|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
มุมมองของคนในพื้นที่ ต่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้
ข้อความนี้ ผมนำมาจากระทู้
//www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5434784/X5434784.html
ซึ่งคุณ หอก ได้โพสเอาไว้ เห็นว่าน่าสนใจดี เลยนำมาให้ได้อ่านกันครับ
ต้นเหตุของปัญหา ถ้าจะเอาแบบแก่นแท้จริงๆนะครับ ละเอียดอ่อนมากๆครับ การพิมพ์โดยการกดคีย์บอร์ดไม่สามารถอธิบายภาพรวมให้เห็นชัดเจนขึ้นมาได้
ตามผมมาครับผมขอเล่าบางส่วนในมุมมอง ให้ทุกท่านฟังกันครับ
ใครไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตอยู่ในโครงสร้างสังคมต่างศาสนา พยายามนึกภาพตามให้ออกนะครับ (ผมเคยเขียนบทความนี้ไว้ตามมุมมองของผมซึ่งเป็นบุคคลนึงที่อยู่ในจุดที่หลายๆคนไม่ได้เข้ามา)
ผมเกิดที่นี่(ยะลา) ในอำเภอห่างไกล อยู่นอกเมือง ตั้งแต่เกิดก็เจอ มัสยิด ได้ยินเสียงละหมาด ตั้งแต่หัวรุ่ง(ประมาณ 05.00 น.) จนถึงหัวค่ำ(16.30น.โดยประมาณ) วันละ 5 ครั้งจนชาชิน แต่อย่างน้อยเสียงละหมาดใน หัวรุ่ง และ หัวค่ำ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตวัยเด็กอย่างผม และเป็นเสมือนสัญญาณเวลาในการทำภาระกิจ ดังเช่น แม่ผมจะตื่นมาหุงข้าวทำกับข้าว ผมก็ตื่นแล้วก็นอนต่อ(แหะๆ) ตกเย็นเด็กๆอย่างผมก็จะมีเสียงละหมาด เป็นสัญญาณบอกให้เลิกเล่นและกลับบ้านอาบน้ำกินข้าว ถามสิครับ....ผมถามพ่อกับแม่ว่า เขาจะสวดมนต์ไปทำไมวันละหลายๆรอบ แถมยังใส่ลำโพงฮอร์นสี่ทิศให้มันดังลั่นไปหมด คำตอบก็คือคนไทยมุสลิมเขาจะเคร่งครัดในเรื่องนี้ เขาจะทำกิจศาสนาของเขาอย่างถูกระเบียบและมีวิถีปฏิบัติที่ชัดเจนพร้อมเพรียง แต่ก็ไม่ได้สร้างเงื่อนไขใดๆกับสังคมไทยพุทธเลย
วันพระหรือเทศกาล เช่น เดือนสิบ เข้าพรรษา ฯลฯ กะนิ(สรรพนามเรียกผู้หญิงรุ่นป้า) ทำแกงมัสหมั่นไก่โคตรอร่อย ทำแกงมาให้แม่ผม บ่อยครั้งที่ โต๊ะยี(คล้ายๆผู้นำศาสนา) เอาใบตองมาให้แม่ทำขนม พ่อผมสอนเด็กๆไทยมุสลิมเพาะเห็ดทุกชนิดจนพวกนี้มีอาชีพ เขาก็ให้เกียรติอาจารย์ดี เหมือนสังคมชนบททั่วไปครับ
พอที่จะอยู่กันได้แบบพบกันครึ่งทาง ผมเล่นกับลูกแขกบ่อย บางทีเขาทำว่าวมาให้ ไปหาลูกยางมาตอกกัน บางทีโกรธกันขนาดผมไปเอาเนื้อหมูมาเสียบไม้ไล่ตีมัน ก็มันเจือกซัดไข่เน่ามาใส่กุนิ แต่ก็ไม่มีอะไรต่างคนต่างอยู่ตามวิถีตัวเอง โรงเรียนประถมตามชนบทต่างๆ ส่วนมากจะมีเด็กไทยมุสลิมมากกว่าเด็กไทยพุทธ " ตรงนี้ถูกจุดแล้วครับ"หลักสูตรต่างๆตามกฏเกณท์ของมาตรฐานการศึกษา เช่นเดียวกับโรงเรียนประถมทุกที่ แต่ก็ยอมรับว่าเด็กไทยมุสลิม มีส่วนน้อยมากที่จะ"เรียนดี" ส่วนมากเด็กไทยพุทธจะมีคะแนนดีกว่า เพราะอะไรหรือครับ
อันนี้มุมมองผมนะครับ ผมคิดว่า เนื่องจากเด็กไทยมุสลิมอาจจะต้องมีการเรียนถึง 2 ภาษาหรือต้องมารับรู้กับหลักศาสนาซึ่งใช้ภาษายาวีในการถ่ายทอด เด็กๆก็เลยสับสนและไม่ชัดเจน คุณลองคิดดูสิครับเด็กอายุแค่ 4-12 ขวบ บางครั้งยัดอะไรให้มากไป มันก็จะทำให้เป็นผลพวกมาถึงการเรียนรู้ตามหลักสูตรที่ต้องแข่งขันของโลกภายนอก อีกอย่างผู้ปกครองอาจจะไม่ให้การสนับสนุนในการมุ่งเรียนเพื่อประกอบอาชีพแบบ"ทุนนิยม" มันเป็นผลทำให้เด็กไทยมุสลิมหลุดรอดมาแข่งขันในมาตรฐานการเรียนประจำจังหวัดได้น้อยลง
