กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 
วัดป่า...มหาสนุก 49

วัดป่า...มหาสนุก 49
( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

เล่าเรื่อง ผัวฝรั่งคานาเดี้ยน หนุ่มวิศวะ...กับเมียคนไทย สาวน้อยหน้าหวาน มาเที่ยววัดป่า
ผมต้องกลายเป็นไกด์ พาทัวร์วัด แถมเล่าเรื่องของ พระพุทธเจ้า กับคำสอน แบบ...กระท่อนกระแท่น
เดินกันไป คุยกันไป เปลี่ยนที่คุยก็แล้วพวกเค้ายังไม่หายสงสัย
ถามว่า....หลักการที่ พระพุทธเจ้า ท่านสอนคืออะไร
ผมเลยต้องค่อย ๆ นึกดู.....

.... หลักของความเปลี่ยนแปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ จักวาลนี้ ไม่มีอะไรที่คงอยู่ในสภาพเดิมเลยสักอย่างเดียว
ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ ต้นไม้ แม่น้ำลำธาร หรือ ภูเขาที่ได้ชื่อว่า เอเวอร์เรส ....เอฟเวอร์ ลาสติ้ง
มันเกิดขึ้นมา คงอยู่ได้แป๊ปป เดียว...แล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไป สลายไป ตายไปด้วยกัน ท้างงง น้านนน
ผมให้พวกเค้า ลองบอกมาสิว่า...อะไรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เลย
เค้าก็ลองหาดู แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่า...ไม่มีอะไร ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

... หลักของ เหตุ และ ผล
อันนี้เค้าเข้าใจง่าย....มีเหตุ แล้วต้องมี...ผล ตามมาเสมอ
แต่ถ้าเราต้องการ ผล แบบไหน ก็ทำ...เหตุ แบบนั้น
ต้องการ ผลที่ดี ก็ทำ เหตุที่ดี...แค่นั้นเอง
แต่...ในความเป็นจริง แล้วต้อง...จดจ้อง ทำแต่เหตุ
อย่าไปสนใจ....ผล
ในทุก ๆ วัน เพียงแค่ ...ทำเหตุ ให้ดี แล้วยังไงซะ ผล มันก็ต้องออกมาดี เองนั่นแหละ

แล้วจู่ ๆ คุณสามี มร.เบน ก็ถามขึ้นว่า....พระพุทธเจ้า สอนเรื่องการแก้ปัญหาไว้บ้างมั้ย
ผมก็นึก ๆ ดูแล้วบอกว่า.....
.... ท่านสอนเรื่อง วิเคราะห์ กับ สังเคราะห์
เอาจริง ๆ มันก็เกี่ยวพันกับเรื่อง เหตุ และ ผล เหมือนกัน
คือ....ปัญหา หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราต้องเอามันออกมา...แยกย่อย
เอามารื้อดู...เหตุปัจจัย องค์ประกอบ แฟคเตอร์ของมัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าที่บ้านของคุณมีห้องว่าง ๆ อยู่ห้องนึง
อยากจัด...ปาร์ตี้ ร้องคาราโอเกะ จะต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า...ก็ไปหาเครื่องดื่ม อาหาร เครื่องเสียง และชวนเพื่อน ๆ มากันหลาย ๆ คน
ก็น่าจะเป็น ปาร์ตี้ ได้แล้ว

อีทีนี้เอาใหม่นะ...ถ้าเลิกปาร์ตี้ แต่อยากทำเป็นห้องประชุม สัมมานา ล่ะ
เค้าบอก...ก็เอาข้าวของในงานปาร์ตี้ ออกไป
เอาโต๊ะ เก้าอี้ เข้ามาแทน แล้วหากระดาน จอโปรเจคเตอร์ พร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์
เตรียมเครื่องดื่ม กาแฟ ไว้ให้พร้อม
ผมบอกว่านั่นสิ....วิเคราะห์ อนาไลซ์ คือ แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
สังเคราะห์ ซินเททิค คือ เอามารวมกันเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่
ถ้าเรื่องไหนที่เป็นปัญหา ก็เอามันมา...วิเคราะห์ แยกย่อยออกเป็นชิ้น ๆ แล้วดูว่าชิ้นไหนที่มันเสีย มันบกพร่อง
จัดการซ่อมมัน แล้วประกอบเข้าไปใหม่
เรื่องของ คน หรือ ทีมงาน ก็เหมือนกัน ถ้าทำงานไม่ได้ หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ก็ลองพิจารณาเป็นส่วน ๆ ว่าใครคนไหนที่อ่อนด้อยเป็นปัญหา 
ผล ไม่ได้ตามที่ต้องการ....ก็ไปรื้อดู เหตุ เหตุปัจจัย แฟคเตอร์

คุณทิพย์ ฟังแล้วจ้องหน้าผม ถามว่า....ท่านสอนเรื่องการทำธุรกิจ การค้าให้ประสบความสำเร็จ มีบ้างมั้ย
ผมหัวเราะ บอกว่า....หลวงพ่อ...ท่านเคยให้คาถาไว้นะ
.... ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน
พระพุทธองค์ ท่านบอกว่า...อิทธิบาทสี่
....​ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
.... ความรักความชอบในสิ่งที่จะทำ
.... ความขยันหมั่นเพียร อดทนทำ
.... ความเอาใจใส่ จดจ่อ กับสิ่งที่กำลังทำ
.... หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อผิดพลาด

พระพุทธเจ้า ท่านเล่านิทานชาดกให้ฟัง.....
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ได้เคยเกิดเป็นเศรษฐี ในเมือง พาราณสี ชื่อว่า จุลลกเศรษฐี
เป็นหนุ่มที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้มาก 
มีอยู่วันหนึ่ง...กำลังเดินทางไปเพื่อเฝ้าพระราชา
ระหว่างทาง มองไปมองมาเห็น...ซากหนูตาย ตัวหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างถนน
ท่านก็พูดขึ้นดัง ๆ ว่า

...ไอ้ซากหนูตายตัวนี้อ่ะนะ ถ้าใครฉลาดมีปัญญา ก็สามารถเอามันมาทำประโยชน์ 
เป็นทุนประกอบอาชีพ ได้ใหญ่โตเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว...

รอบ ๆ ตัวท่านก็คงมีคนอยู่เยอะแหละนะ...แต่ มีไอ้หนุ่มยากจนกิ๊กก๊อก ชื่อ...จูฬันเตวาสิก
ไอ้หมอนี่ ได้ยินถนัดเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วก็คิด...
ท่านเศรษฐี เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง แถมยังเป็นคนที่พิเศษมาก.ก...
ท่านพูดอะไรแล้ว ต้องไม่พลาดแน่...
คิดได้แค่นั้น ก็รีบโดดไปตะครุบซากหนูตัวนั้น ก่อนคนอื่น

พอได้มาแล้ว มานั่งนึกว่าจะเอา ไอ้หนูตาย ตัวนี้ไปทำมาหากินยังไงดีหว่า
สรุป ก็เอาไปเดินเร่ขาย...เร่ขายไอ้ซากหนูตาย ตัวเดียวนี่อ่ะนะ
ก็ไม่มีใครซื้อซักคน เลยต้องเอามานั่งตีโจทก์ หากลยุทธใหม่
ใครนะที่มันจะอยากได้ หนูตาย...คงจะมีแต่แมวเท่านั้น...เอ๊ะ ได้การ
เขาเลยเอาไปเสนอขายให้กับ พวกคนที่รักแมว ชอบเลี้ยงแมว...สุดท้ายก็ขายจนได้
ได้เงินมา นิ๊ด.ด...หน่อย...ก็อีแค่หนูตายตัวเดียว 
ประมาณ 5 บาท

แล้วเขาก็เอาเงิน นิ๊ดเดียว ที่ได้ไปซื้อ งบน้ำอ้อย คือน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเป็นก้อน
แล้วเอาไปละลายกับน้ำสะอาด ทำเป็น...น้ำหวาน
จากนั้น...ไปยืนดักพวกคนเก็บดอกไม้ ที่ไปเก็บดอกไม้จากในป่าเอามาขาย
พอเจอพวกนี้ก็บริการ น้ำดื่ม น้ำหวาน ฟรี...ฟรี...คนละถ้วย สองถ้วย
คนมาเหนื่อยๆ พอได้น้ำหวานชื่นใจก็แสนสุข อารมณ์ดี...ขอบอก ขอบใจ
แล้วก็แบ่งดอกไม้ที่เก็บมาให้คนละกำมือ เป็นการตอบแทน
พอได้ดอกไม้สด ที่เพิ่งเก็บมา...คนอื่นเก็บ
ก็เอาไปขายที่ตลาด...ก็ได้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย
ประมาณ 30 บาท

หนุ่ม จูฬันฯ เอาดอกไม้ทั้งหมดนั้น ไปขายได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง
ในวันรุ่งขึ้น... เขาก็นำค่าดอกไม้นั้นซื้อน้ำอ้อยอีก แต่คราวนี้ตรงไปยังสวนดอกไม้เลยทีเดียว 
ให้พวกคนปลูกดอกไม้ ได้ดื่มน้ำอ้อย
พวกคนปลูกดอกไม้จึงตอบแทนน้ำใจเขา ด้วยการให้ดอกไม้ ที่เก็บแล้ว คนละครึ่งกอ 
ในวันเดียวกันนั้น เขาจึงนำดอกไม้ไปขายหมดสิ้น ได้เงินมาเพิ่มขึ้นอีกมากพอสมควร
ทำหยั่งงี้หมุนเวียน วนไปเรื่อย ๆ ....เงินกองทุนก็เพิ่มมากขึ้นทุกที
จนเขาเองก็เริ่มรู้สึกว่า...เริ่มรวยแล้ว

วันหนึ่ง...มีฝนตกหนัก แถมมีลมพายุด้วย 
ทำให้ต้นไม้ในอุทยานของพระราชา หักโค่นทั้งกิ่งแห้ง กิ่งสด มากมาย
ทำให้คนที่ดูแลเฝ้าสวนเหนื่อยใจเลยว่า จะทำยังไงต่อไป ต้องรีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยซะด้วย
เจ้าหนุ่ม จูฬันฯ หัวใสที่เริ่มจะรวยก็รีบไปคุยกับคนเฝ้าสวนทันที
แล้วยื่นข้อเสนอว่า... จะบริการเก็บกวาดกิ่งไม้หักโค่นทั้งหลายให้ ฟรี..ฟรี
ขอแค่ไอ้กิ่งไม้ ที่หักร่วงหล่นทั้งหลายนั้นก็พอ...

คนเฝ้าสวนที่กำลังกลุ้มใจ ก็รีบโอเค ตกลงทันที
จากนั้น...เจ้าหนุ่มหัวใส ก็ขอแรงพวกเด็กวัยรุ่นแถวนั้น ให้ช่วยกันขนกิ่งไม้ออกมาทั้งหมดในเวลาแป๊ปเดียวเอง
เมื่อได้กิ่งไม้มามากมายแล้ว...เขาก็ไปหาคนที่ต้องการซื้อ หาดีมานด์ หาคนที่กำลัง ว้อนท์
ตกลงก็ไปได้ ช่างปั้นหม้อ ที่กำลังต้องการฟืนไปเผาพวก เครื่องปั้นดินเผา
ถือว่าขายได้ราคามาก แสดงว่าเข้าใจเรื่อง ธุรกิจ เป็นอย่างดี ทั้ง ดีมานด์ ซัพพลาย ครบถ้วน
นอกจากได้เงินมากแล้ว ยังได้ขอแถม...ตุ่มน้ำ...มาด้วยอีกต่างหาก

