Group Blog
All Blog
|
<<< " การพิจารณาความตาย" >>> (พระอาจารย์หมอบัณฑิต) มาแล้วหรือ โยมแม่ท่านก็น่าสงสารมาก รู้จักกับ ครอบครัวของท่าน ตั้งแต่ช่วงที่ไปบ้านตาดด้วยกัน น่าสงสารเป็นครั้งแรกที่ลูกรู้สึกสงสาร เพราะมันทำใจลำบากมากค่ะ ความรู้สึกของคนที่เป็นแม่ คืออย่างตอนเผาขึ้นไปบนเมรุแล้วกลับลงมา แล้วก็บอกว่าทำไมต้องมาเผาลูก แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าเป็นวิบากกรรม เราชอบไปเป็นผู้เล่นด้วย เป็นตัวละครด้วย ต้องดูว่าเราเป็นเพียงแต่ดูละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ร่างกายเป็นตัวละครแต่ใจเป็นคนดู แต่ใจไม่ยอมดูเฉยๆชอบไปเล่นกับร่างกาย ชอบไปเป็นร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไร ก็เลยคิดว่าใจเป็นคนดู เป็นไปกับร่างกาย ต้องแยกคนดูออก คนห่างไกลจากศีลธรรมมากเท่าไรมันก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาโลกเสื่อม ตอนนี้อยู่ในยุคเสื่อม ท่านอาจารย์ทำไมถึงเร่งพวกลูก เพราะวันมาฆบูชาคนเยอะ เขาไม่อยากโหลดท่าน ร่างกายสังขารอยู่เรื่อยๆ ของเขาของเราเหมือนกันต้องไปด้วยกัน ถ้าเรารู้ทันเราไปแบบสบายเราไม่ทุกข์ ถ้าเราหลงเราก็จะคิดว่าเราตาย ความจริงเราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เราไม่เจอเรา เราไม่เจอตัวรู้ เราไปอยู่ที่ตัวร่างกาย ก็คิดว่าเราเป็นร่างกาย ต้องดึงใจให้อยู่กับตัวรู้ ต้องกลับมาอยู่ที่ตัวรู้ ดึงออกจากร่างกาย ต้องภาวนาจึงจะออกมาได้ พุทโธๆ ทำใจให้รวม และพอออกจากสมาธิมาก็คอยสอนใจว่า ไม่ใช่ตัวเราของเรานะ เดี๋ยวต้องไปแล้วนะ เราก็ต้องสู้กับเขา เอาไปเลย เบื่อแล้ว เลี้ยงดูมันมานานพอแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พอสติปัญญาอัตโนมัติแล้วมันหมุนตลอดเวลา มันเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา มันเตรียมตายอยู่ตลอดเวลา ความตายทุกลมหายใจเข้าออก มรณานุสติรู้อยู่ตลอดเวลา ทดสอบตัวเองอยู่เรื่อยๆ เป็นอย่างไรพร้อมตายแล้วหรือยัง เพราะเรายังไม่เคยลองลงสนามสอบ เป็นความจำ ต้องเจอของจริงด้วย ต้องไปเจอเสือเจออะไรที่น่ากลัว ต้องเจอสิ่งที่น่ากลัว มันจึงจะจริง ตอนนี้มันก็ยังไม่จริง ตอนนี้ก็ยังเหมือนกับชกกระสอบทรายอยู่ ชกกระสอบทรายกับชกคู่ต่อสู้นี้ไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ชกเลย เหมือนทำการบ้าน พอถึงเวลาจะสอบก็ทำข้อสอบได้ ข้อสอบก็มาจากการบ้านที่เราทำนี่แหละ อันเดียวกัน พยายามพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ความตาย พยายามทำใจให้สงบ ถ้าพิจารณาความตายไม่ได้ แสดงว่าทำใจไม่สงบพอ ใจหดหู่ใจไม่อยากพิจารณา ก็หยุดพิจารณาก่อน กลับไปทำใจให้สงบก่อน พอใจออกจากความสงบแล้วค่อยพิจารณา ก็พยายามนึกถึงคำสอนท่านอาจารย์ แล้วบางทีมันก็กลับมาสู่ความหดหู่ ใจเรายังทำงานยังปรุงเเต่งอยู่ ถ้าใจสงบแล้ว มันจะปรุงเเต่งน้อย ถ้าใช้ปัญญา มันก็จะกลับไปสู่ความสงบได้ เพราะว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ทุกองค์ ท่านก็พยายามพูดกับโยมแม่นะคะ คือได้สังเกตเลยว่า โยมแม่ท่าน เดี๋ยวก็จะกลับมาตรงเดิม คือโยมแม่ท่านจะมีความวนอยู่ที่เดิม กับคำถามที่ว่าทำไมถึงทำท่าน ทำไมไปทำท่าน มันเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้น ใครจะทำก็ช่างหัวมัน ไปมองผิดประเด็น ไปมองว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นลูกเรา ต้องมองว่ามันเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ปั้นมาจากดินน้ำลมไฟ ต้องเห็นอย่างนั้น สักแต่ว่า ร่างกาย สักแต่ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีหมอบัณฑิตอยู่ในอาการ ๓๒ นั้น หมอบัณฑิตไปไหนแล้วไม่รู้ ที่เหลืออยู่นี้เป็นตุ๊กตา อย่างตัวนี้ นี้คนปั้นขึ้นมา ให้เห็นว่าเป็นตุ๊กตาซิ ร่างกายนี้ จะได้ไม่เดือดร้อนกับมัน ในขณะที่ลูกและเวลาที่อากาศมันน่ากลัวมาก คือในใจก็คิดว่าตายแน่ๆ ถึงเวลาตายแล้ว แต่มันยังมีความแกว่ง มันเพียงแต่ว่าพูดว่าแน่แต่มันไม่ปล่อย ถ้ามันปล่อยจริงๆ แล้วมันจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจ มันจะว่าง มันจะโล่ง สบาย เพราะมันยังไม่ตายมั้ง เหตุการณ์ยังไม่ใกล้ชิดความตาย มันก็เลยไม่ถึงกลับต้องปล่อยมันก็เลยยังไม่ปล่อย แต่ถ้ามันคิดว่าไปจริงๆ นี้มันอาจจะปล่อย ถ้าปล่อยแล้วมันก็จะเบาจะสบาย ใจกับกายมันแยกออกจากกันร่างกาย จะเป็นอะไรก็เป็นไป ใจไม่ได้เป็นไปกับร่างกาย ก็คือทำถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ เพราะการยึดติดจะทำให้ใจเราทุกข์ทรมาน ถ้าเราไม่อยากทุกข์ทรมานเราก็ต้องปล่อย เขาจะไปก็ให้เขาไปเท่านั้นเอง ห้ามเขาไม่ได้ ต้องทำเป็นเดือนๆ เป็นปีๆเลย ครูบาอาจารย์เห็นไหมท่านบวชกันมากี่ปี ท่านจึงนิ่งเฉยได้เวลาไปงานศพไปอะไรท่านก็เฉย เพราะเรามันไม่ได้ทำอย่างท่าน จะนิ่งเฉยได้อย่างไร เวลาที่กระสุนมานี้ทะลุเข้าหัวใจท่านเลย ท่านก็เอามือประคองไว้แล้วท่านก็ค่อยๆ ล้มลง ทานมีสติอยู่ตลอด แต่ว่าคนร้ายใจร้ายมากยังยิงซ้ำอีกครั้ง แต่ว่าท่านไม่อนุญาตให้ผ่าศพท่านเลย กระสุนฝังในแล้วผ่ายังไงก็ไม่เจอค่ะ ก็เลยไม่มีหลักฐานอะไร ท่านคงอยากจบตรงนั้น ท่านไม่ต้องการจองเวรจองกรรม อโหสิกรรม ถึงแม้ท่านพระอาจารย์หมอท่านอโหสิกรรม แต่ส่วนที่เขาทำเขายังต้องไปรับใช้กรรมตรงนั้นอีกต่อไป เหมือนกับเทวทัตทำกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อโหสิกรรมให้ แต่กรรมที่ทำนั้นมันล้างไม่ได้ มันก็ต้องไปรับกรรมนั้น แต่จะไม่มีเวรจากพระพุทธเจ้ามาทับถมอีกชั้นหนึ่ง แล้วเขาไม่ขออภัยแล้วเรายกโทษให้เขา เราก็ไม่ไปทำร้ายเขาแล้ว แต่เขายังต้องไปติดคุกติดตะรางอยู่จากโทษที่เขาทำ ชั้นที่เกิดขึ้นจากกระทำของตัวเอง แล้วผลที่เกิดจากผู้ที่เราไปทำร้ายผู้นั้น แล้วผู้นั้นเขาก็มาทำร้ายเรา แต่ถ้าเราไปขอขมาแล้วท่านให้อภัย เราก็ไม่ต้องรับผลส่วนนั้น เพราะเขายกโทษให้แล้ว แต่ผลที่เกิดจากการทำบาปนี้ ก็ยังมีผล เพราะมันทำจากในใจ ทำให้ใจทุกข์ทำให้ใจร้อน อันนี้มันล้างไม่ได้มันจะต้องให้มันเกิดผลขึ้นมา แล้วหมดกำลังของมันไปเองอย่างเทวทัต ต่อไปก็จะออกมาจากนรก แล้วก็กลับมาบำเพ็ญต่อได้ ที่จะตามเอาคืนอย่างนี้หรือคะ คือมันฝังอยู่ในจิต มีโอกาสที่จะทำร้ายเขาก็จะทำร้ายเขา ก็เหมือนผูกเวรใช่ไหมคะ เหมือนยังโกรธอยู่ ยังนึกตลอดเวลาว่าทำไมถึงทำท่าน ท่านไม่ได้ทำอะไร หรือเป็นเพราะว่าเสียใจ มันก็แล้วแต่ ท่านอาจจะเสียใจแล้วก็พรรณาออกมา ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้นเอง คือท่านไม่เข้าใจหลักอนิจจังว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ ทุกคนถึงเวลาก็ต้องตายด้วยกัน ตายก่อน ตายหลัง ตายแบบถูกยิง หรือตายแบบไม่สบายมันก็ตายเหมือนกัน ไม่เห็นตรงนี้ไม่ยอมรับตรงนี้ อย่างพระ ครูบาอาจารย์ท่านเห็นตรงนี้ ท่านก็บอกว่า จบแล้ว เพราะพระทุกองค์ตั้งแต่บวชมา ก็สอนให้พิจารณามรณานุสติมาตั้งแต่เริ่มต้น ท่านก็พิจารณาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งมันเป็นส่วนหนึ่งของใจ มันเตรียมตัวเตรียมใจรับกับความตายอยู่ตลอดเวลา พอเกิดความตายขึ้นมามันก็ไม่ได้ไปว้าวุ่นขุ่นมัว ก็ยอมรับโดยดุษฎี ให้กับเจ้ากรรมนายเวร คือความเมตตานี้เป็นการแสดงความปรารถนาดี เวลาที่เราพบปะกับบุคคลอื่น เช่นเวลาเราเจอคนนั้นคนนี้ แทนที่เราจะหน้าบึ้งตึง ด่าเขาว่าเขา ก็ให้ทักทายยิ้มแย้มแจ่มใส ถามสารทุกข์สุขดิบ เขาเรียกว่าแผ่เมตตา ไม่ใช่อยู่ตรงนี้แล้วก็แผ่ไปรอบจักรวาล ไม่รู้ใครคนรับอยู่ที่ไหน อย่างนั้นไม่ใช่ อันนั้นเป็นความเข้าใจผิด ต้องแผ่เวลาที่คนเขาด่าเรา ด่าเรา เราก็บอกไม่เป็นไร จะไม่จองเวร ฉันไม่ถือโทษโกรธเคืองเธอ เราไม่ชอบแผ่ ชอบไปแผ่แบบง่ายๆ กัน แผ่แบบไม่มีคนรับมันก็ง่าย แผ่แบบไม่มีเหตุมันก็ง่ายซิ ที่ให้แผ่ก็เผื่อเวลามันมีเหตุ แผ่เมตตานี้เป็นเหมือนยา ยาระงับความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท เพราะความโกรธอาฆาตพยาบาทนี้มันทำให้ใจทุกข์ ใจเป็นไฟ ใจเป็นนรก ถ้าเราแผ่เมตตาได้ ใจเราก็เย็น สบาย ไม่ต้องไปทำร้ายเขา แล้วก็ไม่ต้องไปรับผลของกรรม จากการที่เราไปทำร้ายเขา ต้องให้อภัยอย่างเดียว เห็นใครก็อยากจะให้ความสุขกับเขา ไม่ใช่ให้ความทุกข์กับเขา อย่างเวลาใครเขามีวันเกิดเราเอาความทุกข์ไปให้เขา หรือเราเอาความสุขไปให้เขา นั่นแหละแผ่เมตตาแผ่อย่างนั้น ซื้อของขวัญไปให้เขาไปอวยพร ขอให้มีความสุขอายุยืนยาวนานนะ นี่แหละเรียกว่าแผ่เมตตา ไม่ใช่ไปวันเกิดเขาแล้วก็แช่งเขามึงตายเร็วๆนะ อันนี้ไม่ใช่แผ่เมตตา แผ่ความอาฆาตพยาบาท เป็นเดรัจฉานก็ได้ เจอสุนัข เจองูก็แผ่ให้มันได้ อย่างพระพุทธเจ้าแผ่ให้ช้างอย่างนี้ ช้างปล่อยมาจะเหยียบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แผ่เมตตาช้างก็ไม่ทำร้ายท่าน หลวงปู่ขาวท่านก็มาช้างจะมาลุยกุฏิท่าน อ่านจากประวัติท่าน ท่านก็เลยออกมาคุยกับมัน สนทนากัน จนในที่สุดช้างก็รู้ว่าเป็นมิตรกัน เขาก็เลยไม่มาทำร้ายกุฏิท่าน คุยกับช้างแล้วจะโดนเหยียบ พลังต่างกัน ไม่ใช่คนแบบขี้กลัว อันตรายนะบาปนี้อย่าไปทำ พยายามรักษาศีล ๕ให้ได้ตลอดเวลา แล้วจะได้พ้นจากอบาย. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๘ (มาฆบูชา) |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |