เปิดกรุ “สนธิ ลิ้มทองกุล”
***วาทะ "ตายเป็นตาย" ของนายสนธิ***
หากเอ่ยชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ณ วันนี้ คนไทยทุกหมู่เหล่าต่างรู้จักมักคุ้น ที่ประกาศชัดเจนเป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ในวงการสื่อสารมวลชนและวงการนักธุรกิจการเมืองต่างรู้จักบุคคลคนนี้ดีอย่างยิ่ง ว่าเขาได้รับการเกื้อหนุนอย่างดีจากคนที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กับสาธารณชนรู้จักเขาในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งเท่านั้น
เขาเป็นใครมาจากไหน ใยถึงมาออกรายการด่ารายวันรายสัปดาห์ จนถึงขั้นหวังโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วขยี้ซ้ำแบบไม่เผาผีเช่นนี้ เรามาย้อนอดีตและเปิดกรุธุรกรรมของ เขาดูหน่อยบ้างเป็นไร
นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีชื่อจีนว่า “โกตั้บ แซ่ลิ้ม” เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490 ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อนฝูงมักเรียกนายสนธิว่า “SONDY” ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อปี 2516 และแต่งงานกับผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มศว.ประสานมิตร แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่ จะพบปะกันบ้างเป็นบางโอกาส เช่น เมื่อบุตรชายของทั้งคู่ ซึ่งขณะนี้กำลังเรียนอยู่สหรัฐฯ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน ส่วนพ่อของนายสนธิคือเจ๊กเป็นทหารสังกัดกองร้อยหวางฟู่ ในกองพล 93 แห่งพรรคก๊กมินตั๋งของประธานาธิบดีเจียงไคเชค แต่ถูกกองทัพประชาชนของเหมาเจ๋อตงตีรุกจนถอยมาติดชายแดนจีนตอนใต้ยันชายแดนพม่า กองพล 93 มีชื่อเสียงมากเพราะ ซีไอเอ ของอเมริกันเลี้ยงไว้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ให้อาหารและอาวุธ ต่อมาทหารจีนช่วยคนท้องถิ่นปลูกฝิ่นมีรายได้อีกทางหนึ่ง แต่พ่อของนายสนธิชื่อ เชียร หนีทหารลอบเข้าชายแดนไทย แล้วลงมาอยู่กรุงเทพทำหนังสือพิมพ์จีน รับเรี่ยไรเงินส่งไปช่วยพรรคก๊กมินตั๋ง นายเชียรจึงพ้นโทษที่หนีทหาร ภายหลังนายเชียรร่ำรวย แล้วทั้งพ่อและแม่ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ (สันนิษฐานว่าโกงเงินเรี่ยไรไม่ส่งให้ก๊กมินตั๋ง)
นายสนธิเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย เมื่ออายุเพียง 27 ปี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ นายพล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอส กรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน แต่ประสบกับภาวะขาดทุน จึงขายให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เมื่อครั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานที่ นสพ.ประชาธิปไตยนั้น นายสนธิรู้จักนายพร สิทธิอำนวย (เรียกชื่อฝรั่งว่า นายพอล = Paul)ทำงานธนาคาร แล้วมีธุรกิจส่วนตัวทำนิตยสาร ต่อมานายพอล สิทธิอำนวยโกงเงินธนาคาร 2 พันล้านบาทหนีไปอยู่อเมริกา ก่อนหนีไปได้โอนกิจการพิมพ์ให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล เท่ากับนายสนธิได้สมบัติฟรี ๆ เป็นของส่วนตัวทำหนังสือต่อจนมีฐานะดี สามารถกู้หนี้ยืมสินธนาคารด้วยเครดิตสูง แต่แล้วนายสนธิก็กลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้ง บริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ออกหนังสือผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายเดือนและรายสัปดาห์ ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันตามมา
***ผูกขาดขาย Nokia แต่เพียงผู้เดียว***
ต่อมานายสนธิสามารถเข้าเทคโอเวอร์บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทย ก็คือ บริษัท เอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด บริษัทไมโครเนติก จำกัด และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด ซึ่งต่อมาบริษัท ไออีซี เป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก บริษัท ไออีซี เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว
