happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
26 มีนาคม 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๙๘





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย



บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สานต่อแนวคิดพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แสดงถึงวิถีชีวิตคนไทย และวิถีการท่องเที่ยวทางน้ำ พร้อมผนึกกำลังร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชนต่าง ๆ จัดงาน “Water Festival 2015 เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” หวังสร้างปรากฏการณ์รวมคนรุ่นใหม่มาสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ไม่มีวันเชย


ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายศุกรีย์ สิทธิวณิช รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานภาคเอกชน ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “Water Festival เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นใน ๗ พื้นที่ริมโค้งน้ำเจ้าพระยา ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน นี้ โดยงานแถลงข่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ ท่ามหาราช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มีนาคม ที่ผ่านมา


สำหรับเหตุผลสำคัญประการหนึ่งของการจัดงาน “Water Festival เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากความสำเร็จของการจัดเทศกาลวัฒนธรรมร่วมสมัย และมหกรรมลอยกระทง หรือ River Festival สายน้ำแห่งวัฒนธรรม ที่จัดขึ้นจากแนวคิดในการพัฒนาจุดขายของประเทศไทยที่โดดเด่น โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา สำหรับปีนี้ ไทยเบฟ มีปณิธานอันแน่วแน่ที่ต้องการจะ บอกเล่าความเป็นไทย ไปทั่วโลก พร้อมตอกย้ำแนวคิดเรื่องการท่องเที่ยววิถีไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวททางของรัฐบาล โดยผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการจัดงานที่จะสร้างปรากฎการณ์รวมคนรุ่นใหม่มาสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ไม่มีวันเชย กับ “Water Festival 2015 เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือ วันขึ้นปีใหม่ไทย ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ งานดังกล่าวจะจัดขึ้นบนโค้งน้ำเจ้าพระยา ใน ๗ พื้นที่หลัก ประกอบด้วย วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ท่ามหาราช ยอดพิมานริเวอร์วอล์ค และเอเชียทีค เดอะรีเวอร์ฟร้อนท์”


“ผมมั่นใจว่างานนี้จะเป็นมหกรรมแห่งความสนุกอย่างดีงาม ที่จะสร้างทั้งความสุขและการมีส่วนร่วม ให้ทั้งพวกเราคนไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ได้จับมือกันก้าวข้ามปีใหม่ไทยไปด้วยความประทับใจ โดยยังคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของไทยอย่างเต็มรูปแบบ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศครับ”


สำหรับรายละเอียดการจัดงาน “Water Festival 2015 เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” นั้น จะประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ตอกย้ำเรื่องการท่องเที่ยววิถีไทยตลอดทั้ง ๓ วัน โดยกำหนดจัดขึ้นใน ๗ พื้นที่หลักบนโค้งน้ำเจ้าพระยา เรียกได้ว่ามีกิจกรรมอัดแน่นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เริ่มด้วย...


กิจกรรมลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาไปไหว้พระ ๔ วัด รับ ๙ สิริมงคล ในวัดสำคัญที่อยู่เคียงคู่คนไทย ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พร้อมกิจกรรมอีกมากมายที่จะทำให้รู้สึกเบิกบานใจไปตลอดทั้งปี ส่วนที่ ท่ามหาราช จะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของวิถีชีวิตชุมชน ที่โอบล้อมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ร้านอาหารอร่อยที่มีประวัติอันยาวนาน ที่สำคัญยังเป็นแหล่งรวมวัตถุบูชาที่ใหญ่และเก่าแก่ของเมืองไทย ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค พบกับกิจกรรมวิถีไทย บนคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีระเบียงริมน้ำที่ยาวที่สุดบนเกาะรัตนโกสินทร์ ตื่นตาไปกับงานดอกไม้จากชุมชนปากคลองตลาด ซึ่งเป็นตลาดดอกไม้ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย และขบวนแห่กลองยาว


อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือที่ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ จะเนรมิตพื้นที่และบรรยากาศโดยรวมให้ย้อนกลับไปสู่ยุค 70’s Color & Disco พร้อมแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ประกอบด้วย โซนเปิ๊ดสะก๊าด เทศกาลงานวัดที่จะทำให้คุณมีรอยยิ้มหวานๆ ต้อนรับปีใหม่ไทย สนุกสนานกับมหรสพและการแสดงพื้นบ้าน โซนโบราณงานช่าง รวมชุมชนหัตถกรรม ภูมิปัญญาโบราณของกรุงเทพที่หาชมได้ยากไว้ที่นี่ที่เดียว โซนช๊อปชุมชน ชวนชิมอาหารรสเลิศจากร้านอร่อยในย่านเก่าทั่วกรุงเทพ โซนริมน้ำ วิถีไทย พบกับตลาดพื้นบ้าน พร้อมการสาธิตทำผลิตภัณฑ์และอาหารเมนูพิเศษ และ โซนโก๋โชว์เก่า ถ่ายทอดกลิ่นอายของความเป็นพระนครในยุค 70’s โดยจะเป็นพื้นที่สำหรับโชว์ผลงานไอเดียสร้างสรรค์ของเหล่าวัยรุ่น รวมถึงเวทีกลาง “สงกรานต์...ดี๊ดี” ที่จะทำให้ผู้เข้าชมฉ่ำทั้งใจ ฉ่ำทั้งกาย กับกิจกรรมและคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดังที่อันแน่นตลอดคืน


งาน “Water Festival 2015 เทศกาลวิถีน้ำ...วิถีไทย” กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ ตั้งแต่เวลา ๙.oo-๒๔.oo น. โดยมีเรือด่วนเจ้าพระยารับส่งฟรีทุกวัน...ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ waterfestivalthailand.com



ภาพและข้อมูลจาก
FB ข่าวสารท่องเที่ยว ททท.














ละครเวทีโหมโรง



ดนตรีไทยกำลังจะกลับมากึกก้องเกรียงไกรอีกครั้งบนเวทีละคร...โหมโรง เดอะมิวสิคัล


ละครเวทีที่จะพาไปสัมผัสถึง "ราก" ของความเป็นไทย ผ่านเรื่องราวชีวิตของ "ศร" คนระนาดที่ผ่านทั้งยุคทองรุ่งเรืองสูงสุดและยุคตกต่ำที่สุดของวงการดนตรีไทย


ด้วยเรื่องราวที่เข้มข้น พร้อมการขับกล่อมด้วยเสียงเพลงที่ไพเราะงดงาม


ตื่นตาไปกับการประชัน "ระนาดเอก"กันสดๆบนเวที ที่จะสร้างความอัศจรรย์ใจและความภาคภูมิใจในรากเหง้าที่งดงามของความเป็นไทย ให้กับคนไทยทุกคน ด้วยแรงบันดาลใจจากชีวิตของ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ...


...ไร้ราก ไร้แผ่นดิน...


เมษายน นี้ ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น ๗ สยามสแควร์วัน
นำแสดงโดย ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง สุประวัติ ปัทมสูต
อาร์ม กรกันต์ สุทธิโกเศศ
โย่ง อาร์มแชร์
แนน สาธิดา พรหมพิริยะ


ร่วมด้วย ครูรัก ศรัทธา ศรัทธาทิพย์, เอ๋ เชิญยิ้ม, ปอ af7, นาย The Comedian, ดวงใจ หทัยกาญจน์, ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ตั้ว ประดิษฐ ประสาททอง
และนักแสดง นักดนตรีไทย อีกคับคั่ง


ดัดแปลงบท จากบทประพันธ์ของ อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์
กำกับการแสดง ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ร่วมกับ ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ
จัดแสดง ๑๕ รอบ
วันที่ ๔-๕, ๒๓-๒๖, ๓o เมษายน ๒๕๕๘
และ ๑-๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘



















