PM2.5 ฝุ่นมหาประลัย..
" คำว่า PM ย่อมาจาก Particulate Matters เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ "
นี่ก็ก๊อปปี้ ความหมายของเขามาวางให้อ่าน..
ส่วนเรื่องโครงสร้างโมเลกุล ขนาด หรือผลกระทบของฝุ่นเหล่านี้
จะนำพาไปสู่ โรคร้าย อะไรบ้าง..
คงไม่ต้องอธิบายกันมาก
เพราะสามารถหาข้อมูล ข่าวสารมาอ่านเป็นความรู้กันได้ไม่ยากตามสื่อต่างๆทั่วๆไป..
ขอให้รู้และตระหนักไว้อย่างเดียวว่ามัน อันตราย ก็พอ..
เรื่องของฝุ่นที่กำลังปกคลุมเมืองใหญ่ๆอย่าง กทม. ตามหัวเมืองใหญ่ และเขตอุตสาหกรรมต่างๆ
เป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญที่มันกำลัง ส่งสัญญาณ ให้เราได้รับรู้ว่า
ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุธรรมและทางเทคโนโลยี
มักจะมี ของแถม มาให้เราเสมอ..
เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน
เราเหล่ามนุษย์ผู้เจริญ หมู่ชนที่มีอารยธรรมชั้นสูง
จะเลือกชมเชยความสวยงามของเหรียญเพียงด้านใดด้านหนึ่งนั้น ไม่ได้..
เขามาคู่กัน..
ความสำเร็จ ที่มาคู่กับ ปัญหา..
ความเจริญ มาคู่กับ ความเสื่อมถอย
ความมั่งคั่งเติบโตทางเศรษฐกิจ มาคู่กับ หายนะและความล้มละลายทางสุขภาพกายและจิตใจ
ถ้าต้องเลือกระหว่างให้เศรษฐกิจดี มีเงินเต็มกระเป๋า แต่สุขภาพย่ำแย่
กับพอมีพอกิน แต่ร่างกายยังพอแข็งแรง ถดถอยตามกาลเวลาตามวัย
เราจะเลือกเอาฝั่งไหน.. ?
ให้คิดเอาเอง ไม่กล้าไปชี้แนะใคร..
เราไม่อยากเป็น คนขวางโลก
หรือต่อต้าน กระแสแห่งโลกียะ ถ่มน้ำลายเชิดหน้าใส่ความเจริญทางวัตถุนิยม
เพราะรู้ว่า ต้านอย่างไรก็ต้านไม่ไหว..
ถึงเวลามันจะเปลี่ยน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป.. เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร..
ใครที่ฝืนโลก คนนั้นไม่เข้าใจโลก..
ใครที่ไม่เข้าใจโลก คนนั้นย่อมไม่เข้าใจตนเอง..
ก็ยากที่จะพึ่งพาตนเองได้ ยากที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้..
สงสารแต่ลูกหลาน ที่ต้องมาคอยรับ เศษกรรม แห่งความเจริญ
ต้องมารับชะตากรรม ที่พวกเขาเองไม่ได้มีส่วนได้เสีย..
ต้องมากลายเป็นส่วนหนึ่งของ เกมส์กรรมระดับประเทศ..
เราในฐานะพ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็คงต้องให้ความรู้ ให้ความเข้าใจแก่พวกเขาว่า
อะไรคืออะไร อย่าให้เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ อย่างโดดเดี่ยว..
แต่ในความสลัวมืดมน ของผงฝุ่นคุกคาม
ก็ยังมี ส่วนดี ให้เราได้เห็นในหลายๆมุมเหมือนกัน..
ทั้งความร่วมมือร่วมใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากหลายภาคส่วน..
หรือ การประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือต่อสู้กับมลภาวะทางลมหายใจ
ที่เราได้เห็น คนเก่งๆ ได้ออกมาเสนอแนะทางแก้กันอยู่เนืองๆ..
แม้จะยังมี ดราม่า เกี่ยวกับเรื่องหน้ากากป้องกันฝุ่นอยู่ก็ตาม
ในวิกฤติย่อมมีโอกาส..
ในสงครามย่อมมีวีรบุรุษ มี ฮีโร่ มีอัศวินขี่ม้าขาว..
แม้ว่ามันจะยังไม่สามารถจะทำให้ ผงของจริง มันเบาบางลงได้..
แต่อย่างน้อย ผงฝุ่นในใจ ของมวลชน มันก็ยังได้รับการบรรเทา ได้รับการดูแล
เรื่องชองฝุ่น อาจจะไม่ใช่ปัญหาของทุกคนบนโลกนี้ก็จริง
แต่อย่างน้อยในความเป็น เพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนร่วมโลก เราก็ยังรู้สึกได้
ว่ามันเป็นเรื่องที่ หนักหนาสาหัส เอาการอยู่ไม่น้อย..
และไม่ว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเป็นฝีมือของมนุษย์ล้วนๆก็ตาม
ก็หวังว่า วิกฤตการณ์เลวร้ายอย่างนี้ มันเจือจางเบาบางลงในไม่ช้า
พร้อมๆกับการเกิดขึ้นของ สามัญสำนึกร่วม ของคนในชาติ
ว่าต่อไปนี้ เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
ลดความเห็นแก่ตัว ไม่ทอดทิ้งให้เป็นปัญหาชองใครคนใดคนหนึ่ง..
อย่าอยู่แบบตัวใครตัวมัน
ฝุ่นผงภายนอกอาจจะทำให้เราแสบตา แสบจมูก ระคายเคืองก็จริง..
แต่สักวันมันก็มี สายลมอุ่นเย็น ช่วยหอบ ช่วยพัดพามันไป เจือจางมันไปจากบ้านของเรา
สักวันมันก็ต้องมี สายฝนชุดใหญ่ ที่จะชำระชะล้างมันออกไปจากท้องฟ้าใสๆของเราแน่..
แต่ ฝุ่นในใจ ที่ยังไม่เคยมีใครมาเก็บกวาด ทำความสะอาดนี่สิ
คงยากที่ใครจะเข้ามาช่วยเหลือใครได้..
ใจที่ยังขมุกขมัวด้วยฝุ่นผงอันตราย ร้อยแปด..
ใจที่ยังโดนเล่นงานด้วย ฝุ่นแห่งความเห็นแก่ตัว ท่วมทับ..
ต่อให้มี หน้ากากวิเศษ ก็คงไม่สามารถป้องกันมันได้..
เพราะใจเราเองต่างหาก ที่เป็น โรงงานผลิตฝุ่นผงนรก
ยอมให้มันทำลายสุขภาพใจตนเอง อยู่ทุกวี่ทุกวันนั่นเอง..
ขอเอาใจช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ทุกท่านครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.honestdocs.co/pm-2-5-environmental-nano-pollutants
และเจ้าของรูปสวยๆทุกท่านครับ
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [