มีนาคม 2561

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
ข่าวร้ายที่รอคอย ตอน ร้องไห้บนแจกัน..6





ยิ่งแข่งยิ่งแพ้

" ฉันผิดเองค่ะ.. ที่คิดพาตัวเขากลับไปเคเอส.." คาร่า กล่าวอย่างสำนึกผิด

" ฉันคิดว่า หากมาร์ค ได้ทำในสิ่งที่ท้าทายมากๆ จะทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมัน..

และมันอาจจะทำให้ความเหินห่างของเรามันเจือจางออกไป.. แต่ฉันคิดผิดจริงๆ

และคุณพ่อของคาร่า ก็เสียใจที่เรื่องราวมันกลายเป็นอย่างในตอนนี้.."

สาวสวยกล่าวอย่างช้าๆ ในขณะที่ รตา ก็นั่งฟังด้วยอาการสงบนิ่ง

" ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อขอโทษคุณ.. ที่เคยทำเรื่องไม่มดีกับคุณเอาไว้.. 

และฉันอยากขอร้องให้คุณไปพบกับ มาร์ค ที่เกาหลีสักครั้ง.."



รตา หันหน้าไปมองตาผู้พูด พร้อมถอนหายใจยาว

" จะมีประโยชน์อะไรคะคุณคาร่า พี่มานพอาจจะไม่อยากเจอใครในตอนนี้ก็ได้.. แม้แต่ดิฉันเอง "

รตา กล่าวตัดพ้อ " ส่วนเรื่องที่ผ่านมา.. ฉันทำใจลืมมันไปหมดแล้วหล่ะค่ะ " รตา กล่าวต่อ

" ก็เพราะคุณรตา อาจจะเป็นคนๆเดียวที่จะทำให้ มาร์ค กลับมามีกำลังใจเหมือนเดิมไงคะ..

 คาร่า เห็นสภาพของเขาตอนนี้แล้ว รู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน.." คาร่า พูดเสียงสั่น

" คาร่ายอมรับนะคะ ว่าเคยแอบอิจฉาเวลาที่คุณอยู่กับมาร์ค เพราะคาร่าเห็นสายตาที่เขามองคุณ

มันไม่เหมือนที่เขาเคยมองคาร่าเลย ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน.." คาร่า ก้มหน้าพูด

" แต่ตอนนี้คาร่ารู้แล้วค่ะ ว่าอะไรเป็นอะไร..  คุณรตาโชคดีมากนะคะ ที่ได้กุมหัวใจของมาร์คเอาไว้.. 

คาร่า พยายามเอาชนะใจเขามาตลอด แต่มันเหมือนการตบมืออยู่ข้างเดียว.. รักษาเขาเอาไว้ดีๆนะคะ..

คาร่า กล่าวแสดงความยินดี พร้อมเอื้อมมือไปสัมผัสมือของคู่สนทนาเบาๆ

" คาร่ายอมแพ้แล้วค่ะ ยอมแพ้เกมส์หัวใจที่ไม่มีวันขนะ.. ยิ่งแข่งก็ยิ่งแพ้ 

" อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะคุณคาร่า ตาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า พี่มานพ คิดอย่างไรกับตา..

บางทีเกมส์นี้ อาจจะไม่มีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะก็ได้นะคะ.." รตา กล่าวตอบ..



อยากกลับบ้าน..

ภายในห้องสีขาวสะอาด ร่างของชายหนุ่มซูบผอมนอนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง

ดวงตาของเขามองทอดยาวออกไปอย่างไร้จุดหมาย..  อุณภูมิในห้องที่อบอุ่นพอประมาณ

แต่ในหัวใจของชายหนุ่มมันช่างหนาวเหน็บเย็นเยียบ..

ไม่ได้แตกต่างจากสภาพอากาศภายนอกอาคารที่แสดงตัวเลขต่ำกว่าศูนย์องศาเท่าใดนัก..

" ขอเข้าไปหน่อยนะครับ.. " เสียง คุณหมอหนุ่มพูดขึ้นพร้อมเปิดประตูช้าๆ..