***ลงทุนดาวเทียมลาวสตาร์ในลาว***
นายสนธิไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่การทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศเท่านั้น เขายังได้ขยายตัวออกไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์ “เอเชียไทม์” โดยตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกงอีกด้วย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็ม กรุ๊ป เมื่อ 22 พ.ย. 2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือ จากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ เข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN ที่เป็นบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับสัมปทานจากประเทศลาว พร้อมๆ กับเริ่มรุกทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน
จากการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาด นำมาสู่สภาพธุรกิจที่ตกต่ำ นับตั้งแต่ปลายปี 2539 ทำให้นายสนธิต้องขายธุรกิจในเครือ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย. 2542 ธนาคารนครหลวงไทย ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งให้นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป เป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด
ปัจจุบัน นายสนธิยังคงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการบริหารหนังสือพิมพ์ในเครือที่เหลือเพียง 3 ฉบับ คือ ผู้จัดการรายเดือน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และผู้จัดการรายวัน ซึ่งนายสนธิถือว่าเป็นหัวใจหลักที่จะต้องคงไว้และดำเนินการต่อไป แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆ แล้ว นายสนธิมีเครือข่ายความสนิทสนมกับบุคคลในกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ และข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ นายศิรินทร์ฯ และนายธารินทร์ฯ โดยนายสนธิได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจตลอดเวลาในช่วงที่นายศิรินทร์เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย. 2542 บริษัท Price water house Coopers ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้างมาปรับปรุงโครงการตรวจสอบภายใน ระบุว่า บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย จำนวน 2,123 ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ มาค้ำประกัน
***เปลือยธารินทร์***
ต่อมาไม่นานนัก นายสนธิจึงได้เขียนบทความต่างๆ รวมทั้งออกหนังสือชื่อ “เปลือยธารินทร์” โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องส่วนตัวของนายธารินทร์ฯ อยู่โดยตลอดมา จนเป็นข้อสงสัยต่อสาธารณชน อาจจะเป็นเรื่องไม่พอใจที่นายธารินทร์ไม่ยอมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้
กระนั้น นายสนธิก็ยังมีความสัมพันธ์กับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เนื่องจากอดีตภรรยาของนายสนธิเป็นญาติของนายบัญญัติ ทั้งนายสนธิกับนายบัญญัติเคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว ปัจจุบันมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ
***ลงทุนทำโรงแรมที่ลาวร่วมกับบัญญัติ บรรทัดฐาน***
ระหว่างช่วงสมัยรัฐบาลชวน 2 นายสนธิมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายธารินทร์มาก่อน ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง โดยนายสนธิอ้างว่าเป็นความขัดแย้งกันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ จากนั้นจึงพุ่งเป้าโจมตีนายธารินทร์อย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีหลังของรัฐบาลชวน 2 ทั้งผ่านทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในเครือผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ มีการทำเทปออกขาย ปรากฏความตอนหนึ่งว่า นายสนธิกล่าวหานายธารินทร์ว่า กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ทำให้นายธารินทร์ต้องฟ้องร้องนายสนธิในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนถึงปัจจุบันนี้
***เกาะรัฐบาลทักษิณ ๑***
ขณะที่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกนั้น ก็ได้ดึงเอานายสนธิมาร่วมงานด้วย เพราะเขารู้จักกับคนในรัฐบาลหลายคน ต่อมาในช่วงรัฐบาลทักษิณ 2 เกิดการขัดแย้งระหว่างนายสนธิกับรัฐบาลอย่างรุนแรง สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไร แต่บางคนอ้างว่า เพราะนายสนธิลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้วเป็นพันล้านบาท แต่กลับไม่ได้ช่องมาทำ ก็เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ในแบบเดียวกันกับที่เคยโจมตีนายธารินทร์สำเร็จมาแล้ว
