เมื่อตอนที่เป็นเด็กนักเรียน เห็นเพื่อนที่ท่องตำราหรือบทเรียนหน้าห้องได้เก่ง ก็ยังนึกนิยมชมชอบว่า เขาคนนั้นช่างเป็นคนความจำดีจริงหนอ..ทำยังไงเราจึงจะเป้นแบบเขาได้บ้างนะ..คนที่จำอะไรๆได้มากๆช่างเป็นเหมือน พรสวรรค์ ที่ได้มาเกินคนทั่วๆไป..
พอมาถึงในสมัยที่ต้องเริ่มชีวิตการทำงาน การเป็นคนจำเก่งจำแม่น ก็กลายเป็น เครื่องมือ ในการประกอบอาชีพได้อย่างดี เพราะคนที่ จำเก่งเหมือนกับคนที่มี ลิ้นชักส่วนตัว ที่สามารถจะเปิดเอาของที่อยากจะได้ออกมาใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมาเสียเวลาค้นหาให้ยุ่งยาก ใช้เวลาในการหาข้อมูลน้อยกว่าคนอื่นๆ นี่คือประโยนช์ของความจำ
แต่ชีวิตจริง เราต้องมีความทรงจำที่ดี และ ไม่ดี ปะปนผสมผสานกันอยู่ ไม่มีใครที่จะมีความทรงจำที่ดี หรือ ไม่ดีเพียงอย่างเดียวกระมัง..หากใครมีความทรงจำที่หอมหวาน มีความรู้สึกดีๆกับภาพในอดีต ก็ย่อมมีความสุขที่จะไปขุดค้น ความสุขออกมาหล่อเลี้ยงหัวใจได้เสมอๆแน่ๆ แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความทรงจำในอดีตที่แสนเลวร้าย ก็แทบอยากจะหา ยาลบความทรงจำ มากินทุกๆวันเพื่อให้ลืม ความขมขื่น ที่มันฝังจิตฝังใจมาแสนนานให้หลุดหายไปไม่ต้องย้อนกลับมาหลอกหลอนอีก..
ในทาง ธรรมะ ความทรงจำหรือความจำ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว มีความเป็น เอกลักษณ์ ของมันก็คือ ความไม่เที่ยง ความเดินหน้าสู่ความดับ และความไม่มีตัวตนของมัน เป็นเหมือน เมฆหมอก ที่รวมตัวกันชั่วคราวแล้วก้ต้องสลายไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน หากใครเข้าไปหลงยึดว่ามันเป้น ตัวเป้นตน ก็คงต้องโดน ความทรงจำ ปั่นหัวเล่นให้ดีใจเสียใจ ทุกข์หรือสุข ไปกับมันไม่รู้จบแน่ๆ..
แม้จะเป็นความทรงจำที่แสนดีเพียงไหน มันก็เป็นได้แค่ มายาลวงตา เท่านั้น ไม่สามารถเอามาเป็นที่พึ่งให้แก่ชีวิตเราได้ ไม่ต้องพูดถึงแม้ความทรงจำที่แสนทรมาน อีกนับไม่ถ้วนก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับความทรงจำอันหอมหวานไม่ผิดเพี้ยนกันเลย..
แม้ว่าในทางโลก การใช้ชีวิตประจำวันเราจำเป็นจะต้องใช้ความทรงจำในการดำรงชีวิต เพื่อการสื่อสาร เพื่อผลประโยชน์ใดๆก็จริงอยู่ แต่หากเราไม่เข้าใจว่ามันเป็นแค่ ธรรมชาติหนึ่ง ที่เกิดขึ้นมาแล้วต้องดับไป หากมัวมาจะให้มันทรงอยู่อย่างนี้อย่างนั้น หรือขับไล่มันไปไกลๆ ดังที่ใจเราต้องการคงเป็นไปไม่ได้ และหากไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เราก็อาจโดน ความทรงจำ ทำร้าย ได้ แม้ว่ามันจะเคยทำให้เรามีความสุขมาแล้วก็ตาม..