รองศาสตราจารย์เอกชาติ จันอุไรรัตน์เมื่อพูดถึงในงานออกแบบตกแต่งภายในบ้านเรา มีอยู่สไตล์หนึ่งซึ่งแม้กระทั่งนักออกแบบหรือมัณฑนากรแทบไม่ค่อยรู้จัก หรือมักนำมาใช้ในงานออกแบบตกแต่งภายในบ้านเรา และเท่าที่ทราบก็ยังไม่ค่อยมีท่านใดนำมาประยุกต์ใช้ อาจเนื่องด้วยรายละเอียดของงานและการประดิดประดอยทำได้ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยช่างปั้นบัวที่เก่งฉกาจมากจึงจะออกมาได้สวยงาม สไตล์ที่กล่าวถึงนี้มีชื่อเรียกว่า โรโคโค ที่อยู่ในช่วงราวพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และเทียบเคียงได้กับสมัยอยุธยาเลยทีเดียว นับเป็นยุคทองของฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในแถบยุโรปหันมาตกแต่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระราชวัง ปราสาท และคฤหาสน์ต่างๆ เราลองมาทำความรู้จักคุ้นเคยกับสไตล์ที่ว่ากันสักเล็กน้อยด้วยการย่อยข้อมูลและประวัติความเป็นมา ลักษณะเครื่องเรือนและการตกแต่ง ซึ่งเชื่อว่าอาจมีใครสนใจและนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านของท่าน
ศิลปะโรโกโก ROCOCO ประวัติทั่วไป ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของยุโรป กล่าวคือ คำว่า
Rococo นี้มาจากคำว่า
Rocille (Shell Shape) ซึ่งเป็นลายแม่บท
(Motif) ที่นิยมกันมากในการตกแต่งประดับประดาของบาโรค และเมื่อคำว่า
Rocaille นี้มาผสมกับคำว่า
Baroco ในภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า
Baroque เลยกลายเป็นคำว่า
Rococo คำนี้เริ่มใช้โดยนักประวัติศาสตร์ประมาณปี ค.ศ.1730-1840 เพื่อเรียกช่วง (Phase) สุดท้ายของบาโรคในระยะเวลาประมาณตั้งแต่ปี ค.ศ. 1720 ถึง 1770/80 กว่าๆ กล่าวคือ จนถูกนีโอคลาสสิคซิสม์ลบล้างลง และคำนี้ใช้กับงานศิลปะทุกแขนงรวมทั้งสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง
แม้ว่าคำว่า
Rococo นี้จะเริ่มต้นมาจากมัฑนศิลป์
(Decortive Arts) ก่อนก็ตามและ
Rococo Style บางครั้งก็เรียกว่า
Style of Louis XV อันเป็นการสะท้อนถึงรสนิยมในราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส (ค.ศ. 1715- ค.ศ. 1774) รูปทรง
(Form) ที่อวบอิ่มและค่อนข้างหนักของบาโรค เริ่มเปลี่ยนเป็นรูปทรงตรงโปร่งบางเบาและงดงามโปร่งบาง
(Elegant) รูปทรงแบบตัวเลข
(S) ยิ่งผอมสูงยิ่งขึ้น และการประดับประดาลวดลายต่าง ๆ จะได้รับการออกแบบโดยใช้รูปทรงหลายประเภทผสมกันที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น เปลือกหอย กิ่งไม้ ก้อนหิน เป็นต้น
รวมทั้งรูปทรงที่สะท้อนถึงความสนุกสนานบันเทิงใจอันเป็นลักษณะของสมัยนั้น รูปแบบโรโคโคนี้เป็นรูปแบบของการประดับประดา
