Group Blog All Blog
|
ข่าวร้ายที่รอคอย ตอน ร้องไห้บนแจกัน..6 ยิ่งแข่งยิ่งแพ้ " ฉันผิดเองค่ะ.. ที่คิดพาตัวเขากลับไปเคเอส.." คาร่า กล่าวอย่างสำนึกผิด " ฉันคิดว่า หากมาร์ค ได้ทำในสิ่งที่ท้าทายมากๆ จะทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมัน.. และมันอาจจะทำให้ความเหินห่างของเรามันเจือจางออกไป.. แต่ฉันคิดผิดจริงๆ และคุณพ่อของคาร่า ก็เสียใจที่เรื่องราวมันกลายเป็นอย่างในตอนนี้.." สาวสวยกล่าวอย่างช้าๆ ในขณะที่ รตา ก็นั่งฟังด้วยอาการสงบนิ่ง " ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อขอโทษคุณ.. ที่เคยทำเรื่องไม่มดีกับคุณเอาไว้.. และฉันอยากขอร้องให้คุณไปพบกับ มาร์ค ที่เกาหลีสักครั้ง.." รตา หันหน้าไปมองตาผู้พูด พร้อมถอนหายใจยาว " จะมีประโยชน์อะไรคะคุณคาร่า พี่มานพอาจจะไม่อยากเจอใครในตอนนี้ก็ได้.. แม้แต่ดิฉันเอง " รตา กล่าวตัดพ้อ " ส่วนเรื่องที่ผ่านมา.. ฉันทำใจลืมมันไปหมดแล้วหล่ะค่ะ " รตา กล่าวต่อ " ก็เพราะคุณรตา อาจจะเป็นคนๆเดียวที่จะทำให้ มาร์ค กลับมามีกำลังใจเหมือนเดิมไงคะ.. คาร่า เห็นสภาพของเขาตอนนี้แล้ว รู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน.." คาร่า พูดเสียงสั่น " คาร่ายอมรับนะคะ ว่าเคยแอบอิจฉาเวลาที่คุณอยู่กับมาร์ค เพราะคาร่าเห็นสายตาที่เขามองคุณ มันไม่เหมือนที่เขาเคยมองคาร่าเลย ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน.." คาร่า ก้มหน้าพูด " แต่ตอนนี้คาร่ารู้แล้วค่ะ ว่าอะไรเป็นอะไร.. คุณรตาโชคดีมากนะคะ ที่ได้กุมหัวใจของมาร์คเอาไว้.. คาร่า พยายามเอาชนะใจเขามาตลอด แต่มันเหมือนการตบมืออยู่ข้างเดียว.. รักษาเขาเอาไว้ดีๆนะคะ.." คาร่า กล่าวแสดงความยินดี พร้อมเอื้อมมือไปสัมผัสมือของคู่สนทนาเบาๆ " คาร่ายอมแพ้แล้วค่ะ ยอมแพ้เกมส์หัวใจที่ไม่มีวันขนะ.. ยิ่งแข่งก็ยิ่งแพ้ " " อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะคุณคาร่า ตาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า พี่มานพ คิดอย่างไรกับตา.. บางทีเกมส์นี้ อาจจะไม่มีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะก็ได้นะคะ.." รตา กล่าวตอบ.. อยากกลับบ้าน.. ภายในห้องสีขาวสะอาด ร่างของชายหนุ่มซูบผอมนอนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ดวงตาของเขามองทอดยาวออกไปอย่างไร้จุดหมาย.. อุณภูมิในห้องที่อบอุ่นพอประมาณ แต่ในหัวใจของชายหนุ่มมันช่างหนาวเหน็บเย็นเยียบ.. ไม่ได้แตกต่างจากสภาพอากาศภายนอกอาคารที่แสดงตัวเลขต่ำกว่าศูนย์องศาเท่าใดนัก.. " ขอเข้าไปหน่อยนะครับ.. " เสียง คุณหมอหนุ่มพูดขึ้นพร้อมเปิดประตูช้าๆ.. " ผมกินยาแล้วครับหมอ.. " มานพ ตอบกลับโดยไม่หันไปมองผู้พูด " ผมไม่ได้เอายามาเพิ่มหรอกครับ แต่ผมพาคนมาเยี่ยมหน่ะครับ.. " หมอหนุ่มกล่าวยิ้มๆ มานพหันกายมาช้าๆ ภาพตรงหน้าเขาคือ รตา เพื่อนสาวคนสนิทของเขานั่นเอง " ตา.. ตามาได้ยังไง..? " ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามจบ รตา ก็ปรี่เข้าโผกอดชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว " พี่นพ.. ตามาเยี่ยมพี่นพค่ะ.." หญิงสาวพูดพร้อมซบหน้าลงบนบ่าของมานพ ทั้งคู่กอดกันแน่นยาวนาน มานพพยายามทรงตัวในท่านั่งอยู่บนเตียงคนไข้ เขาคลายมือทั้งสองข้างไปจับที่หัวไหล่ของรตา ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขามีรอยยิ้มจางๆขึ้นมาฉาบทาบ้าง รตา เอานิ้วมือปาดน้ำตาของเธออกไป เพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้แววตาของเขามีน้ำหล่อเลี้ยงไปมา " พี่นพผอมไปมากเลยนะคะ.." รตา กล่าวถามชายหนุ่มก่อน พร้อมเอามือเรียวบางไปลูบสัมผัสใบหน้าชายหนุ่มเบาๆ " พี่โอเค พี่ไม่เป็นไรมากหรอกตา.. " ชายหนุ่มพูดให้รตาเห็นว่าเขายังปรกติดี แต่รตาก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกเธอเลย.. " คุณคาร่า ขอร้องให้ตามาพบพี่ที่นี่ ตาไม่คิดเลยว่าจะมาเห็นพี่นพเป็นแบบนี้.." รตา กล่าวน้ำตาซึม " คาร่า บอกตาเหรอ..? " ชายหนุ่มถามกลับ รตา พยักหน้าตอบช้าๆ " คุณหมอบอกคุณคาร่าว่า พี่นพต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจ และหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้พี่นพจะแย่ลงเรื่อยๆ.." " พี่อยากกลับบ้านตา.. แต่งานของพี่ยังไม่เสร็จ.. " ชายหนุ่มพูด " เรื่องงานเอาไว้ก่อนนะคะ พี่นพต้องเอาชีวิตของพีนพกลับมาก่อน.. " รตา ตอบกลับ " ตา จะพาพี่นพกลับไปพักที่เมืองไทยก่อน เมืองไทยอากาศไม่หนาวเย็นขนาดนี้.. " " แล้วเคเอสจะยอมเหรอ..? งานที่เขาให้พี่ทำก็ยังเดินหน้าไปไม่ถึงครึ่ง.. " ชายหนุ่มกล่าวต่อ " ตาคุยกับคุณคาร่าแล้วคะ ทางเคเอสยินดีพักโปรเจคนี้ไว้ชั่วคราวก่อน.. " รตา กล่าวพยายามยื้มให้ชายหนุ่ม " ก็ดีเหมือนกัน พี่อยากจะกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมที่เราไปทานกันครั้งก่อน.. " มานพ พูดพร้อมยิ้มตอบ " ค่ะ แต่คราวนี้ ตาขอเป็นเจ้ามือเองนะคะ ห้ามแย่งเด็ดขาด.. " รตา กล่าวบ้าง รตา และ มานพ ต่างยิ้มยินดีแม้ว่าร่างกายของเขามันจะยังไม่อยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิมก็ตาม.. เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของคาร่า ที่เฝ้าแอบดูอยู่ข้างนอก เธอหันหลังพิงผนังหน้าห้องผู้ป่วย น้ำตาของเธอหยดไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว.. ทั้งอารมณ์ดีใจปนเสียใจ โล่งอกและคับข้อง ต่างก็เกิดขึ้นพร้อมๆกันมันบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่เธอรู้สึกจริงๆตอนนี้ก็คือ เธอได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว.. จะไปทางไหนดี..? " มาเยี่ยม พระมานพ หรือโยม..? " พระภิกษุเจ้าอาวาสสูงวัยกล่าวถาม " เจ้าค่ะ หลวงตา นี่ไม่ทราบว่าท่านกลับมาจากเดินบิณฑบาตรหรือยังคะ..? " ราณี กล่าวถาม " น่าจะใกล้กลับมาแล้วหล่ะโยม.. สายที่พระเดินไปถนนมันไม่ค่อยดี คงเดินช้าหน่อย.. " หลวงตาตาลกล่าวตอบ รตา ชะเง้อมองออกไปที่หน้ากุฏิของหลวงตา เธอเห็นทางเดินในวัดที่เป็นพื้นดินแดง หินกรวดเม็ดเล็กๆน้อยใหญ่ทอดตัวอยู่เรียงราย เห็นเป็นแนวทางเดินเล็กๆ บรรยากาศที่สงบเย็นของวัดป่าเล็กๆแห่งนี้ ทำให้ใจของเธอร่มรื่นยิ่งนัก สายลมพัดโชยอ่อนๆล่องลอยมากระทบผิวกายเบาๆ พาให้กลิ่นดอกไม้ข้างๆกุฏิส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วบริเวณ.. " โน้นไง พระทะยอยกลับมาแล้ว.. " ราณี บอกลูกสาวของเธอ รตา หันไปตามเสียงที่บอก แถวขบวนของพระภิกษุย่างก้าวเดินด้วยอาการสำรวมทอดสายตาลงต่ำ อุ้มบาตรเดินเข้ามาในบริเวณศาลาวัดที่สร้างจากไม้เก่าๆ พระทุกรูปเมื่อวางบาตรเอาไว้แล้วก็เดินเข้าไปกราบพระประธานในศาลาสามครั้ง หลังจากฉันเช้าเสร็จ.. พระหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าสงบราบเรียบ ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็น รตาและแม่ของเธอเดินเข้ามาหา หญิงทั้งสองก้มลงกราบที่เบื้องหน้าพระมานพ " นมัสการเจ้าค่ะ " รตา กล่าวทักทาย " เจริญพรโยมตา โยมแม่ มากันตั้งแต่เช้าเชียว..มีธุระอะไรหรือเปล่า..?" พระมานพเอ่ยถาม " ไม่มีหรอกค่ะ ตาแค่ชวนคุณแม่มาทำบุญ และอยากมาดูว่าหลวงพี่สบายดีหรือเปล่า " รตาตอบ " อาตมาเป็นพระมาหกเดือนแล้วนะ ปรับตัวได้มากแล้ว ปัญหาทางกายก็มีเรื่อยๆ แต่ทางใจเบาบางไปมากแล้วหล่ะ " พระหนุ่มตอบ รตา ได้ฟังก็ยิ้มยินดี " ถ้าโยมแม่ ไม่แนะนำวัดนี้ให้ อาตมาก็คงยังหาที่ไปไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี " พระหนุ่มพูดต่อ " วัดนี้สงบเงียบดี เสียแต่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากนัก ไฟฟ้าก็ไม่มีแต่วัตรของพระที่นี่เรียบง่ายมากค่ะ " ราณี ตอบบ้าง " ไม่มีไฟฟ้าก็ดีครับ ตัดปัญหาหลายอย่างไปได้เยอะทีเดียว กินก็กินมื้อเดียว หมดกังวลเรื่องกินไปได้เลย " พระมานพยิ้มน้อยๆ " แล้วสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างคะ ยังต้องไปหาหมออยู่หรือเปล่าคะ..? " รตาถาม " เรื่องเลือด หมอก็ให้ไปตรวจทุกสามเดือน แค่ต้องการดูความสมบูรณ์ของเลือดเท่านนั้นอย่างอื่นยังไม่มีอะไร " " หลวงพี่ดูซูบไปนะคะ แต่ดูเหมือนมีความสุขดี " รตา สังเกต " ใจสงบขึ้น ไม่ค่อยฟุ้งเหมือนตอนแรกๆ พระอาจารย์ตาล ท่านแนะนำวิธีทำจิตใจให้สงบฟุ้งน้อยๆ " " ตั้งแต่บวชมาก็เริ่มเข้าใจอะไรๆขึ้นมาพอสมควรบ้างแล้ว ว่าจุดหมายและความหมายของชีวิตคืออะไร " พระหนุ่มพูดต่อ " ตา อยากรบกวนหลวงพี่กรุณาเล่าให้ฟังได้บ้างได้ไหมคะ..? " รตา เอ่ยถาม " อ๋อ ได้สิแต่เป็นแบบที่อาตมาเข้าใจนะ.. " พระหนุ่มตอบ ชีวิตนี้นี้คืออะไร.. " เรื่องแรก ความหมายของคำว่าชีวิต.. หลายคนอาจจะนิยามคำนี้ได้หลายอย่าง แต่ในความเห็นของอาตมา ชีวิตก็คือ การดำรงอยู่เพื่อแก้ปัญหา.. และปัญหาของชีวิตบางเรื่องไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยปัญญาจากการรำ่เรียนหรือความฉลาดทางโลก แต่ต้องใช้ความ ฉลาดทางธรรม เข้าไปแก้ไข.. " " ความฉลาดทางธรรม.. คืออะไรคะ..? " รตา สงสัย " ความฉลาดทางธรรม ไม่ใช่การแม่นยำในการท่องบ่นอัถคาถาพระคำภีร์หรือเชี่ยวชาญพระไตรปิฏก แต่คือ ความเข้าใจในสภาพของความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าเป็นเช่นไร.. เช่น เข้าใจถ่องแท้ว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดมาแล้วก็ต้องแปรเปลี่ยนไป ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ และไม่สามารถเข้าไปบังคับบัญชาได้ แม้แต่จิตใจของเราเอง.." " หรือ เข้าใจว่าของทุกสิ่งในธรรมชาติเดิมล้วน ไม่มีอะไรที่เป็นของเดิมแท้ๆ มีแต่สิ่งที่เข้ามาผสม เข้ามาประกอบกันชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดเวลาสุดท้ายก็แยกย้ายแตกดับสลายไป.." " เหมือน สเตฟานี่ เมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่เราเรียกเธอว่ามนุษย์ แต่เมื่อเธอตายไปเธอก็กลายเป็นอย่างอื่น คำว่ามนุษย์ ก็หมดไป.." รตา นั่งฟังนิ่งและคิดตาม.. " เมื่อยังต้องมีชีวิต ก็มีปัญหา มีปัญหาทุกวันทุกคืน ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก หลีกหนีไปไม่ได้เลย.. ฉะนั้นแค่ความรู้ความฉลาดทางโลกที่เราร่ำเรียนมาไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาทุกสิ่งได้.." " แล้ว จุดมุ่งหมายของชีวิตหล่ะคะ คืออะไร..? " รตาถามต่อ " จุดมุ่งหมายของชีวิตที่เราเข้าใจมาตลอด ว่าอาจจะเป็นความสุข ความมั่งคั่งร่ำรวย ความไม่ทุกข์ร้อน ใดๆ แต่จริงๆแล้ว จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตเราทุกคนคือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด.. คือ การไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ที่เราเรียกว่า นิพพาน นั่นเอง " " นิพพาน คือ จุดมุ่งหมายสูงสุดที่เราทุกคนต้องเดินไปให้ถึงในชีวิตนี้ให้ได้.. " พระหนุ่มกล่าวต่อไป " วันนี้ เราอาจจะมีทางหลายเส้นให้เลือกเดิน แต่สุดท้ายจะเรากลับต้องมาเดินทางเส้นนี้ให้ถึง " " รู้แล้วใช่ไหมว่า เราจะไปทางไหนดี.. " พระหนุ่มถามกลับ " เราเกิดมา เพื่อเดินไปสู่ความไม่ต้องกลับมาเกิด.. อย่างนั้นหรือคะ ?" รตา ถาม " แล้วใครทำให้เราเกิดมาคะ ใครเป็นคนกำหนด ใครเป็นผู้เลือกคะ..? " " พระอาจารย์สอนอาตมาว่า กรรมเป็นผู้กำหนด กรรมเป็นผู้เลือกและจัดสรรให้นะโยมตา " " กรรม เป็นผู้เลือกเรา เหมือนคำว่า ชีวิตต้องเป็นไปตามกรรมหรือคะ..? " รตาถามต่อ " ใช่ครับ แต่เราก็สามารถเอาชนะกรรมได้ด้วย ความจริงแท้สี่ประการ หรือ อริยสัจสี่ " " รู้สึกเข้าใจยากนะคะ " รตา ยิ้มน้อยๆ " ใช่เข้าใจยากสักหน่อย แต่ไม่เกินความพยายามนะ " " หลวงพี่ ลองยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆได้ใหมคะ.. " รตา ถามต่อ " ได้สิ โยมตา " พระหนุ่มรับคำ.. โลกนี้เปรียบเสมือนแจกัน.. " หากสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตเปรียบเสมือน ดอกไม้ ในสวนที่กว้างใหญ่ และ โลก ก็เปรียบเสมือน แจกันใบใหญ่ ส่วน กรรม ก็คือคนที่เลือกที่จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนมาปักเอาไว้ที่แจกัน ดอกไม้แต่ละดอกที่ถูกเด็ดมาวางไว้ในแจกัน เมื่อแรกๆก็เบ่งบานชูช่อความสวยงามกันไปตามสีสัน เผ่าพันธุ์ของตน แต่สุดท้ายเมื่อนานไปดอกไม้ก็แห้งเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา กรรมก็จัดสรรเอาดอกที่แห้งเหี่ยวออกไปแล้วเอาดอกใหม่ๆเข้ามาแทนที่ เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ และตราบใดที่ดอกไม้นั้นยังทิ้งเชื้อเมล็ดพันธุ์ของตนเอาไว้ ก็ยังต้องงอกเงยมาให้กรรมเด็ดดึงมาเสียบใส่แจกันใบเดิมอยู่เรื่อยไป วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น.. โดยที่ดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำอย่างไร ที่จะไม่ต้องถูกเด็ดกลับมาเสียบที่แจกันใบนี้อีก หากไม่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าเรื่อง นิพพาน.." " นิพพาน คือ การทำให้ ดอกไม้เหล่านั้นไม่ทิ้งเชื้อเหลือเมล็ดและเกสรเอาไว้ในสวนอีกต่อไป.. เลือกจะเป็นดอกไม้ดอกสุดท้าย ขอกลับมาที่แจกันใบเก่าเป็นครั้งสุดท้าย.." พระมานพ กล่าวจบ ร้องไห้บนแจกัน.. รตา นั่งพนมมือระหว่างหน้าอกตั้งใจฟังบทสนทนาของพระมานพอย่างตั้งใจ เธอพอมองเห็นภาพลางๆว่า โครงสร้างของชีวิต เป็นอย่างไร.. หากเลือกได้ เธอก็ไม่อยากเป็น ดอกไม้ที่วนเวียนกลับมาที่แจกันไม่ว่าจะเป็นแจกันเพชรพลอย แจกันทองคำ หรือแจกันดินเผาธรรมดา เพราะสุดท้ายเธอก้ต้องเหี่ยวเฉาตายคาแจกันเหมือนเดิม.. คิดแล้วน่าเศร้าใจนัก.. ดอกไม้แม้จะส่งกลิ่นหอม ชูช่อดอกงดงามสักเพียงใด จะเป็นดอกไม้ป่า หรือ ดอกไม้เมืองงามสักแค่ไหน.. สุดท้ายทุกดอกก็ไม่พ้นต้องมา ร้องไห้บนแจกัน อยู่ดี.. รตาและแม่ของเธอก้มกราบ พระมานพ ที่เมตตาแสดงธรรมให้เธอทั้งสองได้เรียนรู้ อย่างน้อยก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็น ดอกไม้ในแจกันเดียวกัน ในชาตินี้ ดอกไม้มีค่าเมื่อยังชูช่อ.. สิบกว่าปีมาแล้วสินะ ที่เรื่องราวเหล่านี้ยังส่งถ่ายทอดอยู่ในความทรงจำอยู่ไม่จางหายไป คิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ เธอก็อดคิดถึงวันคืนที่ผ่านมาไม่ได้.. แม้จะเข้าใจแล้วว่า อดีตหรืออนาคต ก็เป็นสิ่งที่จบไปแล้วและยังมาไม่ถึง ปัจจุบัน นั้นสำคัญที่สุด.. ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในอดีต ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดติดมันด้วยกันทั้งนั้น ส่วนอนาคต ก็สุดเหลือจะคาดเดาได้ เหมือนเรื่องของเธอกับ มานพ วิศวกรหนุ่ม ที่สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนไป.. ดอกไม้งามนั้นมีคุณค่าเมื่อมันยังเบ่งบาน มีคนชื่นชมดอมดมกลิ่นสีสันของมัน แต่เมื่อมันหมดสภาพ หมดความสวยสดงดงาม ก็กลับกลายเป็นผงดินกลับคืนสู่ธรรมชาติไป แม้ว่าวันนี้เทคโนโลยีจะทันสมัย กว่าช่วงที่ชีวิตเธอรุ่งโรจน์สูงสุด แต่เธอเรียนรู้แล้วว่า ความทุกข์ของคนเราหาได้ลดน้อยลงตามความเจริญก้าวหน้าของวัตถุนิยมไม่ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ยุคไหนสมัยใด ก็ยังต้องทุกข์ด้วยเหตุเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีเปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือ รูปแบบของสิ่งที่ล่อลวงให้เราหลงผิด มันจะมาในรูปแบบที่แยบยลเนียนตามากขึ้น จนเราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า เราจะต้องกลับไปเป็นดอกไม้ที่ร้องไห้ในแจกัน ต่อไปอีกนานแสนนานเท่าไหร่.. ชื่อของตัวละครและสถานที่เป้นสิ่งที่ผู้เขียนสมมุติขึ้นมาเพื่อความสมจริงเท่านั้น หากไปตรงกับท่านใดผู้เขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอขอบคุณเจ้าของรูปสวยๆทุกรูปด้วยครับ |
นายสมมุติ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?] Link |