happy memories
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

เสพงานศิลป์ ๑๗๗





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










เพลงพระราชนิพนธ์ ภูมิดนตรีเชื่อมสัมพันธ์อาเซียน


ด้วยพระราชอัจฉริยภาพทางดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทำให้ปวงชนชาวไทยได้ชื่นชมยินดีและประทับใจต่อเพลงพระราชนิพนธ์มาช้านาน วันปีใหม่ทุกปีนั้นชาวไทยทั่วประเทศได้ยินเพลงพระราชนิพนธ์”พรปีใหม่”ตลอดเวลาแห่งความสุขสวัสดีของการเปลี่ยนผ่านศักราชใหม่ อาทิตย์นี้ ขอตามรอยเพลงพระราชนิพนธ์ไปกับ พลเรือตรี วีระพันธ์ วอกลาง ศิลปินแห่งชาติและนายวีระ โรจนพจนรัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมที่นำคณะนักดนตรีเดินทางไปร่วมในโครงการดนตรีเชื่อมสัมพันธ์อาเซียนที่ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม พ.ศ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการเชื่อมสัมพันธ์กับนานาประเทศด้วยดนตรีมาตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๙





ประธานสถาบันการดนตรีและศิลปะกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย
กราบบังคมทูลเชิญให้ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์
และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายประกาศนียบัตรสมาชิกกิตติมศักดิ์
ณ สถาบันการดนตรีและศิลปะกรุงเวียนนา เมื่อวันจันทร์ ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๐๗







การบรรเลงคอนเสิร์ตในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นจากการมีวงดุริยางค์หรือวงเครื่องสายฝรั่งหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๖ โดยบรรเลงดนตรีในงานพระราชพิธีหรือประกอบการแสดงละครเท่านั้น ส่วนที่เริ่มบรรเลงเป็นวงคอนเสิร์ตอย่างจริงจังนั้นเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว โดยกรมศิลปากรได้จัดซิมโฟนีเป็นครั้งแรก ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๑ และในปีนั้น ณ สังคีตศาลา เองก็มีดนตรีสำหรับประชาชนขึ้นโดยใช้วงดุริยางคสากลของกรมศิลปากร ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้การบรรเลงดุริยางค์สากลได้มีการบรรเลงขึ้นในกลุ่มนักนิยมดนตรีแนวคลาสิค ต่อมาปีพ.ศ. ๒๔๙๕ ผู้รักการดนตรีได้มีการจัดตั้งสมาคมดนตรีกรุงเทพ ซึ่งได้มีการประสานให้นักดนตรีและนักร้องชั้นนำจากต่างประเทศมาบรรเลงดนตรีอยู่เป็นเวลานานร่วม ๒๐ ปี และกองทัพเองก็มีการตั้งวงดุริยางค์ขึ้นใช้ในราชการ โดยเฉพาะวงดุริยางค์ราชนาวีนั้นได้เปิดแสดงต่อสาธารณชนเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังสถานฑูตของชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในไทยได้มีส่วนสำคัญในการนำนักดนตรีและวงดนตรีของตนมาแสดงในกรุงเทพฯ เป็นครั้งคราวและมีการจัดแสดงต่อสาธารณชนหลายครั้ง





ประกาศนียบัตรสมาชิกกิตติมศักดิ์ที่สถาบันการดนตรีและศิลปะกรุงเวียนนาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย





ลายพระหัตถ์เพลงพระราชนิพนธ์





สูจิบัตรเพลงพระราชนิพนธ์ในอดีต



ต่อมามีการรวมตัวตั้งวงดุริยางค์โปรมูสิกาในกลุ่มนักดนตรีสมัครเล่นแสดงคอนเสิร์ตมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๘ วงดนตรีโปรมิวสิกานี้ นับเป็นวงดนตรีที่บุกเบิกวงการดนตรีคลาสสิกของประเทศไทย ซึ่งม.ล.อัสนี ปราโมชเป็นผู้ริเริ่มและรับหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้าวง ผู้จัดการวง ผู้แสดงเดี่ยว และผู้อำนวยเพลง จนกระทั่งเกิดการรวมตัวครั้งใหม่เป็นวงดนตรีที่ใหญ่ขึ้น มีชื่อว่า วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ หรือ บางกอก ซิมโฟนี ออเคสตร้า (B.S.O.) ออกแสดงต่อสาธารณชนครั้งแรกในพ.ศ.๒๕๒๕ ปัจจุบันมีนักดนตรีที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศและสถาบันดนตรีมากขึ้น ทำให้มีนักดนตรีที่มีความสามารถและได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ





รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมสองประเทศกับคณะนักดนตรี





การบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ในกัมพูชา





ศิลปินแห่งชาติ วีระพันธ์ วอกลาง



สำหรับการแสดงคอนเสิร์ตเชื่อมสัมพันธ์อาเซียนนั้นกระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ มูลนิธิวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพฯ และสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างแดน ร่วมกันจัดดนตรีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยนำการแสดง ดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรี ในประเทศต่าง ๆ มาตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๙- เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประเทศที่แสดงแล้วแต่ละปีคือ พ.ศ. ๒๕๕๐ ญี่ปุ่น พ.ศ. ๒๕๕๑ เกาหลี พ.ศ.๒๕๕๔เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมันนี พ.ศ. ๒๕๕๗ สหภาพเมียนม่าร์ มาเลเซีย และบูรไน ดารุสซาลาม ตามลำดับ





ทัศนา นาควัชระ หัวหน้าวงดนตรี





คณะนักดนตรีผู้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์



หลังสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ที่กัมพูชา การบรรเลงดนตรีทุกครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจและให้ทุกคนได้รับรู้ถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ชื่ชนในความเป็นองค์อัครศิลปินที่มีผลงานเพลงพระราชนิพนธ์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในนานาประเทศ อันเป็นการสนองพระราชปรารภ ถึง”การนำดนตรีเป็นสื่อแห่งมิตรภาพสร้างความเข้าใจและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” การแสดงดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์ที่ประเทศกัมพูชาครั้งนี้ได้นำวงBangkok Pro Musica และอำนวยการเพลง โดย พลเรือตรี วีระพันธ์ วอกลาง ศิลปินแห่งชาติ โดยมีนักดนตรีผู้มีความสามารถทำให้ดนตรีนั้นเป็นฑูตทางวัฒนธรรมเชื่อมสัมพันธ์อันดีในกลุ่มประเทศอาเซียนได้อย่างประทับใจที่สุด



ภาพและข้อมูลจากเวบ
haii.or.th
artbangkok.com














เด็กไทยรักในหลวง


ผลงานภาพวาดเยาวชน ที่ชนะเลิศการประกวดวาดภาพระบายสีสำหรับเยาวชน โครงการ “ฮอร์ส อะวอร์ด” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ในหัวข้อ “ใต้ร่มพระบารมี” เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมายุ 87 พรรษา วันนี้ - ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ นานมีแกลลอรี ชั้น ๓ อาคารนานมี สาทร (ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์) แรงบันดาลใจของ ในการสร้างสรรค์ผลงาน ทั้ง ๓ ภาพ


>>>ด.ช.ชาตโยดม ชวดเปีย หรือ น้องต้นข้าว ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จากโรงเรียนสาธิตราชภัฏมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งคว้ารางวัลยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษาตอนต้น บอกว่า

“วาดรูปนี้เพราะรักในหลวง ดูข่าวโทรทัศน์เห็นคนมากมายรอเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ ในหลวง จึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมา โดยใช้สีสันสดใส ระบายด้วยสีน้ำ อยากให้ทุกคนเห็นภาพนี้แล้วมีความสุข รักในหลวงเหมือนที่ผมและคนไทยทุกคนรักครับ”


>>>ด.ช.กิตติธัช ศรีสุข หรือ น้องเฟรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนอนุบาลนวพร จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ชนะรางวัลยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษาตอนปลาย เล่าว่า

“ผมได้แรงบันดาลใจจากการที่ในหลวงเป็นที่พึ่งของพสกนิกรชาวไทย จึงต้องการสื่อให้เห็นว่า พระบารมีของในหลวงดุจดังต้นไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอันไพศาล และอุดมสมบูรณ์แก่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข อยากให้ภาพออกมาสดใสและดูสบายตาจึงเลือกใช้สีโทนเย็น ใช้เทคนิคสีโปสเตอร์ครับ”


>>>ด.ญ.พลอยไพลิน คนเที่ยง หรือ น้องกีกี้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ รับรางวัลยอดเยี่ยมระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กล่าวว่า

“รูปนี้ตั้งใจวาดมาก ๆ ค่ะ โดยเฉพาะด้านบนสุดของภาพมีซุ้มใบฟักข้าว จะมีรูปของในหลวงซ่อนอยู่ถึง ๓ ภาพด้วยกัน อยากจะสื่อถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ ซึ่งพระองค์ท่านเปรียบเสมือนร่มเงาให้คนไทยทุกคน ตรงกลางและด้านล่างของภาพเป็นรูปคนไทยในหลายภาค หลายศาสนา มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะน้อมนำแนวพระราชดำริมาใช้ในการดำเนินชีวิต ประกอบสัมมาอาชีพ ทุกคนอยู่อย่างปกติสุขภายใต้พระบารมีของในหลวงค่ะ”











ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค Art Eye View














ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค ArtBangkok














10: A Decade of Illustrations


“งานภาพประกอบที่ดี ๆ ต้องผ่านกระบวนการคิด กลั่นกรองก่อนลงมือประดิษฐ์

ตกผลึกจนเป็นความคิดสร้างสรรค์ และไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแค่ไหน

ฉันก็ยังหลงใหลในงานทำมือ ฉันชอบองค์ประกอบงานศิลป์ที่สามารถหยิบจับ

เลือกนู่น คัดนี่ เฉกเช่นความรู้สึกที่ได้จับดินสอแล้วร่างภาพตามความรู้สึก

ตามจินตนาการ ฉันชอบลงมือผสมสีด้วยตัวเอง มันอาจจะดูเป็นวิธีที่ล้าหลัง

ในสายตาของยุคโซเชียลมีเดียครองเมือง แต่สำหรับคำว่าศิลปะแล้ว

ฉันว่ามันคือการใช้ “ฝีมือ” ล้วนๆ ก้าวแรก และคำขอบคุณแรก

คงต้องเอ่ยให้กับหนังสือพิมพ์ International Examiner ของเมือง Seattle

สหรัฐอเมริกาที่ให้โอกาสได้ตีพิมพ์ผลงาน ทำให้เกิดแรงบันดาลใจใน

การสร้างสรรค์งานศิลปะ แม้มันไม่ใช่ง่าย แต่ก็ยืนกรานว่าจะทำต่อไป

เพราะตกหลุมรักในสีแห่งศิลปะเข้าแล้ว ถ้ายังไงรอพบผลงานภาพปกและ

ภาพประกอบชิ้นล่าสุดกับสำนักพิมพ์ Serindia Contemporary

กับ นิยายแปลชื่อดัง Crazy Rich Asians เร็ว ๆ นี้ค่ะ” — พัชริน “จี๊ด” จิตวิริยนนท์