(Ornamental Style) ที่บางเบาผิวเผินบนพื้นผิวมากกว่าที่เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนงอกออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของอาคารแบบบาโรค ในทางสถาปัตยกรรมรูปแบบบาโรคที่แสดงออกถึงอารมณ์ ซึ่งมี
การิโน การินิ (ค.ศ.1625-ค.ศ.1667) เป็นต้นกำเนิดถูกแปรเปลี่ยนไปตามรสนิยมของชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมาผสมผสานกับระบบการตกแต่งประดับประดาของฝรั่งเศสในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 คือ โรโคโค เมืองเวียนนา ในประเทศออสเตรีย และภายใต้ของประเทศเยอรมันเป็นผู้นำในสถาปัตยกรรมโรโคโค นอกเหนือจากฝรั่งเศสผู้เป็นต้นตำหรับ ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเอางานจิตรกรรม ประติมากรรมมัณฑนศิลป์สาขาต่าง ๆ มาผสมผสานกันกับสถาปัตยกรรมจนเกิดผลรวมทั้งหมดที่หรูหราวิจิตรพิสดารและมีชีวิตชีวา ในผลงานสถาปัตยกรรมของสถาปนิกโรโคโคพวกนี้โดยทั่วๆ ไปเราจะสังเกตได้ว่ามีการจัดแปลนที่ประสานกลมกลืนกับบริบทโดยรอบ เช่น สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ ถนนหนทาง เป็นต้น และการออกแบบแปลนและรูปด้านที่ประสานกลมกลืนกัน
ในระยะแรกความสำคัญของศิลปะโรโคโคอยู่ที่การตกแต่งและการประดิษฐ์ลวดลายประดับอาคารและอื่นๆ โดยได้รับอิทธิพลศิลปะบาโรกของอิตาลี ซึ่งเข้ามาพร้อมกับการสร้างพระราชวังแวร์ซาย ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ช่างชาวฝรั่งเศสได้ดัดแปลงความละเอียด ความโอ่อ่าหรูหราตลอดจนเส้นและรูปทรงที่โค้งฉวัดเฉวียน แต่ยังคงความแข็งแรง แน่นทึบของมวลปริมาตรอยู่ ให้มาเป็นความนุ่มนวล อ่อนหวาน บอบบางมากขึ้น ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะปรากฏให้เห็นทั้งงานวิจิตรศิลป์และศิลปะประยุกต์
ROCOCO PERIOD 1730-1760 สมัยของระยะพระเจ้าหลุยส์ที่15 (1723-1774) เป็นระยะเวลาที่ศิลปะและการตกแต่งทำกันอย่างประหยัดลงขนาดของห้องและลักษณะของเครื่องเรือนเล็กลงและการตกแต่งมีความเว้าโค้งอ่อนไหวมาก สีที่ใช้ก็อ่อนๆนุ่มนวล มีลักษณะของสตรีเพศแฝงอยู่ตัดลักษณะเสาของสถาปัตยกรรมโบราณออกและมีอิทธิพลของทางตะวันออกมากขึ้น
การตกแต่งสมัยโรโคโคนี้เป็นที่เข้าใจว่าหลุยส์ที่ 15 ให้ความสำคัญในการตกแต่งภายในมากกว่าสถาปัตยกรรม คำว่า
ROCOCO คือคำว่าที่รวมความหมายในภาษฝรั่งเศส ระหว่างคำว่า
ROCAILLE ซึ่งหมายถึง หิน คำที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ และคำว่า
COQUILLE ซึ่งหมายถึง หอย ฝาหอย จึงทำให้ลวดลาย หลักที่ใช้ในสมัยนี้มีลายฝาหอยเป็นสำคัญ การออกแบบในสมัยนี้ยึดหลักความเหมาะสม ความสะดวกสบายด้านการใช้สอยของมนุษย์เป็นหลักสำคัญห้องต่างๆมีขนาดเล็กลงและเพิ่มการแบ่งสัดส่วนของเนื้อที่ให้ได้รับประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการต่างๆ เช่น ส่วนที่เป็นกลางซึ่งใช้รวมกันและส่วนที่เป็นบริเวณส่วนตัวโดยเฉพาะ มีการจัดห้องรับรองสำหรับใช้ฤดูหนาวและฤดูร้อน ห้องสมุดส่วนพระองค์ ห้องนั่งเล่น ห้องพักผ่อน ห้องเล่นเกม ห้องดื่มกาแฟ ห้องดนตรี ห้องนอนและห้องแต่งตัว ซึ่งทุกอย่างเหมือนการจัดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยกเว้นห้องน้ำ มีส่วนลับเฉพาะสำหรับส่วนตัวจริงๆซึ่งซ่อนอยู่หลังตู้เสื้อผ้า โดยต้องเข้าทางตู้เสื้อผ้าหรือเจาะช่องเข้าทางผนังห้องซึ่งตกแต่งไว้ แต่ไม่เน้นเป็นประตู
การตกแต่งแบบโรคโคโค ซึ่งมีการใช้เส้นโค้งเว้าอย่างอิสระ
(CURVILINER) นั้นแสดงออกให้เห็นลักษณะลวดลายซึ่งเลื้อยไหลในส่วนลายละเอียดมีลักษณะของเปลวไฟ ลักษณะของห้องดู มีเสน่ห์ การตกแต่งผนังส่วนใหญ่เป็นไม้ ระหว่างช่วงที่ผนังชนเพดานมีเพียงบัวประกอบมุมเท่านั้น ลดช่วงขนาดของการตกแต่งผนังให้เล็กลง ส่วนบนและส่วนล่างของกรอบที่ใช้ตกแต่งผนังเป็นไม้แกะลายเส้นเหมือนขอบริมฝีปากของผู้หญิงหรือเป็นเส้นโค้งเว้าต่อเนื่องกัน ตามมุมกรอบที่ตกแต่งผนังมีลักษณะสี่เหลียมผืนผ้าตามแนวตั้งเพื่อประกอบความสูงของห้อง ไม่มีการใช้กรอบลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสเลย
ในผนังด้านหนึ่งมีการแบ่งเป็นกรอบเล็กกรอบใหญ่ประกอบกันไป รวมทั้งผนังที่ตรงข้ามกัน มีการประกอบลวดลายและเดินเส้นทองเขียนตกแต่งช่วงกลางกรอบด้วยลายเครือเถาวัลย์สีนุ่มนวล ส่วนที่อยู่อาศัยทั่วไปก็เพียงแต่ทาสีเท่านั้น ในบางห้องใช้ไม้โอ๊คสีธรรมชาติลงขี้ผึ้งขัดเนื้อไม้เป็นพื้น และในบางห้องก็ทาสีอ่อนๆ เช่นสี ชมพู เขียวอ่อน เหลืองอ่อน เป็นต้น ในระยะนี้มีการห้อยผ้าทอเป็นภาพตกแต่งผนังซึ่งเป็นส่วนที่เด่นของห้องหรือที่ประหยัดกว่าก็ใช้ผ้าไหมเขียนภาพห้อยตกแต่งผนังแทน ส่วนที่ใช้ในการตกแต่งผนังอย่างอื่นก็มี เช่น กระจกเงา เชิงเทียน เตาผิงทำด้วยหินอ่อน ชั้นขอบเหนือเตาผิงมีลักษณะโค้งเว้า
ลักษณะนี้รวมไปถึงด้านหน้าที่เป็นช่องใส่ฟืนด้วย ช่วงเหนือเตาผิงตกแต่งด้วย ไม้แกะสลัก กระจกเงา หรือภาพเขียน ส่วนผนังด้านตรงข้ามรวมไปถึงด้านหน้าที่เป็นช่องใส่ฟืนด้วย เหนือโต๊ะคอนโซลตกแต่งด้วยกระจกเงาเพื่อสะท้อนแสงสว่างจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่ตรงกลางห้อง หน้าเตาผิงมีแผ่นเหล็กตกแต่งด้วยลวดลายทองแบบโรคโคโคเพื่อบังแสง ลูกไฟและกระจายความร้อน ลวดลายที่อยู่บนผ้าที่ใช้ในการตกแต่งมีขนาดเล็กลง มีลายรูป ริ้วแถบผ้า ช่อดอกไม้ ลายฝาหอย ประกอบกับลวดลายโค้ง เว้า กลมกลืนกับความโค้งของเส้นรอบบัวที่ตกแต่งผนังและมีการใช้ผ้าฝ้ายพิมพ์ลวดลายกลุ่มใหญ่โดยใช้สีแดง น้ำเงิน เขียวและสีไข่ไก่ ลงบนผ้าพื้นสีขาว หน้าต่างห้อยม่านสีอ่อนๆ พื้นไม้ปาร์เก้สี่เหลี่ยมผืนผ้าสลับสีด้วยไม้ต่างชนิดกัน ส่วนที่เป็นห้องโถงส่วนกลางปูพื้นด้วยแผ่นหินอ่อนสี่เหลี่ยม แล้วปูด้วยพรมชนิดหนาลวดลายโรคโคโค สีนุ่มนวล
