เหตุการณ์นี้เป็นการณ์การณ์ก่อนที่ผมจะป่วยนอน รพ ครับ จริงๆ ช่วงนั้นมีเรื่องราวมาเขีบยบล๊อกเยอะครับ แต่ตอนนั้นผมออกไซต์ถี่มาก จนไม่มีเวลา พอมีเวลาก็คือป่วย ลุกแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเขียนเล่าอะไรให้สนุกเลย
"ปริ้นซ์...วาดหม้อไฟให้หน่อยได้ป่ะ" "ห๊ะ?! หม้ออะไรนะ" "หม้อไฟๆ หม้อสุกี้มีผักอะไรแบบนี้น่ะ จะเอาไปเล่านิทานที่โรงเรียนข้าวหอม" อยู่ๆ คำขอแปลก ๆก็มาจากพี่สาว เล่นเอาผมงงไปพักนึงเลย สรุปคือ พี่สาวจะไปร่วมงานผู้ปกครองช่วยสอนที่โรงเรียนหลานก่อนปิดเทอม แล้วอยากให้ผมช่วยวาดรูป "หม้อไฟ" ให้
"ไหน.....มาสาธิตสิ" แหม่....พูดปากเปล่ามันนึงไม่ออก ผมเลยช่วนพี่สาวมากินสุกี้ด้วยกันที่บ้านซักหน่อย เพื่อให้ภาพหม้อไฟ หม้อสุกี้ หรืออะไรที่ว่าชัดเจนขึ้น 5555
พูดง่ายแต่ทำยากละครับจ๊อบนี้ เพราะนอกจากต้องหาแบบหม้อไฟแล้ว ผมมีเวลาวาด ลงสีแค่ 4 วัน แถมตัวเองก็ว่างแค่เวลากลางคืนหลังเลิกงาน วันแรก ผมหมดไปกับการหาแบบและร่างด้วยดินสอคราวๆก่อน วันที่สอง ถึงเริ่มลงสี และเวรกรรมมาก....ผมเป็นคนระบายสีห่วยมาก จะให้พี่สาวระบายเอง นั่นก็ไม่ทำบอกว่าแค่เตรียมอุปกรณ์ก็จะไม่ทันแล้ว เลยให้พี่แอบเอาสีของหลานมาให้หลังจากหลานหลับแทน แต่ทำไปได้ไม่เท่าไหร่ แฟนก็ยื่นแผ่นชาร์ตกระเบื้องยางมาให้ "เทอชอบสีไหน" "เราชอบสีเดิม กระเบื้องเดิม" ความหมายของผมคือ "เราไม่เปลี่ยนกระเบื้องพื้น" "เทอเลือกมาซักสี เค้าว่าสีอ่อนออกเหลืองก็ดีนะ" "เอาสีเทาแล้วกัน จะได้คล้ายเดิม ไม่งั้นมันไม่เข้ากับเฟอร์" ผมพูดแล้วดันชาร์ตกลับไป แฟนส่ายหน้าเบา แล้วดันชาร์ตมาให้อีก "อือออ เข้า ไม้ๆ แบบนี้เข้าทั้งนั้นแหละ" "เราวาดรูปก่อน ขี้เกียจเลือก" แฟนค้อนผม 1 ที ก่อนจะกอบชาร์ตกระเบื้องยางเดินออกไป ส่วนผมก็ระบายสีต่อเกือบถึงเที่ยงคืน ทำไปไอไป จนเส็ดในคืนนั้น
วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่หลานเดินตามเรียกให้ไปส่งที่โรงเรียนนั่นแหละครับ และผมก็ป่วยไข้ขึ้น เข้า รพ วันนั้นแหละครับ โชคดีมากที่ทำจนเส็ดเรียบร้อยก่อนจะป่วยยาวๆ
ช่วงนั้นพี่สาวก็ไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนหลาน พร้อมหลานมีการแสดงเตรียมปิดเรียน โดยที่เค้าเป็นตัวแทนพูดบนเวที ผมดูวีดีโออยู่ที่โรงบาล หลานพูดอังกฤษบนเวทีได้น่ารักมาก ทุกคนปรบมือ Teacher ยิ้มอย่างภูมิ ไม่เสียแรงที่ผมแสดงเป็นชาวต่างชาติไม่พูดไทยด้วยจน 3 ขวบ หลังจากนั้นเค้ารู้แล้วครับว่าผมพูดไทยได้ แล้วผมก็พูดไทยเลย 55555 เดี๋ยวนี้ผมพูด 50 : 50 แล้วครับ เหนื่อย เถียงไม่ทัน.....
