ธรรมโอสถ
ถาม : ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ครับ
ผมอยากขออุบายพิจารณาขณะเจ็บไข้ได้ทุกข์
ว่าควรพิจารณาเช่นไร จึงได้ชื่อว่าธรรมโอสถ
เพราะกระผมไม่ชอบกินยาครับ สาธุครับ
พระอาจารย์ : อ๋อ เราก็ต้องแยกใจออกจากร่างกาย
แยกความเจ็บของร่างกายออกจากใจ
ว่าเป็นคนละส่วนกัน ใจเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าว
หรือใจเป็นหมอ ร่างกายเป็นคนไข้
ตอนนี้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย
หมอก็ดูแลไปตามอัตภาพ มียารักษาก็รักษาไป
ส่วนอาการเจ็บของคนไข้
หมออย่าไปทุกข์กับความเจ็บของคนไข้เลย
หมอก็ให้รู้เฉยๆไป อย่าไปอยากให้หาย
อย่าไปอยากให้ความเจ็บหายไป
อยากมันก็ไม่หายถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มันจะหาย
เดี๋ยวมันหายเอง ถึงเวลาจะหาย มันหายเอง
เพราะความเจ็บมันก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง
เกิดแล้วเดี๋ยวก็ดับ อนัตตาเราไปห้ามมันไม่ได้
ไปสั่งมันไม่ได้ นี่คือการใช้ปัญญา
แยกให้เรารู้ว่า เรานี้ไม่ได้เป็นร่างกาย
เราเป็นผู้รู้ผู้คิดผู้สั่งผู้ใช้ร่างกาย
ร่างกายเป็นเหมือนคนรับใช้เรา
เราก็ดูแลคนรับใช้เวลามันไม่สบาย
เราก็พามันไปหาหมอ พากินยา
ส่วนเราเป็นเจ้านาย เราก็เฝ้าดูมันไปเฉยๆ
รอจนกว่ามันจะหาย หรือรอจนกว่ามันจะตาย
ถ้ามันไม่หายมันก็ตาย พอมันตาย
เราก็จะได้ไปเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่
ถ้าเรายังอยากจะมีคนรับใช้อยู่
เราก็จะไปเกิดใหม่ เท่านั้นเอง
ถ้าเราแยกใจออกจากร่างกายได้
ไม่มีความอยากให้ร่างกายหาย
หรือให้ร่างกายเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ใจเราจะไม่ทรมาน ใจเราจะสงบเป็นอุเบกขา
จะเฉยๆ นี่เรียกว่า ธรรมโอสถ
รักษาใจด้วย รักษาร่างกายไปด้วย
ปกติถ้าเราไม่มีธรรมโอสถ
เวลาร่างกายเจ็บ ใจก็จะเจ็บไปด้วย
เพราะใจหลงคิดว่าใจเป็นร่างกาย
พอร่างกายเจ็บ ใจก็เจ็บไปด้วย
อยากจะหายไปด้วย ทั้งๆที่ใจไม่ได้เจ็บเลย
แต่ใจเจ็บเพราะความอยาก
อยากให้ร่างกายหายเจ็บ
มันก็เลยทำให้เกิดความเจ็บทางใจ
ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเท่านั้นเอง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...............................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าชองภาพค่ะ