" ผมกินยาแล้วครับหมอ.. " มานพ ตอบกลับโดยไม่หันไปมองผู้พูด

" ผมไม่ได้เอายามาเพิ่มหรอกครับ แต่ผมพาคนมาเยี่ยมหน่ะครับ.. " หมอหนุ่มกล่าวยิ้มๆ

 มานพหันกายมาช้าๆ ภาพตรงหน้าเขาคือ รตา เพื่อนสาวคนสนิทของเขานั่นเอง

" ตา.. ตามาได้ยังไง..? " ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามจบ รตา ก็ปรี่เข้าโผกอดชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว

" พี่นพ.. ตามาเยี่ยมพี่นพค่ะ.." หญิงสาวพูดพร้อมซบหน้าลงบนบ่าของมานพ

ทั้งคู่กอดกันแน่นยาวนาน มานพพยายามทรงตัวในท่านั่งอยู่บนเตียงคนไข้  

เขาคลายมือทั้งสองข้างไปจับที่หัวไหล่ของรตา ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขามีรอยยิ้มจางๆขึ้นมาฉาบทาบ้าง

รตา เอานิ้วมือปาดน้ำตาของเธออกไป เพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้แววตาของเขามีน้ำหล่อเลี้ยงไปมา

" พี่นพผอมไปมากเลยนะคะ.." รตา กล่าวถามชายหนุ่มก่อน พร้อมเอามือเรียวบางไปลูบสัมผัสใบหน้าชายหนุ่มเบาๆ

" พี่โอเค พี่ไม่เป็นไรมากหรอกตา.. " ชายหนุ่มพูดให้รตาเห็นว่าเขายังปรกติดี แต่รตาก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกเธอเลย..

" คุณคาร่า ขอร้องให้ตามาพบพี่ที่นี่ ตาไม่คิดเลยว่าจะมาเห็นพี่นพเป็นแบบนี้.." รตา กล่าวน้ำตาซึม

" คาร่า บอกตาเหรอ..? " ชายหนุ่มถามกลับ รตา พยักหน้าตอบช้าๆ

" คุณหมอบอกคุณคาร่าว่า พี่นพต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจ และหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้พี่นพจะแย่ลงเรื่อยๆ.."

" พี่อยากกลับบ้านตา.. แต่งานของพี่ยังไม่เสร็จ.. " ชายหนุ่มพูด

" เรื่องงานเอาไว้ก่อนนะคะ พี่นพต้องเอาชีวิตของพีนพกลับมาก่อน.. " รตา ตอบกลับ

" ตา จะพาพี่นพกลับไปพักที่เมืองไทยก่อน เมืองไทยอากาศไม่หนาวเย็นขนาดนี้.. "

" แล้วเคเอสจะยอมเหรอ..? งานที่เขาให้พี่ทำก็ยังเดินหน้าไปไม่ถึงครึ่ง.. " ชายหนุ่มกล่าวต่อ

" ตาคุยกับคุณคาร่าแล้วคะ ทางเคเอสยินดีพักโปรเจคนี้ไว้ชั่วคราวก่อน.. " รตา กล่าวพยายามยื้มให้ชายหนุ่ม

" ก็ดีเหมือนกัน พี่อยากจะกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมที่เราไปทานกันครั้งก่อน.. " มานพ พูดพร้อมยิ้มตอบ

" ค่ะ แต่คราวนี้ ตาขอเป็นเจ้ามือเองนะคะ ห้ามแย่งเด็ดขาด.. " รตา กล่าวบ้าง

รตา และ มานพ ต่างยิ้มยินดีแม้ว่าร่างกายของเขามันจะยังไม่อยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิมก็ตาม..



เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของคาร่า ที่เฝ้าแอบดูอยู่ข้างนอก 

เธอหันหลังพิงผนังหน้าห้องผู้ป่วย น้ำตาของเธอหยดไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว..

ทั้งอารมณ์ดีใจปนเสียใจ โล่งอกและคับข้อง ต่างก็เกิดขึ้นพร้อมๆกันมันบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไรกันแน่

แต่ที่เธอรู้สึกจริงๆตอนนี้ก็คือ เธอได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว..



จะไปทางไหนดี..?


" มาเยี่ยม พระมานพ หรือโยม..? " พระภิกษุเจ้าอาวาสสูงวัยกล่าวถาม

" เจ้าค่ะ หลวงตา นี่ไม่ทราบว่าท่านกลับมาจากเดินบิณฑบาตรหรือยังคะ..? " ราณี กล่าวถาม

" น่าจะใกล้กลับมาแล้วหล่ะโยม.. สายที่พระเดินไปถนนมันไม่ค่อยดี คงเดินช้าหน่อย.. " หลวงตาตาลกล่าวตอบ

รตา ชะเง้อมองออกไปที่หน้ากุฏิของหลวงตา เธอเห็นทางเดินในวัดที่เป็นพื้นดินแดง 

หินกรวดเม็ดเล็กๆน้อยใหญ่ทอดตัวอยู่เรียงราย เห็นเป็นแนวทางเดินเล็กๆ

บรรยากาศที่สงบเย็นของวัดป่าเล็กๆแห่งนี้ ทำให้ใจของเธอร่มรื่นยิ่งนัก 

สายลมพัดโชยอ่อนๆล่องลอยมากระทบผิวกายเบาๆ พาให้กลิ่นดอกไม้ข้างๆกุฏิส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วบริเวณ..