ออกจาก รพ มาไอ่เราก็นึกว่าฟาดเคราะห์ พอผมจะกลับไปทำงาน ผมก็เตรียมออกจากบ้านในตอนเช้า พี่เพ็ญที่ยืนกวาดพื้นลาดจอดรถอยู่ก็พูดขึ้นว่า "คุณปริ๊นซ์คะ พี่ว่ายางหน้าคุณปริ๊นซ์มันแบนๆ นะคะ" "ยางผมยางสปอร์ท แก้มเตี้ยงั้นแหละครับ" "ไม่ค่ะ พี่เพ็ญว่ามันแบนนะ" ผมเลยหันไปมองที่รถจากในบ้านมองไปที่ยางหน้าซ้ายที่พี่เพ็ญกวาดพื้นอยู่ใกล้ๆ เออว่ะ!!!! ทำไมแก้มยางมันย้วยออกมางั้นป่ะ "เฮ้ย! แบนจริงด้วย" ผมนี่วิ่งออกไปดูกับตา สิ่งที่เห็นที่อุทานได้คำเดียวว่า อห!!!!
"ตายละพี่เพ็ญ......แล้วต้องเป็นเช้าวันจันทร์ด้วยนะ เอาไวดีเนี้ย" ปากน่ะพูดว่า ตายละ แต่ในใจคือ ตายห่านละ..... เพราะดูจากสภาพยางแล้ว ไม่มีทานเอาไปร้านได้เลย และจังหวะนั้นผมยังไม่สามารถเปลี่ยนยางสำรองเองได้ สรุป ต้องโทรหาร้านยางแถวบ้านให้ส่งคนมาดู และเปลี่ยนยางสำรอง แต่โชคยังดีที่เติมลมไปแล้วลมยังอยู่ได้ เลยวิ่งไปร้านแค่ 800เมตรได้ไม่ต้องบดแม็ค อยู่ๆ ก็เสียตังเลยครับ 4 เส้น 2หมื่น จริงๆ ยางผมครบอายุแล้ว แล้วกะจะเปลี่ยนปลายเดือนนี้แต่ยางดันไม่รอ...... แต่ยางใหม่ก็ใช้ดีครับ ถนนแห้งมั่นคง ถนนเปียกมั่นใจ 2 หมื่นนี่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับความปลอดภัย
คิดว่านี่คือฟาดเคราะห์ครบแล้ว.....ยังครับ เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากกลับบ้านมาในช่วงบ่าย ผมเดินไปเดินมาทำนั่นทำนี่ในบ้าน ด้วยความรู้สึกง่วง และเหนื่อย อยู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เฟดสี พร้อมกับความรู้สึกปวดหัว หัวใจเต้นแรง และมึนงง ผมนี่รีบหาที่นอนนิ่งๆ ก่อนเลย แล้วค่อยว่ากันอีกที แฟนก็รีบเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผมก็นอนกอดกระเป๋าเค้าไว้ พร้อมควานหายาดมจากกระเป๋าเค้ามานอนดมเรียบร้อย
ซึ่งจริงๆ มันไม่ได้เพิ่งเป็นครับ หลังจากที่ป่วยยาวๆ แล้วออกจาก รพ มา ผมก็ออกไซต์ไม่มีพัก แล้ว พฤหัส-ศุกร์ ผมเริ่มออกเดินหน้างานพร้อมน้อง แต่เดินเท่าที่ไหว เพราะยังเพลียๆ กินได้น้อย และเจ็บมือ เจ็บแขนมากๆ พอวันเสาร์ที่บ้านมีงานรวมญาติครับ ผมก็ไปด้วย ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะเหนื่อยอะไร เพราะก็แค่นั่งเฉยๆ ขับรถก็ไม่ได้ขับเพราะเจ็บแขนมากจากการขับรถตลอด 5 วันทำงาน แฟนก็ขับรถให้ ไปถึงก็ไม่ได้ทำอะไรแค่กินข้าว แล้วนั่งดูทีวี มีพาหลานไปนั่งดู Boat กินขนมที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ นิดหน่อย ซึ่งก็เย็นสบายดี หลานก็เรียบร้อยไม่ได้ซนอะไร นั่งดูBoat ร้องเพลงมีความสุขดี
