“ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศอังกฤษ' ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา
มิได้อยู่ที่การเลือกตั้ง มิได้อยู่ที่พรรคการเมือง และมิได้อยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐสภา แต่อยู่ที่น้ำใจของคนอังกฤษในการรู้แพ้รู้ชนะ อยู่ที่การหวงแหนและรักษาสิทธิ์ต่าง ๆ ของตน ขณะเดียวกันก็ช่วยเป็นกำลังรักษาสิทธิ์ต่าง ๆ ของผู้อื่นให้เสมอกัน และเมื่อได้กำหนดสิ่งใดลงไปเป็นระเบียบแบบแผนแล้ว ก็จะถือตามระเบียบแบบแผนนั้นโดยเคร่งครัด ไม่มีใครออกนอกระเบียบหรือพยายามเลี่ยงบาลีด้วยประการต่าง ๆ นอกจากนั้นความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษยังขึ้นอยู่กับความพอใจของคนอังกฤษทุกคนในข้อที่ว่าระบอบการปกครองของเขานั้น เป็นระบอบที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับคนอังกฤษแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่มีความเห็นเช่นนี้ คนเหล่านั้นก็มีจำนวนน้อยจนไม่ต้องนำพา เมื่อประชาชนทั้งประเทศพอใจในระบอบการปกครองของตนเช่นนี้แล้ว การปกครองระบอบแข่งขันเล่นการเมืองของอังกฤษก็คงจะดำรงอยู่ต่อไปอีกชั่วกาลนาน สังคมอังกฤษก็ยังคงเป็นสังคมอังกฤษต่อไป ที่จะให้เปลี่ยนไปเป็นสังคมโซเชียลลิสต์หรือสังคมอื่น ๆ นั้นเห็นจะยาก” (จากหนังสือ “โลกส่วนตัวของข้าพเจ้า”) |
| แล้วประชาธิปไตยแบบไทย...... เป็นอย่างไรครับ ? ข้าพเจ้ายังหาคำตอบไม่ได้............... คนไทยเห่อสิทธิเสรีภาพส่วนตัว แต่ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของคนอื่น โดยเฉพสาะกับคนที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับตน แค่เชียร์ฟุตบอลคนละทีม ก็ตีกันเสียแล้ว พอเชียร์การเมืองต่างฝ่ายกัน ก็เลยมองฝ่ายตรงข้ามแบบปฏิปักษ์ ทั้งๆ ที่ทุกคนเป็นพลเมืองไทย มีผลประโยชน์องค์รวมร่วมกัน ถ้าทะเลาะเบาะแว้ง ตีกัน ชาติบ้านเมืองเสียหายก็เสียหายด้วยกันทั้งหมด ส่วนที่ว่าเห่อสิทธิเสรีภาพนั้น ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยเขียนเป็นกลอนไว้ว่า ๐ อันการใช้เสรีมีจังหวะ ขืนใช้ดะเพรื่อนักมักสะดุด คนทุกคนพลาดได้ใช่ปาปมุต เพื่อความยุติธรรมจำระมัด | ระวังการพูดจาอย่าปล่อยหมด ควรออมอดอย่าให้เด่นเห็นถนัด เตือนเบาเบาไม่ต้องขู่ก็รู้ชัด ไม่ต้องขัดใจเขม่นเป็นอมิตร์ ทำอย่างนี้แม้ประสบได้พบพักตร์ ก็ยังทักคบกันได้ไม่หมางจิต การใช้คารมแรงเที่ยวแผลงฤทธิ์ คนใช้สิทธิ์เปื่อยไปไม่ดีนัก เมื่อมีสิทธิ์สงวนสิทธิ์คิดให้ถูก จำต้องปลูกฝังสิทธิ์ไม่ผิดหลัก ต้องรับชอบรับผิดคิดพิทักษ์ ต้องผ่อนหนักผ่อนเบาเร้าให้คิด คนมีใจจึงสำเหนียกเรียกมนุษย์ ไม่มีหยุดอยู่ได้การใช้จิต เพียงแต่แนะให้เห็นเป็นนิมิต ก็จะคิดออกได้ไม่ยากนัก | ผมไม่กลัวหรอกเรื่องตะรางคุก อาจจะสุขกว่าข้างนอกบอกประจักษ์ แต่คนเราเคยเป็นมิตรสนิทรัก จะโหมหักกันไม่ลงบอกตรงเอย ๐ (ตอบปัญหาประจำวัน 24 มีนาคม 2498)
รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับมีบทบัญญัติรักษาสิทธิเสรีภาพของพลเมือง แต่ก็มีขอบเขตตามที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นแล้ว การใช้สิทธิ์นั้น ๆ ก็มีขอบเขตที่มิได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย นั่นคือต้องเป็นการใช้สิทธิ์ที่ถูกต้องทำนองคลองธรรม ถูกศีลธรรม และควรจะมีความพอดีคือแม้จะมีสิทธิ์ แต่ก็ควรรู้จักสงวนสิทธิ์ไม่ใช้จนพร่ำเพรื่อ หรือก่อปัญหาให้สังคมจนเกินเลย