Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 
22 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. วิญญาณขันธ์โดยนัยแห่งอริยสัจสี่

.





ภิกษุ ท .!
วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท .!
หมู่แห่งวิญญาณหกเหล่านี้คือ ..
- วิญญาณทางตา,
- วิญญาณทางหู,
- วิญญาณทางจมูก,
- วิญญาณทางลิ้น,
- วิญญาณทางกาย,
- และวิญญาณทางใจ.

ภิกษุ ท.!
นี้เรียกว่า วิญญาณ.
- ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ มีได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป;
- ความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ มีได้ เพราะความดับไม่เหลือแห่งนามรูป;
- อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็น ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่ง
วิญญาณ , ได้แก่ ..

.. ความเห็นชอบ
.. ความดำริชอบ ;
.. การพูดจาชอบ
.. การทำการงานชอบ
.. การเลี้ยงชีวิตชอบ;
.. ความพากเพียรชอบ
.. ความระลึกชอบ
.. ความตั้งใจมั่นชอบ.
.
.
.
ธนฺธ. สํ. ๑๗/๗๕/๑๑๗.



หมายเหตุ จขบ.


วิญญาณแบบที่พระพุทธองค์สอนนั้นคนละเรื่องกับวิญญาณแบบอีเฟือง .. หรือ แม่นาค ที่มีไว้สำหรับบัวน้ำล่างอันกอปรด้วยศรัทธาวิปลาส ยึดถือเอาไว้กอดรัดฟัดเหวี่ยง .. เลอะเทอะจนกลายเป็นเรื่องข้ามภพ ข้ามชาติ ที่เป็นตัวตนเดิมเดียวและไม่เป็นอนิจจลักษณะ .. (การกลัวผี จัดเป็นอุปาทานที่เกิดจากความเชื่อวิญญาณล่องลอยแบบนี้ ซึ่งผิด)

คำของพระพุทธองค์มีระบุชัด .. แต่ยังไม่สามารถลบล้างความเชื่อดั้งเดิมได้หมดเพราะเหตุใด ?

เพราะว่า ปัญญาสำหรับไตร่ตรองเหตุผลตามที่เป็นจริงมันไม่เกิด .. และปัญญาตัวนี้มันอยู่เหนือการปรุงแต่งใดๆ ทั้งฝ่ายบุญทั้งฝ่ายบาป

ปัญญาตัวนี้ พระโมคคัลานนะผู้มีประวัติเคยทำอนันตริยกรรม ทุบตีมารดาตนเอง อันเป็นบาปหนักหนา กลับมีขึ้นมาในจิตได้ แถมยังบรรลุได้เร็วกว่าพระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญาเสียอีก ..

บาปหนัก .. แต่บรรลุอรหันต์ .. ถอนอาสวะได้อย่างรวดเร็วแค่ภายใน 7 วันหลังฟังธรรมจากพระพุทธองค์ .. แปลว่าหลุดพ้นจากทั้งบาปทั้งบุญใดๆที่เคยมี

วิบากกรรม ตามความเชื่อดั้งเดิมแบบที่สอนสืบๆกันมาว่าจะส่งผลตามมาจากชาติก่อนนั้น .. ในประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สอดรับ ไม่สอดคล้อง

มองต่อได้ว่า .. "เรื่องเล่า" เกี่ยวกับอดีตชาติของพระโมคคัลานนะ อัครสาวกฝ่ายขวาผู้เรืองฤทธิ์ นั้นเป็นไปได้ที่จะ "มั่ว" หรือ "ไม่จริง"

ประการที่ 1 .. เป็นเรื่องที่ผู้บันทึกรู้ด้วยตนเองไม่ได้แน่นอน .. เรื่องพวกนี้เล่า บันทึก สืบต่อกันมาได้อย่างไร ?

ประการที่ 2 .. ความเชื่อเรื่องที่รู้ด้วยตนเองไม่ได้ มันขัดกับหลักกาลามสูตร "ความที่ยังไม่ควรเชื่อ 10 ประการ" .. ซึ่งอดีตชาติของผู้อื่น ไม่มีทางที่คนบันทึกจะรู้ได้ด้วยตนเอง .. จึงขัดแย้งกับหลักนี้

ประการที่ 3 .. คำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีทางขัดแย้งกันเอง .. เมื่อระบุให้คนรู้ได้ด้วยตนเองก่อนแล้วจึงไตร่ตรอง ใคร่ครวญ แล้วจึงเชื่อ ดังที่ตรัสกับชาวกาลามะ ในกาลามสูตร .. ดังนั้นเรื่องอดีตชาติจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะรู้ได้ด้วยตนเอง .. รวมทั้งผู้บันทึกเรื่องราว .. จึงบันทึกไว้ด้วย"ความเชื่อที่มืดบอด" และขัดกับหลักกาลามสูตร จึงผิด

วิญญาณทั้ง 6 ที่ตรัสไว้ด้านบน จึงเกิดขึ้น กระทบ สัมผัส มีปฏิสัมพันธ์ กับโลกรอบตัว
.. แล้วชอบ
.. แล้วชัง
.. แล้วหงุดหงิด
.. แล้วเพลิดเพลิน
.. แล้วกำหนัด
.. แล้วเบื่อหน่าย
.. แล้วโกรธ
.. แล้วขำ
.. แล้วหัวร่อเบิกบาน
.. แล้วกังวล
.. แล้วเฉยๆ
.. แล้วฯลฯ ..

"แล้ว"ทั้งหลายนี้คือ วัฏฏะสงสาร ที่หมุนรอบอยู่ไม่รู้จบ ผ่านทวารทั้ง 6 ผ่านวิญญาณทั้ง 6

เมื่อหยุด"แล้ว .." ทั้งหลายได้ทัน ได้สนิท เมื่อไร
ก็เมื่อนั้นอาสวะก็ถูกถอนได้หมด .. วัฏฏะสงสารก็หยุดหมุน
จิตก็เย็น เข้าสู่ภาวะนิพพาน .. หลังการดับสนิทของ "แล้ว .. " ทั้งหลาย


ไม่เกี่ยวกับ การเพ่งศูนย์กลางกายเหนือที่ไหนเลย .. สาบาน !




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556
1 comments
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:23:26 น.
Counter : 844 Pageviews.

 

..แล้ว..เสร็จ.

/\\

 

โดย: มาย IP: 110.168.102.136 23 กรกฎาคม 2556 13:11:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.