มีนาคม 2560

 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
19 มีนาคม 2560
All Blog
คนเฝ้าประตู










  ลองหลับตาแล้วคิดดูเล่นๆนะครับ


หากเราจินตนาการว่า ตัวเราคือ ประตู 

ที่เชื่อมต่อระหว่าง โลกภายใน กับ โลกภายนอก ตัวเรา

โลกภายในคือ โลกแห่งนามธรรม เป็นโลกของความรู้สึก นึก คิด อารมณ์

ส่วนโลกภายนอกคือ โลกแห่งรูปธรรม เป็นโลกแห่งสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง รูป รส กลิ่น เสียง

ที่หลายคนมองว่าว่ามีขอบเขตให้เราได้รับรู้กว้างขวางถึงระดับ เอกภพ จนถึงมหาจักรวาล 



แล้วเชื่อหรือไม่ว่า

โลกทั้งสองโลกนั้น จะไม่มีจริงเลย หากไม่มี เรา เป็นตัวกลาง หรือเป็น ตัวเชื่อม

โลกทั้งสองเข้าด้วยกัน


ใช่แล้วครับ ตัวของเรานี่แหละคือ ประตูเข้าออก ของสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล

และล้ำลึกสุดประมาณในระดับ จิตวิญญาณ



ธรรมชาติได้ให้ เครื่องมือ ที่สุดแสนพิเศษในการเข้าไปรับรู้สิ่งเหล่านี้

นั่นคือ ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ในทางวิทยาศาสตร์

แต่ในทางพระพุทธศาสนา เราเรียกมันว่า ทวารทั้งหก เพราะรวม ประตูทางใจ เข้าไปด้วย



ประตูที่ว่านี้ ทำงานอยู่ตลอดเวลา

เพราะว่ามีการผ่านเข้าผ่านออกของ สิ่งต่างๆ เราอาจจะสมมุติเรียกมันว่า 

แขก หรือ นักท่องเที่ยว ก็ได้

นักท่องเที่ยวที่บางครั้งก็มาคนเดียว บ้างก็มากันเป็นกรุ๊ป มากันเป็นหมู่คณะ

และบางครั้งก็เป็นแขกประเภทที่ ไม่ได้รับเชิญ เขาก็แอบเข้าประตูมาด้วย



โดยที่ แขกหรือนักท่องเที่ยวเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็จะเข้ามาพักใน โลกภายในของเราไม่นาน

บางคนมาแค่วินาทีเดียวแล้วก็ออกไป บางคนก็พักนานหน่อยมาครึ่งค่อนวัน

แต่สุดท้ายทุกคนที่เข้ามาก็ต้องกลับออกไปหมด ไม่ช้าก็เร็ว



แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มามือเปล่า และ กลับไปมือเปล่า

บางครั้งพวกเขาเข้ามาแล้วก็สร้าง วีรกรรม เอาไว้ให้เราตามล้างตามเช็ดอยู่บ่อยๆ

บางคนมาทิ้งขยะกองใหญ่เอาไว้แล้วก็จากไป

บางคนเอาสีมาละเลงจนเปรอะเปื้อน แล้วก็จากไป

แต่บางคนก็เข้ามาสร้างความสว่างไสว ในโลกภายในของเรา แต่แล้วสุดท้ายเขาก็จากไปเช่นเคย



ที่แสบกว่านั้นมีแขกหรือนักท่องเที่ยวบางคน ดันแอบเอาคนของโลกภายในออกไปด้วย

พาออกไปเพลิดเพลินอยู่ในโลกภายนอก เสียจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก

ต้องตะลอนร่อนเร่ อยู่ข้างนอกนั้นนานสองนาน บางคนนานจนชั่วชีวิต

ออกไปแล้วไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ก็มี



ครับ ความจริงแท้ของธรรมชาติของคนเราก็เป็นแบบนี้

ประตู ที่ต้องเปิดอ้าอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นแบบนี้ 

ทั้งที่เราเป็นเจ้าของประตูแท้ๆ กลับไม่มีสิทธิ์ปิดมัน

ต้องจำใจรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่ทั้งวัน เหน็ดเหนื่อยหนักหนาก็หยุดไม่ได้

สุดท้ายต้องปล่อยให้ ใครก็ได้ เดินผ่านเข้าออกอยู่อย่างนั้น



ในทางพระพุทธศาสนา ได้บอกเอาไว้ว่า

ประตูทั้งหกนั้น จำเป็นจะต้องเปิดเอาไว้ เพื่อต้อนรับแขกหรือนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน

เพราะหากประตูใดประตูหนึ่งถูกปิดลง ก็จะหมายความว่า เราจะเป็นคนไม่สมบูรณ์

เช่น ทวารตาถูกปิด เราก็คือคนตาบอด

ทวารหูถูกปิด เราก็คือคนหูหนวก

ประตูทั้งหก จึงจำเป็นจะต้องถูกเปิดเอาไว้ เพื่อ การเรียนรู้



เรียนรู้อะไร..?


ก็เรียนรู้เพื่อที่จะเดิน ออกจากโลกภายในและโลกภายนอก ยังไงเล่า

เป้าหมายสูงสุดของชีวิตในทางพระพุทธศาสนาก็คือ การเดินออกจากคุกแห่งชีวิต

เดินออกจาก วังวนแห่งทุกข์ ที่ไม่รู้ต้นรู้ปลาย 



หากเราไม่มีการเรียนรู้จากธรรมชาติของกายและใจของเราแล้วละก้อ

ขอบอกว่า ชาตินี้หรือชาติหน้าเราก็ไม่มีสิทธิ์เดินออกจากคุกนี้ได้เลย..!!