นิทรรศการจัดวันที่ ๓ ธ.ค. ๒๕๕๗-๑๑ ม.ค. ๒๕๕๘



ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net













The Tale of Princess Kaguya


ผลงานอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของสตูดิโอจิบลิ ที่ครั้งนี้หยิบเอานิทาน “เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่” มาเล่าในสไตล์อนิเมชั่นเหมือนภาพวาดมือที่งดงาม เรื่องราวของคนตัดไม้ไผ่และภรรยาที่พบเด็กผู้หญิงในกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าหญิงที่จิตใจดีและงดงาม


Director: Isao Takahata
Runtime: 137 min
Language: Japanese with Thai and English subtitle
Found inside a shining stalk
Showtime : 25-31 Dec 2014
2:30 / 15:00/ 17:30/ 20:00
House Rama RCA



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Forbidden Zone


ARDEL Gallery of Modern Art นำเสนอผลงานภาพพิมพ์ ๓ ชุด ของศิลปินระดับแนวหน้าในวงการศิลปะภาพพิมพ์ร่วมสมัยจากประเทศญี่่ปุ่น อากิระ คุโรซากิ "Akira Kurosaki’s Woodcuts"


โดยเลือกสรรผลงานชุด "Forbidden Zone" ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากความสะเทือนใจในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลงานชุด "Eight Views of Ōmi" สร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคภาพพิมพ์บนกระดาษทำมือจากประเทศเกาหลี ด้วยเรื่องราวเนื้อหาเกี่ยวกับความประทับใจในทิวทัศน์ธรรมชาติของผืนแผ่นดินญี่ปุ่นที่ศิลปินเคยคุ้นในวัยเยาว์ และผลงานชุด Man’yō ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นบนกระดาษญี่ปุ่นชนิดสั่งทำพิเศษ ด้วยแรงบันดาลใจที่ศิลปินได้รับมาจากกวีนิพนธ์โบราณของประเทศญี่ปุ่น


อากิระ คุโรซากิ ศิลปินภาพพิมพ์ชาวญี่ปุ่น ผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผลงานภาพพิมพ์ของอากิระ คุโรซากิ มีความโดดเด่นในเรื่องการจัดวางองค์ประกอบที่สลับซับซ้อน การใช้รูปทรงนามธรรม ที่แฝงความหมายและการใช้เทคนิคการไล่สีที่โดดเด่นเฉพาะตัว


นิทรรศการ : Akira Kurosaki’s Woodcuts
ศิลปิน : Akira Kurosaki
วันที่ : ๒๒ มกราคม ๒๕๕๘-๘ มีนาคม ๒๕๕๘
สถานที่ : ARDEL Gallery of Modern Art
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๔๒๒-๒o๙๒
เว็บไซต์ : ardelgallery.com




























ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค ArtBangkok.com














๑o ปี Young Thai Artist Award


วงการศิลปะได้เพชรเม็ดงามมาประดับเพิ่มขึ้นอีกแล้ว จากเวที Young Thai Artist Award 2014 ซึ่งมุ่งมั่นสร้างยุวศิลปินใหม่ให้แจ้งเกิดเป็นเวลานานถึง ๑o ปี โดยปีนี้มีผู้ส่งผลงานมากกว่า ๔oo ชิ้น และได้รับการกลั่นกรองจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระะดับประเทศมาจนเหลือ ๓๖ ชิ้น และผลงานคุณภาพเหล่านี้จะได้รับเกียรติจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ กรุงเทพฯ

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ที่เป็นเจ้าของเวทีประกวด กล่าวว่า ย้อนไปเมื่อปี ๒๕๔๗ หรือ ๑o ปีที่แล้ว ที่เวที Young Thai Artist Award เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องจากมองว่าช่วงนั้นยังขาดพื้นที่ให้เยาวชนไทยที่มีความสามารถด้านศิลปะได้แสดงออก ทางมูลนิธิจึงร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำจัดประกวดใน ๖ สาขาศิลปะ ได้แก่ สาขาศิลปะ ๒ มิติ ศิลปะ ๓ มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลถือว่าได้รับการการันตีมาแล้ว เพราะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกว่า ๘o ท่าน อาทิ ศ.เกียรติคุณพิษณุ ศุภนิมิตร, ครูสังคม ทองมี, อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อ.เดชา วราชุน เป็นต้น

