'เทือก'จวก'แป๊ะลิ้ม'จ้องรื้อฟื้นคดีปรส.แฉ!สื่อพธม.ถล่มเละ!!ส่งสัญญาณแตกหักปชป.
05 มี.ค. 2009 - 15:15:28 น.
'เทพ เทือก' ปิดปากเงียบคดี ปรส. จวกเละ 'แป๊ะลิ้ม' ขุดคุ้ยเรื่องเก่าโจมตีผ่านสื่อรับใช้ ระบุ 'สนธิ' จ้องรื้อฟื้น 'คดีเร่ขายสินทรัพย์ ปรส.' มูลค่ากว่า 8.5 แสนล้านที่เกิดในรัฐบาลชวน แฉ!ผลสอบ 'ดีเอสไอ' ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน-จงใจหลีกเลี่ยงภาษี เผยหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต 'สื่อพันธมาร' เพิ่งคิดรื้อฟื้นขณะที่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
จากกรณีความ ขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่หลายฝ่ายเริ่มจับอาการได้ถึงความไม่พอใจของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์ ASTV สำหรับความขัดแย้งดังกล่าว เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา 21 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อครั้งที่ปิดทางเข้าออกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้หากตำรวจออกหมายเรียกไปแล้ว 2 ครั้ง แกนนำพันธมิตรฯ ยังไม่ยอมเข้ามอบตัว ก็จะมีการออกหมายจับ
รวมทั้งกรณีล่าสุด นายสนธิได้ออกมาโจมตีผ่าน ASTV ด้วยตนเองเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดไม่พอใจนายสุเทพ โดย อ้างว่านายสุเทพบอกให้ พล.ต.ต.ชัยชนะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้ชัญชาการตำรวจสันติบาล นายตำรวจซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายสนธิ ให้ถอยห่างจากนายสนธิ เพื่อไม่ให้ถูกจับตามอง แค่นั้นไม่พอ นายสนธิ ยังลำเลิกว่า “คนเราถ้าไม่รู้จักบุญคุณคน จะมีความหมายอะไรถึงแม้มีตำแหน่งใหญ่โต”
นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวพาดพิงด้วยว่า “คุณสุเทพ ได้ขึ้นวอก็เพราะพันธมิตรฯ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสะเทือนอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรฯ
ก่อนหน้านั้น นายสนธิ ก็เคยออกมาพูดถึงการรวมตัวกลุ่มลูกหนี้เพื่อจ้องรื้อฟิ้นคดี ปรส. ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และยังมีเรื่องค้างอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
'เทพเทือก'จวก'แป๊ะลิ้ม'รื้อฟื้นคดีปรส.
ต่อเรื่องดังกล่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่นายสนธิได้ขุดคุ้ยคดี ปรส. ว่าเป็นเรื่องที่เก่ามาก
“คงไม่จริง เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงก็คงจะมีการดำเนินการเอาผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าคุกไป แล้ว ซึ่งการที่นายสนธิออกมาพูดเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีจุดประสงค์อะไร จึงขออนุญาตไม่ตอบคำถามนี้”
ส่วนที่มีนักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเล่นเกมทาง การเมืองนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า “ไม่เอาแล้ว ผมขี้เกียจ ไม่อยากพูดเรื่องนี้”
แฉ!!ผลสอบDSIฟันหนี้ปรส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อน หน้านี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีข้อสรุปร่วมกับอัยการสำนักคดีพิเศษ และที่ปรึกษาจากกระทรวงการคลัง ในสำนวนคดีการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ทั้งนี้ ในการสอบสวนดังกล่าว ได้มุ่งถึงการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากการนำทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท และ การดำเนินการของ ปรส. ขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไข ระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ
"แต่ขั้นตอน ดำเนินการของ ปรส. กลับไม่แยกหนี้ดี หนี้เสีย เพื่อแยกหนี้ดีไปให้กับธนาคารรัตนสิน จำกัด (มหาชน) นำไปบริหาร ทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ"
รายงานระบุว่า คดี ปรส. มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 5 คดี ประกอบด้วย คดีที่ 1 กรณีบริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิงค์ ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 11,520 ล้านบาท
คดีที่ 2 กรณีบริษัท โกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 115,890.96 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 22,454.87 ล้านบาท
คดีที่ 3-4 กรณีบริษัท เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 1 - 3 ยอดคงค้างทางบัญชี 64,303.34 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 23,176.38 ล้านบาท
คดีที่ 5 กรณีบริษัท วีคอนกลอมเมอเรท จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมวีแคปปิตอล ยอดคงค้างทาง บัญชี2,376.73 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 3,189.90 ล้านบาท
ในคดีที่ 1 มีการสอบปากคำพยานบุคคล ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวม 106 ปาก แยกประเด็นการสอบสวนออกเป็นประเด็นข้อกฎหมายและประเด็นข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้หลักฐานถึงวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปสถาบันการเงิน และกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงการจงใจหลีกเลี่ยงภาษี
สำหรับการขาย ทรัพย์สินของสถาบันการเงินทั้ง 56 แห่ง ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดทางอาญา
หลังจากนั้น กรรมการ ปรส.ที่รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องโดยตรงในการขายและนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมและสนับสนุนให้เจ้า หน้าที่กระทำผิดอาญาจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ราย จะถูกดำเนินคดี ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร สื่อฯรับใช้'พันธมาร'โบ้ยปชป.หลังขัดแย้งรุนแรง!!
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขายสินทรัพย์ของ ปรส.ที่ผ่านมา เคยมีการตั้งนายยุวรัตน์ กมลเวชช เป็นกรรมการตรวจสอบ และได้ตั้งประเด็นในการตรวจสอบตรงกับการสอบสวนของดีเอสไอ โดยการสอบสวนครั้งนั้น พบพยานหลักฐานว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากดีเอสไอสั่งฟ้องคดีที่ 1 เรียบร้อย ก็จะเป็นบรรทัดฐานข้อกฎหมายที่จะมาใช้ฟ้องกรณีบริษัทอื่นๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทั้งหมด เกิดขึ้นในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีการโจมตีพรรคประชาธิปปัตย์ว่ามีส่วนรู้เห็น กระทั่งเป็นเรื่องยากที่จะปัดความรับผิดชอบนี้ลงได้
ทั้งนี้ เพราะการที่ขายทรัพย์สินของ ปรส.มูลค่ากว่า 851,000 ล้านบาท ให้ กับสถาบันการเงินต่างชาติ โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าของซื้อคืน ในราคาเพียง 20% และให้ต่างชาติขายคืนในราคาที่สูงกว่าถึง 60 -70% เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นประเด็นที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ หยิบยกขึ้นมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มี การตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เพราะเหตุผลกลใดนายสนธิถึงหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตี ในช่วงเวลาที่กลุ่มพันธมิตรฯได้มีความขัดแย้งกับรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์
ที่มา : ประชาทรรศน์
Create Date : 06 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 6 มีนาคม 2552 1:07:11 น. |
Counter : 498 Pageviews. |
| |
|
|
|