***ฟอกเงินที่หมู่เกาะเวอร์จินไอส์แลนด์***
ไม่เพียงเท่านั้น ข้อสงสัยประการสำคัญที่มีต่อนายสนธิกับหมู่เกาะในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อในประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นหมู่เกาะของนักฟอกเงิน นั่นคือ หมู่เกาะ The British Virgin Island
มีหลายฝ่ายต่างแฉข้อมูลของนายสนธิ จนกลายเป็นข้อกล่าวหาที่สาธารชนจะต้องนำมาเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาด้วยเช่นกัน ประเด็นกล่าวหานายสนธิมีอยู่ว่า ไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะ The British Virgin Island นี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ ประเด็นก็คือ ส่วนต่าง 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร
นอกจากนั้น เงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน
ข้อสงสัยจนกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อมา คือทำไมมีการเปิดบริษัทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน และทำไมบริษัทนี้ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้บริษัทซึ่งเป็นของมหาชน ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปีแล้ว ข้อกล่าวหาอีกประเด็นหนึ่งคือ ทำไมบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้บริษัทนี้หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งที่ก็รู้ว่าบริษัทนี้ยังไม่โอนเงินเข้าบริษัท เมเนเจอร์ฯ มาเป็นปีแล้ว
***เงิน ๗๐๐ ล้านหายไปไหน***
นอกจากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จากบริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย เป็นหนี้ที่สงสัยจะสูญในทันที จนมีผลทำให้ผลประกอบการรวมของบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน จนเป็นที่มาของข้อสงสัยกรณีผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษัท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นรับรองบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย หลายไตรมาสติดต่อกัน
***เจิมศักดิ์แฉลดหนี้จาก ๒๐,๐๐๐ ล้านเหลือ ๖,๐๐๐ ล้าน***
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยตลอดมา คือประเด็นหลังจากที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545 แล้วนายสนธิและกลุ่มผู้จัดการได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐอีกกี่ครั้ง ต่อมานายสนธิออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มผู้จัดการมีหนี้อยู่ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่นายเจิมศักดิ์กล่าวหา
ในยุคหนึ่งขณะที่นายวิโรจน์ นวลแข ทำงานที่ธนาคารกรุงไทย มีข้อกล่าวหาว่า ทำไมนายสนธิถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้านบาท และทำไมธนาคารกรุงไทยถึงขนาดยอมให้นายสนธิไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้คืนเป็นค่าโฆษณาราคาแพง จนเราได้เห็นโฆษณาชุดผู้ใหญ่ลีที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละหลายแสนบาท อย่างถี่ยิบ จนเป็นคำถามว่า ธนาคารของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทย มีความจำเป็นต้องโฆษณาตัวเองกับสื่อของนายสนธิแค่ที่เดียว เป็นร้อยๆ ล้านบาทเลยหรือ (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)
***ปลุกระดมมวลชนเพื่อแก้วิกฤตการเงินของตัวเอง***
ด้วยข้อสงสัยและข้อกล่าวหาหลายประการ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การที่นายสนธิออกมาปลุกระดมมวลชนอย่างเอาเป็นเอาตาย สาเหตุเบื้องต้น เกิดจากกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลยใช่หรือไม่ และอะไรที่ทำให้นายสนธิ อุทานว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
ประเด็นที่เป็นเงื่อนตาย ที่ยากจะปลดล็อกคือ กรณีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัทซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีหุ้นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมีนาคม 2549 และประเด็น ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟูของบริษัทเมเนเจอร์มีเดียออกไปจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดียหาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้านบาทให้ได้ทันตามกำหนด
ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้านบาทไม่ได้ภายในเดือนมีนาคม หรือไม่มีอินไซเดอร์ใน ก.ล.ต.ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฎ บริษัทเมเนเจอร์มีเดียมีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
ถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอมให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัทเมเนเจอร์ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลงภายในปีนี้
จึงเป็นที่มาของคำว่า “ตายเป็นตาย” ของนายสนธิ
จากคุณ : หนุ่มบางปะกง - [ 16 ก.พ. 50 16:21:4 ]
Net Assets of Sondhi
ยอดหนี้สินที่พอรวบรวมได้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนี้ 6,687 ล้านบาท,
กู้เงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกว่า 300 ล้านบาท
กู้ธนาคารกรุงไทย 495,080,556.13 ล้านบาท
กู้ธนาคารกสิกรไทย 30,791,780.82 ล้านบาท
กู้ธนาคารเอเซีย 741,728,446.00 ล้านบาท
กู้ธนาคารกรุงไทย 900,978,279.31 ล้านบาท
กู้ธนาคารไทยธนาคาร 431,419,178.07 ล้านบาท
กู้ธนาคารดีเอสบี (ไทยทนุ) 64,621,463.90 ล้านบาท
กู้กฟผ. 63 ล้านบาท
สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ : มนุษย์หลายหน้า จอมมุสาเพื่อชาติและผลประโยชน์ตน
หนึ่งชั่วชีวิตของคนเรานั้น มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ลิ้ม โกตั๊บ ผู้ซึ่งวาดแผนไต่บันไดทางสังคมและสร้างอำนาจให้กับตนเอง เพื่อครอบงำสังคมไทยด้วยวิธีของเจ้าพ่อสื่อมวลชนที่รู้จักอำนาจอย่างแท้จริง ฉลาดล้ำลึก เป็นสิ่งที่คนในสังคมไทยจะต้องทำความเข้าใจและรู้เท่าทันอย่างแท้จริง เพื่อจะได้ตระหนักว่าคนๆ นี้มีด้านมืดที่มากมายกว่าด้านสว่างและชวนสยดสยองเพียงใด
นอกเหนือจากวิธีการตีสองหน้าที่โกตั๊บใช้มาตลอดคือ สร้างภาพด้านลบของตนเองให้กลายเป็นบวกอย่างง่ายๆ ด้วยการพูดที่คุ้นเคยกันคือ “ผมนั้นเป็นคนเลวแต่ขอบอกด้วยสัตย์จริงว่าผมเป็นคนเลวน้อยที่สุด” แล้วตลอดชั่วชีวิตกว่า 60 ปีของลิ้ม โกตั๊บ ได้พัวพันกับบทบาทมนุษย์หลายหน้ามาโดยตลอด ได้แก่
- การใช้อิทธิพลสื่อมวลชนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและขู่กรรโชกเพื่อหาผลประโยชน์ตนอย่างแนบเนียน - การแอบอิงรับใช้กลุ่มทุนหรือผู้มีอิทธิพลในอำนาจรัฐ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากสายสัมพันธ์นั้น - การปั่นหุ้นและวิศวกรรมการเงินอย่างมูมมามกับพลพรรคสร้างความร่ำรวยแบบฟองสบู่ - การอำพรางตัวเองเป็นคนหัวก้าวหน้า ทั้งๆ ที่จุดยืนเป็นพวกล้าหลังอย่างที่สุด - การสร้างประเด็นให้สังคมแบ่งเป็นขั้ว แล้วเข้าหาช่องว่างแสวงหาโอกาสสร้างอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตนเอง
ความสามารถในการเล่นบทบาทหลายหน้าอย่างแนบเนียนนี้ ถือเป็นมรดกตกทอดที่โกตั๊บรับมาโดยตรงจากพ่อซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการก๊กมินตั๋งที่ถูกส่งเข้ามาต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทย
พ่อของโกตั๊บเป็นจีนไหหลำ ชื่อจีนไม่เปิดเผยกับคนภายนอก แต่ใช้ชื่อไทยว่า วิเชียร อพยพจากเมืองจีนมาตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพในฐานะผู้ปฏิบัติงานต่อต้านคอมมิวนิสต์จีนในไทย เช่นเดียวกับพ่อของบรรญัติ บรรทัดฐานอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกส่งไปทำงานในภาคใต้
โกตั๊บเคยให้สัมภาษณ์ว่า พ่อของเขานั้นเคยเป็นถึงผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหวงผู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ความเป็นจริงนั้นไม่มีใครยืนยัน(และเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมา) รู้แต่ว่า เขามีธุรกิจโรงพิมพ์และจำหน่ายหนังสือพิมพ์จีนเล็กๆ แต่กลับมีบทบาทเป็นผู้กว้างขวางอย่างยิ่งในหมู่จีนไหหลำเมืองไทย ในฐานะกรรมการที่ต่อเนื่องยาวนานของสมาคมจีนไหหลำในเมืองไทย
บทบาทในสมาคมไหหลำของพ่อเขาทำให้ไม่ยากที่จะต่อสายไปกับคนจีนเชื้อสายไหหลำที่โด่งดังในไทยอย่าง บุญชู โรจนเสถียร นายธนาคารใหญ่แห่งธนาคารกรุงเทพขณะนั้น
สิ่งที่โกตั๊บไม่เคยบอกก็คือ ทำไมเขาถึงมีทะเบียนเกิดที่จังหวัดสุโขทัย ? ความจริงก็คือ ตอนที่เขาเกิดพ่อของเขากำลังดำเนินการใต้ดินต่อต้านคอมมิวนิสต์อยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีฐานจัดตั้งในกลุ่มคนจีนไหหลำที่จังหวัดนครสวรรค์และพิจิตร ที่พวกคอมมิวนิสต์จีนได้จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น
