ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง
ลับเฉพาะคนรู้ทันสนธิ บทที่ 2

ลับเฉพาะคนรู้ทันสนธิ บทที่ 2


"หลังจากพังพาบไปกับพิษไข้ต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยประกาศความยิ่งใหญ่ของชนชาติผิวเหลือง ให้นักธุรกิจสื่อในซีกโลกตะวันตกได้ประจักษ์ในความสามารถเหมือนกับครั้งหนึ่งในอดีตกาลที่ เจงกีสข่าน ได้ยกพลบุกตะลุยไปจนถึงยุโรป ก่อนจะสิ้นชีพ เพราะความทะเยอทะยานที่เกินกำลังของตัวเอง"


“โมกุลแห่งสื่อของเอชีย” อย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากจักรพรรดิเจงกีส ข่าน คือต้องถึงกาลดับชีพในโลกธุรกิจ ด้วยสภาพหนี้สินล้นพ้นตัวหลายหมื่นล้านบาท อาณาจักร เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่เสกเป่าขึ้นมาด้วยลมปากและปลายลิ้น ก็ล่มสลายพังครืนลงมาจนยากจะรับมือไหว


เมื่อหมดสิ้นหนทางที่จะต้านพิษไข้ต้มยำกุ้งได้ และไม่อายทานพายุเศรษฐกิจที่พัดผ่านประเทศไทยไปได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศทฤษฎี “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” พร้อมกับประกาศตนเป็นลูกหลาน (นอกรีต) พระเจ้าตาก ด้วยการ “ชักดาบ” เจ้าหนี้ทุกรายประดามี


กระบวนท่าของสนธิ บังเกิดผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุกระดับ ทั้งในประเทศแลต่างประเทศ เนื่องจากมีนักธุรกิจจำนวนมาก ยึดสนธิเป็นแบบอย่างในการต่อสู้กับเจ้าหนี้ด้วยทฤษฎี 3 ไม่ ส่งผลให้ประเทศไทย กลายเป็นลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ต่างชาติเข็ดขยาดไปตามๆ กัน


กล่าวกันว่าเฉพาะบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีหนี้สินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นภาระที่มากเกินกว่าสนธิจะเยียวยาได้ จึงต้องปล่อยให้เจ้าหนี้เข้ามาจัดการแบ่งสันปันส่วนหนี้ที่สนธิ สร้างเอาไว้ ในขณะที่สนธิก็หมดสภาพที่จะยื้อยุดฉุดกระชากหนี้กับเจ้าหนี้ทั้งหลายจนต้องยอมรับสภาพบุคคลล้มละลายในวันหนึ่ง


เมื่อธนาคารนครหลวงไทย ฟ้องให้ชำระหนี้จำนวน 151 ล้านบาท สนธิไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารนครหลวงไทย ก็ดำเนินการในชั้นศาลให้ศาลสั่งสนธิเป็นบุคคลล้มละลาย

ถึงแม้จะตกอยู่ในสภาพบุคคลล้มละลาย แต่สนธิก็คงมีบทบาทในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในฐานะที่ปรึกษาบริษัทแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และการดำเนินชีวิตของสนธิ ก็ยังคงเป็นไปอย่างมีสีสัน ไม่แตกต่างจากก่อนจะเป็นบุคคลล้มละลายมากนัก นักการเมือง นักวิชาการจำนวนมากยังคงแวะเวียนไปหา ไปขอความเห็นต่างๆ อยู่เป็นประจำ


ไม่เพียงเท่านั้น สนธิยังอยู่เบื้องหลังการขยายกิจการของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เพื่อทำธุรกิจสื่อเว็บไซต์และสื่อโทรทัศน์ ในนามผู้จัดการด้วยเงินทุนหลายร้อยล้านบาท ถึงแม้จะอยู่เบื้องหลังและรั้งตำแหน่งเพียงที่ปรึกษาบริษัท แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดสถานภาพที่แท้จริงของตัวเองต่อสายตาของนักลงทุน


และเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการสื่อมวลชนได้ เนื่องจากการเดินหมากทางธุรกิจของสนธิ เป็นหมากที่ดุดัน กว้านซื้อตัวบุคลากรมือดีจากค่ายต่างๆ เข้ามาอยู่ในคอกของตัวเอง อย่างไม่พรั่นพรึงต่อราคาที่มีการเสนอเข้ามา ขุนพลข่าวมือดีจากโทรทัศน์ทั้ง 6 ช่อง

ถูกอำนาจเงินดูดเข้าไปอยู่ใต้ชายคาบ้านเจ้าพระยา และบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นป้อมค่ายหลักของสนธิในการหวนคืนกลับมาสู่สังเวียนธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการลงทุนหลายร้อยล้านบาท เพื่อสร้างอาณาจักรใหม่ ที่มีเว็บไซต์ manager.co.th และโทรทัศน์ 11 news 1 เป็นหัวหอกหลักนี้เอง


จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นในวงการธุรกิจ และวงการสื่อมวลชนในประเทศว่าแท้จริงแล้วสนธิ ไม่ได้บาดเจ็บจากพิษไข้ต้มยำกุ้งจริง ไม่ได้ล้มจริงตามที่เป็นข่าวจริงอยู่บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ล้มไปแล้ว แต่สนธิยังคงยืนได้อย่างผ่าเผย ซึ่งพฤติกรรมดั่งนี้ไม่อาจเรียกเป็นอื่นได้ นอกจากการล้มบนฟูก กล่าวคือ บริษัทเจ๊ง แต่สนธิไม่ได้เจ๊งตามไปด้วย เพราะความชาญฉลาดในการทำธุรกิจ และความเจนจัดในการใช้บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง


เชื่อกันว่าสนธิได้ใช้กระบวนท่าดูดเงินบริษัทมหาชนเข้าไปอยู่ในเซฟของตัวเองจำนวนมหาศาล หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 สนธิได้หลบลี้หนีหน้าออกจากวงการธุรกิจนานพอสมควร ก่อนจะกลับมาปรากฎในวงการหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ในนามของพายัพ วนาสุวรรณ ที่ทำให้มิตรรักอย่างธารินทร์ นินมานเหมินทร์ ต้องจดจำไปอีกนาน


ด้วยลีลาการเปลือยธารินทร์อย่างเจ็บแสบ เพียงเพราะนายธารินทร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น มีท่าทีเมินเฉยต่อความเดือดร้อนของสนธิที่กำลังซมพิษไข้ต้มยำกุ้ง ชนิดที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด สนธิใช้ข้อมูลวงในที่เคยคลุกคลีตีโมงอยู่กับสองพี่น้อง “นิมมานเหมินทร์” คือธารินทร์และศิรินทร์ มาย้อนถล่มธารินทร์อย่างรุนแรงหนักหน่วง


กระทั่งภาพลักษณ์ขุนคลังไร้เทียมทานของธารินทร์ที่ประชาชนฝากความหวัง ต้องเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว และกลายเป็นขุนคลังไร้ราคา โดยเฉพาะเรื่องการขายทรัพย์สินของปรส. ให้แก่บรรษัทข้ามชาติ ในราคาถูกๆ แบบเลหลัง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มีนายธารินทร์ เป็นผู้รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจ และเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน

กระทั่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล และทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาในที่สุด


ต้องยอมรับว่าสนธิเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ยากให้เข้าใจง่ายได้เก่งที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนติดตามงานของเขาเป็นจำนวนมากหลายคนตกอยู่ใต้มนต์ของตัวหนังสือที่สนธิ ร่ายให้ฟังชนติที่ไม่อยากคิดอะไรเองอีกแล้ว


พากันหลงเชื่อคล้ายตามตรรกะแบบสนธิไปได้ง่ายๆ มีการสืบสาวราวเรื่องกันในเวลาต่อมาว่า เหตุที่สนธิในนามของพายัพ วนาสุวรรณ ตั้งหน้าตั้งตาไล่ถล่มธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ชนิดที่ไม่เห็นแก่คุณธรรมน้ำมิตรแต่เก่าก่อนซึ่งเคยกินอยู่หลับนอนมาด้วยกัน ก็คือกรณีที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542 มีผู้ร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. หรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเอนจิเนียริ่ง จำดัด (มหาชน) หรือ IEC ปกปิดข้อมูลการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,078 ล้านบาท


และจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่าการกู้เงินรายนี้ของเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ MGR ร่วมเป็นผู้ค้ำประกันด้วย


ทั้งนี้จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่าสัญญกู้ยืมเงินที่เดอะเอ็มกรุ๊ป กู้จากธนาคารกรุงไทย และสัญญาค้ำประกันเงินกู้ของ MGR นั้น ลงนามโดยคน 4 คนได้แก่ สนธิ ลิ้มทองกุล สุรเดช มุขยางกูร เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ และยุพิน จันทนา ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม แต่เรื่องนี้กรรมการของ MGR ไม่ได้รับทราบ


และไม่ได้มีการเปิดเผยในงบการเงินของ MGR ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากคนทั้ง 4 ได้กระทำทุจริตโดยใช้อำนาจที่ตนได้รับมอบหมายแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อผู้อื่น อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่


ทรัพย์สินและผลประโยชน์ของ MGR โดยตรง รวมทั้งในการทำสัญญาประกันดังกล่าว บุคคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันปลอมสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการ MGR เพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่าคณะกรรมการ MGR ได้มีมติให้ทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวในนาม MGR การกระทำดังกล่าวเป็นการลวงให้ผู้อื่นหลงผิดจนก่อให้เกิดภาระและความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นของ MGR และ MGR ด้วย


นอกจากนี้บุคคลทั้ง 4 รายได้ร่วมกระทำผิดจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ MGR โดยตรงแล้ว บุคคลดังกล่าวยังไม่ได้ดำเนินการให้ MGR เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภาระค้ำประกันเงินกู้ยืมให้แก่ เดอะเอ็มกรุ๊ปในงบการเงินของ MGR ที่ต้องส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่เป็นปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ลง ทุนขาดข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน


จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. ดังกล่าว จึงนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีกับสนธิ และพวกรวม 4 คน ต่อกองบังคับการตำรวจคดีเศรษฐกิจ กรณีรว่มกันปลอมเอกสารประกอบการทำสัญญาในนามของ MGR เพื่อค้ำประกันเงินกู้ 1,078 ล้านบาทให้กับเดอะเอ็มกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MGR โดยคณะกรรมการ MGR ไม่ได้ทราบ


จนทำให้ MGR เสียหายอย่างมากในเวลาต่อมา ข้อกล่าวหาของ ก.ล.ต. ที่มีต่อสนธิกับพวก หากพูดกันภาษาชาวบ้าน หรือภาษาข่าวก็คือ อาชญกรเศรษฐกิจ หรือ โจรเสื้อนอก นั่นเอง


ซึ่งข้อกล่าวหานี้ ได้ รับการยืนยันว่าเป็นความจริงจากนายพีรศักดิ์ วรสุนโอสถ กรรมการอิสระ บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (ไออีซี) ในฐานะประธานคณะทำงาน ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีบริษัทไออีซี ค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ปจำกัด ที่เปิดเผยว่า


ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตามคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสรุปว่า การค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป กับธนาคารกรุงไทยจำกัดระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 มูลค่า 1,198 ล้านบาท เป็นการดำเนินงานโดยการรู้เห้ฯของนายสุรเดช มุขยางกูร กรรมการผู้อำนายการบริษัท ไออีซี เพียงผู้เดียว


“คณะกรรมการมีการสอบถามนายสุรเดช ได้รับชี้แจงว่า บริษัทไออีซีค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2539 ทั้งที่การยืมของเดอะเอ็มกรุ๊ป มูลค่า 1,198 ล้านบาท มีการวางหลักประกันเป็นที่ดินและใบหุ้นมูลค่ารวมประมาณ 1,632 ล้านบาท แต่ธนาคารกรุงไทยต้องการให้มีการค้ำประกันเพื่อความมั่นในในเงินกู้ บริษัทจึงเข้าค้ำประกันร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และบริษัทแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด” นายพีรศักดิ์กล่าว


สำหรับสาเหตุของการเข้าค้ำประกันเงินกู้ ได้รับการชี้แจงจากนายสุรเดชว่า บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางนายสุรเดช และตัดสินใจเข้าค้ำประกัน เนื่องจากเห็นว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของไออีซี เพราะมูลค่าหลักประกันที่เดอะเอ็มกรุ๊ป มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไออีซี ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือด้านธุรกิจมาตลอดตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทในเครือเดียวกัน


โดยในช่วงที่ไออีซีจำเป็นต้องหาเงินทุนก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเดอะเอ็มกรุ๊ปจึงตัดสินใจด้วยความสุจริตลงนามเข้าค้ำประกันเงินกู้


กล่าวกันว่ากรณีของไออีซีนี้ ทำให้สนธิ ลิ้มทองกุล เสียหายอย่างหนัก ทั้งทางเครดิต และหาแหล่งเงิน ที่จะเข้ามากอบกู้อาณาจักรเดอะเอ็มกรุ๊ป

จึงเป็นเหตุให้เกิดรายการ “แค้นสั่งฟ้า” ขึ้น
บนหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน

แล้วในที่สุดก็ฟาดไปที่ก้านคอ ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ จนแทบสลบ หลังจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สูญสิ้นอำนาจ เนื่องจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งตั้งแต่ต้นปี 2544 ให้กับพรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อย่างชนิดหมดรูปมวย


สนธิในฐานะนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะได้รับผลบวกหรือผลลบอะไรมากนักกับการเลือกตั้งที่เพิ่งจบลงไป กลับออกอาการดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด อาการดีอกดีใจกับชัยชนะของพรรคไทยรักไทย และพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการอธิบายในเวลาต่อมาไม่นานนัก เมื่อบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่คุ้นเคยใกล้ชิด และเคยอยู่ใต้ร่มเงาของสนธิ ในอาณาจักรเดอะเอ็มกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มาแล้ว อาทิ


ิสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด (มหาชน)

ทะนง พิทยะ เพื่อนรักผู้ทราบซึ้งบุญคุณสนธิ ไม่เสื่อมคลาย

พันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เอเชียไทม์

กนก อภิรดี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด (มหาชน)


ไม่เว้นแม้แต่ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานมูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล (มารดาสนธิ) ซึ่งเข้ามา เป็นมือไม้ให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายประชานิยม ให้กับรัฐบาลไทยรักไทยการดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ของบุคคลที่เคยทำงานให้กับสนธิ


ทำให้เกิดภาพซ้อนขึ้นมาทันทีว่า ระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับ สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องมีความสัมพันธ์พิเศษระดับสูงสุด และมาตอกย้ำให้เห็นว่าภาพซ้อนที่เห็นกันนั้น เป็นภาพที่ถูกต้อง ก็คือการเดินทางไปร่วมงานวันเกิดของสนธิ ถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของ พ.ต.ท. ซึ่งสร้างความฮือฮาให้แก่วงการสื่อสารมวลชนเป็นอย่างยิ่ง


เมื่อมองไปถึงการหวนกลับคืนสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนอย่างคึกคักของสนธิ และสื่อในเครือผู้จัดการก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐได้ทุ่มงบโฆษณาเข้าไปในสื่อเครือผู้จัดการของสนธิ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาทิ ธนาคารกรุงไทย การบินไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย ปตท. ฯลฯ

โดยเฉพาะรายธนาคารกรุงไทย เจ้าหนี้รายใหญ่ของเดอะเอ็มกรุ๊ปและเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป ถึงกับทำแผนลดหนี้ และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับ ลูกหนี้รายนี้ด้วยการรับชำระหนี้ เป็นสื่อโฆษณาในสื่อเครือผู้จัดการทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และ เว็บไซต์ซึ่งนับว่าเป็นลูกหนี้ที่ได้รับการปฎิบัติเป็นกรณีพิเศษ


เนื่องจากวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น ก็คือ เพื่อนรักและผู้มีอุปการคุณรายใหญ่ของสนธิมาโดยตลอด การหวนกลับคืนสู่วงการธุรกิจสื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเปรียบเสมือนการกลับคืนสู่รากเหง้าของตัวเอง ของนักธุรกิจสื่อข้ามชาติ ที่พ่ายแพ้ย่อยยับกลับมา จึงต้องหลบเลียแผลในบ้านตัวเอง


ถูกโจมตีอย่างหนักจากเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิกในช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และช่อง 11 อยู่หลายรายการ แต่ต้องถูกเตะออกมา เพื่อเอาเวลาไปให้แก่สนธิเป็นผู้ดำเนินรายการแทน นอกเหนือจากการได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐในทุกสื่อของเครือผู้จัดการ จนแทบเก็บเงินเก็บทองกันไม่ทัน บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ปก็ยังได้รับการพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ จากเจ้าหนี้ให้เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย


ตัวเลขการปรับลดหนี้ให้กับเดอะเอ็มกรุ๊ป ถึง 6 พันล้านบาท เรียกได้ว่าในช่วงต้นของรัฐบาลไทยรักไทย สนธิในฐานะบุคคลล้มละลายและผู้ต้องหาของ ก.ล.ต. ได้รับการปฏิบัติจากกลไกของรัฐ ในฐานะ “คนพิเศษ” จนเป็นที่ครหานินทาไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ไม่อาจสะท้านความรู้สึกของสนธิ และอดีตผู้ร่วมงาน ที่ได้ดิบได้ดีมีอำนาจวาสนาในรัฐบาลอย่างเนืองแน่น


พร้อมๆ กับความยิ่งใหญ่ของพรรคไทยรักไทย ก็คือการตื่นจากหลับของเครือผู้จัดการและสนธิ และออกก้าวเดินอย่างไม่สนใจคำทักท้วงของใครหน้าไหน ทั้งสิ้น


รายการวิทยุ 97.5 MHz ของ อ.ส.ม.ท. รายการโทรทัศน์ก่อนจะถึงจันทร์ เมืองไทยรายวัน ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. คือการเปิดเกมอุ่นเครื่องบนธุรกิจสื่ออีก ครั้งของสนธิ ก่อนจะเปิดเกมรุกอย่างจริงจังกับสถานีข่าว 11 News1 หรือ 11/1 ที่สนธิมีความหวังอย่างมากว่า เขาจะมาแทนที่สุทธิชัย หยุ่น และเครือผู้จัดการ จะมาทดแทนเนชั่นแชนเนล ที่ถูกรุกไล่จนตกจากจอโทรทัศน์ ทั้งแบบฟรีทีวี และเคเบิลทีวี

ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ สนธิจึงเดินหน้าทำธุรกิจสื่ออีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกล้บมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการอีกครั้งให้ได้


พร้อมๆ กับการเดินหน้าปก ป้องเป็นอาสาเป็นกองเชียร์ให้กับรัฐบาล และนายกฯทักษิณทุกเวที ทุกสถานที่ และทุกสื่อในเครือผู้จัดการ
ในรูปแบบที่เรียกว่า

“นายกฯข้า ใครอย่าแตะ”

ใครจะมาแตะต้องนายกฯทักษิณไม่ได้ สนธิจะใช้หน้าหนังสือพิมพ์ที่เขามี รายการโทรทัศน์ที่เขาจัด และรายการวิทยุที่เขาพูด ตอบโต้แก้ต่างให้กับนายกฯทักษิณ โดยไม่สนใจว่าใครจะครหานินทาว่ากล่าวเขาถูกซื้อตัวแต่อย่างใด


เนื่องเพราะการเกิดของ รัฐบาลไทยรักไทย และนายกฯทักษิณ ก็คืออนาคตที่สดใสของผู้จัดการ และสนธิในวันนั้นเช่นเดียวกัน


Create Date : 16 มิถุนายน 2551
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 15:11:35 น. 9 comments
Counter : 579 Pageviews.

 
อยากรู้ไส้สุริยไส


โดย: 373 IP: 222.123.248.251 วันที่: 16 มิถุนายน 2551 เวลา:21:50:39 น.  

 
ก่อนจะดีได้ต้องชั่วมาก่อน สุดท้ายดูที่การกระทำของปัจจุบัน รัก5แกนนำ


โดย: max999 IP: 202.149.24.129 วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:1:47:41 น.  

