พรวิเศษ..ที่ไร้ค่า..
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า..
มีชายคนหนึ่งแต่งกายคล้ายนักบวช เที่ยวเดินบอกใครต่อใครว่า..
เขาเป็นผู้วิเศษ สามารถบันดาลพรอันศักดิ์สิทธิ์ กับใครก็ได้.. ที่จะขอพรนั้น..
โดยมีข้อแม้เพียงสองข้อ คือหนึ่ง พรนั้นจะต้องไม่ขอให้ตนเอง..
และสอง พรนั้นจะต้องขอให้กับคนที่คนขอไม่เคยรู้จักมาก่อน..
เดิมชาวบ้านที่เดินอยู่แถวนั้น เมื่อได้ยินในเบื้องแรกว่า มีผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์
จะมาให้พรที่แสนมหัศจรรย์ ก็มารายล้อมชายผู้นั้นกันเนืองแน่น..
หวังจะได้รับพรอันวิเศษก่อนใครๆ.. ส่วนคนที่มาทีหลังก็ชะเง้อชะแง้ เบียดเสียดหาที่ว่าง
ให้ตนมีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แม้ได้ยินแค่เสียงของชายแปลกหน้าก็ยังดี..
แต่เมื่อฝูงชนผู้กระหายหิวในพรศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินข้อแม้ ที่ชายผู้นั้นกล่าว
ก็แทบจะเดินหันหลังกลับไปในทันที.. บ้างก็ตะโกนต่อว่าชายแปลกหน้าอย่างไม่เกรงใจ..
" คนลวงโลก " " พวกสิบแปดมงกุฎ " หรือไม่ก็ " ไอ้หมอนี่มันบ้าแน่ๆ " " เสียเวลาแท้ๆ "
หลายคนแสดงอาการหยาบคาย ถุยน้ำลายลงพื้นดินเป็นการเหยียดหยามคนแปลกหน้า..
แต่ชายที่แต่งกายคล้ายนักบวช แม้จะได้รับคำสบถด่าทอ
แต่ก็ไม่ได้เสียอาการสำรวมแต่อย่างได..
กลับยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ก่อนเอ่ยวาจาว่า " หยุดก่อนเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย.. "
" หากข้าพเจ้ารับรองแข็งขันว่า คำกล่าวของข้าพเจ้า มีผลจริง เป็นไปได้จริง หาใช่เรื่องมุสาไม่ "
" จะยังมีใครอยากจะรับพรอันวิเศษของข้าพเจ้าอีกหรือไม่ ? "
" จะมีประโยขน์อันใดเล่า หากพรอันเลิศของท่านหาได้ยังประโยขน์แก่ตัวพวกข้าพเจ้าไม่.."
หนึ่งในประชาชนที่มามุงดู ตะโกนตอบกลับ..
" หากผลแห่งพรของข้าพเจ้า บังเกิดผลแก่ท่านทั้งหลาย ท่านก็คงจะเต็มใจ ที่จะยืนมุง
เฝ้ารอท่ามกลางแดดอันเร่าร้อน แม้จะทนหิวกระหายน้ำดื่มจนคอเหือดแห้ง แม้จะต้องทนลำบาก
จนเกิดทุกขเวทนาแก่ร่างกาย เหลือบไรริ้นขบกัด ก็จักต้องทนเพื่อผลแห่งพรอันหอมหวาน
จงจักปรากฏแก่ตนเป็นแน่แท้.."
ชายแปลกหน้ากล่าวต่อ " ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผลประโยชน์อันใด เลิศแค่ไหน รสเยี่ยมเพียงใด
ประเสริฐเพียงใด หากแม้นมันเป็นของผู้อื่นแล้ว ไม่ใช่ของตนแล้ว ไม่ยังประโยชน์แก่ตนแล้ว
สิ่งนั้นย่อมไร้ค่าไร้ความหมายกับตน.. "
" ดุจโคผู้ขยัน ทำงานเก่งมีพละกำลังมหาศาล ทำงานให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างทะมัดทะแมง
เลี้ยงง่าย เชื่องประดุจลูกในใส้ ทวีความมั่งคั่งร่ำรวย ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของเพียงไหน..
หากไม่ใช่ของเรา เป็นของเรา ก็หาได้มีความยินดีในสิ่งเหล่านั้นไม่.."
" นั่นเป็นเพราะมันก็เป็นแค่ของผู้อื่น สมบัติผู้อื่น ไม่ยินดีในความเจริญของผู้อื่น มีใจฝักใฝ่
แต่ในเรื่องของตน ลาภพรของตนเท่านั้น หากเป็นของคนอื่น หากไม่รู้จักกันด้วยแล้ว
ก็กลายเป็นเรื่องไม่พึงแสวงหา ไม่แจกจ่าย แม้ของเหล่านั้นจะได้มาโดยง่าย
ไม่ต้องเพียรพยายามแค่แบมือร้องขอ ก็ได้มาสมใจ..
แต่หากจะไปเรียกร้องเพื่อผู้อื่นให้ได้ดีกว่าตนนั้น กลับทำไม่เป็น
หาใช่ธุระของตนไม่.. "
" พรอันประเสริฐของข้าพเจ้า คงต้องเก็บเอาไว้อีกนาน เพราะเป็นพรที่ไม่มีใครเต็มใจจะขอ..
จนกว่าจะมีผู้ที่มีใจเสียสละ
ไม่เห็นแก่ตน ไม่เพ่งมองเพียงประโยชน์ของตน มีใจแจกจ่าย ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
แม้เขาจะเป็นคนที่เราไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักโคตรสกุล
ยินดีปล่อยของที่มีค่าที่ตนไม่มีสิทธิ์ใช้ ไปให้แก่ผู้ที่อาจยังประโยชน์แก่ตนเองได้
เพื่อความสุขความเจริญของเขาทั้งหลาย แม้เราไม่ได้ลิ้มรสอันหอมหวานของพรนั้น
แต่ผู้ที่คิดเช่นนี้ ย่อมได้รับความหอมหวานแก่ใจตน ได้ชิมรสแห่ง มุทิตาธรรม อันเป็นรสอันเยี่ยม
ผ่องถ่ายความเห็นแก่ตัวเหนี่ยวแน่น กลายเป็นู้รับรสธรรมอันประเสิรฐ ยิ่งกว่าพรวิเศษใดๆ.."
กล่าวเสร็จแล้วชายแปลกหน้าผู้นั้นก็เดินแหวกฝูงชนจากไปโดยอาการสงบ..