และ..เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความผูกพันต่างๆก็จางหายไปตามเวลาของมัน
"นี่คือจุดเปลี่ยนของมุมมองแนวร่วมมวลชน"
หากเมื่อเวลาเปลี่ยนไป สังคมที่เติบโตขึ้นติดตามตัวผมมาตลอด การเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด พร้อมครอบครัวที่ย้ายเข้ามาในเมือง ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในการตั้งหลักของคนไทยพุทธ
ที่นี่ผมพบเจอเพื่อนฝูงในโรงเรียนประจำจังหวัด และมีเพื่อนเป็นไทยมุสลิมน้อยลงมาก (มากจริงๆ) ในชั้นเรียน 30 คน มีเพื่อนไทยมุสลิมไม่เกิน 5 คน "พวกเขาหายไปไหนหมด ?" กลไกของอะไร ? ที่เป็นตัวกรองให้หลุดรอดมาต่อสู้แข่งขันในสังคมได้น้อยมาก ตรงนี้ผู้เกี่ยวข้องลองมองประเด็นให้ดีนะครับ
และจุดตรงนี้ก็ทำให้ความเชื่อมต่อเนื่องระหว่างสังคมเริ่มขาดหายไป
ครอบครัวผมรวมถึงผม ได้พบเจอการแข่งขันสูงขึ้น จนไม่มีเวลานึกถึงสายใยบางๆ ที่เชื่อมสังคมต่างศาสนาเอาไว้ ผมเพลิดเพลินกับการไขว่คว้า และเริ่มพบจุดมุ่งหมายชัดเจนขึ้นตามโลกทุนนิยม ผมจะเรียนต่อสูงขึ้น สูงขึ้น และกลไกก็นำพาผมฉีกออกห่างสังคมบ้านเกิดไปทุกที เพื่อนผมที่เป็นไทยพุทธส่วนมาก หากเข้าสู่กลไกนี้แล้ว มีน้อยคนมากที่จะหวลกลับมาบ้านเกิด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสถานที่เรียน สถานที่ทำงาน หรือ หน่วยงานองค์กรที่พอจะทำงานได้ก็มีน้อยในพื้นที่ จุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งในการกลับมาพัฒนาบ้านเกิด
หวลกลับมาช่วงเรียนประจำจังหวัด และแล้วผมก็ลืม ไอ้มะ ไอ้เด๊ะ ไอ้รอนิง ฯลฯ (ผมเรียกเพื่อนสนิทด้วยคำว่า"ไอ้"นำหน้า) และก็ไม่ได้สนใจติดตามข่าวสารใดๆ
แต่ผมก็ยังรู้ว่ามันเข้าเรียนต่อใน "โรงเรียนสอนศาสนา" ซึ่งในช่วงแรก(มุมมองวัยรุ่น) ผมมีสิทธิ์คิดว่า จะเรียนกันทำไมนักหนา ตั้ง 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ เรียนศาสนาอย่างเดียวแล้วพอจบออกมาแล้วจะไปทำอะไร ในโลกที่แข่งขันทางด้านทุนนิยม
จุดนี้ผมคิดว่านักเรียนปอเนาะหลายคนไม่มีคำตอบให้กับตัวเองเหมือนกัน แต่แล้ว"ความเชื่อและวิถีชีวิตก็ได้ใหลไปตามครรลองของมันเอง" *ตรงนี้คือจุดที่เกิดสังคมคนละมุมมอง*
เพื่อนมุสลิมหลายคนของผม ออกจากโรงเรียนไปกรีดยาง ทำสวน ทำนา เสี้ยงสัตว์ ฯลฯ หลายคนไม่ได้เรียนต่อ * นี่ก็อีกจุดที่"ไม่มีอะไรจะเสีย"(มองให้ลึกนะครับ)
เมื่อเวลาใหลไปเรื่อยๆ การใช้ชีวิตห่างกันเรื่อยๆ และโดยเฉพาะการก้าวย่างสู่ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ(วัยรุ่น) "จุดนี้แหละปฏิเสธไม่ได้หรอก จุดนี้คือจุดที่พลาดได้ทุกสังคม"
มีการยกพวกตีกันระหว่างนักเรียนประจำจังหวัด ไทยพุทธ และไทยมุสลิม บ่อยครั้งในงานกีฬาประจำจังหวัด เริ่มแบ่งแยกกันมากขึ้น เหมือนวัยรุ่นในกรุงเทพนั่นแหละ แต่ที่นี่"ประเด็นที่ก่อกำเนิดมันคนละเป้าหมาย"
หากเมื่อเข้าแข่งขันในโลกทุนนิยมได้น้อยลง ความเจ็บแค้นที่สั่งสมมากขึ้น ระบบกลไกรัฐและเอกชน(อันนี้ต้องยอมรับความจริง) มองเป็นกลุ่ม Priority ต่ำ จนต้องจับกลุ่มกันเอง และหลงเชื่อ ผู้นำศาสนา(ที่ไม่ดี) บางคน "ประเด็นต่างๆในอดีตก็หวลกลับมาทิ่มแทง"