ภาพและข้อมูลจาก
thaiticketmajor.com














ร่วมอนุรักษ์งานหัตถศิลป์จากราชสำนัก



งานปักซอยแบบไทยเป็นงานหัตถศิลป์ที่สืบทอดในราชสำนัก เมื่อ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำริให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ฟื้นฟูงานปักซอยขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่งคุณข้าหลวงผู้มีความเชี่ยวชาญด้านงานปักซอยไปสอนสมาชิกกลุ่มปักผ้า ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส เพื่อพระราชทานเป็นอาชีพเสริมแก่ราษฎรจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพระราชทานแก่ชาวบ้านในภาคอื่นๆ ในเวลาต่อมา นอกจากช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์งานปักซอยแบบไทยที่ใกล้สูญหายให้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน


พิพิธภัณฑ์ผ้าใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ “งานปักซอยแบบไทย” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเรียนรู้วิธีการปักซอยขั้นพื้นฐานและสร้างสรรค์งานปักซอยด้วยตนเอง โดยมีสมาชิกศิลปาชีพมาเป็นวิทยากรบรรยาย และสาธิตอย่างใกล้ชิด เมื่อวันก่อน ณ ห้องประชุม พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ


นัฐติยา วงศ์อินทร์อยู่ ผู้เชี่ยวชาญการปักซอยแบบไทยแผนกปักผ้า ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร หนึ่งในวิทยากรที่มาให้ความรู้ครั้งนี้ รับหน้าที่ถ่ายทอดวิธีการปักซอยขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม ซึ่งใช้อุปกรณ์ที่สามารถหาได้ทั่วไปอย่าง ผ้าฝ้าย ไหมสังเคราะห์สีต่าง ๆ สะดึง เข็มเย็บผ้า ด้ายและกระดาษแบบ ปกติไหมที่ใช้ในการปักจะมีทั้งไหมสังเคราะห์ และไหมน้อย (ไหมแท้ที่ได้จากตัวไหม) สำหรับผู้เริ่มต้นจะใช้ไหมสังเคราะห์ในการปัก โดยนำกระดาษแบบวางลงบนผ้าฝ้ายตามบริเวณที่ต้องการ จากนั้นใช้ด้ายเนากระดาษแบบกับผ้าฝ้ายไว้ด้วยกัน เพื่อป้องกันไม่ให้แบบขยับเขยื้อน จึงค่อย ๆ เริ่มปักโดยใช้ฝีเข็มสั้นยาวไม่เกินครึ่งเซนติเมตร


พร้อมเล่าว่า ตนเองเป็นชาวบ้านที่ จ.สกลนคร ครอบครัวมีฐานะยากจน เมื่อคราวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นว่าพ่อแม่ของเรามีลูกเยอะ และไม่ได้เรียนหนังสือ จึงทรงชวนให้มาฝึกวิชาชีพที่สวนจิตรลดา ส่วนตัวชอบแผนกปักผ้า เพราะมีพื้นฐานถักโครเชต์มาก่อน และเมื่อได้ทดลองทำและเรียนรู้การปักซอยแบบโบราณก็ยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้น และการปักผ้าไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐาน แต่ต้องมีใจรักในงานของตัวเอง จึงจะทำได้ดี ต้องเป็นคนใจเย็น มีความอดทน และมีความพยายาม ที่สำคัญต้องมีความคิดสร้างสรรค์ หมั่นฝึกฝน และหาวิธีการใหม่ๆ ทดลองทำไปเรื่อย ๆ เรียกว่าต้องกล้าคิด กล้าทำ ไม่ใช่เลียนแบบเขาอย่างเดียว สำหรับผลงานที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตคือ รูปนางลอยเป็นงานปักผ้าชิ้นใหญ่ขนาด ๒ เมตรกว่า จัดแสดง ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี ๒๕๕๓ ใช้คนปักทั้งหมด ๖ คน รวมระยะเวลาปีกว่าจึงจะปักเสร็จ