" โน้นไง พระทะยอยกลับมาแล้ว.. " ราณี บอกลูกสาวของเธอ

รตา หันไปตามเสียงที่บอก แถวขบวนของพระภิกษุย่างก้าวเดินด้วยอาการสำรวมทอดสายตาลงต่ำ

อุ้มบาตรเดินเข้ามาในบริเวณศาลาวัดที่สร้างจากไม้เก่าๆ 

พระทุกรูปเมื่อวางบาตรเอาไว้แล้วก็เดินเข้าไปกราบพระประธานในศาลาสามครั้ง



หลังจากฉันเช้าเสร็จ..

พระหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าสงบราบเรียบ ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็น รตาและแม่ของเธอเดินเข้ามาหา

หญิงทั้งสองก้มลงกราบที่เบื้องหน้าพระมานพ " นมัสการเจ้าค่ะ " รตา กล่าวทักทาย

" เจริญพรโยมตา โยมแม่ มากันตั้งแต่เช้าเชียว..มีธุระอะไรหรือเปล่า..?" พระมานพเอ่ยถาม

" ไม่มีหรอกค่ะ ตาแค่ชวนคุณแม่มาทำบุญ และอยากมาดูว่าหลวงพี่สบายดีหรือเปล่า " รตาตอบ

" อาตมาเป็นพระมาหกเดือนแล้วนะ ปรับตัวได้มากแล้ว ปัญหาทางกายก็มีเรื่อยๆ แต่ทางใจเบาบางไปมากแล้วหล่ะ " พระหนุ่มตอบ

รตา ได้ฟังก็ยิ้มยินดี " ถ้าโยมแม่ ไม่แนะนำวัดนี้ให้ อาตมาก็คงยังหาที่ไปไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี " พระหนุ่มพูดต่อ

" วัดนี้สงบเงียบดี เสียแต่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากนัก ไฟฟ้าก็ไม่มีแต่วัตรของพระที่นี่เรียบง่ายมากค่ะ " ราณี ตอบบ้าง

" ไม่มีไฟฟ้าก็ดีครับ ตัดปัญหาหลายอย่างไปได้เยอะทีเดียว กินก็กินมื้อเดียว หมดกังวลเรื่องกินไปได้เลย " พระมานพยิ้มน้อยๆ

" แล้วสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างคะ ยังต้องไปหาหมออยู่หรือเปล่าคะ..? " รตาถาม

" เรื่องเลือด หมอก็ให้ไปตรวจทุกสามเดือน แค่ต้องการดูความสมบูรณ์ของเลือดเท่านนั้นอย่างอื่นยังไม่มีอะไร "

" หลวงพี่ดูซูบไปนะคะ แต่ดูเหมือนมีความสุขดี " รตา สังเกต

" ใจสงบขึ้น ไม่ค่อยฟุ้งเหมือนตอนแรกๆ พระอาจารย์ตาล ท่านแนะนำวิธีทำจิตใจให้สงบฟุ้งน้อยๆ "

" ตั้งแต่บวชมาก็เริ่มเข้าใจอะไรๆขึ้นมาพอสมควรบ้างแล้ว ว่าจุดหมายและความหมายของชีวิตคืออะไร " พระหนุ่มพูดต่อ

" ตา อยากรบกวนหลวงพี่กรุณาเล่าให้ฟังได้บ้างได้ไหมคะ..? "  รตา เอ่ยถาม

" อ๋อ ได้สิแต่เป็นแบบที่อาตมาเข้าใจนะ.. " พระหนุ่มตอบ


ชีวิตนี้นี้คืออะไร..


" เรื่องแรก ความหมายของคำว่าชีวิต..  หลายคนอาจจะนิยามคำนี้ได้หลายอย่าง

แต่ในความเห็นของอาตมา ชีวิตก็คือ การดำรงอยู่เพื่อแก้ปัญหา..

และปัญหาของชีวิตบางเรื่องไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยปัญญาจากการรำ่เรียนหรือความฉลาดทางโลก

แต่ต้องใช้ความ ฉลาดทางธรรม เข้าไปแก้ไข.. " 

" ความฉลาดทางธรรม.. คืออะไรคะ..? " รตา สงสัย

" ความฉลาดทางธรรม ไม่ใช่การแม่นยำในการท่องบ่นอัถคาถาพระคำภีร์หรือเชี่ยวชาญพระไตรปิฏก 

แต่คือ ความเข้าใจในสภาพของความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าเป็นเช่นไร..