ปล .
อันที่จริงผมอยากเรียนภาษายาวีนะ ผมจะได้พูดได้หลายภาษา และจะได้ด่ากับเพื่อนสนิทได้สะใจหน่อย เวลามีปัญหาอะไรผมจะได้เคลียร์ได้ง่ายขึ้น
ถ้าใส่เข้าไปในหลักสูตรพิเศษของโรงเรียนแถวนี้บ้างก็ดีนะครับ ไม่ต้องกลัวโดนกลืนเรื่องศาสนาหรอกครับ มุมมองผมคิดว่าไม่มีทางครับ ผมรักในความเชื่อในศาสนาของผม เด็กไทยพุทธทุกคนก็คิดเช่นกัน เราจะได้สื่อสารกันเข้าใจมากขึ้น ชัดเจนและตรงประเด็นขึ้น
จะได้สื่อให้เพื่อนมันรู้ว่า นี่ก็ที่กุ นี่ก็ที่มรึง มรึงจะแบ่งไรวะ ไอ้หอกหัก คนเราถ้านับเป็นเพื่อนก็ไม่เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อใดๆ (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ)
ประเด็นในอดีตที่หวนกลับมาทิ่มแทงเป็นเพียงธุลีเล็กๆในมุมมองที่ใหญ่กว่าของเพื่อนไทยมุสลิมเท่านั้น คงต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์แค่ 200 กว่าปี ไม่กี่ชั่วคนเท่านั้นต้องยอมรับว่ายังไม่ทันลืมหรือจางหายไปอย่างกลมกลืน แต่มันเป็นประเด็นแรกๆที่กลุ่มคนไม่กี่คนหยิบยกขึ้นมาสร้างเป้าหมายแต่ไม่บรรลุหรอกครับ
ตั้งแต่ผมเด็กๆข้อมูลแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ ได้ไหลเวียนผ่านไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งผมล่วงเลยเข้าทุติยวัย และผมก็เห็นว่าเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปมาเท่านั้น และถึงขณะนี้ผมไม่ได้รับรู้หรือระแวงเลยว่า ชาวไทยมุสลิมจะต้องการแบ่งแยกดินแดน หากแต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องอื่นมากกว่า
ต่อประเด็นของต้นตอปัญหา ในช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ทุกคนทราบดี หากเราผ่านพ้นมาได้ถ้าลองมองย้อนกลับไป มีอะไรบ้างที่ประคับประคองเราไว้ได้ มีเหตุผลใดที่เราไม่หลุดพ้นไปทางเลวร้าย
ใครที่ผ่านช่วงวัยรุ่นมาได้ก็จะรับรู้ว่ามันเปราะบางในทุกๆด้านใช่มั้ยครับ แต่สิ่งที่ประคองเราไว้มีหลักๆที่พอจะหยิบยกมาได้คือ - ครอบครัว ต้องอบอุ่น เฝ้าระวัง เข้าใจ และเยียวยา ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรของครอบครัวทุกคน ประเด็นนี้ครอบครัวเพื่อนไทยมุสลิมของผม ก็มีไม่ต่างกันมาก "แต่" มีประเด็นของสิทธิระหว่างหญิงและชายเข้ามาแทรกซึมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ส่วนมากในครอบครัวใดก็แล้วแต่ หาก "แม่" มีบทบาทในครอบครัวน้อยมาก ต้นเหตุของปัญหาสังคมต่างๆ มันจะเกิดได้ง่ายมาก "แม่" จะทำหน้าที่นกพิราบที่ดีที่สุดและงดงามที่สุด แต่หากมองค่าของ "สตรี" น้อย หรือไม่ได้ให้ความสำคัญมาก ความรู้สึกผูกพันหรืออ่อนโยนก็จะมลายหายไปไม่มากก็น้อย
ผมอยากให้ "มะ" (แม่) ของเพื่อนไทยมุสลิมมีบทบาทที่ชัดเจนมากขึ้นครับ เพราะ "มะ" จะแสดงบทบาทของการจรรโลง, ผ่อนปรน, เยียวยาและอาทร ได้ชัดเจนที่สุด "ตรงนี้ หากมะของเพื่อนไทยมุสลิมได้รับรู้ผมเป็นกำลังใจให้พวกท่านทุกคน" และอ้อนวอนให้พวกท่านทุกคนกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของตนเอง เพื่อตัวท่านเองไม่ใช่ใคร