เพื่อให้สะดวกกับการทำงาน พ่อของเขาจัดการส่งโกตั๊บเข้าโรงเรียนประจำที่ศรีราชา โดยมีเพื่อนร่วมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหลายคน ได้แก่ ทะนง พิทยะ วศิน เตยะธิติ วิโรจน์ นวลแข กนก อภิรดี และประจักษ์ศิลป์ สุวรรณเภสัช
ที่นี่เอง โกตั๊บได้สร้างวีรกรรมเกเรเอาไว้นับไม่ถ้วน เมื่อเรียนจบจึงถูกพ่อซึ่งหลังสงครามโลกมีบทบาทกว้างขวางใหญ่โตขึ้นจับส่งตัวไปดัดสันดานที่ไต้หวันเพื่อเรียนภาษาจีนตามหลักสูตรของพรรคก๊กมินตั๋ง แล้วจึงส่งไปชุบตัวที่อเมริกา
ที่อเมริกานี่เองที่เขาได้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับพอลหรือพร สิทธิอำนวย และสุธี นพคุณ(อดีตผู้นำนักศึกษาที่หนีภัยเผด็จการไปอาศัยอยู่ในสหรัฐ)
เมื่อบุญชู โรจนเสถียร(ในอดีตเคยเป็นเยาวชนฝ่ายซ้ายที่ต่อมากลับกลายเป็นนายธนาคารใหญ่ที่สุดของไทย) ได้ชักชวนพร สิทธิอำนวย และสุธี นพคุณ กลับประเทศไทยมาร่วมทำธุรกิจวางรากฐานสู่การเมืองในพรรคกิจสังคม(มีม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค) โกตั๊บก็ร่วมติดสอยห้อยตามกลับมาด้วย เข้าทำงานในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งก่อนที่จะถูกณรงค์ เกตุทัต ชักชวนมาทำงานเป็นทีมงานวางแผนประชาสัมพันธ์เลือกตั้งให้น้องเขยที่ชื่อ ดำรง ลัทธพิพัฒน์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อประสบความสำเร็จ ดำรง ได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ณรงค์จึงมอบงานให้โกตั๊บเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ประชาธิไตย” ด้วยเหตุผลทางการเมือง
ดังที่รู้กันว่า ในยุคปลายของเผด็จการถนอม-ประภาสนั้น สนั่น เกตุทัต พ่อของณรงค์ กับพ่อตาของดำรง ถูกอำนาจเผด็จการถนอม-ประภาส โดยณรงค์ กิตติขจรเล่นงานเรื่องทำไม้ซุงหายที่แม่สอด จังหวัดตากจนต้องถูกออกจากราชการ จุดยืนของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยของบรรณาธิการโกตั๊บจึงมุ่งที่ต่อต้านถนอม-ประภาสเป็นหลัก
ช่วงเวลานั้น โกตั๊บถอดแบบจากพ่อสวมรอยสร้างเงื่อนไขสั่งสมบารมีด้วยการระดมหนุ่มสาวหัวก้าวหน้ามาเป็นทีมงานในสังกัดเป็นจำนวนมาก สร้างภาพลักษณ์เป็นคนหัวก้าวหน้ารักประชาธิปไตยเป็นชีวิตจิตใจ แต่เบื้องหลังความจริงแล้วเขากลับใช้เส้นทางบรรณพิภพกรุยทางสร้างเส้นสายอิทธิพลกับวงการสีกากีอย่างลึกซึ้ง
ประสบการณ์จากบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ครั้งนั้น ทำให้เขาได้เรียนรู้การใช้วิชามารในการสร้างความเป็นจริงเทียมเพื่อผลประโยชน์ตน ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างดีในปัจจุบัน โกตั๊บตั้งตนเป็นปรมาจารย์ พร่ำสอนนักข่าวที่เป็นศิษย์รักให้เห็นถึงความมหัศจรรย์พันลึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “ข่าว นั้นมิใช่การรายงานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ หากแต่เป็นการ “สร้าง” ความเป็นจริงใหม่ขึ้นจากเหตุการณ์ด้วยการเลือกมุมมองหรือมิติใดมิติหนึ่งมารายงานหรือวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้” ซึ่งนั่นเท่ากับการเปิดช่องให้ใส่ “อคติ” ของคนทำข่าวได้เต็มที่อย่างแนบเนียนนั่นเอง
โกตั๊บแต่งงานกับอาจารย์สาวที่มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดตรังและเป็นญาติห่างๆ ของนายตำรวจนักฆ่าชื่อดัง พลตำรวจเอกสล้าง บุนนาค อาศัยความเป็นสื่อและความสัมพันธ์ส่วนตัวนี้สร้างอิทธิพลในแวดวงสีกากีมาตลอดอย่างยาวนาน
โกตั๊บเป็นเพลย์บอยนักท่องราตรีชื่อดังในแวดวง จนได้รับฉายาจากเพื่อนๆ ในวงการว่า หน้าหม้อ เป็นโรคแพ้ความสวยของสตรีโดยเฉพาะดารานักแสดง นักร้อง นางแบบและแอร์โฮสเตส มีชื่อเสียงด้านเป็นเจ้าบุญทุ่มเพื่อสิ่งนี้ในระดับแนวหน้า ภรรยาจำต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อโกตั๊บ
หลัง 14 ตุลาคม 2516 โกตั๊บได้รับผลพวงจากหนังสือพิมพ์ที่ถูกเรียกว่าเป็นหัวหอกของฝ่ายก้าวหน้า แต่เมื่อกระแสขวาพิฆาตซ้ายตีโต้กระแสประชาธิปไตย โกตั๊บก็ถูกเชิญให้ต้องถอยออกจากงาน ซึ่งเขาก็ได้อาศัยความเป็นเลือดไหหลำเข้าเกาะติดบุญชู โรจนเสถียร เข้าร่วมงานกับพร สิทธิอำนวย และสุธี นพคุณของกลุ่มพีเอสเอ. รับหน้าที่ดูแลแผนกสิ่งพิมพ์ในชื่อ แอดวานซ์ มีเดีย ทำสำนักพิมพ์ใหญ่โต ออกหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวันเป็นที่ฮือฮามากในขณะนั้น ด้วยสไตล์ที่ทำอะไรต้องหวือหวาใหญ่โตด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมากเสมือนพิมพ์ธนบัตรใช้เองทำให้กิจการของแอดวานซ์ มีเดีย ต้องประสบปัญหาขาดทุนจนต้องขายธุรกิจนี้ให้กลุ่มอื่นไป
เมื่อโกตั๊บต้องตกสวรรค์ลงเหยียบดินจึงหลบมาสร้างรังใหม่ด้วยการออกนิตยสารชื่อ ชีวิตต้องสู้ และกรุงเทพ 30 หวังฟื้นคืนสวรรค์อีกครั้ง ในช่วงนี้โกตั๊บไม่ทิ้งนิสสัยเพลย์บอยกลับอาศัยความเป็นเจ้าของกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ออกล่าดารานักร้องชื่อดังมากมายเช่น จันทนี อุนากรูล และภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ เป็นต้น ทำให้กิจการทรุดหนักซวนเซมีหนี้สินมากมายต้องทำตัวเป็นแมงดาจนมีวาทะอันลือชื่อว่า “กรูก็มีผัวมาหลายคน แต่ไม่เคยมีใครเ..ี้ยเหมือนโกตั๊บมันเอาทั้งตัวทั้งทรัพย์สินทุกอย่างไม่เลือกหน้า” จากนักแสดงชื่อดังและอาศัยเส้นสายนายตำรวจใหญ่สล้าง บุนนาคและแสวง ธีระสวัสดิ์ คุ้มกะลาหัวให้
แล้ววันหนึ่ง ความอัปมงคลก็มาถึง เมื่อเจ๊เจ้าของร้านทำเพลทแห่งหนึ่งทนความคับแค้นใจที่ได้รับจากโกตั๊บไม่ยอมเจรจาจ่ายหนี้ที่ติดค้างประมาณ 3 แสนบาทได้ จึงย้อนรอยนำตำรวจนอกอิทธิพลของโกตั๊บบุกเข้าจับตัวอย่างสายฟ้าแลบไม่ให้ตั้งตัวทัน ผลลัพธ์คือ โกตั๊บต้องไปนอนในมุ้งสายบัวหลายคืนเป็นตำนานอัปยศให้ต้องจดจำไปนาน โกตั๊บต้องขอให้เพื่อนเก่าอย่าง วศิน ผู้บริหารคนสำคัญของบริษัทโฆษณาใหญ่ ฟาร์อีส แอดเวอร์ไทซิ่ง ในเครือสหพัฒน์มาช่วยประกันตัว และนำไปซบแทบเท้าของโป้ยเสี่ย หรือไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ น้องชายเสี่ยใหญ่อุเทนแห่งธนาคารศรีนคร ผู้เป็นผู้คุมสายส่งเหล้าทั่วประเทศของกลุ่มตระกรูลเตชะไพบูลย์มาเป็นนายทุนทำหนังสือใหม่
โกตั๊บ กลายเป็น 1 ใน 4 อรหันต์วงการสื่อ(โกวิท สีตลายันหรือมังกรห้าเล็บ ระวิ โหลทองแห่งสยามกีฬาปัจจุบันและเผด็จ ภูริปฏิภาณหรือพญาไม้)ที่รู้กันทั่วไปว่ารับใช้โป้ยเสี่ย พิทักษ์ผลประโยชน์โป้ยเสี่ยอย่างสุดจิตสุดใจด้วยทุนที่หนุนโกตั๊บให้ออกสื่อสิ่งพิมพ์ใหม่
เขาใช้วิชามารที่สั่งสมมานำข้อมูลเบื้องลึกที่ได้เคยร่วมทำงานกับพร สิทธิอำนวยและสุธี นพคุณ มาเล่นงานเพื่อนเก่าอย่างเมามันเพื่อแบล็คเมล์หาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ใช้สื่อสิ่งพิมพ์ของเขาเล่นงานเจริญ ศิริวัฒนภักดี เพื่อช่วยเหลือเกื้อกรูลธุรกิจเหล้าของตระกรูลเตชะไพบูลย์และตบทรัพย์ได้เงินเข้ากระเป๋าอย่างมากมาย
นอกจากโกตั๊บจะเชี่ยวชาญวิชาตบทรัพย์แล้ว เพื่อเสริมบารมีความน่าเชื่อถือจึงวางมาดเป็นนักวิชาการด้านสื่ออาศัยเส้นสายเข้าสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกรูลจากเพื่อนเก่าเช่น ทนง พิทยะ ชัยอนันต์ สมุทวณิช สมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ และสมชาย ภคภาควิวัฒน์ จนกระทั่งสบโอกาสไปสนิทชิดเชื้อกับเกษม จาติกวณิช ล็อบบี้ยิสต์ชื่อดัง อดีตผู้บริหาร กฟผ. จึงผันตัวเองเข้าสู่แวดวงนักล็อบบี้ยิสต์ทางธุรกิจการเมือง ตั้งวงปักหลักที่โรงแรมรีเจนท์ ราชดำริ
อีกความสามารถหนึ่ง โกตั๊บอาศัยที่สล้าง บุนนาค ชะตาตกถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ดึงเอาพรรคพวกนักวิชาการเข้าไปสร้างสายสัมพันธ์เครือข่ายจนกระทั่งมีอิทธิพลเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี รับวิ่งเต้นโยกย้ายนายตำรวจทั่วราชอาณาจักรจนกระทั่งปัจจุบัน
ระหว่างนี้ โกตั๊บได้คบหาคุ้นเคยกับนักธุรกิจโทรคมนาคมชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวแลกเช็คหมุนเงินกันตัวเป็นเกลียว และคบหาสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ์ แห่งกลุ่มศรีมิตร นักปั่นหุ้นชื่อดังในวงการตลาดหุ้นไทย ผู้สร้างชื่อจากบริษัทโนเนมกลายเป็นบริษัทหัวแถว จากหุ้นราคาไม่ถึง 100 บาทเป็นหุ้นราคามากกว่า 1,400 บาท นี่เองเป็นบทเรียนล้ำค่าช่องทางรวยทางลัดด้วยวิธีการ แต่งตัวปั้นบริษัทเข้าตลาดหุ้นเพื่อผลกำไรก้อนมหึมา
โกตั๊บปั้นแต่งโรงพิมพ์แห่งใหม่เข้าตลาดหุ้นและเข้าซื้อกิจการที่ปูนซีเมนต์ไทยโละทิ้ง อาศัยสื่อและอิทธิพลของสื่อสร้างราคาหาเงินจากตลาดหุ้นจนร่ำรวยหลายร้อยล้าน
ถึงตรงนี้ โกตั๊บทะเยอทะยานไปไกลยิ่งขึ้นถึงขั้นเจ้าพ่อสื่อระดับโลก รูเพิร์ต เมอร์ด็อก หวังเป็นเจ้าพ่อสื่อเมืองไทยสร้างกลุ่มธุรกิจในนาม เอ็มกรุ๊ป ขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพื่อสร้างภาพเป็นนักธุรกิจระดับอินเตอร์ด้วยการแต่งหน้าทาแป้งเป็นกลุ่มทุนข้ามชาติที่ช่ำชองเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในอาเซียน ระดมนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายเข้าสังกัดหวังปูเส้นสายสร้างสายสัมพันธ์กับผู้นำในแถบอาเซียน เช่น ธัญญา ชุณชฎาธารหรืออ๋า เพื่ออาศัยความสัมพันธ์ฉันท์สหายเชื่อมต่อผู้นำประเทศลาว พีรพล ตริยะเกษม เดินสายติดต่อกับผู้นำประเทศเวียดนาม และไกรวุฒิ ศิรินุพงศ์หรืออี๊ดนักหนังสือพิมพ์และนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายที่กว้างขวาง เดินสายติดต่อในประเทศจีนแถบตอนใต้