แล้วก็จัดแจงเอา...ตุ่มน้ำ...ใส่น้ำดื่มเอาไว้ ในที่ใกล้ประตูพระนคร 
คอยบริการแก่คนเดินทาง และพวกขนฟืน หาบหญ้า ให้ได้ดื่มกินกันดับความกระหายน้ำ...ฟรี...ฟรี
พวกผู้คนทั้งหลายที่ได้รับน้ำใจจาก หนุ่มจูฬันฯ ต่างก็ออกปาก ว่า
...ท่านได้มีน้ำใจ มีพระคุณ แก่พวกเรามาก แล้วพวกเราจะช่วยกระทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง… 
จูฬันเตวาสิก ยิ้มแล้วบอกว่า...เอาไว้ถ้ามีธุระแล้วค่อยรบกวนก็แล้วกัน นะจ๊ะ

หลังจากนั้นแล้ว เขาก็เที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ ขยันตีสนิท ผูกสัมพันธ์ เมคคอนเน็คชั่น กับคนอื่นไปทั่ว 
ผูกมิตรไว้กับผู้คนที่ทำงาน ทั้งทางบก และทั้งที่ทำงานทางน้ำ
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง...คนทำงานทางบกผู้หนึ่ง ได้บอกแก่ หนุ่มจูฬันฯ ว่า
...พรุ่งนี้ จะมีพ่อค้าม้านำเอาม้า 500 ตัวมายังเมืองนี้
จากข่าวนี้เอง เขาจึงรีบไปบอกกับพวกคนหาบหญ้าทั้งหลายว่า
...ขอเหมาหญ้าที่มีทั้งหมด แต่ยังไม่จ่ายเงินนะ
...ขอเอาตัวอย่างมาหน่อยนึงก่อน
คนหาบหญ้าทั้งหมดถึง 500 คน ต่างก็รับคำ...โอเค
ตกลงพากันนำหญ้าคนละกำมือ มาไว้ที่ประตูบ้านของ ไอ้หนุ่มจูฬันฯ

พอวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อค้าม้าพาม้ามาถึงพระนครแล้ว แต่ไม่สามารถหาซื้อหญ้าให้ม้ากินได้เลย 
จนมาเจอกองหญ้าที่หน้าบ้าน จึงต้องขอซื้อหญ้า กับไอ้หนุ่มจูฬันฯ
พ่อค้าม้านั้น ถึงได้หญ้าไปเลี้ยงม้าของตน
เคสนี้ ทำกำไรอีกอักโขเลย...เพราะคอนเนคชั่น และความมีน้ำใจ

ต่อจากนั้นอีก ๒-๓ วัน สหายผู้ทำงานทางน้ำคนหนึ่ง ได้มาแจ้งข่าวกับ เจ้าหนุ่มจูฬันฯ ก่อนใคร ๆ ว่า
...วันนี้ จะมีเรือสินค้าลำใหญ่มาจอดที่ท่าน้ำนี้เอง
ได้ฟังอย่างนั้น หนุ่มจูฬันฯ ก็คิดว่า 
...เราน่าจะเอาเงินสักก้อน ไปเช่ารถ แล้วตระเตรียมพรรคพวกเพื่อนฝูงให้เพียบพร้อมไว้
จากนั้นก็นำ รถและผู้คนตรงไปยังท่าเรือ ด้วยมาดของพ่อค้าใหญ่
พอถึงแล้ว ก็เอาเงินที่มีไปมัดจำสินค้าบนเรือทั้งหมด กับเจ้าของเรือไว้
จากนั้นก็มานั่งพัก กางเต็นท์ทำเป็นออฟฟิศ รออยู่ในที่ไม่ไกลจากเรือนัก 
โดยสั่งกับพรรคพวกทั้งหลายไว้ว่า
...ถ้าหากมีพ่อค้าคนอื่นๆ มาหาเรา พวกท่านจงบอกประวิงเวลาไว้ ให้รอคอยเราก่อน