- การศึกษา ที่เริ่มชี้เป้าหมายได้อันนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญมากในโลกของการแข่งขันที่เราจะปฏิเสธโลกแบบนี้ไม่ได้ ในส่วนนี้ของผมมีเต็มเปี่ยม อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีสติพอที่จะยับยั้งจิตใจที่เริ่มจะเอนเอียงไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง *อันนี้สำคัญมากครับ มันทำให้เรามองว่ามันเป็นอนาคตหรือเป้าหมายที่ดี "แต่" เพื่อนไทยมุสลิมของผมบางคนขาดหายไปในจุดนี้ คงไม่ต้องบอกเหตุผลใดๆ และมันก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่และชัดเจนที่สุด ยังไงแล้ว ที่คุณเกิดมาก็ต้องต่อสู้แข่งขัน จะไม่ยอมรับมันก็ไม่ได้ มันเข้ามาพัวพันในวิถีชีวิตของคุณตั้งแต่เกิด และถ้าการแข่งขันในโลกทุนนิยม ที่มีค่านิยมอยู่ที่การศึกษาที่ดีหรือสูงไว้ก่อน ตรงนี้เพื่อนไทยมุสลิมของผมแพ้บ่อยแน่ๆ คนเราบางครั้งแพ้บ่อยก็ท้อบ้างเป็นธรรมดา บางครั้งท้อมากก็พาลไปทั่วมองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าไม่ยุติธรรมไปหมด "ก็เลยหลงกลภาพบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นจากรอยแผลที่ยังไม่หายสนิท"
Create Date : 10 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 1:01:24 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1922 Pageviews. |
|
|
|
โดย: dacia IP: 203.155.239.158 วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:1:03:14 น. |
|
|
|
โดย: wissly IP: 203.113.50.11 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:0:00:39 น. |
|
|
|
โดย: บินหลา กูโบ IP: 58.8.123.185 วันที่: 13 มิถุนายน 2550 เวลา:21:57:42 น. |
|
|
|
โดย: บินหลา กูโบ IP: 58.8.123.185 วันที่: 13 มิถุนายน 2550 เวลา:23:31:52 น. |
|
|
|
โดย: รักเธอประเทศไทย IP: 58.8.118.73 วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:14:05:00 น. |
|
|
|
โดย: kanYa/ pathalung IP: 124.157.246.122 วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:14:50:50 น. |
|
|
|
โดย: ตำรวจหญิง IP: 203.114.101.223 วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:15:03:37 น. |
|
|
|
โดย: สาว ญ.พ. IP: 125.25.227.147 วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:41:30 น. |
|
|
|
โดย: ขนิษฐา IP: 125.25.227.147 วันที่: 18 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:08:59 น. |
|
|
|
โดย: จอมเด็กปาลัส ตานี IP: 125.27.206.191 วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:23:39:31 น. |
|
|
|
โดย: แนน นรา ค่ะ IP: 118.173.204.87 วันที่: 18 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:34:54 น. |
|
|
|
โดย: ไพร IP: 118.173.127.118 วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:21:59:38 น. |
|
|
|
โดย: คนไทยเหมือนกัน IP: 202.149.25.241 วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:0:26:30 น. |
|
|
|
โดย: น้องผิง วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:14:11:46 น. |
|
|
|
|
|
|
@ จ่อยน้องลิง @
@ จ่อยหัวหอม @
|
|
|
|
| |
|
|