เช่น เข้าใจถ่องแท้ว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดมาแล้วก็ต้องแปรเปลี่ยนไป ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้

และไม่สามารถเข้าไปบังคับบัญชาได้ แม้แต่จิตใจของเราเอง.."

" หรือ เข้าใจว่าของทุกสิ่งในธรรมชาติเดิมล้วน ไม่มีอะไรที่เป็นของเดิมแท้ๆ มีแต่สิ่งที่เข้ามาผสม

เข้ามาประกอบกันชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดเวลาสุดท้ายก็แยกย้ายแตกดับสลายไป.."

" เหมือน สเตฟานี่ เมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่เราเรียกเธอว่ามนุษย์ แต่เมื่อเธอตายไปเธอก็กลายเป็นอย่างอื่น คำว่ามนุษย์ ก็หมดไป.."

รตา นั่งฟังนิ่งและคิดตาม..

" เมื่อยังต้องมีชีวิต ก็มีปัญหา มีปัญหาทุกวันทุกคืน ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก หลีกหนีไปไม่ได้เลย..

ฉะนั้นแค่ความรู้ความฉลาดทางโลกที่เราร่ำเรียนมาไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาทุกสิ่งได้.."


" แล้ว จุดมุ่งหมายของชีวิตหล่ะคะ คืออะไร..? " รตาถามต่อ

" จุดมุ่งหมายของชีวิตที่เราเข้าใจมาตลอด ว่าอาจจะเป็นความสุข ความมั่งคั่งร่ำรวย ความไม่ทุกข์ร้อน ใดๆ

แต่จริงๆแล้ว จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตเราทุกคนคือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด..

คือ การไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ที่เราเรียกว่า นิพพาน นั่นเอง "

" นิพพาน คือ จุดมุ่งหมายสูงสุดที่เราทุกคนต้องเดินไปให้ถึงในชีวิตนี้ให้ได้.. " พระหนุ่มกล่าวต่อไป

" วันนี้ เราอาจจะมีทางหลายเส้นให้เลือกเดิน แต่สุดท้ายจะเรากลับต้องมาเดินทางเส้นนี้ให้ถึง "

" รู้แล้วใช่ไหมว่า เราจะไปทางไหนดี.. " พระหนุ่มถามกลับ



" เราเกิดมา เพื่อเดินไปสู่ความไม่ต้องกลับมาเกิด.. อย่างนั้นหรือคะ ?" รตา ถาม

" แล้วใครทำให้เราเกิดมาคะ ใครเป็นคนกำหนด ใครเป็นผู้เลือกคะ..? "

" พระอาจารย์สอนอาตมาว่า กรรมเป็นผู้กำหนด กรรมเป็นผู้เลือกและจัดสรรให้นะโยมตา " 

" กรรม เป็นผู้เลือกเรา เหมือนคำว่า ชีวิตต้องเป็นไปตามกรรมหรือคะ..? " รตาถามต่อ

" ใช่ครับ แต่เราก็สามารถเอาชนะกรรมได้ด้วย ความจริงแท้สี่ประการ หรือ อริยสัจสี่

" รู้สึกเข้าใจยากนะคะ " รตา ยิ้มน้อยๆ " ใช่เข้าใจยากสักหน่อย แต่ไม่เกินความพยายามนะ "

" หลวงพี่ ลองยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆได้ใหมคะ.. " รตา ถามต่อ

" ได้สิ โยมตา " พระหนุ่มรับคำ..



โลกนี้เปรียบเสมือนแจกัน..


" หากสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตเปรียบเสมือน ดอกไม้ ในสวนที่กว้างใหญ่ 

และ โลก ก็เปรียบเสมือน แจกันใบใหญ่

ส่วน กรรม ก็คือคนที่เลือกที่จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนมาปักเอาไว้ที่แจกัน

ดอกไม้แต่ละดอกที่ถูกเด็ดมาวางไว้ในแจกัน เมื่อแรกๆก็เบ่งบานชูช่อความสวยงามกันไปตามสีสัน เผ่าพันธุ์ของตน

แต่สุดท้ายเมื่อนานไปดอกไม้ก็แห้งเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา 

กรรมก็จัดสรรเอาดอกที่แห้งเหี่ยวออกไปแล้วเอาดอกใหม่ๆเข้ามาแทนที่ เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

และตราบใดที่ดอกไม้นั้นยังทิ้งเชื้อเมล็ดพันธุ์ของตนเอาไว้

ก็ยังต้องงอกเงยมาให้กรรมเด็ดดึงมาเสียบใส่แจกันใบเดิมอยู่เรื่อยไป วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น..