“ทุกวันนี้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงเมตตาต่อครอบครัว และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเผยแพร่ภูมิปัญญาให้แก่คนรุ่นหลังที่สนใจเรียนรู้งานปักผ้า เพื่อจะได้สืบทอดงานปักซอยแบบไทยที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงฟื้นฟูและอนุรักษ์ไว้ให้คนไทยไม่ให้สูญหาย” ผู้เชี่ยวชาญการปักซอย กล่าวความรู้สึก


สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมครั้งต่อไป ติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ เฟซบุ๊ก FB พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ อินสตาแกรม @queensirikitmuseumoftextiles











ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














อัศจรรย์โอริกามิ เมื่อศิลปะผลิบานที่กลางกรุง



โอริกามิ หรือศิลปะการพับกระดาษ ถือว่าเป็นศิลปะที่อยู่ใกล้ตัวเรา เพราะการพับกระดาษนั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดจินตนาการมากมาย ไม่ว่าจะพับเป็นสิ่งของ ดอกไม้ หรือสัตว์ และเราก็เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงคุ้นเคยและเคยลองมาพับกระดาษกันบ้างแล้ว ศิลปะโอริกามิจึงถือได้ว่าอยู่ใกล้ตัวของเรามากกว่าศิลปะแขนงไหน ๆ






โอริกามิเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยจินตนาการ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะในการพับและซ้อนทับจนก่อเกิดเป็นรูปทรงและเหลี่ยมมนต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบของสัตว์ สิ่งของ สถานที่ และดอกไม้นานาพันธุ์ การพับโอริกามิในสไตล์โลกตะวันออก จะนิยมพับให้มีลักษณะรูปฟอร์มคล้ายคลึงธรรมชาติมากที่สุด เน้นการสร้างความโค้งมนและลบเหลี่ยมมุม ส่วนโอริกามิในสไตล์โลกตะวันตก จะมีการพัฒนารายละเอียดของโอริกามิแบบดั้งเดิมที่เน้นความเรียบง่ายให้เกิดการซ้อนทับกันมากยิ่งขึ้น เน้นความโดดเด่นของการพับ และสร้างเหลี่ยมมุม จนเกิดเป็นมุมมองในมิติที่แตกต่างกัน ซึ่งศาสตร์แห่งตะวันออกและตะวันตกได้รวมอยู่ใน "จ๊อยซ์ คัตตี้" (Joyce Kutty)ศิลปินลูกครึ่งอเมริกา-อินเดียคนนี้ศิลปินพับกระดาษ






"จ๊อยซ์ คัตตี้" (Joyce Kutty) สาวลูกครึ่งอเมริกาอินเดีย ที่มีผลงานทั้งไฟอาร์ต จิลเวลรี มิวสิก และมิกซ์มีเดีย ซึ่งจ๊อยซ์จะเดินทางมาสร้างผลงานเมืองไทย และจัดแสดงผลงานที่ห้างสรรพสินค้าเกษร ในคอนเซ็ปต์ "Gaysorn's Flower : Meet Me in the Garden"






โดยโชว์ผลงานพับกระดาษด้วยมือสูงกว่า ๗o ฟุต ในรูปทรงดอกไม้กว่า ๑,o๒๗ ชิ้น ประกอบด้วย กุหลาบ ลิลลี่ ทิวลิป เรียงรายเล่นระดับ นับเป็นศิลปะแนวดิ่งที่โอ่อ่าและงดงาม และยังเป็นแง่มุมโรแมนติก ซึ่งถ้าเป็นงานโชว์ศิลปะทั่วไป คนก็จะมาชมแล้วก็เดินผ่านไป แต่ศิลปินนักพับกระดาษยืนยันว่าจะทำให้คนที่มาห้างหยุดยืนมองและดื่มด่ำกับผลงานได้นานมากกว่าแค่มองผ่านแน่นอน






จุดเด่นของผลงาน จ๊อยซ์บอกว่า เป็นการรวมเอากลิ่นอายของทั้งวัฒนธรรมของจากตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง พ่อและแม่ของเธอให้มุมมองชีวิตจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่างมาก ๆ แต่ตอนนี้มันรวมอยู่ในตัวเธอ