แล้วเราจะเรียนรู้อย่างไร..?

ก็เริ่มจาก ทำความรู้จักนักท่องเที่ยวแขกผู้มาเยือน ให้ครบทุกคนไง

โดยใช้ ยามเฝ้าประตูคนเก่ง นั่นคือ สติ ของเรานั่นเอง



ยากไปใช่ใหม..?

ใช่เริ่มแรกๆอาจจะยากก็จริง 

เพราะแขกนักท่องเที่ยวแต่ละคนก็ดูคล้ายๆกันไปหมด แต่หากมีความเพียรพยายาม ไม่ลดละ 

ไม่ช้าไม่นานเราก็จะสามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้เอง




นักท่องเที่ยวเหล่านี้มีแค่ สามกลุ่มใหญ่ๆ เท่านั้นนะ

กลุ่มแรก คือ พวกโลภะ หรือ พวกโลภอยากเอาอยากเก็บ อยากดึงเอาไว้กับตัว อยากเป็นเจ้าของ

กลุ่มที่สองคือ กลุ่มโทสะ หรือพวกโกรธ เกลียด อยากทุบทิ้งอยากทำลาย อยากผลักออกไปไกลๆ

สองกลุ่มนี้ดูง่าย เหมือนพวกฝรั่งหรือแขก ที่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือน คนเอเชีย

เห็นแล้วก็รู้ว่า ไม่ใช่คนแถวนี้ แน่นอน..



ส่วนกลุ่มสุดท้าย พวกนี้ดูยากหน่อย เพราะรูปร่างหน้าตา เหมือน คนเอเชียแบบเราๆท่านๆ

แทบ แยกไม่ออกว่า ใครไทย ใครพม่า ใครฟิลิปปินส์ เหมือนกันไปหมด 



แนบเนียนแบบถ้าไม่ได้ยินสำเนียงก็ต้องนึกว่า พวกเดียวกัน 

นั่นคือ กลุ่มโมหะ ความหลง

ความหลงคือ ความเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงผิดเพี้ยนไป เห็นผิดเป็นถูก

เห็นความชั่วเป็นความดี เห็นก้อนกรวดนึกว่าทองคำ ประมาณกราบไหว้ต้นกล้วย ก้อนหิน

นึกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อในอภินิหาร ของขลัง ขมังเวทย์ เป็นต้น



แน่นอน เริ่มแรก สติ หรือ พี่ยามคนเก่งของเรา อาจจะไม่ทันเกมส์ พวกลักลอบเข้าเมือง

แต่พอเก่งขึ้น เขาก็จะแยกออกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน 

เริ่มแยกออกว่า ใครเป็นใคร เห็นหน้าเห็นตากันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

จนชำนิชำนาญ แบบ น้องอย่ามาตบตาพี่ หรือ พี่รู้หมดแหละ แต่พี่ไม่พูดมาก..



หากฝึกเรียนรู้มาถึงขั้นนี้แล้วก็นับว่า เก่งมากพอตัว

ขั้นต่อมาก็คือ ตามรู้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พวกนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาจนกระทั้งเขาเดินออกไป

คือ เห็นว่าเขาเดินเข้าแล้วก็เดินออกไป 



โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามเขาออกไปด้วย

โดยไม่ไปขับไล่ไสส่งเขา เพราะเดี๋ยวเขาก็เดินออกไปเอง

เพราะนักท่องเที่ยวเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ

หากเขารู้ว่าเรากำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาก็จะไม่อยากอยู่นาน จะรีบเดินออกไปทันที

แค่เห็นและรู้อยู่เรื่อยๆก็พอ เพราะวันๆมีคนเข้าออกมากมายเหลือเกิน 

ไม่ต้องไปนั่งจำว่ามากันกี่คน คนละกี่ครั้ง ไม่จำเป็น..!!



ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ 

ตราบใดที่ประตูที่เชื่อมต่อโลกทั้งสองยังเปิดอยู่ เราเรียนรู้ได้เสมอ

ใช้โอกาสที่เราได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นคน ได้มาพบพระพุทธศาสนา 

ให้ใช้โอกาสนี้ เรียนรู้กายและใจ ของเราให้ถ่องแท้ จนพบสัจธรรมความจริงของชีวิต

โดยใช้ สติ ความระลึกได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด



หมั่นฝึกซ้อมให้เขาเก่งกาจ มีความเป็นธรรมชาติ จนไม่ต้องฝืนบังคับ

ให้เขาเป็น คนเฝ้าประตู ที่มีความเป็นกลางสูง ไม่เลือกปฏิบัติกับแขกผู้มาเยือน

เพราะไม่ว่าแขกคนไหน สุดท้ายเขาก็กลายมาเป็น ครู ให้เราได้เรียนรู้ได้ทั้งหมด

จนสุดท้าย ประตูแห่งนี้อาจจะได้ปิดตัวลงอย่างสง่างามเสียที

เพราะเจ้าของประตูได้ทิ้งมันเอาไว้  แล้วเดินทางไปสู่แดนดินถิ่นพระอรหันต์เจ้าเสียแล้ว..






ขอขอบคุณเจ้าของภาพสวยๆทุกภาพครับ




Create Date : 19 มีนาคม 2560
Last Update : 19 มีนาคม 2560 20:22:25 น.
Counter : 5190 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสมาชิกหมายเลข 1630467

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นายสมมุติ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]