ASTVเป็นธุรกิจที่รับเงินบริจาค มาดูเครือข่ายผู้ถือหุ้นกัน
ASTVเป็นธุรกิจที่รับเงินบริจาค ปรากฏจากคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลองหลายครั้ง...มาดูเครือข่ายผู้ถือหุ้นครับ
"ไทยเดย์ฯ-เอเอสทีวี" เสียภาษีด้วยครับ...พี่น้อง
กลาง เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยอมรับว่า ปัญหาใหญ่ของเอเอสทีวีคือเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง เงินเดือนพนักงาน ค่าเวทีอุปกรณ์ แสง เสียง ค่าน้ำมันปั่นเครื่องไฟ ค่าสวัสดิการ อาหารของคณะทำงาน วิทยากรและศิลปิน และยังมีเงินเดือน ค่าดำเนินการถ่ายทอดสดจากที่ชุมนุมของทีมเอเอสทีวีอีกต่างหาก ฯลฯ โดยประมาณได้ว่าอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อวัน
แม้ว่าต่อมาจะมีเงินบริจาค หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายทะลุ 100 ล้านบาท ประกอบกับปรับแผนการหารายได้ด้วยการขายข้าวสารตรา "เอเอสทีวี" และให้บริการข่าว SMS ในชื่อ ASTV NEWS อัตรา 200 บาทต่อเดือน แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าฐานะทางการเงินของบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด ขณะนี้เป็นตัวเลขสีแดง
บริษัท เอเอสทีวี ตั้งอยู่ที่ 102/1 ถ.พระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. ประกอบธุรกิจประเภทกิจการโทรคมนาคม บริการกระจายเสียง ผลิต รับจ้างผลิต จำหน่ายภาพยนตร์ บันเทิงต่างๆ นางสาวธิดาลักษณ์ วรรณวัฒนากิจ และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ เป็นผู้มีอำนาจทำการ มีนายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นกรรมการ จดทะเบียนโดยระบุว่า เป็นธุรกิจขนาดเล็ก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ด้วยทุน 1 แสนบาท ไม่ถึง 2 เดือนต่อมาคือ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีการเพิ่มทุนเป็น 250 ล้านบาท
การประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2550 ระบุว่า บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบริษัท เอเอสทีวี ด้วยจำนวน 49,999,99 หุ้น ราคาหุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงิน 249,999,950 บาท นอกนั้นถือเพียงคนละ 1 หุ้น อาทิ นายฉัตรชัย พงษ์มาลา นายชนะ ผาสุกสกุล น.ส.ธิดาลักษณ์ วรรณวัฒนากิจ นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ฯลฯ ยกเว้นนายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ที่ถือ 2 หุ้น คิดเป็นเงิน 10 บาท
จากงบการเงินปี 2550 ของบริษัทเอเอสทีวี พบว่ามีสินทรัพย์ประมาณ 249 ล้านบาท มีหนี้สินทั้งหมดเพียง 15,262 บาท และผลประกอบการขาดทุน 673,413 บาทเท่านั้น แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้เอเอสทีวีเป็นธุรกิจที่รับเงินบริจาค ปรากฏจากคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลองหลายครั้งหลายหน จากการตรวจสอบบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด (ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเอเอสทีวี) มีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกับบริษัท เอเอสทีวี จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 ด้วยทุน 20 ล้านบาท ก่อนจะมาเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เป็น 60 ล้านบาท (หุ้นละ 10 บาท ทั้งหมด 6 ล้านหุ้น) โดยมีนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดจำนวน 59,999,994 บาท หรือ 5,999,994 หุ้น
งบการเงินในปี 2549 บริษัทไทยเดย์ฯ มีสินทรัพย์ 375,906,069 บาท ในขณะที่มีหนี้สินรวม 751,683,862 บาท ผลประกอบการขาดทุน 435,777,793 บาท จัดได้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงในระดับสูงอย่างมาก
ย้อนหลังไป 5 ปี (2545-2549) ปรากฏว่าบริษัทไทยเดย์มีหนี้สินเพิ่มขึ้นโดยตลอดทุกปี จาก 185 ล้านบาท ในปี 2545, 282 ล้านบาท ในปี 2546, 427 ล้านบาท ในปี 2547 และ 622 ล้านบาท ปี 2548
ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2551 ประชาชาติธุรกิจตรวจสอบไปที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าบริษัทไทยเดย์ฯยังไม่แจ้งงบการเงินของปี 2550
นอก จากนี้ยังมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไทยเดย์อีก 8 บริษัท ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอนแก่นรังนกไทย, บริษัท ชงเพลิน จำกัด (เลิกกิจการ), บริษัท ชงฮา จำกัด (เลิกกิจการ), ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรพัฒน์ คอมมิค, บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ (เลิกกิจการ), บริษัท เอเชียไทม์ส ออนไลน์ จำกัด, และบริษัท แอล อินเตอร์เทรด จำกัด
ในส่วนนี้ยังพบอีกว่าบริษัทไทยเดย์ฯ, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอนแก่นรังนกไทย, ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรพัฒน์ คอมมิค, บริษัท เอเชียไทม์ส ออนไลน์ และบริษัท บ้านพระอาทิตย์ จำกัด ตั้งอยู่ที่เดียวกัน คือ 102/1 ถ.พระอาทิตย์
มีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย ซึ่งประกอบกิจการทางน้ำ เช่น เจ็ตสกี ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2547 ด้วยทุน 1 ล้านบาท นายจิตตนาถ ลูกชายของนายสนธิเป็นเจ้าของ โดยการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2550 ระบุว่าสัดส่วนการถือหุ้นของ นายจิตตนาถอยู่ที่ร้อยละ 50.5250 มูลค่า 5,052,500 บาท จากทั้งหมด 10 ล้านบาท