โกตั๊บยกระดับชื่อเสียงจนโด่งดังทั่วเอเชียติดอันดับหนุ่มเนื้อหอมที่ดารา นางแบบทั้งในประเทศและฮ่องกงต่างสนใจในความเป็นเจ้าบุญทุ่มของเขา โกตั๊บติดพัน กง ลี่ ดาราสาวจีนชื่อดังถึงขนาดทุ่มเงินเช่าเครื่องบินเหมาลำชาเลนเจอร์ของการบินไทยพากง ลี่ บินว่อนไปทั่ว
เขาเป็นผู้ดึงตัวพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก สมัยรัฐบาลชาติชาย ลูกชายนายธนาคารผู้ถือหุ้นธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ เจ้าของหนังสือข่าวเอกซคลูสีฟรายสัปดาห์ จัตุรัส(เจ้านายคนแรกของคำนูณ สิทธิสมาน) มาร่วมทีมเป็นที่ปรึกษาใหญ่ ได้รับการแนะนำให้เอาเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งกลับจากลี้ภัยรสช.ที่เดนมาร์กมาปั้นสู่นักแบล็คเมล์แห่งวงการเมืองไทยและเป็นหัวหอกต่อสู้กับรสช.ที่อยู่ในระยะถดถอยจนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 และรสช.พ่ายแพ้ในที่สุด
มีความจริงที่โกตั๊บพยายามปิดไม่บอกให้โลกรับรู้ในเหตุการณ์นี้ว่า โกตั๊บนี่แหละเผ่นหนีก่อนใคร ไปตั้งหลักที่ประเทศอังกฤษก่อนวันที่ 17 พฤษภาคม 35 ด้วยซ้ำทิ้งให้พนักงานดูแลจัดการเผชิญปัญหาตามลำพังได้แต่โทรศัพท์ทางไกลมาถามอย่างขี้ขลาดว่าเหตุการณ์ไปถึงไหนแล้ว และจบด้วยคำพูดทุกครั้งว่า “่ขอให้สู้ต่อไป ไม่ต้องห่วง พี่อยู่ทางนี้เอาใจช่วยเสมอ” แต่เวลาเล่าเหตุการณ์ให้คนภายนอกฟังมักแอบอ้างฉวยโอกาสว่าตนเป็นผู้ยืนหยัดอยู่แถวหน้าในการต่อสู้เสมอ
โกตั๊บเป็นคนเชื่อและคลั่งหมอดูแบบขาดไม่ได้ไม่ว่าจะทำอะไร มักบอกกับใครๆ ว่า นิสัยและดวงชะตาของเขาเป็นแบบเดียวกับเจงกิสข่าน คือ เป็นนักตีเมือง แต่ไม่ชอบรักษาเมือง ดังนั้นจึงต้องตีเมืองไปเรื่อยๆ
เมื่อรสช.พ่ายแพ้และประชาธิปไตยกลับคืนมา โกตั๊บ
สนธิลิ้มที่คุณไม่รู้จัก - สดุดีความรักชาติของอดีตราชามีเดียของเอเซียอาคเนย์ The Unspoken Patriotism of Former Media King of Southeast Asia
นครลอสแองเจลิส (ข่าว VNN) - 22 พฤศจิกายน 2552 - เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว นาย พอล สิทธิอำนวย ซึ่งได้อาศัยฝีมือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ทำให้สามารถสร้างธุรกิจระดับ ๒๐๐๐ ล้าน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่หลังจากที่นายพอลต้องฝ่าพายุธุรกิจ ผันตัวเองมาลี้ภัยอยู่ในอเมริกา นายสนธิ ต้องอาสารับภารกิจมีเดียต่อจากนายพอลในฐานะทายาท จากนั้นเป็นต้นมา นายสนธิได้สถาปนาตัวเองอย่างรวดเร็ว กลายเป็นราชาแห่งมีเดียของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Media King of Southeast Asia)
กิจการมีเดียของนายสนธิเจริญขึ้นเรี่อยๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ แมกกาซีน รายการวิทยุและโทรทัศน์ทั้งในและนอกประเทศ จนเป็นที่ประทับใจของนักธุรกิจที่อยู่ในวงการมีเดียเป็นอย่างมาก จะขอกู้เงินจากธนาคารก็มักจะไม่มีปัญหา
สมัยนั้น นายสนธิมีเครดิตมากขนาดซื้อกิจการทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ไม่ว่ามีเดียไหน วิสัยทัศน์ทางธุรกิจมีเดีย คือ การเข้าไปมีชี่อเป็นเจ้าของกิจการมีเดียทุกประเภท เพื่อนายสนธิจะได้เป็นเจ้าพ่อสื่อได้ในที่สุด
และที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่เป็นคนไทย ตัวเขาเองไม่เคยลืมตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินเกิด การเข้าครอบครองสื่อต่างๆเหล่านี้ เขาถือว่า เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไืทย โดยประเทศไทยไม่ต้องเสียเงินไปจ้างบริษัทเอเยนซี่ใดๆ
ตัวอย่างที่ดังที่สุด คือการซื้อแมกกาซีนอเมริกันที่มีฐานในนิวยอรค์และลอส แอนเจลสีส ชื่อ Buzz Magazine ทั้งๆที่เป็นแมกกาซีนที่จะเจ๊งอยู่แล้ว
แต่ ด้วยวิสัยทัศน์ของนายสนธิ ที่อยากเห็นคนไทยเป็นเจ้าของแมกกาซีนฝรั่ง และเห็นประโยชน์เชิงประชาสัมพันธ์ที่จะเกิดแก่ประเทศไทย ก็เลยแสดงความใจป้ำ ซื้อด้วยราคาที่สูงลิ่ว คือ ในราคา ๑๖๐๐ ล้านบาท หรือ ๔๐ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคนขายถึงกับงงในกลยุทธที่แนบเนียนของนายสนธิ