ส่วนขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบิรหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า ๑o ปีของการประกวดยุวศิลปินนั้นมีความหมายมาก จนเป็นที่เลื่องลือยอมรับระดับประเทศ แต่ความสำเร็จนี้มาจากความช่วยเหลือจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ช่วยกันขับเคลื่อนโครงการจนถึงบัดนี้ และปีนี้ทางมูลนิธิฯ ได้เชิญน้อง ๆ ที่เคยได้รับรางวัลเวทีนี้มาแล้วในช่วง ๑o ปีที่ผ่านมา มาร่วมตัวกันแสดงออกเป็นผลงานหนังสั้น และอื่น ๆ อีกมากมาย

ส่วนการประกาศผลรางวัล ประเภทศิลปะ ๒ มิติ เป็นของภูริทิป สุริยภัทรพันธ์ ในผลงานชื่อว่า "เดอะ เกรท พรอพากานดา" โดย ศ.เดชา วราชุน ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นกรรมการหลักให้ความเห็นว่า ผลงานที่ได้รางวัลนี้เป็นการผสมผสาน แต่สื่อความหมายสัญลักษณ์ที่สะท้อนเรื่องราว เศรษฐกิจ สังคม ของเราได้อย่างดี ผู้สร้างสรรค์ผลงานเป็นคนยุคสมัยนี้ที่มีความสนใจทางการเมือง จึงแสดงความคิดเห็น มุมมองของตัวเองผ่านผลงาน ภาพโทรโข่ง ได้อย่างตรงไปตรงมา

"ภาพโทรโข่งจึงเป็นเหมือนการส่งสารปลุกระดม โฆษณาเชิญชวน และเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพเสรีภาพ แต่โทรโข่งก็เป็นเพียงเครื่องมือ เมื่อถูกละเลยจากผู้ใช้หรือหมดวาระที่เป็นอยู่ ก็ถูกวางลงทั้ง ๆ ที่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนความจริงทางการเมืองของเราที่ผ่านมา ผลงานชิ้นนี้จึงมีความโดดเด่นทั้งความหมายสัญลักษณ์ การแสดงออกด้วยรูปแบบที่ตรงไปตรงมา รวมถึงอธิบายความคิดของผู้สร้างงานได้อย่างชัดเจน"

ศิลปะ ๓ มิติ เป็นของปุญญิศา ศิลปรัศมี ในชื่อชิ้นงานว่า "วัตถุกับความทรงจำ" รศ.วิชัย สิทธิรัตน์ กรรมการที่ตัดสิน กล่าวว่า ศิลปินได้นำความคิด ความทรงจำในวัยเด็กมาแสดงออกสื่อความหมายถึงความโดดเดี่ยว ไร้อิสรภาพ บ่งบอกว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนถูกกักขังอยู่ในกรงแห่งความทรงจำ การสร้างรูปทรงจากชิ้นส่วนของไม้เก่าและบานพับ ตะปู นอต ต่อประกอบเป็นการสร้างรูปของเล่นพัฒนาจินตนาการวัยเด็ก

ยิ่งไปกว่านั้นศิลปินยังกำหนดการต่อรูปแห่งความทรงจำเป็นเรื่องราวของกรงนก และชิงช้าแขวนบนสนามหญ้า เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยว การถูกบังคับจองจำ มิสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการที่ไร้แห่งหนตัวตน แต่แข็งแรงดุจปราการแห่งจิตวิญญาณ สะท้อนปัญหาสังคมในปัจจุบัน ในเรื่องปัญหาเด็กไร้โอกาส ถูกทารุณกรรม และการใช้แรงงานเด็ก

"เทคนิคการสร้างงาน เป็นเทคนิคง่าย ๆ การคิด การประกอบ การก่อตัวเป็นไปตามจินตนาการ และแรงกดดันภายใน พร้อมกับความทรงจำที่รางเลือน ที่มีความเป็นอิสระและโปร่งเบา"

ประเภทภาพถ่าย รางวัลยอดเยี่ยมเป็นของชลารักษ์ เรือนชุ่มเชน ในผลงานชื่อ "ไม่ลืม" คณะกรรมการให้ความเห็นว่า ผลงานชิ้นนี้มีความโดดเด่นในแง่กระบวนการทำงานของกล้อง ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องที่เลือกมาทำงานได้ ประเภทวรรณกรรม ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมคือ ปลายฝน อรุณรัตนา ในนิยายเรื่อง "เด็กชายแมงมุม ชายหนุ่มสีเทา ยายเฒ่ามะขามหวาน" กรรมการให้ความเห็นว่า เป็นนิยายที่นำเสนอแนวคิดถึงสังคมในอุดมคติ มีความงดงาม เผื่อแผ่ และมีน้ำใจผู้คน ซึ่งเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริงของสังคมร่วมสมัย

"ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าสังคมอุดมคติไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันไปทั้งหมด หากแต่ยังดำรงอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในลักษณะของ "เมืองบดบัง" เพราะความเฉยชาและฉาบฉวยของผู้คนในโลกสมัยใหม่ นอกจากนี้ การวางโครงเรื่อง การสร้างตัวละคร ฉากบรรยากาศของเรื่อง ยังสัมพันธ์กับสิ่งที่นำเสนอ ทำให้ชวนอ่านและติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ"