 

1.อะไรคือการ “ล้มทุน”

วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยใน พ.ศ. 2540 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก กลุ่มทุนเดิมเกือบทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่ กลุ่มธนาคารอันทรงพลัง ได้ถูกมรสุมเศรษฐกิจพัดผ่านจนไม่สามารถเกาะกุมอำนาจทางเศรษฐกิจจากทุนที่ตนเองเคยมีอยู่ได้ พวกเขาเหล่านั้นได้กลายมาเป็น “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” ภายในชั่วเวลาข้ามคืน ยกเว้นแต่เพียงกลุ่มเดียวที่รอดอยู่ได้อย่างน่าประหลาดคือกลุ่มทุนสื่อสารซึ่งเป็นทุนสัมปทานผูกขาดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระบวนการ “ล้มทุน” จึงเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการก่อตัวของระบอบทักษิณหรือทักษิโณมิคส์ใน พ.ศ. 2544

การเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาทที่ได้เกิดขึ้นในช่วงกลาง พ.ศ. 2540 ไม่ได้มีผลในทางลบกับกลุ่มทุนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลุ่มทุนของเขากลับได้รับผลประโยชน์จากการลดค่าเงินบาทอย่างเต็มที่ในขณะที่นักธุรกิจไทยและคนไทยหลายหมื่นหลายแสนคนกลับต้องรับผลกระทบดังกล่าว

เมื่อกลุ่มทุนเดิมถูก “ล้ม” ไป กลุ่มทุนใหม่ที่เป็นทุนสัมปทานผูกขาดอย่างกลุ่มทุนสื่อสารของทักษิณจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้เข้ามาใช้จังหวะในช่วงที่มีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วง พ.ศ. 2541-2543 ที่อยู่ในช่วงรัฐบาล ชวน หลีกภัยโจมตีในประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ จนทำให้เมื่อมีการเลือกตั้งในตอนต้นปี 2544 พรรคไทยรักไทยที่นำโดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมากและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด

เพื่อให้สามารถ “ล้มทุน” ที่มีอยู่เดิมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รัฐบาลทักษิณในช่วง 4 ปีแรกที่ดำรงตำแหน่งจึงเป็นรัฐบาลที่นำเสนอนโยบายในลักษณะของ “ประชานิยม”ผ่านโครงการต่างๆมากมาย ลักษณะของนโยบายประชานิยมที่ทำก็คือการใช้เงินจากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อมในการทำโครงการที่ดูเผินๆ ในช่วงสั้นๆ เหมือนกับว่าประชาชนจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ การเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดอย่างขาดตรรกะเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์รองรับจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญที่พบเห็นได้อยู่เสมอๆ ในโครงการประชานิยมของรัฐบาลทักษิณเพราะการแทรกแซงดังกล่าวสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและมีข้อจำกัดต่ำ

เมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการ “ยาขม” ในการแก้ไขปัญหาโดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในหลายๆ ด้านจากรัฐบาล ชวน หลีกภัยที่ได้กระทำมาในช่วง พ.ศ. 2541-43 และมาเริ่มมีผลในช่วงรัฐบาลทักษิณ ผลที่เกิดขึ้นก็คือเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด และผู้ที่ชุบมือเปิบในผลสำเร็จดังกล่าวก็คือรัฐบาลทักษิณที่ได้โอ้อวดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นผลงานของตนเอง เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาล พล.อ.ชาติชายที่ได้รับผลพวงจากรากฐานการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจกว่า 7 ปีของรัฐบาลพล.อ.เปรม ด้วยเหตุนี้กลุ่มทุนเดิมจึงไม่สามารถมีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้นได้

กระบวนการ “ล้มทุน”ยังได้แผ่ขยายจากกลุ่มทุนเดิมที่เป็นทุนใหญ่ลุกลามไปถึงทุนเล็กทุนน้อย อย่างร้านโชวห่วย ที่เป็นนายทุนย่อยที่ใกล้ชิดกับชีวิตทางเศรษฐกิจของผู้คนในสังคมไทยมากที่สุด โดยที่รัฐบาลทักษิณได้แต่ดูดายเพิกเฉย ปล่อยให้บรรษัทค้าปลีกข้ามชาติสัญชาติต่างๆ เข้ามายึดครองและทำลายธุรกิจโชวห่วยอย่างไม่ไยดีตามนโยบายโลกาภิวัตน์อย่างหน้ามืดตามัวและขาดสติของรัฐบาลทักษิณ จะว่าไปแล้วการ “ล้มทุน”ที่เป็นทุนเล็กทุนน้อยอย่างร้านโชวห่วยเป็นกระบวนการที่โหดร้ายและเป็นโศกนาฏกรรมของสังคมเศรษฐกิจไทยยิ่งกว่าการล้มทุนเดิมที่เป็นทุนใหญ่เสียอีก เพราะมันหมายถึงการถอนรากถอนโคนความสัมพันธ์ในระดับชุมชนที่มีอยู่ในสังคมไทยให้ล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิง และแปรเปลี่ยนผู้คนในสังคมไทยให้กลายเป็นผู้บริโภคสินค้าที่ร้อนเงินและกระหายการบริโภคโดยไม่ยั้งคิด

อย่างไรก็ตาม ผลพวงของนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณก็ปรากฏผลเสียที่เป็นหายนะทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงของมันออกมาเหมือนเช่นที่หลายประเทศในแถบภูมิภาคละตินอเมริกาได้เคยประสบมาก่อน ความยากจนที่ลดลงในช่วงแรกในรัฐบาลทักษิณก็กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนเสียอีกเมื่อหาที่ใส่เงินลงไปอีกไม่ได้ สาเหตุหลักก็คือการแก้ไขความยากจนไม่สามารถทำได้ด้วยการเอาเงินไปแจกแต่เพียงอย่างเดียว คนจนจะหายจนก็ต่อเมื่อรู้วิธีจับปลาแต่หากแบมือขอรับปลาไปวันๆ ดุจยาจกแต่เพียงอย่างเดียวจะไม่มีวันหายจนได้

สิ่งที่รัฐบาลทักษิณได้ทิ้งเอาไว้ก็คือบรรดาโครงการประชานิยมต่างๆ ที่ปรากฏผลของความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงแบบน้ำลดตอผุดท่ามกลางโครงสร้างเศรษฐกิจที่มิได้มีการปฏิรูปให้มีความก้าวหน้าติดตามโลกที่เปลี่ยนไปแต่ประการใด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการศึกษาที่ควรจะเป็นพื้นฐานในการที่จะสร้างกระดานสปริงให้เกิดการก้าวกระโดด การปฏิรูปการศึกษาและการปฏิวัติการเรียนรู้ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในรัฐบาลทักษิณเพราะการที่มีประชาชนที่ “รู้ทันทักษิณ”เป็นจำนวนมากจักเป็นอันตรายต่อตัวระบอบทักษิณดังเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในเวลาต่อมา

2.อะไรคือ “ล้มปืน”

กระบวนการ “ล้มปืน”ก็เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริงเช่นกัน โดยที่กระบวนการ “ล้มปืน”เป็นผลอีกอันหนึ่งที่รัฐบาลทักษิณได้กระทำในช่วงที่ตนเองได้ครองอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินโดยผ่านการสร้างรัฐตำรวจขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้ามฝ่ายต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการเมืองแบบเก่าที่ “ผู้ชนะกินรวบ”หรือ winner takes allของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในอดีตที่ผ่านมาตัวอย่างของการสร้างรัฐตำรวจก็คือในยุคของอธิบดีกรมตำรวจที่ชื่อ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ที่มีอัศวินแหวนเพชรพร้อมกับคำขวัญที่ว่า “ไม่มีอะไรใต้ฟ้าที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” แต่การล้มปืนด้วยรัฐตำรวจในยุคนั้นก็มาสิ้นสุดเมื่อ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ผู้บัญชาการทหารบกได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจและสถาปนารัฐเผด็จการทหารขึ้นมาแทน

ผลจากการผูกขาดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามานย์ที่ใช้เงินเป็นใหญ่หรือธนาธิปไตยของกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้สามารถ “ล้มทุน” ได้อย่างนัยสำคัญ และทำให้การ “ล้มปืน” ได้กลายมาเป็นเป้าหมายต่อมาของระบอบทักษิณ แต่วิธีการ “ล้มปืน”ด้วยทุนสามานย์ของระบอบทักษิณได้มีการกระทำอย่างแนบเนียนด้วยการใช้เงินเข้าซื้อจิตวิญญาณความภักดีของทหารบางคน ทำให้ความฮึกเหิมอาจหาญของเหล่าทหารหาญเสื่อมถอยลงด้วยการปรนเปรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ

ล่าสุดปรากฏการณ์ การยืนเคียงข้าง (ศพ) ประชาชนของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันที่ให้การสนับสนุนนายกฯ หุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยอาศัยตรรกะของความเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้มองเห็นกระบวนการ “ล้มปืน”ของรัฐบาลทักษิณที่ได้ดำเนินมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน เพราะการ “เป็นกลาง”โดยไม่ยอมทำอะไรขณะที่ฝ่ายตำรวจกำลังเข่นฆ่าประชาชนอย่างเมามันก็คือการเลือกข้างอยู่แล้วว่าตนเองสนับสนุนฝ่ายใด

3.อะไรคือ “ล้มเจ้า”

ถ้าดูเผินๆ ในส่วนของกระบวนการ “ล้มเจ้า” ประจักษ์พยานอาจเห็นได้ไม่ชัดเจนนักในช่วงแรกๆ ของการครองอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีก็เพียงแต่ความสงสัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลระดับแกนนำและผู้ใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บางส่วนเป็นผู้ที่เคยเข้าป่าไปร่วมจับปืนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาแล้ว

อย่างไรก็ตามความชัดเจนของกระบวนการ “ล้มเจ้า” ก็เริ่มที่จะปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่พรรคพลังประชาชนได้เข้าบริหารประเทศแทนพรรคไทยรักไทยที่ได้ถูกยุบพรรคไปพร้อมกับการตัดสิทธิทางการเมืองแกนนำพรรค 111 คน ดังจะเห็นได้จากการสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ที่มีการบรรจุเป็นญัตติแล้วโดย ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดยมีการนำเอาฉบับ พ.ศ. 2540 ที่เสนอโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ มาเป็นร่างเกือบทั้งฉบับยกเว้นแต่เพียงไม่ตัดหมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ออก แต่ตัดในส่วนขององคมนตรีออกไป การไม่รับรององคมนตรีโดยกฎหมายสูงสุดให้ดำรงอยู่ก็เท่ากับเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจเพราะการแต่งตั้งองคมนตรีเป็นการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย และหากไม่มีองคมนตรีใครเล่าจะเป็นผู้สนองงานระหว่างรัฐและประชาชน ให้กับพระมหากษัตริย์ นี่ยังไม่นับการเคลื่อนไหวของ นปก.และแนวร่วมที่เคลื่อนไหวจาบจ้วงอย่างชัดเจนดังที่ปรากฏในเว็บไซต์ต่างๆ และการปราศรัยที่มีหลักฐานให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง

4. วันที่ 21 ตุลาคม 2551: สงครามครั้งสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ วันชี้ชะตาประเทศไทย

จากช่วงเวลานี้จนถึงวันที่ 21 ต.ค. 51 ถือเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สังคมไทยควรเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันที่ 21 ต.ค.51 ที่จะถึงนี้เป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองจะได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีที่ดินย่านรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและภรรยาถูกกล่าวหาว่าร่วมกันทุจริตในการซื้อขายที่ดินดังกล่าว

ถึงแม้ว่าจำเลยทั้งสองจะได้หลบหนีการประกันตัวไม่มาฟังคำพิพากษาในครั้งแรกเมื่อปลายเดือนที่แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าศาลฯ คงจะอ่านคำพิพากษาในวันดังกล่าวหลังจากที่ได้เลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่งแม้จะมีจำเลยทั้งสองจะมาปรากฏตัวหรือไม่ก็ตาม

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ผลของการอ่านคำพิพากษาจะทำให้สภาพแวดล้อมทางการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันที่จะหวนกลับมาเหมือนเดิมได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจำเลยทั้งสองและพวก เพราะฝ่ายจำเลยหรือฝ่ายโจทย์ก็ไม่สามารถอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวต่อไปได้อีก และหากถูกตัดสินว่ามีความผิด บุคคลทั้งสองก็จะเปลี่ยนสถานะจากผู้ถูกกล่าวหามาเป็นจำเลยคดีอาญาที่ถูกตัดสินโดยศาลว่ามีความผิด การหลบหนีหรือการขอลี้ภัยก็จะมีความยุ่งยากเพราะเป็นความผิดส่วนบุคคลในการฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดส่วนตัว มิใช่ความผิดทางการเมืองดังที่ทั้งสองพยายามที่จะกล่าวอ้างกับสาธารณชนอยู่ตลอดเวลา

การต่อสู้ของฝ่ายทักษิณจึงนับได้ว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายเช่นกัน มิใช่เป็นการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรฯ แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นของทักษิณและพวกด้วย

ความรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 51 ที่ผ่านมาจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการเปิดฉากสงครามครั้งสุดท้ายของฝ่ายระบอบทักษิณที่กระทำต่อฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่า การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นรุนแรงและแหลมคมเพียงใด และนี่คงเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย”ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะหงายเพื่อแพ้

หมายเหตุ : เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด





โดย: max999 IP: 202.149.25.233 วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:22:29:23 น.  