ตกบ่ายผมปวดหัวตื้อ ๆ มึนๆ คิดเหมือนกันครับว่าน่าจะเหนื่อย ผมก็หลับไปเลยครับ ยาวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ตื่นมาก็เตรียมกลับบ้าน วันอาทิตย์ หลานก็ชวนไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารที่เค้าชอบ ผมก็ออกไปกินด้วย สลับกับพี่เขยไปเฝ้าเค้าเล่นที่สนามบ้าง แต่หนักที่นั่งกินกาแฟครับ
ปรากฎว่าอาทิตย์บ่ายอยู่ๆ จะวูบเฉยเลย และตลอดบ่าย ผมรู้สึกได้เลยว่า ผมปวดหัวตื้อๆ ตลอดเวลา เหนื่อยเร็ว ยืนๆ เดินๆ นานหน่อยแล้วเวียนหัว ตามมาด้วยหน้ามืดมาติดๆ เลยลองวัดความดันดู....ปรากฎว่า ความดันต่ำ ครับ
ต่ำเหลือเกิน.....แฟนเห็นแล้วตกว่า ว่าผมไม่เป็นไรแน่นะ ผมตอบตรง ๆ ว่า "ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรนอกจากหน้ามืด" แต่บอกไปว่า คิดว่าน่าจะยังไม่recoverดีแล้วเหนื่อย พักผ่อนน้อย ทำงานเยอะ ใช้แรงเยอะ นอนเยอะ ๆ หน่อย เดี๋ยวก็น่าจะดีเอง
เมื่อวานก็พยายามกินอะไรที่อยากกินครับ หลัก ๆ คือ ข้าวต้มปลา เลยฝากพี่หมิงซื้อข้าวต้มปลาเซเว่นมาให้กิน ช่วงนี้ผมไม่เน้นเดินไปไหนครับ เน้นนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีเวลาก็นอน
อาทิตย์นี้ผมเพิ่งเข้าไซต์จริงๆ จัง ๆ วันนี้ครับ แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้นอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ตื่น 7 โมงเช้า ได้นอน 7-8ชั่วโมงทุกวัน วันนี้ผมเลยเดินๆ ยืนๆ ดู Test run ได้ตั้งแต่ 10 โมงครึ่งถึงเที่ยงได้แบบไม่เวียนหัว ก่อนออกไปเดินก็ดื่มน้ำไป ครึ่งขวดกว่าจะได้สดชื่น
วีคนี้ต้องพยายามพักให้หายดีครับ เดี๋ยววีคหยุดยาวจะสุขไม่สุด แต่งานไม่เพลาเลยครับ แล้วผมจะเอาอะไรไปพัก พรุ่งนี้ก็ต้องพาลูกค้าเป็นเอนเตอร์เทน แต่ก็เอาเท่าที่ไหวครับ
เออ....และคำนวนเวลาแล้ว ผมคิดว่า.... ผมน่าจะติดไข้เลือดออกมาตอนออกไซต์นครนายกครับ เพราะนอกจากไปทำงานครึ่งเช้าแล้ว ช่วงบ่ายพวกผมก็เที่ยวเล่นกันไม่สนป่าสนดง
ที่แรกเป็นคาเฟ่ที่ทางเข้าอย่างลึก อย่างเปลี่ยว จนต้องออกปากถามแบงค์คนขับว่า........ชัวร์ป่ะว่าคาเฟ่ ไม่ใช่ฮวงซุ๊ย.... แต่พอเข้ามาถึง คาเฟ่ดูดีครับ ชื่อว่า
2nd November cafe & Oganic farm
บรรยากาศดูเป็นคาเฟ่แน่ธรรมชาติ มีพื้นที่กว้าง จะนั่งในห้องแอร์ หรือด้านนอกก็ได้ ซึ่งพวกผมเล็งแล้วว่าจะนั่งข้างนอกเอาบรรยากาศ
มีอาหารที่ดูแล้วน่าทานดี และพวกเบเกอร์รี่ เห็นว่าที่มีชื่อเสียงคือ ครัวซอง ซึ่งก็น่าจะขึ้นชื่อจริงๆ ครับ เพราะเกลี้ยงตู้เลย เหลืออยู่ไม่กี่อย่าง อ่ะ ก็ลองเอามากินดู