ในวันนั้น เมื่อบรรดาพ่อค้าในเมืองพาราณสีประมาณ 100 คน
ได้ข่าวว่าเรือสินค้ามาจอดที่ท่าแล้ว ก็รีบพากันมาที่ท่าโดยเร็ว เพื่อหมายจะมาซื้อสินค้า
คงจะประมาณว่า...ใครเร็วใครได้
แต่พอมาถึงแล้ว เจ้าของเรือกลับบอกว่า
...พวกท่านมาช้าไปเสียแล้ว เพราะพ่อค้าใหญ่ชื่อ จูฬันเตวาสิก ได้มามัดจำสินค้าทั้งหมดไว้แล้ว 
ถ้ายังไงเสียพวกท่านก็ลองไปถาม ที่เต็นท์ออฟฟิศตรงโน้น ดูเองแล้วกัน

เหล่าพ่อค้าจึงพากันไปที่เต็นท์เพื่อหา จูฬันเตวาสิก 
แล้วทั้งหมดก็เจรจาตกลงทางการค้ากัน 
โดยพ่อค้าทั้ง 100 คนนั้น ซื้อสินค้าต่อจาก จูฬันเตวาสิก คนละ 8,000 บาท
ในการค้าขายคราวนั้น เจ้าหนุ่มจูฬันฯ จึงได้เงินมากมายถึง 800,000 บาท

พอกลับไปที่บ้านแล้ว ก็เกิดสำนึกขึ้นว่า 
...เราควรเป็นคนกตัญญู รู้จักตอบแทนบุญคุณของผู้มีคุณต่อเรา
จึงได้เอาเงินครึ่งหนึ่งของตนที่มี นำไปมอบให้แก่ จุลลกเศรษฐี ที่บ้าน
ทำเอา จุลลกเศรษฐี งุนงง สงสัยนัก ต้องสอบถามว่า
...นี่พ่อหนุ่ม เธอทำอะไรจึงได้เงินนี้มา แล้วเอามาให้เราทำไมกันล่ะ

จูฬันเตวาสิก ตอบว่า
...ได้ตั้งใจทำอย่างที่ท่านบอกไว้ จนกระทั่งได้เงินมามากมาย ภายใน 4 เดือนเท่านั้นเอง 
จึงอยากนำเงินครึ่งหนึ่งที่กระผมมีอยู่ มาตอบแทนบุญคุณของท่าน...
แล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องซากหนูตาย จนถึงสินค้าที่ท่าเรือให้ทราบ 
ฟังแล้ว จุลลกเศรษฐี ก็ชื่นชมในใจว่า 
...เด็กหนุ่มคนนี้ทั้งขยันขันแข็ง ทั้งเฉลียวฉลาดหลักแหลม 
ทั้งเป็นคนดีมีน้ำใจงาม มีมิตรมาก เราน่าจะได้เขาไว้ เป็นลูกเขย…

จึงยกเงินที่ได้มาให้แก่บุตรสาวของตน แล้วให้บุตรสาวแต่งงานเป็นคู่ครอง กับจูฬันเตวาสิก 
จนกระทั่งเมื่อจุลลกเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิก จึงได้ครอบครองสมบัติทั้งหมด
ได้ชื่อว่า เป็นเศรษฐีใหญ่ อยู่ในพระนครพาราณสีนั้น
พระพุทธองค์ ได้ตรัส คาถาธรรม สำหรับชาดกเรื่องนี้ไว้ว่า…

"  คนผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย 
ดุจคนก่อไฟกองน้อย ให้เป็นไฟ กองใหญ่ได้ ฉะนั้น   "

ค้าขาย ทำธุรกิจ สร้างคอนเนคชั่น 
มีน้ำใจ โอภาปราศรัย เจรจาอ่อนหวาน 
ภายใน 4 เดือน กลายเป็น เศรษฐี ได้
ผมว่า ชาดกเรื่องนี้ น่าคิดนะ

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564

วัดป่า...มหาสนุก 50
https://pantip.com/topic/39329350


Create Date : 18 ตุลาคม 2562
Last Update : 18 ตุลาคม 2562 19:57:35 น. 0 comments
Counter : 256 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.