"งานพับกระดาษจุดสำคัญก็คือ การเลือกกระดาษที่เราจะมาใช้พับ กระดาษสานั้นให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ ให้สัมผัสที่ดี มีความใกล้เคียงธรรมชาติ มีการปรุงแต่งลงไปน้อย แถบยังเป็นการรีไซเคิลด้วย ทำให้ผลงานศิลปะของเรามีคุณค่าในหลาย ๆ ทางด้วย" ศิลปินกล่าว






โดยจุดเริ่มต้นสนใจพับกระดาษ จ๊อยซ์เล่าว่า ย้อนไปสักประมาณอายุ ๓ ขวบ เธอเห็นเพื่อนของพ่อพับกระดาษเป็นตู้ที่มีลิ้นชักซึ่งสามารถใช้งานได้จริง เธอจึงเริ่มสนใจในงานพับกระดาษ และมีครั้งหนึ่งที่เธอได้เริ่มพับดอกไม้อย่างเป็นจริงเป็นจัง พับดอกไม้ให้กับแม่ของเธอ แม่ของเธอเลยแนะนำให้กับเพื่อนที่เป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง เพราะเกสรดอกไม้จะเป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เธอจึงอาสาพับดอกไม้เพื่อฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง






"แรงบันดาลใจหลัก ๆ คือ เมื่อเอาดอกไม้ไปให้คนป่วย ไม่ใช่แค่พวกเขาดีใจมากเท่านั้น ตลอดเวลาที่คุยกับผู้ป่วยก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับดิฉันด้วย พวกเขาไม่ได้พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บเลย มันเหมือนกับดอกไม้กระดาษที่เราพับมันเบ่งบานอย่างสวยงาม"






สุดท้ายนี้ จ๊อยซ์อยากเชิญชวนทุกคนให้มาเที่ยว มาชมผลงานของเธอ เพราะเธอและทีมงานตั้งใจมาก และอยากให้ทุกคนลองมาดูศิลปะโอริกามิในสไตล์ของเธอ ผู้สนใจสามารถสัมผัสกับความมหัศจรรย์และความงดงามของศาสตร์แห่งการพับกระดาษ "โอริกามิ" ระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม-๓o พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ Gaysorn atrium Gallery (เกษร เอเทรี่ยม แกลอรี่) ศูนย์การค้าเกษร ตั้งแต่เวลา ๑o.oo-๒o.oo น.











ภาพและข้อมูลจาก
ryt9.com
fiercebook.com
cleothailand.com














“ยง จิ คิม” บอกว่า...จงมีชีวิต มีพลัง และเยาว์วัย



มีชีวิต มีพลัง และเยาว์วัย..... ถ้าคุณได้รับสิ่งเหล่านี้ เมื่อชมผลงานของศิลปินชาวเกาหลี ยง จิ คิม (Young Gi Kim) เชื่อว่าเจ้าของผลงานน่าจะ ยิ้มตาหยี มีความสุขแล้ว เหมือนเช่นหลาย ๆ คนในภาพวาดของเธอ จากการถูกแวดล้อมด้วยและมีปฏิสัมพันธ์ กับกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และหลากหลาย ทั้งทางเชื้อชาติ บุคลิก และลักษณะ ยง จิ คิม จึงดึงเอาความร่าเริง สดใส จากบุคคลรอบๆตัวมาถ่ายทอดลงผลงานศิลปะ


และ Truthful Energy ชื่อนิทรรศการแสดงเดี่ยวผลงานศิลปะในเมืองไทยครั้งนี้ของเธอ ต้องการแสดงออกถึงความมั่นใจ ความสดใส และความเป็นตัวตนของบุคคลเหล่านั้น มนุษย์จะแสดง Truthful Energy ออกมา เมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยทัศนคติเชิงบวก ความรัก ความจริงใจ และความเป็นอิสระจากการถูกตัดสินของสังคม แต่ในสังคมปัจจุบัน Truthful Energy ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก ยง จิ คิม จึงอยากจะบันทึกบรรยากาศขณะที่ผู้คนแสดงออกถึงความสุข ความร่าเริงในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่