Come with me, Free Wifi ด้วยครับ รหัส wifi นี่อ่านยังไงไม่ให้มีทำนอง 555555
มุมถ่ายรูปก็เยอะ พวกผมก็เดินลุยสวน ลุยต้นไม้ไปหาที่นั่ง ส่วนพนักงานก็บอกว่า เดินตามหาพวกผมนานมากเหมือนกัน 55555
เค้าเดินตามหาพวกผม 3 คนกันทำไม ก็เพราะ ไอติมกับสตอเบอร์รี่ปั่นของไนท์มาเสิร์ฟแล้ว ส่วนผมกับแบงค์สั่งครัวซองมากินด้วยกัน
ผมสั่งชาเบอร์รี่ ส่วนแบงค์ไม่ใช่สายคาเฟ่ ก็play safe สั่งชาไทยธรรมดา ผู้ชาย 3 คนมานั่งคาเฟ่ ก็นั่งคุยกันสัพเพเหระ เรื่องชีวิต อะไรกันไป ยุงป่าก็กัดทะลุกางเกงได้ แมงมุมก็เข้าขากางเกงได้ โคตรธรรมชาติ
ออกจากคาเฟ่ ก็ขับขึ้นไปเขื่อนขุนด่านปราการชล ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำอะไร แค่คุยกันว่าไปเอาบรรยากาศพระอาทิตย์ตกบนสันเขื่อน หรือขับรถกอล์ฟเล่นบนสันเขื่อน และถ้ามีเวลาจะไปล่องเรือหางยาวกัน 3 คน
แต่.....วันศุกร์เย็นคนขึ้นเขื่อนเยอะมาก ๆ ครับ เยอะจนรถติดยาวตั้งแต่ข้างล่างวนขึ้นไปเรื่อย ๆ
"เราว่ายูเทิร์นไหมวะแบงค์ มีแต่คนยู" ไนท์เริ่มชะโงกดูด้านหลังที่รถติดยาว "เราว่านี่ครึ่งทางแล้วนะ มันยูกันก็ดีดิ รถจะได้โล่ง" แบงค์คนขับยังคนมั่นใจ "เขื่อนมันมีเวลาปิดนะเว่ย นี่ 4 โมงครึ่งแล้วนะ" "หรอวะ....งั้นเอางี้...ถ้า 5 โมง 15 เรายังไม่ถึง ก็ยูเทิร์น โอเค๊" "เขื่อนมันปิดกี่โมง เดี๋ยวก่อนไอ่แบงค์" ไนท์รีบหยิบมือถือมาเสิร์ช "6 โมงว่ะ ชิบหายละ" "ชิบหายละ...." เออ....ชิบหายละ ผมนี่นั่งฟังก็คิดเหมือนกัน "แต่ใกล้ถึงแล้วเชื่อเราดิ"
แล้วก็จริงอย่างที่แบงค์ว่าครับ พอเข้าโค้งมาก็ถึงทางขึ้นที่จอดรถหน้าเขื่อนแล้วครับ ไอ่แบงค์นี่ความจำดีเหมือนกัน ว่าถึงโค้งที่มันบอกคือใกล้ถึงแล้ว แต่นั่นเราก็ติดอยู่ราวๆ 15 นาทีได้ ทำให้เราจอดและลงจากรถมาราวๆ 5 โมงนิดๆ ลงจากรถได้ แบงค์ก็วิ่งไปที่เช่ารถกอล์ฟทันที "ปิดแล้วครับ ปิดให้บริการตอน 5 โมงครับ มาเที่ยวใหม่คราวหน้านะครับน้อง" ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูเป็นมิตรของเจ้าหน้าที่ ส่งมาให้แบงค์ แบงค์ก็เดินคอตกกลับมาบอกผมกับไนท์ที่ไอ่ไนท์บ่นแล้วบ่นอีกว่า "กุบอกแล้ววว"
"อ่ะๆๆ ยังไม่ต้องเถียงกัน เราเดินไปสันเขื่อนกัน เดี๋ยวมันจะปิดอีก" ผมหันไปสะกิดไอ่คู่กรรมคู่เวร 2 คนนั้น แล้วชวนเดิน ถือว่าชมวิว มองลงไปเห็นเรือที่น่าจะหมดรอบแล้วเหมือนกัน สงสัยต้องมาคราวหน้า คราวหน้านี้จะได้แค่นั่งดูพระอาทิตย์ตกเท่านั้น
