bloggang.com mainmenu search
โดย จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์



     ยามที่ร่างกายและหัวใจอ่อนล้า เพราะเผชิญปัญหาบ้านเมืองและเศรษฐกิจที่ปรวนแปร การเดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนพุทธภูมิ ที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน น่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ เพิ่มความสุขให้ชีวิต บรรเทาความวุ่นวายในจิตใจชาวพุทธได้ดีทีเดียว

ล่าสุดมีโอกาสไปกราบนมัสการพุทธสังเวชนียสถาน สถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า 3 แห่งจากทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ สถานที่แสดงปฐมเทศนา ณ เมืองสารนาถ สถานที่ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา และสถานที่ประสูติ ณ เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล ขาดเพียงสถานที่ตรัสรู้ ณ เมืองพุทธคยา เท่านั้น

     การเดินทางผจญภัยในดินแดนพุทธภูมิครั้งนี้ คณะของเรามีพระราชรัตนรังษี ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ จากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ และพระมหาภุชงค์ รับหน้าที่เป็นพระวิทยากรบรรยายความสำคัญของสถานที่แต่ละแห่งด้วย ซึ่งพระวิทยากรทั้งสองท่านได้เทศน์ให้ความรู้กับพวกเราในรูปแบบเพลิดเพลินใจ ฟังสบาย ไม่น่าเบื่อตลอดการเดินทาง

     ก่อนเยือนพุทธสังเวชนียสถาน คณะของเราได้อุ่นเครื่องด้วย การล่องแม่น้ำคงคา ที่เมืองพาราณสี แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวฮินดูจะมาทำพิธีบูชาพระอาทิตย์ อาบน้ำล้างบาป และนำศพมาเผา จนกองไฟที่เผาศพ ไม่เคยดับมอดเลยเป็นเวลากว่า 4,000 ปีแล้ว

     ระหว่างล่องเรือได้เห็นภาพชาวฮินดูแบกศพที่ห่อด้วยผ้าสีทองอร่ามมายังบริเวณที่เผาศพ และชมโฉม “มรณาโฮ เทล” โรงแรมรอความตาย ซึ่งตั้งอยู่ข้างเคียงที่เผาศพ ฟังชื่อแล้วดูน่ากลัวพิลึก ทว่าโรงแรมแห่งนี้ต้องจองคิวเข้าพักกันนานทีเดียว มีคนรอเข้าพักเต็มตลอดปี เพราะชาวฮินดูที่รู้ตัวว่าใกล้วาระสุดท้ายของชีวิต พร้อมด้วยญาติพี่น้องจะมาเช่าห้องพัก เมื่อสิ้นลมหายใจสุดท้าย ญาติพี่น้องจะได้นำศพไปเผายังพื้นที่เผาศพ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมได้ทันที โดยจะเผาให้ร่างไหม้เพียงบางส่วน แล้วนำร่างไปลอยกลางแม่น้ำให้เป็นอาหารฝูงนกกาและปลา ก่อนจมสู่ใต้แม่น้ำคงคา ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่จมสู่แม่น้ำแห่งนี้จะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ทันที ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป


     หลังล่องเรือผ่านจุดนี้ ทำให้พวกเราได้เรียนรู้อย่างมีสติจากความตาย หรือมรณานุสติ และพระวิทยากรได้นำสวดมนต์ให้พวกเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในชีวิต ก่อนจะลอยกระทงต้นตำรับลงในแม่น้ำคงคา และเดินทางกลับขึ้นฝั่งอีกครั้ง เพื่อขึ้นรถริกชอว์ หรือสามล้อถีบ ทดสอบความแข็งแกร่งของหัวใจ สัมผัสบรรยากาศการนั่งพาหนะชวนหวาดเสียวของคนในท้องถิ่นนี้ และเริ่มต้นการตามรอยพุทธสังเวชนียสถานอย่างเป็นทางการ

     พุทธสังเวชนียสถานแห่งแรกที่พวกเราเดินทางไป คือ “ธรรมเมกขสถูป” สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบล สารนาถ เมืองพาราณสี โดยพระวิทยากรได้นำพวกเราสวดมนต์ทำวัตรเช้า พร้อมด้วยการสวดมนต์บทพิเศษบูชาที่แสดงปฐมเทศนา นั่งสมาธิสงบจิต จุดธูปเทียนบูชา เดินเวียนเทียนรอบธรรมเมกขสถูป พร้อมปิดทองคำเปลว เพิ่มสิริมงคลให้ชีวิต

