1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
คุณท่านขุน อาบัติ + แบน
คนไทยเรามีลักษณะนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่บอกได้ว่ามีทั้งเป็นข้อดีความใจอ่อนเมตตากรุณาเอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจคนอื่น และข้อเสียความใจอ่อนเมตตากรุณาแต่ว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงไม่เข้าใจหลับหูหลับตาสนับสนุนส่งเสริม ลักษณะนิสัยนั้นคือ "ชอบเชียร์มวยรอง" เหตุการณ์ดราม่าวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันค่อนข้างรุนแรงเกิดขึ้นทันทีกับคนไทยที่ชอบเชียร์มวยรอง ซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียได้ผลประโยชน์อะไรเลย เมื่อภาพยนตร์เรื่องอาบัติเพลี่ยงพล้ำถูกแบนระงับมิให้ฉายแพร่ภาพตามวันเวลากำหนด การพูดอะไรก็ตาม หากยังไม่รู้ไม่เข้าใจในตัวเนื้อหาอย่างแท้จริง ซ้ำยังกำลังพูดด้วยอำนาจโทสจิต ก็เกิดบาปโทษมากกว่าคุณประโยชน์ โดยเฉพาะกับตนคนที่พูดนั่นเอง เมื่อเราจะพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับศาสนา ยกให้เป็นสถาบันหลักหนึ่งของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความละเอียดอ่อนอยู่ ขอถามสักหน่อยว่า เราเข้าใจตัวเนื้อหาของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธนั้นหรือไม่ เมื่อเราจะพูดถึงศาสนาก็ต้องพูดในมิติของศาสนาใช่หรือไม่ ไม่ใช่ไปนำเอามิติอื่นๆ เรื่องอะไรก็ไม่รู้มาพูด เช่น สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลและข่าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นศรีธนญชัยเบี่ยงเลี่ยงบาลีออกนอกประเด็น อาบัติสังฆาทิเสส (คนสร้างภาพยนตร์เรื่องอาบัติรู้หรือเปล่าว่าคืออะไร ) ซึ่งเป็นครุกาบัติหนักรองลงมาจากอาบัติปาราชิก บรรดาอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อเหล่านั้น ในบทภาชนีย์ข้อหนึ่งว่า "ภิกษุต้องปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมายจะให้เคลื่อน (ออกจากพระพุทธศาสนา) ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส" ข้อความประโยคหนึ่งว่า "ไม่ขอโอกาสหรือไม่ขออนุญาตเธอก่อนแล้วโจทต้องอาบัติสังฆาทิเสส" ตรงกันข้าม "ขอโอกาสหรือขออนุญาตเธอก่อนแล้วโจทไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส" นี้คือธรรมเนียมมารยาททางพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกแสดงเอาไว้ ก่อนจะนำเรื่องเสียหายของใครคนใดคนหนึ่งออกไปวิพากษ์วิจารณ์หรือประจานตีแผ่ให้สังคมทราบ คุณได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเสียหายนั้นหรือยัง ถ้าเขาบอกว่า "เรื่องเสียหายของผมนี้ ผมยินดีอนุญาตให้คุณนำไปประจานตีแผ่ได้ ความไม่ดีของผม คนจะได้ไม่ถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง" คุณจึงจะมีสิทธิ์เอาออกไปตีแผ่ประจานให้สังคมทราบใช่หรือไม่ ภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ที่นำเรื่องเสื่อมเสียเรื่องเสียหายในแวดวงดงขมิ้นของพระภิกษุสงฆ์ แม้จะเป็นเรื่องจริง คนสร้างกำกับภาพยนตร์ ขออนุญาตหรือปรึกษากับพุทธบริษัท ภิกษุบริษัท อุบาสกบริษัท อุบาสิกา บริษัทที่เป็นเจ้าของพุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติหรือยังว่า "หากผมจะสร้างหนังเรื่องทำนองเสื่อมเสียเสียหายในพระพุทธศาสนาตีแผ่แพร่ภาพ พุทธมามกะชาวพุทธทั้งหลายอนุญาตให้ผมสร้างหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่ด้วยเห็น กรุณาให้คำตอบด้วยครับ" เชื่อแน่ว่า ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ไม่มาขออนุญาตหรือแม้แต่ปรึกษาหารือกับพุทธมามกะผู้รู้คนใดคนหนึ่งเลย เมื่อไม่ได้ขออนุญาตหรือปรึกษาหารือความเหมาะความควร ควรหรือไม่ควรอย่างไร จะทำออกมาอย่างไรให้เหมาะสมดูดี ก็ถือว่ามีความผิดตั้งแต่ต้นที่ล่วงล้ำก้ำเกินพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาทที่ดีเลย ขอถามในคำถามเดียวกัน เรื่องเสื่อมเสียเรื่องเสียหายของคุณผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ ถ้ามีคนมาขออนุญาตนำออกไปประจานตีแผ่ให้สังคมทราบ คุณผู้กำกับจะอนุญาตไหม เมื่อพุทธมามกะคนใดคนหนึ่งในพุทธบริษัทดังกล่าว จะเป็นภิกษุหรืออุบาสกก็ตามออกมาฟ้องร้องเรียกสิทธิโดยชอบธรรม และเมื่อถูกตัดสินตัดสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ห้ามมิให้ฉายแพร่ภาพต่อไป คุณผู้กำกับภาพยนตร์ก็ควรยอมรับโดยดุษณียภาพมิใช่หรือ เพราะคุณไม่ได้ขออนุญาตถือว่าทำผิดตั้งแต่ต้น ประเด็นที่ฝ่ายเห็นด้วยกับการอยากจะให้ฉายแพร่ภาพภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ว่า "เรื่องจริงยิ่งกว่านี้ เรื่องในพระวินัยปิฎกก็เสียหายร้ายแรงกว่า เช่น พระเสพสังวาสกับลิงตัวเมีย ภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้ก็ต้องแพร่ภาพได้" และยังพูดไปออกนอกประเด็นอีกว่า "หนังเรด R ยังให้ฉายแพร่ภาพได้เลย เรื่องอาบัตินี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น ทำไมจะฉายแพร่ภาพไม่ได้" ลองนึกถึงเรื่องจริง เช่น พระเสพสังวาสกับลิงตัวเมีย หรือพระสุทินอาทิกัมมิกะผู้เป็นต้นอาบัติปฐมปาราชิกมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของตนจนตั้งครรภ์ที่มีปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก คุณผู้กำกับภาพยนตร์เข้าไปเฝ้ากราบทูลขอประทานอนุญาตจากพระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของศาสนาพุทธว่า "พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ผู้คฤหัสถ์ใคร่ขอประทานอนุญาตจากพระพุทธองค์นำเรื่องเสื่อมเสียทั้งสองดังกล่าวนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ตีแผ่ประจานให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รับทราบ ขอพระพุทธองค์โปรดประทานอนุญาตด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจะประทานอนุญาตไหม คำตอบย่อมชัดเจนว่า ไม่ประทานอนุญาตเลย ในพระสูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสถึงการแสดงออกของสัตบุรุษและอสัตบุรุษไว้ว่า "ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อดีของตนเอง แม้มีมาก สัตบุรุษก็จะพูดแต่น้อย แต่ถ้ามาถามถึงเรื่องข้อเสียของตนเอง แม้มีน้อย สัตบุรุษก็พูดโดยมาก ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อดีของคนอื่น แม้มีน้อย สัตบุรุษก็จะพูดโดยมาก แต่ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อเสียของคนอื่น แม้มีมาก สัตบุรุษก็จะพูดแต่น้อย ตรงกันข้าม ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อดีของตน แม้มีน้อย อสัตบุรุษก็จะพูดโดยมาก แต่ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อเสียของตน แม้มีมาก แต่อสัตบุรุษก็พูดแต่น้อย ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อดีของคนอื่น แม้มีมาก อสัตบุรุษก็จะพูดแต่น้อย มิหนำซ้ำปกปิด แต่ถ้ามีคนมาถามเรื่องข้อเสียของคนอื่น แม้มีน้อย อสัตบุรุษก็พูดโดยมาก ถึงกับโพนทะนาว่ากล่าวประจานตีแผ่" (อาตมาจำพระสูตรนี้ได้ดี เพียงแต่ปรับสำนวนให้อ่านเข้าใจง่ายสักหน่อย)ถามว่า ภาพยนตร์เรื่องอาบัตินี้เป็นข้อดีหรือเป็นข้อเสียของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตอบได้อย่างชัดเจนว่า เป็นข้อเสียเรื่องเสื่อมเสียความเสียหายของพระภิกษุ (บางรูป) ในพระพุทธศาสนา ถามต่อไปอีกว่า เรื่องเสียๆ เน่าๆ อย่างนี้ควรนำมาประจานตีแผ่เปิดเผยแก่สังคมไหม อย่าตีกรรเชียงเลี่ยงออกไปพูดนอกประเด็นว่า คนมีสติปัญญาแยกแยะได้ มาพูดให้ตรงประเด็นว่า เรื่องเสื่อมเสียความเสียหายของพระภิกษุบางรูปในพระพุทธศาสนา ควรนำมาประจานตีแผ่แพร่ภาพเป็นภาพยนตร์เรียกหาเงินทองเก็บเอากำไรหรือไม่ อาตมาเขียนบอกไว้แต่ต้นแล้วว่า ถ้าคุณจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องศาสนาคุณต้องเข้าใจมิติของศาสนาให้ดีเสียก่อน คุณจะสร้างภาพยนตร์เรื่องอาบัติมาตีแผ่ความเสื่อมเสียเสียหายของพระภิกษุ คุณรู้และเข้าใจความละเอียดอ่อนของอาบัติในพระวินัยบัญญัติของพระพุทธศาสนาได้ดีหรือไม่ ถ้าคุณผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องอาบัติและคนฝั่งเห็นด้วยต้องการให้ฉายแพร่ภาพภาพยนตร์เรื่องอาบัติที่กำลังดราม่าด่ากันรุนแรงอยู่นี้ รู้และเข้าใจมิติของศาสนารู้ซึ้งถึงธรรมวินัย โดยเฉพาะพระพุทธดำรัสตรัสสอนในพระสูตรที่อาตมากล่าวย่อๆ ให้ฟังนั้นสักหน่อย พวกคุณจะไม่ดราม่าด่ากันรุนแรงด้วยโทสจิตเช่นนี้ ตัวพวกคุณเองก็เลือกได้มิใช่หรือว่า จะเป็นสัตบุรุษหรืออสัตบุรุษ สุภาพชน : คนดี หรือ อสุภาพชน : คนไม่ดี วันนี้อาตมากำลังเตรียมเรื่องแสดงธรรม และทบทวนธรรมอยู่เพื่อนำไปสอนในคอร์สวิปัสสนากรรมฐาน แต่ก็ต้องหันกลับมาเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องอาบัติที่ถูกแบนนี้ อธิบายจำแนกแจกแจงให้พอได้เข้าใจกัน เพราะเห็นเร่ิมดราม่ากันรุนแรงแล้ว ความจริง เหตุก็มิใช่อะไรดอก เพราะเป็นห่วงว่า ถ้อยวาจาที่พวกคุณแสดงออกมานั้นมิใช่ถ้อยวาจาของสัตบุรุษ จัดเป็นผรุสวาท จะเป็นบาปอกุศลติดตามตัวพวกคุณไปเสียเปล่า สำรวมกันสักหน่อย สำรวมกับสิ่งประเสริฐที่เรียกว่า "พระพุทธศาสนา" ที่พวกคุณเองก็เป็นพุทธมามกะเคารพนับถืออยู่เหมือนกัน...ขอเจริญพร พระมหา วชิราวุท มะปัญญา (รกฺขิตฺวณฺโณภิกขุ) ป.ตรี(การบริหารทรัพยากรมนุษย์) ป.ตรี(รัฐประศาสนศาตร์บัณฑิตย์) ป.ตรี(รัฐศาสตร์บัณฑิตย์) ป.โท(รัฐศาสตร์มหาบัณฑิตย์) ปธ๓ขอบคุณพิเศษ บทความจาก https://goo.gl/0EXi00
Create Date : 15 ตุลาคม 2558
11 comments
Last Update : 16 ตุลาคม 2558 12:12:26 น.
Counter : 1305 Pageviews.
โดย: Opey 15 ตุลาคม 2558 13:47:47 น.
โดย: หอมกร 17 ตุลาคม 2558 9:22:09 น.
โดย: คมไผ่ 19 ตุลาคม 2558 22:13:00 น.
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [? ]
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
ถ้าจะพูดจริงๆ อยากจะพูดกลางๆ ว่าถ้าคนสร้างคิดอยากจะสร้างก็ควรศึกษาข้อมูลในตัวประเด็นนั้นๆ ในศาสนาให้ดีเสียก่อนนะคะ
แต่ส่วนตัวชอบหนังเรื่อง 15 ค่ำเดือน 11 มาก นึกถึงเรื่องนี้ ที่เอาประเด็นความเชื่อความศรัทธามาเล่น ถึงจะน้อยกว่าประเด็นเรื่องศาสนาอยู่บ้าง แต่คนสร้างก็หาทางลงให้เรื่องนี้ได้ดีเลยค่ะ