อีกประเด็นหนึ่งที่นมอ้างกันมากคือเรื่องคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งนั้นให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้ง แต่ตามความจริงคะแนนเสียงเวลาเลือกตั้งก็มิใช่ประชาชนทั้งหมดประเทศ แต่เป็นการตัดสินโดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งหมายความถึงคนที่มีคุณสมบัติครบตามที่กฏหมายเลือกตั้งได้กำหนดไว้เท่านั้นเอง และคนเหล่านี้ไม่ใช่คนทั้งประเทศ นอกจากนั้นแล้วผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งนั้นเอง ก็มิใช่ว่าจะมาใช้สิทธิ์นั้นร้อยทั้งร้อยเสมอไป จะมาใช้สิทธิ์นั้นมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุการณ์หรืออารมณ์ ตลอดจนดินฟ้าอากาศในวันเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้ง ก็มาจาก “ระบบคิด” ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ระบบคิดของพลเมืองไทยส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับระบอบอุปถัมป์พึ่งพา ราชการยุคโบราณตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาลงมา “ราชการ” เป็นสิ่งที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ครอบคลุมสังคมทั้งหมด โดยไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ “ทั้งนี้ย่อมบังเกิดผลสำคัญ คือทำให้ใจคนในสังคมนั้นอยู่กับราชการแต่อย่างเดียว เมื่อคิดจะหาดี ก็หาดีในราชการนั้น เมื่อมีความทุกข์ร้อนหรือเกิดปัญหาอย่างใด สิ่งแรกที่คิดคือจะให้ทางราชการเข้ามาช่วยเหลือตน ไม่คิดที่จะช่วยตนเอง หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยตนเองหรือด้วยปัจจัยอื่น ๆ ที่มิใช่ของทางราชการ สภาพจิตใจเช่นนี้เป็นสภาพจิตใจของสังคมสมัยอยุธยา เป็นผลจากระบอบสังคมอยุธยา แต่ถ้าหากว่าจะพิจารณาดูสังคมไทยในปัจจุบันให้ดีๆ แล้ว บางทีก็อาจจะเห็นได้ว่า ความเป็นไปในสังคมและสภาพจิตใจแห่งสังคมไทยในปัจจุบันนั้น ก็ยังมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยอยุธยามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ว่า ราชการไทยในปัจจุบันนั้นยังครอบคลุมสังคม และยังมีอำนาจเหนือสังคมอย่างหนักแน่น ไม่น้อยไปกว่าสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่าไรนัก” ( “คึกฤทธิ์ ปราโมช”) ในเมื่อพลเมืองผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งยังติดกับดักระบอบอุปถัมป์อยู่ ทำให้ข้าพเจ้ามองสังคมไทยในองค์รวมทุกวันนี้ว่า แม้คนไทยส่วนหนึ่งในสังคมมีโลกทรรศน์และชีวทรรศน์ทันสมัยหรือล้ำสมัย (ความทันสมัยหรือล้ำสมัยไม่เกี่ยวกับความดีความเลว ที่มีมาตรฐานต่าง ๆ กันในแต่ละยุคสมัย) คนที่มีการศึกษาตามแบบสมัยใหม่ อาจมีทรรศนะประชาธิปไตย(ซึ่งก็เก่าประมาณสามร้อยปีแล้ว) อาจมีทรรศนะโพสต์โมเดิร์นที่อยากจะทะลายสถาบันเก่าๆ เสียให้หมดสิ้น (โดยที่ยังไม่รู้ด้วยว่าเอาอะไรมาแทน) แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังมีสภาพจิตใจเหมือนยุคกรุงศรีอยุธยา คือยังหวังพึ่งราชการ ราชการยังเป็นใหญ่ ไม่ว่าใครจะมีอุดมการณ์สูงส่งเพียงไรก็ตาม ก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของสังคมไทยเสียก่อน ก่อนที่จะเอาทฤษฎีหรืออุดมการณ์จากสังคมอื่นมาสวม ยัดเยียดให้กับสังคมไทย ราษฎรไทยยังโบราณอยู่เหมือนสมัยอยุธยานะครับ .............
ที่มา นสพ สยามรัฐ
Create Date : 08 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2555 4:09:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2380 Pageviews. |
|
|