พฤศจิกายน 2560

 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
22
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
นี่แหละ..รสชาติของชีวิต




กว่าผู้เขียนจะลงมือ กดแป้นคีย์บอร์ดเขียนบทความแต่ละบทความขึ้นมาได้นั้น

รู้ไหมว่าตอนไหนที่ยากที่สุด..?


ชื่อเรื่องเหรอ..ไม่ใช่..      

ชื่อเรื่องของบทความนั้นไม่ใช่ปัญหาของผู้เขียนเลย 

เพราะทุกเรื่องที่เขียนนั้น ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตและจิตใจของคนเราทั้งนั้น

บางทีเห็นอะไรผ่านแว๊บเข้ามา ก็เอามาเป็นหัวข้อบทความได้แล้ว 

หรือบางทีบังเอิญได้ยิน เพลงบางเพลง ก็สามารถนำมาเป็นหัวข้อบทความได้เหมือนกัน

สรุปง่ายๆคือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมะ ก็คือเรื่องของ ชีวิตมนุษย์ นี่แหละ..

ไม่ได้หนีออกไปนอกจากกายและใจนี้เลย..



ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาครับ เฉลยเลยดีกว่า..

คำตอบคือ ตอนก่อนลงมือเขียนบทความหนึ่งๆนั้น..

ผู้เขียนจะต้อง ตรวจดูอาการทางใจ ของตนเองก่อนเขียนทุกครั้ง..

ถ้าดูแล้วว่ามีอาการว่ากำลังจะเขียน ด้วยความอยากอวด อยากให้คนอื่นชื่นชม 

ผู้เขียนจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อน นั่งกอด-อกดูใจตัวเองอยู่นิ่งๆ



ดูจนกว่าอาการอยากอวดอยากโชว์นั้น มันแสดงอาการไม่เที่ยง ดูจนมันออกอาการแปรปรวนไป

ซึ่งบางครั้ง มันแสดงอาการผุดเข้าผุดออก วนเวียนไปมา ไม่ยอมเลิกรา

ก็ต้องยอมเปลี่ยนอริยาบท เดินออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นก่อน 

จนกว่ามันจะจิตใจมันจะกลับมาอยู่ในสภาวะไม่อยาก ไม่เอาอะไร วางลงได้แล้ว

จึงเริ่มลงมือเขียนได้เสียที..



ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่จะบอกว่าผู้เขียนเก่ง หรือเชี่ยวชาญในสภาวะธรรม

แต่เป็นการอบรมสั่งสอนตัวเอง ให้รู้จักทำและคิดโดยปราศจากอคติ ปราศจากอกุศล

ไม่ตามใจกิเลสที่กำลัง สร้างกับดัก ล่อหลอกให้หลงใหลได้ปลื้มกับคำชม หรือ สรรเสริญ

ที่มันอาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่จิตมันได้คิด ปรุงแต่ง ไปเรียบร้อยแล้ว..



มิฉะนั้นบทความของผู้เขียนมันจะถูกเจือปนไปด้วย ความอยาก อยากให้มี หรืออยากให้เป็น

เป็นบทความที่ไม่สะอาด กลายเป็นตัวอักษรที่ถูกเคลือบด้วยกิเลสอย่างละเอียด..

แม้ว่าเจตนาเดิมแท้ก่อนที่จะเขียน จะเต็มไปด้วยความตั้งใจส่งเสริมคุณธรรมความดีก็ตาม..



แต่การถูกความอยาก หรือ ตัณหา หลอกล่อซึ่งๆหน้านั้น

กลับเป็น บทเรียน ที่ผู้เขียนได้ประสบพบเห็น ได้เรียนรู้อยู่บ่อยๆครั้ง 

เรียกว่าเจอกันถี่ยิบจนสนิทกัน เป็นมวยรู้ทางกันดี..

ซึ่งบางครั้งหาก กำลังสติอ่อนแอ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันอยู่บ่อยๆ

เรียกว่า ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เรื่อยมา   เป็นคู่ชกที่สมศักดิ์ศรีที่สุดก็ว่าได้..



นี่แหละหนึ่งในรสชาติของชีวิตของผู้เขียน..

แต่เป็นชีวิตในทางธรรมะ เป็นชีวิตในทางโลกจิตใจ



เชื่อว่าคนหลายตนชอบมีชีวิตที่โลดโผน ชอบความเสี่ยง ชอบความท้าทาย..

โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆ ที่ยังยึดมั่นในตัวตนว่า ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล

ประมาณว่า ชีวิตเราต้องใช้ให้คุ้ม แต่ก็อาจจะผิดหลัก การเดินทางสายกลาง

และบางครั้งก็นำพาตนเองไปสู่ อันตราย โดยความไม่รู้ หรือ ความประมาท..