ศิลปโรโคโค (ภาษาอังกฤษ:Rococo) หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า
"ศิลปแบบหลุยส์ที่ 15" (Louis XIV Style) ศิลปโรโคโคเริ่มพัฒนามาจากศิลปฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 ห้องที่ออกแบบแบบโรโคโคจะเป็น เอกภาพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเป็นผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องประดับ จะออกแบบเพื่อให้กลมกลืนกันอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่จะอิสระต่อกัน คือไม่มีสิ่งใดในห้องนั้นที่นอกแบบออกมา ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราและอลังการ รูปปั้นเล็กๆแบบประดิดประดอย ภาพเขียนหรือกระจกก็จะเป็นกรอบลวดลาย และพรมแขวนผนัง ที่ถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ศิลปโรโคโคมาแทนด้วยสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิคและบาโรค
สไตล์โรโคโคเริ่มขึ้นจากงานมัณฑนศิลป์และศิลปะการตกแต่งภายใน ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส เมื่อปลายรัชสมัยการตกแต่งอย่างหรูหราแบบโรโคโคก็เริ่มเบาขึ้น มีเส้นโค้ง และลวดลายเริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น ลักษณะเช่นนี้จะเห็นชัดได้จากผลงานของ
นิโคลัส พินเนอ (Nicholas Pineau) ระหว่างสมัย
รีเจนซ์ (Regence) ชีวิตราชสำนักก็เริ่มย้ายออกจากพระราชวังแวร์ซายส์ โรโคโคก็มีรากฐานมั่นคงขึ้นโดยเริ่มจากงานในวังหลวงแล้วขยายออกมาสู่งานสำหรับชนชั้นสูง ลักษณะอ่อนไหวและขึ้เล่นของโรโคโคทำให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อของรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 โดยแท้ราวประมาณปี ค.ศ. 1730 เป็นระยะที่ศิลปโรโคโครุ่งเรืองที่สุดในประเทศฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมลักษณะนี้เริ่มเข้าไปมีอิทธิพลต่อศิลปะแขนงอื่นๆด้วย เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม และ เฟอร์นิเจอร์ จะเห็นได้จากงานของ
ฌอง อองตวน วัตโตว์ (Jean-Antoine Watteau) และ ฟรองซัวส์ บูแชร์ (Fran?ois Boucher) ศิลปโรโคโคยังรักษาลักษณะบางอย่างของศิลปบาโรกเช่นความซับซ้อนของรูปทรง
(form) และความละเอียดลออของลวดลาย แต่สิ่งที่โรโคโคจะแตกต่างกับบาโรกคือจะผสมผสานลักษณะอย่างอื่นเข้ามาด้วย รวมทั้งศิลปะจากทางตะวันออกโดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น และองค์ประกอบจะขาดความสมดุล
(asymmetric) ศิลปะแบบโรโคโคเผยแพร่โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส แต่ผู้ที่ตื่นเต้นกับศิลปะลักษณะนี้มากก็คือสถาบันคาทอลิกทางใต้ของประเทศเยอรมนี บริเวณโบฮิเมีย
(Bohemia-ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก) และประเทศออสเตรีย เพราะเป็นศิลปะที่สามารถประสมประสานอย่างกลมกลืนกับศิลปบาโรคแบบเยอรมนีได้เป็นอย่างดี ศิลปโรโคโคแบบเยอรมนีจะใช้กันมากในการสร้างโบสถ์ สำนักสงฆ์