ในประเภทการประพันธ์ดนตรี รางวัลยอดเยี่ยมเป็นของอรรถกร ศุขแจ้ง ในผลงานชื่อ "ฟองเวลา" ซึ่งกรรมการให้ความห็นว่า ผลงานประพันธ์ดนตรีชิ้นนี้มีความชัดเจน ผู้แต่งสามารถคุมกระบวนการและเทคนิคทางดนตรีได้อย่างดี เมื่อฟังไปจะเห็นว่ามีพัฒนาการของผลงาน และสะท้อนให้เห็นความตั้งใจจริงที่จะสร้างผลงานที่ดีมีความไพเราะ มิได้คิดเพียงว่าทำแค่ส่งประกวดเท่านั้น งานดนตรีชิ้นนี้จึงเห็นความใส่ใจ ควบคุมรายละเอียดทุกขั้นตอน ความชัดเจนและตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับสาขาภาพยนตร์ ไม่มีใครได้รับรางวัลยอดเยี่ยม โดยคณะกรรมการมีความเห็นว่า ทุกผลงานมีความเสมอกันทั้งแนวคิด มุมมอง และการผลิต ไม่มีใครโดดเด่นออกมาชัดเจน.







ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
เฟซบุค YoungThaiArtistAward














Enjoy this Moment


ความเป็นตัวตนและความเป็นสังคมรอบๆตัวเรามักเป็นเป็นสิ่งที่ดำเนินคู่ขนานไปพร้อมกัน หลายคนพยายามค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเพื่อสนองความพึงพอใจให้กับตัวเอง และมีความสุขกับมัน


ในขณะที่อีกหลายคนให้ความสนใจกับความเป็นไปของสังคมรอบกายเพื่อสะท้อนสภาพหรือมุมมองที่มีต่อสังคมนั้น ๆ ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจ อย่างไรก็ตามการค้นหาทั้งสองรูปแบบดังที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่ศิลปินหนุ่มทั้งสี่คน ได้หยิบยกประเด็นมานำเสนอในรูปแบบของงานจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ เพื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ประสบการณ์และสภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรวมถึงความรู้สึกนึกคิดของตน เสมือนเป็นการปล่อยตัวเองให้มีความสุขไปกับช่วงเวลาเหล่านั้น


นิทรรศการ Enjoy this Moment เป็นนิทรรศการที่รวมผลงานของ ๔ ศิลปิน โดยพีระเวทย์ กระแสโสม วิทยา ผุดผ่อง วีรพงษ์ ศรีตระกูลกิจการ และสุวิทย์ มาประจวบ รูปแบบและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปถึงเรื่องราวความคิดต่างๆที่ถูกถ่ายทอดลงในผลงานจะช่วยสร้างช่วงเวลาที่น่าประทับใจและเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ให้กับผู้ชมที่สนใจ


พิธีเปิดนิทรรศการ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.oo น. ณ ศูนย์ศิลปะบ้านตึก (Baan Tuek Art Center) จังหวัดเชียงใหม่


นิทรรศการ : Enjoy this Moment
ศิลปิน : พีระเวทย์ กระแสโสม, วิทยา ผุดผ่อง วีรพงษ์, ศรีตระกูลกิจการ และสุวิทย์ มาประจวบ
วันที่ : ๑๕ – ๒๕ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่ : ศูนย์ศิลปะบ้านตึก เชิงสะพานนวรัฐ ตรงข้ามพุทธสถาน ถนนท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ๕o๓oo
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๕๓- ๙๔๔๘๕๙
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/baantuekartcenter



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Art on the Coffee Table II


นิทรรศการ "Art on the Coffee Table II: สายสัมพันธ์ที่แท้จริง 2" จัดแสดงระหว่างวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ - ๑๒ มกราคม ๒๕๕๘ ณ DOB Hualamphong Gallery


หากจะกล่าวถึงความสำเร็จในการทำงานหลากหลายแขนง ใช่หรือไม่ว่า ความเฉลียวฉลาด ขยันขันแข็ง มุมานะอย่างมั่นคงจริงจัง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จลุล่วงของผลงาน อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการคือความสัมพันธ์อันมีอัธยาศัยไมตรีระหว่างคู่ สนทนา ความเป็นมิตร และความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถค้นพบได้บนโต๊ะประชุมอันเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความ ขัดแย้งเชิงวิชาการอันเข้มแข็ง แต่จะปรากฏขึ้นท่ามกลางบทสนทนาบนโต๊ะกาแฟ


บรรยากาศของโต๊ะกาแฟอันเรียบง่าย หากทว่ามีศักยภาพที่จะคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งจนนำไปสู่ความสำเร็จในการ สร้างสรรค์อันสัมฤทธิ์ผล นำมาซึ่งแนวความคิดของการจัดแสดงผลงานศิลปะในนิทรรศการ Art on the Coffee Table II: สายสัมพันธ์ที่แท้จริง ๒ เพื่อนำเสนอผลงานศิลปะจากหลากหลายศิลปินบนโต๊ะกาแฟที่ถูกออกแบบมาเพื่อรอง รับความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และอารมณ์ความรู้สึกแห่งสายสัมพันธ์































ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com














สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯชวนคนไทย ร่วมส่งความสุขด้วยหนังสือในเทศกาลปีใหม่


นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่าเพื่อรณรงค์และสร้างค่านิยมให้คนไทยนิยมมอบหนังสือเป็นของขวัญให้แก่กันในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) จึงขอเชิญชวนให้คนไทยมอบหนังสือเป็นของขวัญให้ผู้ที่รักและนับถือในเทศกาลปีใหม่นี้ เพราะหนังสือคือของขวัญที่ล้ำค่า เป็นการให้ทั้งความรู้และความบันเทิงแก่ผู้ที่เราปรารถนาดีด้วย ซึ่งน่ายินดีอย่างยิ่งที่ขณะนี้กระทรวงวัฒนธรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน และร่วมรณรงค์ให้มอบหนังสือแก่กันในเทศกาลปีใหม่






“การมอบหนังสือคือการให้ปัญญา ให้ความสุขที่แท้จริง การอ่านควรจะอยู่ในชีวิตของทุกคนเสมอ หนังสือหลายชุดราคาไม่แพงและสวยงามมาก อาทิ สารานุกรมฉบับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น การมอบหนังสือเป็นของขวัญแก่กัน จะทำให้การอ่านอยู่ในชีวิตของคนที่เรารัก และเป็นของขวัญที่จะอยู่กับผู้รับตลอดไป” นายจรัญกล่าว


ด้านกาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรและนักเขียนชื่อดังกล่าวว่า สำหรับตนแล้วหนังสือถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุด และได้เตรียมหนังสือไว้หลายเล่ม เผื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่กับคนที่เธอรักและเคารพ






“แทบทุกเทศกาลจะให้หนังสือเป็นของขวัญคนรอบข้าง จะมีความสุขมากกับการนั่งนึกว่าเขาเป็นคนอย่างไร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน เหมือนเราได้ทบทวนเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นมาระหว่างเรากับเขาด้วย แล้วเข้าร้านหนังสือไปเลือกหนังสือที่เหมาะกับเขา หรือคาดว่าเขาน่าจะชอบอ่านไปเป็นของขวัญ หนังสือไม่เน่าไม่เสีย หยิบมาอ่านเมื่อไหร่ เขาก็จะได้นึกถึงเรา”


ส่วน “ประภัสสร เสวิกุล” นักเขียนชื่อดังกล่าวว่า การมอบหนังสือเป็นเครื่องหมายแทนความปรารถนาดีให้กับผู้อื่น


“การรักหนังสือทำให้เรารู้จักรักในสิ่งอื่น ๆ รอบตัว และยอมรับในความคิดที่แตกต่าง การรักหนังสือเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือ โลกในวันนี้มีหนังสือดี ๆ มีประโยชน์ให้คุณได้เลือกอ่านอย่างมากมาย เป็นอาหารสมองที่คุณเท่านั้นจะเป็นผู้มอบให้แก่ตัวคุณเองได้”



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














นิทรรศการศิลปะ "ปิ๊ก : PICK"


นิทรรศการศิลปะ "ปิ๊ก : PICK" ผลงานโดยศิษย์เก่าคณะวิจิตรศิลป์ มช. รุ่นที่ ๒๒ : The art exhibition of alumni of faculty of fine arts (batch 22) of Chiangmai University จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ – ๓ มกราคม ๒๕๕๘ และจะมีพิธีเปิดในวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ณ ศูนย์ศิลปะบ้านตึก : Baan Tuek Art Center


ปิ๊ก : PICK นิทรรศการศิลปะของศิษย์เก่าคณะวิจิตรศิลป์ มช. รุ่นที่ ๒๒
The art exhibition of alumni of faculty of fine arts (batch 22) of Chiangmai University


จัดแสดงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ – ๓ มกราคม ๒๕๕๘


พิธีเปิดนิทรรศการ
Opening Reception
๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


ศูนย์ศิลปะบ้านตึก ถ.ท่าแพ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ (เยื้องหน้าวัดอุปคุต)
เปิดทำการ เวลา ๑๕.oo-๒o.oo น. (ปิดทุกวันจันทร์)



ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com














Johann Baptist Reiter ใน Castle Museum เมือง Linz


Johann Baptist Reiter ศิลปินชาว Linz เกิดในครอบครัวช่างทาสี พ่อของเขาสอนวิชาชีพนี้ให้เขาอยู่ ๓ ปี ซึ่งทำให้เขาสามารถที่จะทาสีเฟอร์นิเจอร์และเรือได้จนเป็นที่ชื่นชมของ Joseph Hafner ตัวแทนขายภาพ Hafner จึงแนะนำให้เขาไปเรียนศิลปะที่ Vienna Academy กับ Leopold Kupelwieser, Anton Petter และ Thomas Ender หลังจากนั้นเขาก็เข้าศึกษาต่อทางด้านแกะสลักและออกมาทำอาชีพเพ้นท์กระเบื้อง





The Learner



เมื่ออาจารย์ของเขาได้รับทุนก็ชวนเขามาทำงานด้วยและได้มีโอกาสจัดแสดงผลงานจนชนะรางวัล Lampi ในปี ๑๘๓๖ ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว เขาจึงแต่งงานกับ Maria Anna Linzerin Hofstotter และย้ายไปอยู่เวียนนา เนื่องจากเขาสามารถหาเงินได้มาก เขาจึงซื้อบ้านใหญ่และซื้อรถม้าไว้ใช้ รวมทั้งจ้างสาวใช้มาดูแลบ้านด้วย เมื่อภรรยาหนีจากบ้านไป เขาก็แต่งงานใหม่กับ Anna Josefa Theresia Brayer และรับงานคัดลอกผลงานศิลปะยุคเก่ามากขึ้น