โดยที่ดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำอย่างไร ที่จะไม่ต้องถูกเด็ดกลับมาเสียบที่แจกันใบนี้อีก

หากไม่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าเรื่อง นิพพาน.."


" นิพพาน คือ การทำให้ ดอกไม้เหล่านั้นไม่ทิ้งเชื้อเหลือเมล็ดและเกสรเอาไว้ในสวนอีกต่อไป..

เลือกจะเป็นดอกไม้ดอกสุดท้าย ขอกลับมาที่แจกันใบเก่าเป็นครั้งสุดท้าย.." พระมานพ กล่าวจบ


ร้องไห้บนแจกัน..


รตา นั่งพนมมือระหว่างหน้าอกตั้งใจฟังบทสนทนาของพระมานพอย่างตั้งใจ

เธอพอมองเห็นภาพลางๆว่า โครงสร้างของชีวิต เป็นอย่างไร..

หากเลือกได้ เธอก็ไม่อยากเป็น ดอกไม้ที่วนเวียนกลับมาที่แจกันไม่ว่าจะเป็นแจกันเพชรพลอย

แจกันทองคำ หรือแจกันดินเผาธรรมดา เพราะสุดท้ายเธอก้ต้องเหี่ยวเฉาตายคาแจกันเหมือนเดิม..


คิดแล้วน่าเศร้าใจนัก..

ดอกไม้แม้จะส่งกลิ่นหอม ชูช่อดอกงดงามสักเพียงใด จะเป็นดอกไม้ป่า หรือ ดอกไม้เมืองงามสักแค่ไหน..

สุดท้ายทุกดอกก็ไม่พ้นต้องมา ร้องไห้บนแจกัน อยู่ดี..

รตาและแม่ของเธอก้มกราบ พระมานพ ที่เมตตาแสดงธรรมให้เธอทั้งสองได้เรียนรู้

อย่างน้อยก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็น ดอกไม้ในแจกันเดียวกัน ในชาตินี้



ดอกไม้มีค่าเมื่อยังชูช่อ..



สิบกว่าปีมาแล้วสินะ ที่เรื่องราวเหล่านี้ยังส่งถ่ายทอดอยู่ในความทรงจำอยู่ไม่จางหายไป

คิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ เธอก็อดคิดถึงวันคืนที่ผ่านมาไม่ได้.. 

แม้จะเข้าใจแล้วว่า อดีตหรืออนาคต ก็เป็นสิ่งที่จบไปแล้วและยังมาไม่ถึง 

ปัจจุบัน นั้นสำคัญที่สุด.. 

ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในอดีต ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดติดมันด้วยกันทั้งนั้น 

ส่วนอนาคต ก็สุดเหลือจะคาดเดาได้ เหมือนเรื่องของเธอกับ มานพ วิศวกรหนุ่ม ที่สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนไป..



ดอกไม้งามนั้นมีคุณค่าเมื่อมันยังเบ่งบาน มีคนชื่นชมดอมดมกลิ่นสีสันของมัน

แต่เมื่อมันหมดสภาพ หมดความสวยสดงดงาม ก็กลับกลายเป็นผงดินกลับคืนสู่ธรรมชาติไป

แม้ว่าวันนี้เทคโนโลยีจะทันสมัย กว่าช่วงที่ชีวิตเธอรุ่งโรจน์สูงสุด

แต่เธอเรียนรู้แล้วว่า ความทุกข์ของคนเราหาได้ลดน้อยลงตามความเจริญก้าวหน้าของวัตถุนิยมไม่

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ยุคไหนสมัยใด ก็ยังต้องทุกข์ด้วยเหตุเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีเปลี่ยน

แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือ รูปแบบของสิ่งที่ล่อลวงให้เราหลงผิด มันจะมาในรูปแบบที่แยบยลเนียนตามากขึ้น

จนเราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า เราจะต้องกลับไปเป็นดอกไม้ที่ร้องไห้ในแจกัน

ต่อไปอีกนานแสนนานเท่าไหร่..




ชื่อของตัวละครและสถานที่เป้นสิ่งที่ผู้เขียนสมมุติขึ้นมาเพื่อความสมจริงเท่านั้น
หากไปตรงกับท่านใดผู้เขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอขอบคุณเจ้าของรูปสวยๆทุกรูปด้วยครับ



Create Date : 21 มีนาคม 2561
Last Update : 21 มีนาคม 2561 22:18:32 น.
Counter : 843 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นายสมมุติ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]