|
|
สมัยก่อนที่บ้านมีเพียงรถจักรยานคันหนึ่ง เป็นแบบผู้ชาย คันนี้เป็นของน้าชายสมัยหนุ่มซื้อเอาไว้ ต่อมาก็ตกทอดมาสู่เรา น้าแกเปลี่ยนแฮนด์แบบรถมอเตอร์ไซค์ เรียกว่าเทห์สุดๆ เพราะน้ามีแต่ลูกสาว 4 คน จนสุดท้ายรถคันดังกล่าวเราก็เอามาใช้ในตัวเมืองวารินชำราบเอาไว้ปั่นไปโรงเรียนตั้งแต่ ม.1-3 เลยละ จนท้ายที่สุดก็ตกทอดไปสู่ลูกชายของน้าสาว จนถึงทุกวันนี้ (ม้ง) ไม่ได้ตามต่อว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว มีหลายครั้งที่เอาปั่นไปทำงานที่ไร่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ปั้นไปกลับ ต้องนอนทำงานหลายวันเพราะ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ไกลทีเดียวละทางที่ไปก็มีทั้งแบบถนนลุกรัง ถนนลาดยาง ถนนดินเหนียว ถนนหินแห่ ถนนดิน หากอ่านตอนที่แล้วจะเห็นสภาทางเข้าไร่ที่ลำบากลำบนคิดดูแล้วกันว่าการปั่นนั้นจะทำได้มัย แน่นอนต้องจูงเอาเพราะดินเหนียมันติดล้อไปหมด ค่อยๆไปกัน แต่วันนี้ไม่ได้มาเล่าประเด็นนี้ให้ฟัง เส้นทางมาไร่จะมีเนินเขาสูงๆ 2 เนินใหญ่ๆความจริงมันเป็นภูเขาลูกใหญ่ ซึ่งทางขึ้นและทางลงห่างกันมาก มองดูคล้ายเป็นหุบเขาเลยทีเดียว เมื่อเราปั่นมาถึงทางขึ้นซึ่งเป็นทางลาดยาง เพราะเป็นทางหลวงเชื่อมระหว่างอำเภอน้ำยืนกับอำเภอเดชอุดม เป็นทางลาดยางเล็กๆ ขรุขระ ด้วยว่าเป็นรถจักรยานไม่มีเกียร์ เราก็ลองปั่นบุกขึ้นเนินมาจนหมดแรงแล้วก็จูงเอา แม้จะจูงก็เลยไปเกือบกิโลเมตร เนินนี้จะเป็นเนินที่สวยมาก เพราะหากมองลงไปเมื่อมาถึงยอดเนินแล้วจะเห็นหุบเขาที่ตั้งของอำเภอน้ำยืน แล้วเบื้องหลังจะเป็นเทือกเขาพนมดงรักเชายแดนไทยและเขมร จากตัวอำเภอไปไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงชายแดน ตอนมีสงครามป้าเล่าให้ฟังว่าฝ่ายตรงข้ามรุกมายิงถึงที่ว่าการอำเภอน้ำยืนเลยทีเดียว เนินนี้เป็นเนินที่สวยที่สุดในการเป็นจุดพักและชมวิวจนปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นจุดที่สวยมาก เมื่อปั่นมาอีกหลายกิโลเมตร ขึ้นลงเนินเล้กเนินน้อยหลายเนิน ปั่นบ้าง จูงบ้างตามสภาพแรงถีบ มาถึงอีกจุดหนึ่งด้านซ้ายมือจะเป็นหุบเขาด้านข้างของภูเขา ตรงภายในหุบจะมีภูเขาลูกโดดเป็นที่ต้องของวัดภูน้อย เขาเล่าว่าเป็นภูเขาไฟเก่า วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงของอำเภอ มีงานประจำปี มีบันไดขึ้นไปทำบุญบนยอดเขา สมัยเด็กๆขึ้นไปแต่ละทีนั้นมันยากและสูงมาก สามารถมองชมความสวยงามของทิวทัศน์ภูน้อยนี้มาก จนในปัจจุบันนี้ อบต.ได้ทำจุดชมวิว ร้านค้า ร้าขายของ ห้องน้ำ เอาไว้ให้คนแวะถ่ายภาพ ปั่นตามทางมาอีกหลายกิโลก็ถึงสี่แยกบ้านบุเปือยต้องเลี้ยวขวาเข้าบานบุเปือย เป็นดินลูกรังที่อัดแน่น ขนาดกว้าง ที่สำคัญเป็นทางลงเขาที่ยาวหลายกิโลเมตร คิดสภาพว่าจักรยานปล่อยมาได้เลยยาวหลายกิโลมันจะตื่นเต้นขนาดไหน สองข้างทางมีไร่ มีบ้าน มีเถียง ถนนช่วงนี้ไม่ได้มีวิวแบบสองจุดที่ผ่านมาแต่ตัวถนนที่เป็นทางลงเขาที่ยาวเข้าไปในหมู่บ้านนั้นมันสวยงามมากและสูงมากแต่ไม่ชันเท่ากับเนินแรก พอพ้นเนินนี้มาก็เป็นทางราบและเนินเล็กน้อยพอปั่นได้จนเข้าสู่ทางดินเหนียวเข้าสู่ไร่ของเรา ซึ่งต้องค่อยๆไปกัน ขากกลับก็ปั่นย้อนกลับมาเช่นเดิมแบบใจเย็นๆ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในปั่นแต่ละครั้ง ไกลมัย นานไม่ สมัยนั้นไม่ไกล ไม่นาน เพราะไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย ในการใช้ชีวิต ระหว่างทางที่ปั่นก็จะพบเจอคนอื่นๆ ส่งรอยยิ้มทักทาย สอบถาม ไปไหนกัน ไปไร่ไหน มาจากไหน เหนื่อยก็พักแวะพักแวะกินน้ำตามโอ่งหน้าบ้านที่เขาตั้งไว้เกือบจะทุกบ้านหรือทุกเถียง เจอใครระหว่างทางก็ทำท่ารู้จักกันไปหมดนั้นล่ะ บรรยากาศแบบนี้มีอยู่ทั่วไปสมัยนั้น ในทุกๆแห่ง จนกระทั่งทุกวันนี้มันมองไม่เห็นล่ะ อาจจะเพราะความเจริญ หรือเวลาหรือการใช้ชีวิต หรือวิธีคิดที่มันเปลี่ยนแปลงไป พอความเจริญมาจากเนินเขาขนาดใหญ่ ต้องใช้การจูงเอา มองดูชันมาก แต่พอถมถนน ลาดหยาง ขยายไหล่ทาง กลายเป็นเนินเตี้ยๆสะอย่างงั้น อันนี้ก็แปลกดี
Create Date : 16 มีนาคม 2563 |
Last Update : 31 มีนาคม 2563 14:37:15 น. |
|
0 comments
|
Counter : 465 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|
 | |
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
- เป็น เป็นวิทยากร เป็นคนบรรยาย เป็นผู้บริหาร หน่วยงานของรัฐ - ชอบ ชอบอ่านนวนิยายจีนกำลังภายใน ชอบป่า ชอบน้ำ - ทำ ทำงานพัฒนา ทำงานท่องเที่ยว ทำสวนเกษตร - ขาย ขายประกัน ขายของทะเลแห้ง ขายเกลือ ขายคอนโด - เรียน จบ ป.เอก ม.โพธิศาสตร์ ป.โท นิด้า ป.ตรี ม.ราม
|
|
 |
|