วง การธุรกิจมีเดียแทบไม่เชื่อกับตา เพราะโฆษณาขายแมกกาซีนนี้มานาน แต่ไม่มีหน้าไหนมี “gut” เท่าคนไทย นับว่า เป็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของนายสนธิ
ยังจำได้ว่า ตอนเปิดตัวเจ้าของ Buzz ใหม่ ผมได้ถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมหรูใน Beverly Hills ได้เห็นนายสนธิเดินชนแก้วบั่นรีไวน์กับนักธุรกิจมีเดียระดับโลกในแอลแอด้วย ความโก้หรู
แต่น่าเสียดาย แค่หนี่งปีสองเดือน Buzz ก็ต้องปิดกิจการ เพราะขาดกระแสเงินสดจ่ายให้กับพนักงานฝรั่งทั้งหลาย หลังจากพยายามจะขายต่อให้คนอื่น แต่ไม่มีใครมี “gut” ทางธุรกิจ(เหมือนนายสนธิ) ที่จะเสนอหน้ามาซื้อ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของนักธุรกิจระดับโลกอย่าง นายสนธิ เพราะตั้งแต่ตอนเข้าซื้อกิจการ นายสนธิได้ ”โปรแกรม” การปิดกิจการนี้ไว้แต่ต้นแล้วแล้ว
ด้วยความมีน้ำใจรักชาติของนาย สนธิ นายสนธิสำนึกเสมอว่า สุดท้ายแล้ว เงิน ๑๖๐๐ ล้านบาทที่นำมาซื้อกิจการนี้ เพียงแค่การประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในระดับโลก ก็คุ้มค่าแล้ว นายสนธิจึงมองเป็นกุศโลบายว่า เงิน ๑๖๐๐ ล้านบาทนี้ ว่าที่จริงแล้ว ก็มาจากแบงก์ไทย
ดังนั้น จึงถือว่า คนไทยทุกคน มีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วน ในการเทคโอเวอร์ระดับโลกครั้งนี้ด้วย คนไทยทุกคนจึงน่าจะภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
สรุปคือ ภาษีของคนไทยน้อยนิดที่ถูกนำไปโอบอุ้มหนี้เสียเหล่านี้ เทียบไม่ได้กับชื่อเสียงระดับโลกที่นายสนธิได้ทำให้แก่ประเทศไทยนั่นเอง
นายสนธิ ถือว่า เป็นคนสนับสนุนและช่วยให้คุณทักษินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่น่าเสียดายที่ นายกทักษิณไม่เคยสำนึกถึงบุญคุณคน ไม่ยอมรักษาคำพูดที่เป็นข้อตกลงว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะร่วมเป็นหุ้นส่วนกอบกู้ชาติกับนายสนธิ กล่าวคือ ไม่ยอมแต่งตั้งคนสนิทของนายสนธิตามข้อตกลงเบื้องต้น
มิฉะนั้นแล้ว หนี้ ๖๐๐๐ ล้านบาทของนายสนธิ คงจะได้รับการปรับลดจนเหลือแค่ ๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กิจการของนายสนธิฟื้นตัว และส่งผลพวงเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในที่สุด
น่าอนาจที่คนอย่าง นายกทักษิณ ที่คนยกย่องว่า มีวิสัยทัศน์นักธุรกิจที่ดี กลับตอบปฎิเสธทันทีอย่างไม่มีเยื่อไย โดยอ้างเพียงว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งๆที่นายกทักษิณรู้ว่า การผิดกฎหมายในกรณีนี้ อาจส่งผลเป็นลูกโซ่ ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยกลับให้ฟูเฟื่องฟองสบู่แบบเดิมได้อีก
อย่างนี้แล้ว นายทักษิณจะอ้างว่า ตัวเองรักชาติได้อย่างไร
หลังจากนั้นมา ในฐานะที่เป็นคนไทยผู้รักชาติ นายสนธิก็ตั้งความมุ่งมั่นว่า คนซึ่งไม่รักชาติและขาดวิสัยทัศน์เชิงธุรกิจเช่นนี้ ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอีกต่อไป จึงยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง มาเป็นแกนนำพันธมิตร และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้นายกทักษิณออกจากตำแหน่งให้ได้
โดยพร้อมสนับสนุนผู้นำรุ่นใหม่ อย่าง นายอภิสิทธิ ซึ่งแม้จะขาดประสบการณ์ด้านธุรกิจ แต่ก็เหมือนผ้าขาว ย่อมง่ายต่อการฟูมฟัก ให้มีวิสัยทัศน์ร่วมกับวิสัยทัศน์ของนายสนธิได้
พันธกิจที่สำคัญอันดับแรก คือ ต้องมาช่วยกันสลายหนี้ก้อนโตในวงการธุรกิจ ซึ่ง ถ้าทำได้ จะถือเป็นการกู้้ชาติที่ยิ่งใหญ่ ทำให้นักธุรกิจที่ล้มละลาย (เพราะการโจมตีค่าเงินบาทจากต่างชาติในปี ๑๙๙๗) ได้กลับมามีส่วนร่วมในการสร้างชาติไทยอีกครั้ง
ตัวเขาเองยอมรับว่า ศึกครั้งนี้มีเดิมพันใหญ่หลวงนัก เพราะถ้าทักษิณได้กลับมาอีกครั้ง เขาอาจต้องหนีไปอยู่อเมริกา อย่างไรก็ตาม เขาพร้อมจะเผชิญความยากลำบากของชีวิตในบั้นปลายที่อเมริกา (ถ้านายพอลเจ้านายเก่าของเขาสามารถทนใช้ชีวิตลำบากอยู่ในอเมริกาได้ เขาก็ย่อมทนอยู่ได้เช่นกัน)
ดังนั้น กิจกรรมกู้ชาติและภาษีของประชาชนจึงต้องมาก่อนเสมอ!
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 16:54:43 น. |
|
83 comments
|
Counter : 2238 Pageviews. |
|
|
|
ไส้ในจริงๆ มันก็ต้องมีแรงจูงใจเป็นทุนอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่ลงทุนลงแรงเยี่ยงนี้หรอก...
อนิจจัง พุทโธๆ ขอให้ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