แต่ก็ไม่เสียแรงขึ้นมาครับ เพราะอากาศบนสันเขื่อนสดชื่นดีมาก ๆ แถมบรรยากาศดี มีคนอีกเยอะครับที่เพิ่งมาถึงอีกเยอะ ไม่เหงาแน่นอน และโชคดีที่สปริงเวย์ปล่อยน้ำพอดี เสียงน้ำซ่าๆ เบาๆ พร้อมละอองน้ำที่ต้องแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตก กลายเป็นสายรุ้งบางๆ พวกผม 3 คนก็ยืนดูพระอาทิตย์ตกกันแบบนั้น
ปี๊ดดดดดดดดด เสียงนกหวีดดังขึ้น พร้อมเจ้าหน้าที่ขี่จักรยานมาบนสันเขื่อน "วันนี้ปิดแล้วนะครับ ไว้มาเที่ยวกันใหม่นะครับ รบกวนค่อยๆ เดินกลับกันนะครับ ไม่ต้องวิ่งนะครับ ไว้เจอกันนะครับ" เจ้าหน้าที่โคตร nice หน้าตายิ้มแย้มดูมีความสุขในการทำงาน
ผม ไนท์ แบงค์ก็เดินชิลๆ กลับ ก่อนจะหาร้านอาหารใกล้ๆ ซักทีกินก่อนกลับ กรุงเทพฯ นี่ก็นั่งล่อยุงกันแทบจะกลางทุ่งครับ ข้างๆ เป็นควายเดินกินหญ้า ผมเลยนับวันแล้ว ประมาณ 10 วัน ก็น่าจะไปโดนยุงป่ากัดมานี่แหละครับ
แต่การไปทำงานครั้งนี้ได้ไอเดียเลยครับ อยากไปเที่ยวนครนายก พักริมน้ำ ช่วงอากาศเย็นๆ ซักคืน ไว้หาวันล่างก่อน เพราะตอนนี้ แพลนเที่ยวยาวไปถึงกุมพาปีนี้แล้ว 5555
Create Date : 04 ตุลาคม 2566 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2566 18:25:23 น. |
|
19 comments
|
Counter : 785 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณtanjira, คุณหอมกร, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณThe Kop Civil, คุณnonnoiGiwGiw, คุณเนินน้ำ, คุณSweet_pills, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณนกสีเทา, คุณLittleMissLuna, คุณกะว่าก๋า, คุณtoor36, คุณไวน์กับสายน้ำ |
โดย: หอมกร วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:6:58:37 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:7:01:11 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:16:15:59 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:19:25:43 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:19:26:55 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:21:20:03 น. |
|
|
|
โดย: นกสีเทา วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:6:26:48 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:15:43:24 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:18:41:24 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:22:07:44 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:6:03:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ทำงานหนักเกินไปพักผ่อนน้อยจ้าปริ้น