The Bride



หลังจากที่เขาพยายามที่จะวาดภาพเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศาสนจักร แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาก็หันมาสู่แนวทางการวาดภาพเหมือนที่ดูสมจริงซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามโดยผลงานของ Johann Baptist Reiter ได้รับอิทธิพลจาก Ferdinand Georg Muller, Johann Peter Krafft และ Johann Michael Neder เป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่เขาศึกษางานของศิลปินดัทช์ยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ อย่างเข้มข้นทำให้เขาสามารถที่จะใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการวาดภาพคน เด็ก และของชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในการวาดภาพเหมือนมากที่สุดคนหนึ่งของเวียนนา





Self-Portrait



Johann Baptist Reiter เป็นศิลปินที่มีผลงานมากที่สุดใน Castle Museum ทั้งนี้คงเป็นเพราะเขาเป็นคน Linz โดยกำเนิด เช่น The Learner ภาพครอบครัวของ Maria Anna น้องสาวของศิลปินกับ Leopold Weber คนขับรถม้าเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของ Gustave Courbet ต่อแนวทางการเขียนภาพของ Reiter ในการเขียนภาพเหมือนจริง Boy and Cat ภาพเด็กชายใส่สูทเต็มยศและมีผ้าแดงในกระเป๋าซ้าย ร่วมกับสร้อยคอที่ตัวแมว จานกระเบื้องและที่ทิ้งขยะทางด้านซ้ายของภาพแสดงให้เห็นถึงเศรษฐานะของเด็กชายได้อย่างแจ่มชัด ผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าศิลปินสามารถวาดภาพในชีวิตประจำวันได้อย่างมีชีวิตชีวา





The Emancipated



ส่วนภาพ Self Portrait นั้นก็แสดงความมั่นใจของตัวศิลปินได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้คงเป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์วัย สังเกตได้จากแววตาอันมุ่งมั่นร่วมกับการแต่งกายที่ล้ำสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าพันคอสีแดงซึ่งมิใช่เครื่องแต่งกายที่ชายยุคนั้นจะสวมใส่อย่างปกติ The Bride เป็นภาพที่แสดงถึงทักษะในการวาดภาพราชวงศ์ซึ่งศิลปินก็ทำได้อย่างไม่ขัดเขิน The Emancipated ภาพของ Aston Louise นักกิจกรรมหญิงที่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมนี้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของศิลปินได้อย่างเด่นชัด สังเกตได้จากการจัดองค์ประกอบของภาพ ท่าทาง แววตา เสื้อผ้าและควันบุหรี่ที่ดูกลมกลืนและเหมือนจริงราวกับภาพถ่าย ภาพนี้ถือเป็น Masterpiece ชิ้นหนึ่งของศิลปินเลยทีเดียว



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














ของดีที่พิษณุโลก ครูชา ขิมทศกัณฐ์


ถ้าจะเอ่ยถึงของดีในเมืองไทยแล้วนั้นคงจะคุยกัน ๓ วัน ๓ คืนก็ไม่จบเพราะประเทศไทยเรานั้นมีอะไรดี ๆ มากมายหลายอย่างอยู่ทั่วทุกหัวระแหงก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว จนไปถึงอาหารการกินที่ฝรั่งมังค่าทั่วโลกนั้นหลงใหลประเทศไทยเรา นี่ยังไม่นับสาวงามที่ยิ้มหวานยิ้มเก่งที่สุดในโลกอีกนะครับ และในฉบับนี้ผมจะเขียนถึงจังหวัดที่อยู่ทางภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบนของแผนที่บ้านเราซึ่งก็คือจังหวัดพิษณุโลกหรือที่ชาวไทยเราหลาย ๆ ท่านจะเรียกว่าเมืองสองแควนั่นเองแหละครับ


เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ผมไปแสดงคอนเสิร์ตที่จ.พิษณุโลกเพื่อหารายได้นำไปสร้างโรงเรียนวัดตายม ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมที่เก่าแก่ของจังหวัดพิษณุโลก โดยก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พศ. ๒๔๖๔ โดย ผู้ใหญ่มา จันทร์วังโป่ง กับประชาชนที่อยู่ในละแวกนั้นซึ่งในปัจจุบันอาคารเรียนได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก ดร.ปิยะ เจริญเวชรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดตายม จึงได้พยายามหารายได้โดยการจัดทำโครงการต่าง ๆ และจัดคอนเสิร์ตเพื่อนำรายได้ไปสร้างอาคารเรียนให้เด็กที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นซึ่งเป็นเขตนอกเมืองได้มีอาคารเรียนดี ๆ และถึงแม้ว่าการจัดคอนเสิร์ตจะได้สตางค์มาพอสมควรแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับจะนำไปก่อสร้างอาคารเรียนที่มีราคาหลายสิบล้านบาทอย่างแน่นอน โดยท่านผู้อ่านทุกท่านที่มีจิตเมตตาก็สามารถร่วมบริจาคสตางค์ของท่านเพื่ออนาคตของบุตรหลานชาวไทยเรา ได้ตามกำลังศรัทธาที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาวังทอง ชื่อบัญชีโครงการสร้างโรงเรียนวัดตายม เลขที่บัญชี ๖o๒-o-๓๓๘๑๖-๙ ครับ


ในการเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตที่จังหวัดพิษณุโลกครั้งนี้ทำให้ผมได้พบของดีที่จังหวัดนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เรารู้จักกันมายาวนานอย่างพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุตั้งแต่สมัยสุโขทัย และก็ไม่ใช่ดนตรีมังคละ หรือวงปี่กลองพื้นเมืองที่เป็นตำนานของชาวพิษณุโลก แต่กลายเป็นว่าผมได้ไปพบกับนักดนตรีไทยชาวเมืองพิษณุโลกท่านหนึ่งที่มีนามว่า นายธรรศณ กุลสุวรณ์ หรือชาวเมืองสองแควจะคุ้นเคยกับชื่อท่านว่า "ครูชา ขิมทศกัณฑ์" ซึ่งครูชาท่านนี้ได้มาร่วมแสดงกับผมในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย จึงทำให้ตัวผมนั้นได้รู้จักกับท่านมากขึ้นกว่าเดิม จากการที่เป็นแค่เพื่อนและเห็นผลงานของท่านในเฟซบุ๊กมานานอยู่หลายปี และพอจบงานนี้แล้วนอกจากผมจะได้เห็นฝีมือการเป่าขลุ่ยของครูชาแล้วผมยังได้สัมผัสนิสัยอันสุภาพเรียบร้อยถ่อมตนของท่านอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังทำให้ผมได้ทราบว่าความจริงแล้วครูชานั้นมีพื้นฐานเดิมในการเป็นนักดนตรีสากล ที่เล่นเปียโนหาเลี้ยงชีพตามโรงแรมและร้านอาหารมานานถึง ๒๗ ปีจนกระทั่งร่ำรวย ก่อนที่จะผันตนเองไปเป็นครูสอนวงดุริยางค์ให้กับเด็ก ๆ นอกเมืองพิษณุโลกในแบบที่เรียกว่า "วิทยาทาน" ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ผมนั้นชื่นชอบครูชาเป็นพิเศษนั่นเองแหละครับ


ครูชาพึ่งจะมาหยิบจับเล่นดนตรีไทยแบบจริงจังเมื่อ ๔ ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยเล่นขิมกับขลุ่ยสลับกันไปตามโอกาสแต่ว่าครูชานั้นได้มาโด่งดังกับลีลาการตีขิมด้วยมือขวา ๕ ตัว พร้อมทั้งเล่นเปียโนด้วยมือซ้ายและสองขาเล่นเบสเท้าตามไปด้วยพร้อม ๆ กัน ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้ง ๆ ที่ครูชานั้นหัดเล่นดนตรีสากลและไทยด้วยตัวเองมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มแรก และครูชาก็ได้รับเชิญให้ไปออกรายการทีวีอย่างเช่นรายการตีสิบ เรื่องเล่าเช้านี้ กระบี่มือหนึ่ง และอีกมากมายนับสิบรายการ จนกระทั่งล่าสุดก็คือรายการ อึ้ง ทึ่ง เสียว ของช่อง ๘ อาร์เอส


ครูชา นอกจากจะรับเป่าขลุ่ยตามงานอีเวนท์ต่าง ๆ ที่จ.พิษณุโลกที่มีค่อนข้างมาก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะสอนดนตรีไทยและสากลตามโรงเรียนให้แก่เด็ก ๆ ทั้งในเมืองพิษณุโลกและอำเภอใกล้เคียง นับร้อยแห่งในนามของโรงเรียนดนตรีสากลพิษณุโลก นอกจากนี้ครูชายังได้ไปสอนดนตรีบำบัดรีไซเคิลให้แก่สถานสงเคราะห์หญิงไร้ที่พึ่งธัญบุรี และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง เรียกว่าเป็นผู้ที่สร้างประโยชน์ในทางดนตรีให้กับชาวเมืองพิษณุโลกอย่างแท้จริงครับ ถ้าท่านผู้อ่านที่ต้องการจะหาครูผู้สอนดนตรีให้กับบุตรหลานหรือสถานศึกษา รวมถึงหาดนตรีไปแสดงในงานต่าง ๆ ผมแนะนำครูชาท่านนี้ ที่เปรียบเป็นของดีเมืองพิษณุโลกนะครับ และสามารถติดต่อท่านได้ที่เฟซบุ๊ก "ครูชา ขิมทศกัณฐ์" หรือแฟนเพจ โรงเรียนดนตรีสากลพิษณุโลก ครับ


ป.ล.ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ที่จะถึงนี้ ผมจะประกอบพิธีไหว้ครูดนตรีไทยประจำปี ๒๕๕๗ เหมือนกับในทุกปีที่ผ่านมา ขอเรียนเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านที่สนใจรวมถึงลูกศิษย์ที่อยู่ไกล ๆ เข้าร่วมพิธีไหว้ครูดนตรีไทยโดยพร้อมเพียงกันในเวลา ๙.oo น. ที่สำนักปี่พาทย์ศิษย์สุพจน์ โตสง่า ของผมเขตหนองแขม กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดได้ที่คุณเปิ้ล ดารารัตน์ พิจิตรคุรุการณ์ โทร o๘-๑๗๓๕-๑๓๖๓ ครับท่าน



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





 

Create Date : 30 ธันวาคม 2557
0 comments
Last Update : 30 ธันวาคม 2557 21:05:31 น.
Counter : 3594 Pageviews.


haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.