การใช้ชีวิตที่สุ่มเสี่ยงล่อแหลมต่อการสูญเสียชีวิต สุขภาพ และทรัพย์สิน

หากเดินอยู่บนหลักความชอบธรรมและกฏหมาย ก็ต้องนับว่าไม่ผิดกฏกติกาในทางโลกแต่อย่างใด

เพราะเข้าข่ายไม่ได้ไปเบียดเบียนหรือลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของใครๆ

แต่ในทางธรรมะถือว่าเรากำลังเบียดเบียนตนเองให้ได้รับความลำบาก

เป็นทางเดินที่ สุดโต่ง ไปทางหนึ่งที่พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญ



เช่นนักกีฬาผาดโผน ท้าความตาย หรือประเภทนักการพนันเสี่ยงโชค ซื้อหวยหวังรวยเบอร์

แบบยอมทุ่มสุดตัว ไม่มีเบรคไม่มียั้งเพราะถ้า ถูกทาง ก็ รวยเละ

แต่ส่วนใหญก็จบแบบเละเหมือนกัน แต่เป็นแบบ เละเทะ

เป็นหนี้เป็นสิน กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวก็มีให้เห็นมาแล้วมากมาย..

รวมทั้งนักกีฬาเสี่ยงตายทั้งหลาย ที่หลายคนก็ต้องจบชีวิตนักซี่งแบบ ตายเดี่ยวไม่ก็ตายหมู่

อย่างดีก็แค่พิการ ต้องกลายเป็นภาระของสังคมไปโดยความคาดไม่ถึง..



เพราะความท้าทาย ความเสี่ยง มีรสชาติที่แปลกประหลาด

มีเสน่ห์ดึงดูดให้ นักเสี่ยงโชค เสี่ยงชีวิต 

ต้องเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต มาเดิมพันอนาคตของตนเอง

หนีไม่พ้นเรื่อง เงินทอง และชื่อเสียง และอาจมีบางที่ทำเพียงเพื่อความสุขทางใจ

เพื่อเป็นการปลดปล่อยระบาย อารมณ์ดิบ ของตนเองออกมา..



ความสุขแบบแปลกๆ ความภาคภูมิใจที่ได้กระทำในสิ่งที่คนอื่นๆทำไม่ได้ 

เป็น รางวัล ที่ตอบแทนตอบสนอง ความต้องการ ของตนเองอย่างซาบซ่าน..

แบบไม่ลองก็ไม่รู้..


ชีวิตไม่ได้มีรสชาติเพียงแค่นั้น จริงๆแล้วแม้แต่ ความทุกข์ ความโศกเศร้า

ความคับแค้น อารมณ์ทางลบ ก็เป็นอีกหนึ่งในรสชาติของความเป็นคน..



หากใครที่เกิดมาแล้วยังไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยท้อแท้ ไม่เคยหกล้มมาก่อน

ก็ต้องถือว่า เราพลาดโอกาสการลิ้มลอง รสชาติของความเป็นคนไป..



เจ็บบ้าง ปวดบ้าง หัวเราะ ร้องไห้ สะใจ เสียดาย เสียใจ..

ต่างก็ต้องเคยวนเวียนมาเยี่ยมเยียนหัวใจเรา ต้องเคยมาเคาะประตูบ้านเรา ไม่มากก็น้อย

คนที่ได้เคยสิ้มลองรสชาติเหล่านี้บ่อยๆ ก็นับว่า ได้เปรียบ กว่าคนอีกหลายๆคน

ที่นานๆจะเจอ ของดี มาให้เราได้ชื่นชม..



ขม หวาน มัน เค็ม เป็น รสชาติทางชิวหาสัมผัส ไม่นานก็จางจืดเลือนหายไป

แต่ในด้านจิตใจ มันจะติดตรึงไปถึง จิตวิญญาณ

รสชาติมันจะตราตรึงซาบซ่านไปถึงขนาด ข้ามภพข้ามภูมิ ได้เลย

และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการ  เอาความเคยชินทั้งหลายไป ก่อกรรมดีเลว เหมือนเดิม..



เพราะ คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้..  เรียนรู้ทุกรสชาติของชีวิต

แต่กว่าจะรู้ว่า กว่าจะเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ควรเรียน อะไรคือสิ่งที่ควรรู้..

บางครั้ง จนถึงวันตายก็ไม่เคยได้รับคำตอบนั้น..



เราจึงต้องกลับมาเรียนรู้ถูก เรียนรู้ผิดกันอีกบ่อยๆ 

ต้องกลับมาชมชิมรสชาติเดิมๆของชีวิต ซ้ำไปซ้ำมาอีกนานแสนนาน..



จนกว่าจะหมด ความยึดติดในรสชาติ ในความเอร็ดอร่อย ในความหวานขม

เพราะเข็ดขยาดกับ กิเลสรสเด็ด ที่สังสารวัฏได้บรรจงปรุงแต่ง

กวักมือเรียกหลอกล่อให้เรา หลวมตัวหลวมหัวใจ เข้าไปดื่มชิม  อย่างไม่รู้เบื่อ

นี่แหละ..รสชาติของชีวิต..      แล้วคุณหล่ะ.. เคยได้สัมผัสมันแล้วหรือยัง..!!





ขอขอบคุณเจ้าของรูปสวยๆทุกรูปครับ




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2560 22:50:58 น.
Counter : 1918 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นายสมมุติ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]