 
เราจะเห็นว่า ทุกวันนี้ ใครที่เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงก็จะถูกประณาม

ผู้ชนะ คือ ผู้ที่แสดงตนว่ามี ‘อารยะ’ กว่า

สิ่งสำคัญ คำว่า อารยะแบบไทยๆ จะมีแนวคิดแบบพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานด้วย ส่งผลทำให้วิถีแห่งอารยะขัดขืนแบบไทยละเอียดอ่อนมาก

อย่างเช่น ถ้าใครที่ขึ้นไปพูดบนเวทีใช้ภาษาหยาบคาย จะถูกตำหนิอย่างหนัก หรือถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากผู้ฟัง

กล่าวแบบชาวพุทธ นอกจาก คิดดี-ทำดี แล้ว เรายังต้องตระหนักถึงวิถีพุทธที่กล่าวถึง วาจาชอบ

วาจาชอบสะท้อนถึงสภาวะจิตใต้สำนึกของผู้พูดเองว่าตัวตนของตนเองเป็นเช่นไร เป็นคนใจหยาบกระด้าง หรือเป็นคนมีจิตใจงดงาม

คนที่มี ใจงาม หรือ ใจอารยะ ต้องไม่ต่อสู้เพราะความเกลียด โกรธ หรือ กลัว ไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง กลับต่อสู้เพื่อผู้อื่นและเพื่อประเทศชาติ ถือว่าเป็นการสู้ของพระโพธิสัตว์

ลูกศิษย์ผมแย้งขึ้นว่า

“การสู้แบบพระโพธิสัตว์ถือว่าเป็นแนวคิดแบบมหายาน ไม่ใช่หรือครับ”

ประเด็นนี้ ผมอธิบายว่า

วัฒนธรรมไทยโบราณมีรากมาจากพุทธแบบมหายานเช่นกัน พุทธมหายานได้เข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 10 ถึง 15 มีแหล่งขยายตัวใหญ่ ณ อาณาจักรโบราณตอนใต้ที่เรียกว่า ศรีวิชัย และในยุคที่วัฒนธรรมขอมมีอิทธิพลเหนือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างเช่น ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ช่วงนั้นคนไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลหรือแนวคิดจากพุทธแบบมหายาน

นอกจากนี้ ลัทธิมหายานยังได้สืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อย่างเช่น บรรดาพระจีนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็นับถือพุทธแบบมหายานมายาวนาน

ลูกศิษย์ถามอย่างสงสัยอีกว่า

“การที่มีพระสงฆ์เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมือง ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ครับ”

ผมตอบเขา

“คิดแบบมหายาน เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะตามหลักโพธิสัตว์ บรรดาพระสงฆ์จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องออกมาช่วยประชาชน และมีหน้าที่ต้องคอยช่วยให้คำแนะนำดูแลเพื่อให้ขบวนการต่อสู้ดำเนินไปอย่างสันติและมีอาริยะ

ดังนั้น ‘การต่อสู้แบบอารยะขัดขืน’ จะเป็นจริงได้ เราจะขาด ‘พระสงฆ์’ ไม่ได้โดยเด็ดขาด

เนื่องจากในช่วงการต่อสู้อาจต้องเผชิญหน้ากัน หรือจะหลีกเลี่ยงการปะทะและการใช้ความรุนแรงไปไม่พ้น

อย่างเช่น เวลาเราเห็นผู้คนหรือพรรคพวกถูกตี ถูกฆ่า ถูกทำร้าย เรามักหลีกเลี่ยงความรู้สึกเกลียด และโกรธไปไม่พ้น พระสงฆ์มีบทบาทสูงอย่างยิ่งที่จะช่วยสร้าง ‘ความเป็นอารยะ’ ให้กับขบวนการภาคประชาชน เนื่องจากพระสงฆ์จะเข้าใจหลักเมตตาธรรมของพระพุทธองค์ได้ดีกว่าคนทั่วไป

เวลาเกิดความรุนแรงขึ้น ผู้ที่เข้าใจ‘ธรรม’ ก็ช่วยห้ามปรามกัน ไม่ให้ใช้ความรุนแรงโต้ตอบกลับ หรือใช้ความรุนแรงในกรอบที่จำกัด

มหาวิทยาลัยราชดำเนิน จึงต้องจัดช่วงเวลาฟังพระเทศน์เป็นประจำทุกวัน”

นี่...น่าจะถือว่าเป็น ‘อารยะขัดขืนแบบไทยๆ’ โดยเฉพาะ

อะไรคือ ทุนสามานย์

ลูกศิษย์ถามผมต่อ

“ผมเริ่มเข้าใจหลายเรื่องแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค้างคาใจมากครับอาจารย์ อะไร คือ ทุนสามานย์ครับ”

ผมตอบว่า

“นักวิชาการบางท่านใช้คำนี้เพื่อบ่งบอกและแยกแยะว่า มีกลุ่มทุนบางกลุ่มเลวร้ายเป็นพิเศษกว่ากลุ่มทุนประเภทอื่นๆ

สมัยก่อน แนวคิดฝ่ายซ้ายที่เรียกว่า ลัทธิ MARX จะอธิบายว่าระบอบทุนทั้งระบอบเลวร้าย หรือสามานย์ทั้งหมด จักต้องถูกทำลายล้างลงด้วยการต่อสู้ทางชนชั้น เนื่องจากบรรดานายทุนต้องกดขี่ขูดรีดชนชั้นกรรมาชีพอย่างหนักหน่วง และแนวคิดนี้เองกลายเป็นที่มาของแนวคิดเรื่องการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ

แนวคิดนี้ มีจุดอ่อนตรงที่ปฏิเสธ ‘ความเป็นไปได้’ ที่ระบบทุนนิยมดังกล่าวจะสามารถปฏิรูปตัวเอง และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชนชั้น รวมทั้งลดการเอาเปรียบแรงงานได้

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางชนชั้นในยุโรป จะพบว่า ในที่สุดแล้ว การปฏิรูประบบทุนนิยมเกิดขึ้นได้ และนี่คือที่มาของระบบเศรษฐกิจการเมืองใหม่ที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ระบบรัฐสวัสดิการ

นี่หมายความว่า เราสามารถสร้างระบบทุนที่ไม่กดขี่ขูดรีดมากได้

ถ้าคิดแบบนี้ ทุนนิยมก็ไม่น่าจะเป็นทุนสามานย์หรือทุนเลวๆ เสมอไป

ดังนั้น คนที่ลงทุนทำมาหากินโดยปรกติก็ไม่จำเป็นต้องถูกประณามว่า ‘เลว’ หรือ ‘ชั่ว’ ถ้าหากพวกเขาดูแลลูกจ้างหรือคนงานดี

Marx ไม่ได้ผิดพลาดเรื่องการปฏิเสธความสามารถในการปรับตัวหรือการปฏิรูปของระบบทุนนิยมเท่านั้น แต่ Marx ยังทำให้เราเข้าใจผิดว่า หัวใจของปัญหาการกดขี่ในโลกสมัยใหม่อยู่ที่การขูดรีดแรงงานเป็นสำคัญ

ความจริงแล้ว ถ้าเราย้อนศึกษาประวัติศาสตร์โลก เราจะพบว่าระบบโลกเริ่มกำเนิดขึ้นประมาณศตวรรษที่ 15 ถึง 18 ในช่วงนั้น ระบบโลกก่อเกิดขึ้นจากการกดขี่ขูดรีดที่หนักหน่วงชั่วร้าย ซึ่งชั่วร้ายกว่าการขูดรีดทางชนชั้นเสียอีก นั่นคือการทำสงครามล่าอาณานิคม ปล้นชิงทรัพยากร และการจับคน (ผิวดำ) มาเป็นทาส

นักวิชาการตะวันตกเรียกการกดขี่ขูดรีดแบบนี้ว่า Primitive Accumulation หรือ การแสวงหาความมั่งคั่งแบบป่าเถื่อน