(monasteries) และวัง ในสมัยพระเจ้าฟรีดริชมหาราช แห่ง ปรัสเซีย ศิลปินแห่งราชสำนักปรัสเซียก็เริ่มสร้างลักษณะโรโคโคที่เป็นของตนเองที่เรียกกันว่าโรโคโคแบบฟรีดริช
(Frederician Rococo) ซึ่งมีอิทธิพลมาจากโรโคโคฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ สถาปนิกมักจะตกแต่งภายในด้วยปุยเมฆที่ทำจากปูนปั้น
(stucco) ทั่วไปทั้งห้อง
พอถึงปลายสมัยโรโคโค ศิลปะแบบนี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมกันทางเหนือและใต้สุดของประเทศอิตาลี
ฟรานเซสโก บอโรมินิ (Francesco Borromini) และ กัวริโน กัวรินี (Guarino Guarini) ใช้โรโคโคที่เมืองตูริน เวนิส เนเปิล และ ซิซิลี แต่ทางบริเวณทัสเคนี และ โรม จะไม่นิยมโรโคโค และยังยึดอยู่กับศิลปะแบบบาโรค
โรโคโคที่ประเทศอังกฤษมักจะเรียกกันว่าศิลปะแบบฝรั่งเศส หรือ
"รสนิยมฝรั่งเศส" ("French taste") สถาปัตยกรรมแบบโรโคโคจะไม่เป็นที่นิยม แต่โรโคโคที่นิยมกันก็คือการทำเครื่องเงิน เครื่องกระเบื้อง และไหม
ธอมัส ชิพเพ็นเดล (Thomas Chippendale) ช่างออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ เปลี่ยนรูปแบบการทำเฟอร์นิเจอร์โดยการนำโรโคโคมาประยุกต์
วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีของความสวยงามของโรโคโค
ถึงแม้ว่าโฮการ์ธจะไม่ใช้คำว่าโรโคโคโดยตรงในหนังสือชื่อ
"การวิจัยเรื่องความงาม" (Analysis of Beauty) (ค.ศ. 1753) แต่โฮการ์ธก็พูดถึงความอ่อนช้อย สละสลวยของเส้นและรูปโค้งแบบเอส
(S-curves) ที่โรโคโคใช้ ซึ่งเป็นหัวใจของศิลปะโรโคโค และเป็นสิ่งที่ทำให้โรโคโคมีความอ่อนช้อยสวยงาม และทำให้แตกต่างจากศิลปะสมัยคลาสสิคซิสม์
(Classicism ซึ่งเป็นศิลปะสมัยที่หันกลับไปนิยมเลียนแบบศิลปะแบบกรีกและโรมัน) ที่จะขึงขังเพราะการใช้เส้นตรงหรือวงกลมเป็นหลัก ศิลปโรโคโคเริ่มวิวัฒนาการขึ้นในขณะเดียวกับที่มีการฟื้นตัวกลับมานิยมสถาปัตยกรรมแบบโกธิค
("สมัยฟื้นฟูกอธิค" (Gothic Revival) เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18
ครับอ่านแล้วค่อนข้างจะหนักไปทางประวัติศาสตร์บ้างพอสมควร แต่ก็เชื่อว่าบางท่านสนใจและเป็นความหลากหลายที่ได้ความรู้ติดตัวไปบ้างจากคอลัมน์นี้ นอกเหนือไปจากตกแต่งเท่านั้นครับ
Credit : www.108health.comสนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์H O M Eสนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์H O M E
//www.darinkamontano.com/
//www.awfmmellowtouch.net/
//www.rajasthantour-travels.com/
[url=//www.darinkamontano.com/]canada goose mystique parka[/url]
โดย: canada goose mystique parka IP: 31.41.217.112 20 ธันวาคม 2556 13:02:55 น.