     หลังจากนั้นพวกเราได้เดินทางยาวนานกว่าครึ่งวัน เพื่อไปยังเมืองกุสินาราต่อ และเริ่มต้นเช้าวันถัดไปด้วยการไปกราบสถานที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า ที่ มกุฎพันธเจดีย์ นมัสการสถานที่ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ปรินิพพานสถูป และปรินิพพานวิหาร ที่พระเจ้า อโศกมหาราชได้ดำริให้สร้างขึ้น ซึ่งภายในปรินิพพานวิหาร มีพระนอนปางปรินิพพานที่สร้างอย่างสมสัดส่วนสมจริงตั้งอยู่


     เมื่อออกจากที่นี่แล้วก็แวะไปที่ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากสถานที่ปรินิพพานนัก โดยวัดแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุ และเส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับสร้าง พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา

     ขณะเดียวกันทางวัดยังสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาพระสงฆ์อาพาธระหว่างมาแสวงบุญ มีสถานพยาบาลกุสินาราคลินิก รักษาคนในท้องถิ่น และมีห้องพักไว้รอรับคนไทยเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่ต้องการมาแสวงบุญยังแดนพุทธภูมิ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์จะจ่ายค่าห้องพักโรงแรมแพง ๆ ด้วย ใครประสงค์ร่วมทำบุญกับทางวัดก็ดูรายละเอียดได้ที่ //www.watthaikusinara-th.org


     จากนั้นชาวคณะเริ่มต้นการเดินทางอันแสนยาวนาน จากเมืองกุสินารา ผ่านเมืองโครักปูร์ ประเทศอินเดีย ข้ามเขตชายแดนไปยังเมืองลุมพินี ประเทศเนปาล โดยระหว่างทาง มีห้องน้ำให้คณะแสวงบุญแวะได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ พุทธวิหารสาลวโนทยาน ซึ่งสร้างขึ้นจากแนวคิดของพระราชรัตนรังษี และกำลังทรัพย์ของผู้แสวงบุญชาวไทย เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินชายแดนอินเดีย-เนปาล เพราะทุกคณะที่มาแสวงบุญ เมื่อถึงที่แห่งนี้ต่างวิ่งกรูไปยังห้องน้ำทันที หลังอดใจรอให้ถึงห้องน้ำมานานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ภายในพุทธวิหารสาล วโนทยาน ยังมีศาลาภัตตาหาร ซุ้มกาแฟ ร้านบุญสหกรณ์ ห้องพยาบาลเบื้องต้น และมีห้องพักไว้รองรับผู้แสวงบุญที่ไม่สามารถข้ามเขตชายแดนจากอินเดียไปเนปาลได้ยามฉุกเฉินด้วย ซึ่งพระราชรัตนรังษีฝากมาบอกว่า ใครมีจิตศรัทธา ร่วมกันบริจาคทรัพย์สร้างสวรรค์บนดินนี้ให้สมบูรณ์ได้ที่มูลนิธิวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์-อินเดีย 0-2184-4539-40

     ข้ามชายแดนแล้ว วันรุ่งขึ้นชาวคณะได้เดินทางไปกราบนมัสการสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า พุทธสังเวชนียสถานแห่งสุดท้ายของแผนการเดินทาง ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล โดยภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบด้วย มหามายาเทวีวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า สระโบกขรณี ที่พระนางสิริมหามายาเทวีอาบน้ำชำระพระวรกายหลังประสูติพระโอรส และมี เสาศิลาจารึกพระเจ้าอโศก ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ โดยพระวิทยากรได้นำคณะพวกเราปฏิบัติธรรมเช่นเดิม ท่ามกลางบรรยา กาศที่หนาวเหน็บ และหมอก ที่ลงจัดมากจนทำให้มองเห็นภาพสถานที่ภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก

     อิ่มหนำกับพุทธสังเวชนียสถาน 3 แห่งแล้ว พระวิทยากรได้นำพวกเรามุ่งหน้าไปเยี่ยมชม วัดไทยลุมพินี ที่รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพสร้างขึ้น เป็นการปิดท้ายก่อนที่คณะพวกเราจะเดินทางไปชื่นชมความงดงามของสถานที่สำคัญทางศาสนาในนครกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เช่น พระมหาเจดีย์โพธนาถ เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล และ พระมหาเจดีย์สวยัมภูวนารถ หรือวัดลิง อายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูอยู่คู่กัน เป็นต้น ก่อนจะบินลัดฟ้ากลับมาเริ่มต้นวันใหม่ด้วย จิตใจที่สดใส อิ่มบุญอีกครั้งที่เมืองไทย ใครที่อยากลองไปแสวงบุญดูบ้าง ขอแนะนำว่าควรไปช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เนื่องจากสภาพอากาศเย็นสบาย.


สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
เดลินิวส์ออนไลน์ 7 มีนาคม 2552


H O M E
Create Date :18 มีนาคม 2552 Last Update :18 มีนาคม 2552 16:08:38 น. Counter : Pageviews. Comments :0