กลุ่มที่แสวงหาความมั่งคั่งแบบนี้ไม่ได้เติบโตขึ้นบนฐานการผลิตจริง แต่เติบโตขึ้นพร้อมกับการเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ (Nation-State) ซึ่งพัฒนาอำนาจสู่การก่อเกิดของรัฐที่เรียกว่า Empire ล่าอาณานิคม

กลุ่มทุนสามานย์นี้จะเกาะกุมอำนาจเหนือรัฐ (ล่าอาณานิคม) และมั่งคั่งขึ้นจากการล่าอาณานิคม

ศูนย์กลางอำนาจของทุนนี้คือ การสร้างรัฐรวบอำนาจ หรือ รัฐเผด็จการ ขึ้นโดยมีสถาบันกษัตริย์(สมัยใหม่) และสถาบันกองทัพเป็นศูนย์กลาง มีบรรดาชนชั้นนำในกองทัพและพ่อค้าใหญ่หากินกับสงครามล่าอาณานิคม

ระบบ Empire ล่าอาณานิคม นี้จะผูกขาดอำนาจและความมั่งคั่งทั้งหมดให้รวมศูนย์อยู่กับกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐเท่านั้น

ดังนั้น ในยุคล่าอาณานิคม ความมั่งคั่งจึงกระจุกตัวอย่างยิ่ง และรวมศูนย์อย่างยิ่ง อยู่เพียงเฉพาะกับกษัตริย์และบรรดาชนชั้นนำ (หรือชนชั้นสูง) นายทหารที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัฐอาณานิคม

นี่คือ สาเหตุที่มาของ ‘การปฏิวัติประชาธิปไตย’ ซึ่งก่อตัวขึ้นทั่วโลก เพื่อโค่นล้มระบบการเมือง(สามานย์) ดังกล่าว

การปฏิวัติฝรั่งเศส และการปฏิวัติอเมริกา รวมทั้งการปฏิวัติต่อต้านการล่าอาณานิคมของบรรดาประเทศเมืองขึ้นทั้งหลายล้วนสะท้อนภาพการต่อต้านระบบรัฐล่าอาณานิคม และระบอบทุนสามานย์ที่มีอำนาจเหนือ Empireล่าอาณานิคม

การปฏิวัติฝรั่งเศส ที่จริงแล้วไม่ใช่การโค่นล้มสถาบันกษัตริย์แบบศักดินาเก่าๆ ที่หากำไรจากการถือครองที่ดินดังที่คนไทยทั่วไปเข้าใจ แท้จริงคือการโค่นล้มระบอบทุนสามานย์ซึ่งมีสถาบันกษัตริย์(แบบใหม่)เป็นศูนย์กลาง”

ลูกศิษย์ผมดูจะเข้าใจบางสิ่ง เขาถามสวนขึ้น

“อาจารย์กำลังบอกว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสที่แท้แล้วไม่ใช่การปฏิวัติล้มระบอบศักดินาหรือครับ”
ผมพยักหน้า ตอบว่า “ใช่” และขยายความต่อ

เวลาเราพูดถึงระบอบศักดินา เราหมายถึงระบบการผลิตในยุคโบราณ ที่เกิดจากการใช้ที่ดินหรือ เกิดจากเกษตรกรรมโดยมีคนจำนวนหนึ่งถูกเรียกว่า ไพร่ติดที่ดิน คนอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า เจ้านาย (เจ้าของที่ดิน) โดยมีระบอบกษัตริย์แบบศักดินาเป็นศูนย์ของระบบ

ระบอบกษัตริย์ในยุคระบบเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ระบอบศักดินาแบบเก่าอีกต่อไป เพราะระบอบนี้หากินกับรัฐล่าอาณานิคมที่หาความมั่งคั่งจากการปล้นชิงและล่าอาณานิคม

กล่าวอย่างสรุป การปฏิวัติฝรั่งเศส คือการต่อสู้ระหว่างระบอบทุนสามานย์ภายใต้การนำของสถาบันกษัตริย์สมัยใหม่กับทุนระดับชาติ (ทุนระดับกลางและทุนขนาดเล็ก) ที่รวมกำลังกับชนชั้นล่าง (ชาวนา และกรรมกร) โค่นล้มระบอบกษัตริย์และกลุ่มทุนสามานย์

ลูกศิษย์เอ่ยขึ้นว่า

“อย่างนี้...ลัทธิ Marx ก็ทำให้เราเข้าใจเรื่อง ไอ้ตัวชั่วร้าย ผิดตัว ซิครับ

เช่น พวกฝ่ายซ้ายเก่าจะเข้าใจว่าระบบกษัตริย์แบบศักดินา(โบราณ) คือ ไอ้ตัวชั่วร้ายสุดๆ และระบอบทุนนิยมอุตสาหกรรม (สมัยใหม่) คือ ไอ้ตัวชั่วสุดชั่ว

วันนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ไอ้ตัวชั่วร้ายแท้จริง คือ ทุนสามานย์ที่ล่าอาณานิคมและปล้นโลกนี้ทั้งใบ ซึ่งเติบโตขึ้นมาจากการสะสมทุนแบบป่าเถื่อน หรือ Primitive Accumulation นั่นเอง”

เขาได้ตั้งคำถามอีก

“ในปัจจุบัน เมื่อระบอบ Empire ล่าอาณานิคม ซึ่งมีสถาบันกษัตริย์ (สมัยใหม่) เป็นศูนย์อำนาจกลางถูกโค่นลงแล้ว ระบอบทุนสามานย์ หรือ การสะสมความมั่งคั่งแบบป่าเถื่อน ยังดำรงอยู่หรือไม่ครับ”

ผมตอบว่า

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าบรรดาประเทศศูนย์กลางจะเกิดการปฏิวัติประชาธิปไตย ตามด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม และบรรดาประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นสามารถปลดตัวเองจากการเป็นเมืองขึ้น สำเร็จแล้ว แต่การสะสมความมั่งคั่งแบบป่าเถื่อนก็ยังดำรงอยู่ ปรับเปลี่ยนเพียงรูปแบบไปบ้าง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐจักรวรรดิ หรือ Empire อเมริกา ได้ก่อตัวขึ้นและมีฐานะเป็นจ้าวโลก พร้อมๆ กับการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ Empire นี้ได้กลายเป็นศูนย์ใหม่ที่ให้กำเนิดทุนสามานย์ รูปแบบใหม่

ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศต่างๆ ในยุโรปทำสงครามกัน ทุนสามานย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทุนแบบนี้ก่อตัวขึ้นจากการผลิตและขายอาวุธ (ขายอาวุธให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปที่กำลังทำสงครามกัน) จนร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล ความมั่งคั่งนี้เองทำให้ทุนสามานย์กลุ่มนี้ได้ขยายอิทธิพลทางการเมือง หรือเริ่มมีอำนาจเหนือรัฐ (อเมริกา) และพรรคการเมืองขึ้นเรื่อยๆ

พอสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมสงครามโลกโดยตรง ส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันของกลุ่มทุนสามานย์เพราะรายได้จากการก่อสงครามได้กลายเป็นที่มาของความมั่งคั่งของพวกเขา