ผู้ที่ถือหุ้นมากเป็นอันดับสอง คือบริษัท รวมชาม จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 25.2600 เป็นเงิน 2,526,000 บาท แต่เมื่อตรวจสอบไปยังบริษัท รวมชาม พบว่าได้เลิกกิจการ ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2547
ไม่เพียงเท่านี้ บริษัท ไทยเดย์ฯยังเกี่ยวข้องกับบริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย จำกัด, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท บุ๊ค ด็อท คอม จำกัด และ บริษัท บ้านพระอาทิตย์ จำกัด
ในส่วนของบริษัทแมเนเจอร์ มีเดียฯ ซึ่งกำลังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ จดทะเบียน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2536 ทุนปัจจุบัน 424,238,880 บาท ตั้งอยู่ที่ 98/3-10 ถ.พระอาทิตย์ มีนางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เป็นผู้มีอำนาจ โดยมีกรรมการ 7 คน อาทิ นายมรุธัช รัตนปรารมย์ นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ นายสามารถ มังสัง เป็นต้น
ที่ น่าสนใจคือ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2548 ประชุมผู้ถือหุ้น พบว่าบริษัท แมเนเจอร์ มีเดียฯ มีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 23 ราย โดยผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคือบริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คิดเป็นร้อยละ 16.3400 จำนวน 98,023,029 บาท
ยังมีบริษัทบริหาร สินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด, บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย, บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุน สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ฯลฯ ถือหุ้นตามลำดับ โดยที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีสัดส่วนร้อยละ 0.7500 คิดเป็นเงิน 4.5 ล้านบาท
บริษัท แมเนเจอร์ มีเดียฯ ยังมีบริษัทที่เกี่ยวข้องอีก 138 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่มี นายมรุธัช รัตนปรารมย์ เป็นกรรมการอยู่ในหลายบริษัท โดยที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของกลุ่มพันธมิตรฯเองก็มีชื่ออยู่หลายบริษัท
งบ การเงินในปี 2550 ระบุว่าบริษัท แมเนเจอร์ มีเดียฯขาดทุนสะสม 729,414,570 บาท เช่นเดียวกับบริษัท บ้านพระอาทิตย์ จำกัด ที่งบการเงินใน ปี 2549 ขาดทุนสะสม 212,055,877 บาท
จนอาจกล่าวได้ว่า บริษัทเอเอสทีวี, บ้านพระอาทิตย์, แมเนเจอร์ มีเดีย, ไทยเดย์ ด็อท คอม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาทางด้านการเงินแทบทั้งสิ้น
จึงไม่ใช่เรื่อง เหนือความคาดหมาย เมื่อนายสนธิมีความคิดจะตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินให้เป็นเหมือนองค์กรพัฒนา เอกชนที่รับเงินเดือนโดยตรงกับประชาชน แต่เนื่องจากรูปแบบมูลนิธิไม่สามารถรับเงินบริจาค โดยตรงได้ จึงมีการกำหนดให้ใช้ วิธีสมัครเป็นสมาชิกหนังสือยามเฝ้าแผ่นดินแทน
ด้วย การสมัครไปที่ 49/1 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร ซึ่งยังเป็นที่ตั้งของบริษัท บุ๊ค ด็อท คอม, บริษัท เวิล์ดไวด์ มีเดียฯ, บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย ฯลฯ เป็นต้น
วันที่ 23 เมษายน 2550 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ นายคำนูณ สิทธิสมาน เป็นประธานมูลนิธิ นายอมร อมรรัตนานนท์ เป็นเลขานุการ ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นประธานคณะกรรมการ, นายสามารถ มังสัง รองประธานกรรมการ, นายสุวินัย ภรณวลัย, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอิทธิ อิทธิประชา เป็นกรรมการ
มาวันนี้มีผู้ใจบุญมากมายบริจาคเงินให้ เอเอสทีวีทั้งในรูปเงินสดและทรัพย์สินต่างๆ มากมาย แต่รายชื่อและจำนวนเงินไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ บ้างก็ว่าหลายสิบล้าน บ้างก็ว่าทะลุ 100 ล้านไปแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่านายทุนผู้ใจบุญเป็นใคร เช่นเดียวกับไม่มีใครรู้ว่าเงินบริจาคเข้ากระเป๋าใคร
แต่ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจวิเคราะห์ ข้อเท็จจริงผ่าน พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 แล้วฟันธงว่า กรณีเอเอสทีวีรับเงินบริจาค ต้องแยกเป็น 2 ประเด็นก็คือ ผู้รับเงินบริจาคคือตัวบริษัท หรือนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนรับเงินบริจาค
ถ้าบริษัทไทยเดย์ฯรับเงินบริจาคถือว่าเป็นเงินได้ทั่วไปของบริษัทที่จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
แต่ ถ้าเป็นนายสนธิเป็นผู้รับเงินบริจาคถือเป็นกรณีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรฯ
สรุปไม่ว่าใครจะรับเงินบริจาคก็ต้องเสียภาษีให้รัฐอยู่ดี เว้นแต่ว่า "โกตั๊บ" จะงัด อารยะขัดขืนไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐเท่านั้นเอง (ฮา)
จาก //www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02pol01061151&day=2008-11-06§ionid=0202
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2551 11:45:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 551 Pageviews. |
|
|
|
| |