว่าจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
ทั้งที่แต่ละคนดูหน้าตาอิ่มบุญด้วยบรรยากาศของแดนพุทธภูมิ ที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำจิตว่างได้ในช่วงเวลาหนึ่งจริงๆ
( คือลืมภารกิจหมกมุ่นจากเมืองไทยได้หมด )
และที่แน่นอนคือทุกคนแสดงความเป็นมิตรไมตรีกับดิฉันทั้งนั้น
ที่น่าภาคภูมิใจยิ่งกว่านั้นคือแทบทุกท่านจะสอบถามดิฉันว่ามาได้อย่างไร
ถ้าจะมาเป็นอาสาสมัครแบบนี้บ้างจะสมัครได้ที่ไหน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็แสดงความชื่นชม กราบอนุโมทนาบุญกับดิฉันทั้งนั้น
ด้วยกำลังใจเหล่านี้เอง ทำให้ดิฉันสามารถยืนหยัดปฏิบัติงานได้ถึง 6 เดือนตามสัจจะที่ตั้งไว้
ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณญาติโยมทุกท่านที่ได้มีโอกาสสนทนาปราศรัยกันที่นั่น
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะเดินทางไปอินเดีย ดิฉันไม่กล้าคิดว่าเราจะไปกอบโกยบุญหรืออะไรทั้งนั้น
ดิฉันคิดเพียงอยากไปช่วยทำประโยชน์ให้กับทางวัดและได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคมเพียงเท่านั้น
เพราะในชีวิตของลูกผู้หญิงก็มักจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวตนเอง
ชีวิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องลูกและสามีตลอดเวลาถ้ามีโอกาสเราต้องหาประสบการณ์อย่างอื่นในชีวิตบ้าง
แล้วก็สมความตั้งใจตามที่คุณทราบแล้ว

ดังนั้นดิฉันจึงขออนุญาตเรียนคุณหม่อง ภรรยาของคุณว่า
เธอเป็นคนมีจิตกุศล เพียงแต่คิดว่าอยากจะช่วยงานวัดไทยก็เป็นบุญแล้ว
งานประจำที่ทำในวัดก็...ไม่หนักหนาอะไรเลย
พระสงฆ์ในวัดทุกรูปก็มีเมตตาสูง
ช่วงแรกดิฉันก็รู้สึกอึดอัดบ้าง พอครบ 6 เดือนจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว
ถ้าเราตัดอัตตาทิ้งได้ก็พบความสุข
ดิฉันจึงยังคิดอยู่เสมอว่าดิฉันเป็นหนี้บุญคุณ วัดไทย 960 มากเหลือล้น
ที่เป็นเสมือนโรงเรียนกวดวิชาอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากโลกสมมติที่เราคุ้นเคย
งานวัดบางครั้งก็ละเอียดอ่อนไหวมาก เมื่อเราผ่านมาได้ในช่วงเวลา 6 เดือน
ก็เปรียบเหมือนเราได้ภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับความทุกข์ ความเป็นอนิจจังต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ในอนาคตบางส่วน
( จะหลุดพ้นเต็มที่คงยาก มาก...ก )
กลับมาเรื่องคุณหม่องใหม่นะคะ
การจะออกจากบ้านนั้นก่อนอื่นจะต้องได้รับวีซ่าจากคุณอนณก่อน...หมดภาระดูแลลูกด้วย
เพราะอย่าลืมว่าพวกเรามักจะเป็น ยายแจ๋ว คนเก่งของบ้านใช่ไหมคะ
ช่วงที่ดิฉันอยู่อินเดีย สามีใช้บริการกับข้าวที่ขายในถุงพลาสติกเป็นประจำ (ทำเองไม่เป็น...ไม่เคยทำ)
ตอนที่ดิฉันกลับมาใหม่ๆ เมื่อต้นเดือน เมษายน
ช่วงอาทิตย์แรก ดิฉันก็ปล่อยให้เขาดูแลบ้านเหมือนเดิมตามความคุ้นเคยเหมือนช่วง 6 เดือนก่อน
ดิฉันก็ทำตัวเหมือนเป็นแขกคนสำคัญของบ้านไปโดยปริยาย
แต่ขอประทานโทษ ณ วินาทีนี้ ดิฉันก็กลับกลายมาเป็นยายแจ๋วคนเก่งเหมือนเดิม
ดิฉันก็ยังงง ๆ อยู่ว่าภาระงานบ้านเหล่านี้ผ่อนถ่ายมาอยู่ในมือดิฉันได้อย่างไรก็ไม่ทราบ

ทีนี้ขั้นตอนต่อไปที่คุณหม่องจะตัดสินใจจากบ้านไปได้ ก็คือ...
ต้องคิดเสียว่าคุณอนณเป็นของนอกกาย
เราต้องมีอิสระในการใช้ชีวิตบ้าง โดยเฉพาะเป็นการใช้ชีวิตในการสร้างต้นทุนบุญให้กับตนเอง
คิดว่าคุณคงจะอนุโมทนาด้วย จริงไหมคะ...
เพราะอย่างไรเสียทั้ง พ่อ และแม่ คงออกจากบ้านไปนานๆ พร้อมกันไม่ได้
ดิฉันแนะนำเล่น ๆ ขำ ๆ นะคะ
เพราะความเป็นจริงแล้วการจากครอบครัวนาน ๆ นี้...ทำใจยากที่สุด
แต่ถ้าตัดใจทำได้ก็จะรู้จักรสชาตของ Homesick
และถ้าไปได้จริงๆ ก็จะทราบซึ้งเลยว่ามันเป็น “ เกียรติประวัติ ” ของชีวิต
ที่เราจะสบายใจทุกครั้งเมื่อย้อนไประลึกถึง

บางครั้งดิฉันยังแปลกใจว่า 6 เดือนของชีวิตในวัดโดยไม่ออกไปข้างนอกเลยยังผ่านมาได้
น่าเสียดายที่กลับมาบ้านต้องมาใช้ชีวิตตามแบบเดิมๆ “ คล้าย ๆ ว่า เฮฮาที่ไหนไปที่นั่น ”
เคยโทรไปหารือพระที่ วัด 960
ท่านบอกว่า “ ให้โยมทำตัวไปตามโลกสมมติเถิด แต่ให้บวชใจอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องบวชกาย ”
ดิฉันก็ยังงง ๆ อยู่เลย ไม่รู้จะบวชใจกันอย่างไร

ตอนดิฉันกลับมาใหม่ๆ มีญาติโยมโทรศัพท์มาคุยหลายคน ส่วนใหญก็ถามเรื่องการไปทำงานที่ อินเดีย ดังกล่าวแล้ว
ดิฉันขอแก้ข่าวนิดนึงคือดิฉันไม่ใช่ไฮโซค่ะ ดิฉันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับไฮโซด้วยซ้ำ ( แต่ก็อดจะขอบคุณไม่ได้ที่ถูกมองเป็นอย่างนั้น )
และบ้านของดิฉันอยู่กม. 6 ถนนรามอินทรา อายุ 66 ปีแล้วค่ะ
สถานที่ที่ดิฉันอยากไปมากที่สุดคือเมืองพาราณสี โดยเฉพาะตรงบริเวณแม่น้ำคงคา อยากไปเห็นภาพจริง ๆ

ฝากความปรารถนาดีมายังคุณหม่องและลูกๆด้วยนะคะ
วรพร เสถียร

อย่างที่บอกนะครับ...
อยากได้ความเห็น ความรู้สึกของแต่ละท่านที่เคยเดินทางไปแสวงบุญ
กราบสังเวชนียสถาน มาแล้ว
เพื่อเป็นข้อมูลเผยแพร่ ให้คนที่อยากฟังอีกมากมายก่ายกอง
ช่วยกันนะครับ...ช่วยกันนะ


อนณ 093-149-9564
tobeteam@yahoo.com



Create Date : 21 มิถุนายน 2555
Last Update : 10 ตุลาคม 2558 22:08:22 น. 1 comments
Counter : 3626 Pageviews.

 
ขออนุโมทนาบุญด้วยคนนะคะ กำลังเตรียมตัวเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดีย. แดนพุทธภูมิเหมือนกันค่ะ ได้มาอ่านติดตามโอ้...อินเดียของคุณอนณแล้วยิ่งประทับใจมากขึ้นไปอีกขอบคุณมากนะคะสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆแบบนี้


โดย: เสาวณีย์ IP: 49.48.244.189 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2558 เวลา:23:00:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.