หลังสงครามโลก กลุ่มทุนสามานย์กลุ่มนี้ได้สร้างฐานอำนาจกุมเหนือ Empire อเมริกา โดยการผนวกผลประโยชน์และรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันกับสถาบันทางทหาร อย่างเช่น Pentagon และ CIA และประสานประโยชน์กับบรรดาทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ กลายเป็นแหล่งการเงินใหญ่ที่สุด จึงมีอำนาจเหนือพรรคการเมืองขนาดใหญ่ของอเมริกา และพัฒนายิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในยุคสงครามเย็น (สงครามค่ายทุนนิยมกับค่ายสังคมนิยม)

ในช่วงสงครามเย็น Empire อเมริกา ได้กลายสภาพเป็น จักรวรรดิด้านทหาร ที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก มีเครือค่ายกองทัพครอบโลก ทุนสามานย์จึงมั่งคั่งอย่างยิ่ง

ที่ไหนเกิดสงคราม ที่นั่นคือ แหล่งก่อกำไรมหาศาล

ดังนั้น สงครามเย็นระหว่าง ค่ายอเมริกา และค่ายสังคมนิยม จึงกลายเป็นรายได้ที่สำคัญ

นอกจากนี้ ทุกแห่งของโลกที่มีทรัพยากรมีค่า อย่างเช่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ก็ถูกทำให้เป็นแหล่งที่ก่อเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรดังกล่าว

หากแหล่งที่เกิดสงครามไม่มีทรัพยากรมีค่า อย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ก่อสงครามมีเงินไม่พอที่จะซื้ออาวุธ พ่อค้าอาวุธจะยอมให้แลกซื้ออาวุธกับยาเสพติด จนกลายเป็นที่มาขบวนการค้ายาเสพติดพวกเฮโรอีน หรือโคเคนที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก

ทุนมาเฟียซึ่งค้ายาเสพติดในระดับโลกได้กลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับทุนสามานย์

ในสมัยสงครามเวียดนาม รัฐทหารของไทยเองซึ่งกลายเป็นฐานอำนาจทางทหารของ Empire อเมริกาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แปรสภาพเป็น รัฐค้ายาเสพติด โดยกลายเป็นศูนย์ส่งออกเฮโรอีนจากดินแดนตอนเหนือของประเทศไทยไปขายทั่วโลก

ถ้าเราดูภาพยนตร์เกี่ยวกับการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ เราจะพบว่า ผู้มีอำนาจเหนือ Empire อเมริกา ที่แท้แล้ว ไม่ใช่ตัวประธานาธิบดี แต่คือบรรดากลุ่มทุนสามานย์ CIA และบรรดามาเฟียค้ายาเสพติดระดับโลก

สาเหตุสำคัญที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกฆ่าก็เนื่องจากว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามเวียดนาม เพราะท่านตระหนักรู้ว่า หากทำสงคราม รัฐอเมริกาต้องใช้งบประมาณจำนวนมากและอาจจะไม่ชนะ

ลูกศิษย์ถามผมสวนขึ้นว่า

“อาจารย์กำลังจะบอกว่า แม้แต่ สงคราม กับ ผู้ก่อการร้าย ในยุคปัจจุบัน ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง และได้ประโยชน์จริงๆ คือ บรรดาทุนสามานย์ที่มีอำนาจเหนือ Empire อเมริกา ใช่ไหมครับ”

ผมตอบว่า “เข้าใจถูกต้อง” และกล่าวสรุป

“ทุนสามานย์สมัยก่อนเติบโตมาด้วยการทำสงครามปล้นชิงและล่าอาณานิคม ทุนสามานย์ใหม่ใช้ประโยชน์จากการก่อสงคราม การก่อสงครามนั้นไม่เพียงแต่ปล้นความมั่งคั่งจากประเทศโลกที่สาม ผ่านการค้าอาวุธเท่านั้น ทุนนี้ยังสามารถปล้นความมั่งคั่งจาก Empire ของตัวเองโดยตรง ผ่านการปล้นงบประมาณแผ่นดิน” (ยังมีต่อ)



โดย: max999 IP: 202.149.24.129 วันที่: 16 ตุลาคม 2551 เวลา:22:29:13 น.  

 
ลงชื่อไว้ก่อนค่ะ วันหลังมาอ่านค่ะ


โดย: มีนา IP: 125.24.206.247 วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:17:16:42 น.  

 
พึ่งเข้ามาเยี่ยมครั้งแรก...ดีครับ


โดย: hnongdum1967 IP: 124.157.144.2 วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:20:36:22 น.  

 
เน€เธšเธทเนˆเธญเธžเธงเธเน„เธกเนˆเนƒเธŠเนˆเธ„เธ™เน„เธ—เธข 100 %
เนเธฅเธฐเธชเนˆเธงเธ™เนƒเธซเธเนˆเธชเธšเธฒเธขเธ•เธฑเธงเธšเธญเธเธ”เธต เธžเธญเธ•เธฑเธงเน€เธญเธ‡เน€เธ”เธทเธญเธ”เธฃเน‰เธญเธ™เธšเธญเธเธ„เธ™เธญเธทเนˆเธ™เน„เธกเนˆเธ”เธต


โดย: เธœเนˆเธฒเธ™เธกเธฒ IP: 118.174.6.183 วันที่: 5 ธันวาคม 2551 เวลา:10:51:48 น.  

 
กรุณาใช้เหตุ และผลในการเข้าถึงสื่อทุกแขนงอย่าใช้อารมย์หรือความชอบให้เป็นใหญ่ เพราะกระผมเองเรียนจบ ป.ตรีทางด้านรัฐฯ ประสบการณ์น้อยนิด แต่เคยสัมผัสรสชาดของการมาบ้างนิดหน่อย ทุกอย่างในด้านการเมือง สิ่งแรกที่ต้องเจอได้เห็นได้ยินประจำและเป็นเหมือนคารมประจำหลักการ นั้นคือทำเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อสถาบัน แต่ในความเป็นจริงรู้ไหมว่า การเข้ามาของนักการเมืองนั้นยิ่งในปัจจุบันด้วยแล้วยิ่งต้องการเข้ามาเป็น ส.ส. หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้อง และสามารถทำให้ตนเองได้มีบทบาทหน้าที่ในการเมือง มันยิ่งทำให้ใกล้สิ่งที่หวังใว้ไม่ยากนัก ด้วยเหตุผลที่ทุกคนอาจจะไม่รู้หรือรู้ไม่ทันก็คือ ผลประโยชน์ทางอ้อมที่นักการเมืองหวังเพียงนิดๆ


โดย: นักรัฐฯ IP: 202.57.146.188 วันที่: 18 เมษายน 2552 เวลา:22:45:05 น.  

 
ผมจะเข้ามาcommentเรื่อยๆนะครับลองฉบับแรกดูก่อนต่อคอยว่ากันครับ จะcomment เป็นกลางครับ คอยเจอกันตอนฉบับ 2 ครับขอบคุยครับ


โดย: นักรัฐฯ IP: 202.57.146.188 วันที่: 18 เมษายน 2552 เวลา:22:48:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.