อ้วนควรทำอย่างไร
ปัจจุบันคนอ้วนที่ไม่ได้มีโรคที่ทำให้อ้วน ไม่มีความไม่ปกติของฮอร์โมนแต่อ้วนเพราะหิวบ่อย มีความนิยมรสนิยมอาหารเป็นเลิศ ทานอาหารทุกประเภท ทุกอาหารประจำชาติ วันอาทิตย์ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.
ปัจจุบันคนอ้วนที่ไม่ได้มีโรคที่ทำให้อ้วน ไม่มีความไม่ปกติของฮอร์โมนแต่อ้วนเพราะหิวบ่อย มีความนิยมรสนิยมอาหารเป็นเลิศ ทานอาหารทุกประเภท ทุกอาหารประจำชาติ ไม่ว่าไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาลี หรืออาหารตะวันตก อ้วนประเภทต่อเนื่อง หยุดอ้วนไม่ได้ ห้ามใจไม่ได้ แพทย์มีทางช่วยได้คือ เสนอการผ่าตัดที่เรียก Bariatric หรือ weight loss surgery เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน ซึ่งเป็นวิธีการรักษาโรคอ้วนวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะให้ผลการรักษาที่ชัดเจน
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
คือในผู้ป่วยที่มี BMI 37 ขึ้นไป หรือ BMI 32 ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
หมายเหตุ : body mass index (BMI) คือน้ำหนักตัว เป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง
โรคอ้วนมาจากปัจจัยที่ซับซ้อน เป็นผลร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมน การสันดาปของร่างกาย และสิ่งแวดล้อมปัจจุบันประชากรโลกประสบกับโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยที่ทั่วโลกมีผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินอยู่ประมาณ 1.7 ล้านล้านคน ซึ่งถือเป็นภาวะที่อันตรายต่อสุขภาพอย่างมากเพราะก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรงหลายโรคตามมา เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง และเพิ่มอุบัติการณ์เกิดมะเร็งของมดลูก ลำไส้ใหญ่ และเต้านม มีผู้ป่วยหลายคนที่พยายามจะลดความอ้วน หลายๆวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดอาหาร รับประทานยาลดความอ้วน แต่ก็ยังไม่สามารถลดความอ้วนได้
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับผู้ป่วยโรคอ้วน โดยวิธีการผ่าตัดลดความอ้วน ซึ่งในต่างประเทศใช้กันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว
การรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัด
เป็นวิธีเดียวที่จะคงผลของการลดน้ำหนักได้ในระยะยาว (Sustain weight loss) การควบคุมน้ำหนักโดยการงดอาหาร การใช้ยา และการออกกำลังกายจะได้ผลในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าหยุดควบคุมก็อาจมีโอกาสกลับมาอ้วนเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมได้
การผ่าตัดลดความอ้วน (Bariatric Surgery)
ได้รับการยอมรับจากสถาบันทางการแพทย์และสถาบันสุขภาพชั้นนำทั่วโลก เช่น U.N., WHO, American Academy of Family Practice เป็นต้นว่าเป็นวิธีการรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลมากที่สุด วัตถุประสงค์การผ่าตัด คือการลดการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลง และช่วยให้โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ หายไปหรือดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และชีวิตยืนยาวเทียบเท่ากับคนปกติ
การผ่าตัดลดความอ้วนโดยใช้กล้อง มีอยู่ 3 วิธีคือ
1. Roux-en-Y gastric bypass (RYGB) หรือ Gastric Bypass (การผ่าตัดกระเพาะอาหารด้านบนให้มีขนาดเล็ก
คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารด้านบนให้มีขนาดเล็ก และตัดเอาลำไส้ส่วนล่างเข้าไปต่อใหม่ ตัดต่อเหมือนทำสะพานข้ามช่วงที่ดูดซึมไขมัน หรือสารอาหารบางอย่างที่ทำให้อ้วนออกไป ย่นระยะทางที่ทำให้อาหารอยู่ในลำไส้สั้นลง เพื่อลดปริมาณการรับประทานอาหารและลดการดูดซึมอาหาร การผ่าตัดแบบบายพาสนี้ เป็นการผ่าตัดที่ทำกันมานาน ซึ่งพบว่า สามารถช่วยให้น้ำหนักลงได้ดี มีผลอยู่นาน จึงเป็นวิธีผ่าตัดที่วงการแพทย์ใช้เป็นมาตรฐาน แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ป่วยต้องทานวิตามินเสริมให้มากทั้งวิตามิน บี 12 วิตามินรวม และแคลเซียม เนื่องจากร่างกายจะมีศักยภาพในการดูดซึมสารอาหารน้อยลงหลังผ่าตัด
2. Gastric Sleeve (การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงให้มีรูปร่างคล้ายกล้วยหอม)
คือ การผ่าตัดลดขนาดของกระเพาะลงให้มีรูปร่างคล้ายกล้วยหอม (Sleeve Gastrectomy) โดยตัดกระเพาะส่วนล่างออกไปจากร่างกาย คนไข้จะมีขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และเนื่องจากกระเพาะส่วนที่ผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการหิวถูกตัดออกไป ทำให้ไม่รู้สึกหิว และรู้สึกอิ่มไวขึ้น
3. Adjustable gastric banding (AGB) หรือ Gastric Banding (การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร โดยการใช้ที่รัดกระเพาะ)
คือ การผ่าตัดลดขนาด
กระเพาะอาหาร โดยการใช้ที่รัดกระเพาะ (Silicone Band) ที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดกระเพาะได้ตามความต้องการนำไปวาง และรัดไว้ที่ขั้วของกระเพาะอาหาร โดยด้านในของ Banding จะมีบอลลูนเชื่อมต่อกับท่อที่เรียกว่า Port ซึ่งจะนำมาวางไว้ใต้ผิวหนังเช่นเดียวกับ Port ที่ให้เคมีบำบัด ซึ่ง Port นี้ใช้สำหรับฉีดน้ำเกลือเข้าไป หรือดูดออก เพื่อให้บอลลูนโป่งขึ้น-แฟบลง เมื่อบอลลูนโป่งจะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง แต่ถ้ารับประทานอาหารไม่ได้ ร่วมกับมีอาการอาเจียน ก็ดูดน้ำเกลือออกได้ เพื่อให้รับประทานอาหารได้ตามปกติ ซึ่งจำเป็นต้องมาพบแพทย์ทุก 3 เดือนหลังทำการผ่าตัด เพื่อปรับหาปริมาตรของน้ำเกลือที่ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ดี และรับประทานอาหารได้อย่างมีคุณภาพ
*ก่อนการตัดสินใจแนะนำให้ผ่าตัด แพทย์ต้องมีการประเมินภาวะร่างกาย รวมทั้งสุขภาพจิตและความเข้าใจในเรื่องการรักษาของผู้ป่วยให้ชัดเจนด้วย เพราะการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อความสวยงามแต่เพื่อการรักษา ซึ่งผู้ป่วยต้องร่วมมือกับแพทย์ในการทำตามเงื่อนไข เช่น ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมด้วย จึงจะเป็นผลสำเร็จ
ข้อมูลจาก พ.อ.นพ.สุทธจิต ลีนานนท์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผ่าตัดลดน้ำหนัก ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป รพ.พญาไท 2 อินเตอร์เนชั่นแนล / //www.phyathai.com
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ..................... ที่มา นสพ เดลินิวส์
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2557 |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2557 1:16:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 984 Pageviews. |
|
|