ภาพวาดซึ่งเป็นการการผสมกันระหว่างภาพวาดแนวนามธรรมและพอร์เทรตของ สีสันของพื้นหลังที่สดใส ไม่เพียงบ่งบอกถึงบุคลิกของศิลปิน แต่ยังสื่อถึงอารมณ์เบิกบานและความกล้าที่จะแสดงตัวตนอย่างเปิดเผยของคนในภาพ ซึ่งการถ่ายทอดบรรยากาศเหล่านี้ลงในผลงาน ทำให้ ยง จิ คิม ได้มีโอกาสศึกษาถึงการแสดงอารมณ์ในแง่บวกของมนุษย์ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากผลงานภาพวาดเทคนิคสีอะคริลิคบนผ้าใบ ยง จิ คิม ยังมี Dancing Plant ผลงานประติมากรรมรูปพืช มาร่วมจัดแสดงด้วย


มันไม่เพียงจะเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ยังสื่อถึงธรรมชาติที่ไม่มีขีดจำกัด ยง จิ คิม เล่นกับรูปทรงและสีสันอย่างอิสระ ดังนั้นพืชเหล่านี้จึงไม่มีรูปร่างที่ตายตัว สีสันสดใสที่เลือกใช้เพราะเธอมีจุดประสงค์อยากจะให้พืชเหล่านี้ดูมีชีวิต มีพลัง และเยาว์วัย


เป็นไปได้ว่า ยง จิ คิม น่าจะหมายรวมถึงผู้ชมงานของเธอด้วย ชมผลงานศิลปะของเธอแล้ว เราลองมาสำรวจตัวเองสักชั่วครู่ ตอนนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบใด และส่งพลังชนิดไหนออกมา หวังว่าคงเป็น Truthful Energy นะ











































ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














เข้า “โรงหนัง” ท่อง National Gallery ประเทศอังกฤษ
ยลศิลปะยุคเรเนซองส์ และการทำงานของพิพิธภัณฑ์ระดับโลก



เหตุที่ต้องชวนเข้าโรงภาพยนตร์ แทนที่จะชวนเข้าหอศิลป์หรือแกลเลอรี่ เหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะ National Gallery หนึ่งในภาพยนตร์สารคดี ที่ถูกคัดสรรมาฉายให้ชมใน เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา ครั้งที่ ๕ รอบแรก (วันจันทร์ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘) มีคิวฉายให้ชม ณ โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน)


ดังนั้นใครที่ชีวิตนี้ยังไม่มีโอกาสแวะไปเยือน National Gallery (พิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นที่พำนักของงานศิลปะชิ้นเอกของตะวันตก จากยุคกลางจนถึงยุคศตวรรษที่ ๑๙) ณ ประเทศอังกฤษ และต้องการไปทำความรู้จัก ผ่านภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ หรือแม้แต่คนที่เคยไปมาแล้ว แต่อยากรู้ว่าผู้กำกับ Frederick Wiseman จะนำเสนอ National Gallery ที่พวกเขาเคยรู้จัก ออกมาในรูปแบบไหน จึงพลาดไปไม่ได้ ที่จะแวะไปชม






สัณห์ชัย โชติรสเศรณี รองผู้อำนวยการ หอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน) กล่าวว่า National Gallery ถือเป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับศิลปะ เรื่องที่ ๒ ที่เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา คัดสรรมาให้ชม หลังจากที่เทศกาลฯ ครั้งก่อน ๆ เคยคัดสรรภาพยนตร์สารคดีของผู้กำกับชาวมาเลเซีย ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับ “หนังตะลุง” มาฉายให้ชม


แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือก National Gallery มาฉายให้ชมในเทศกาลฯ ครั้งนี้ เพราะเทศกาลฯครั้งก่อน เคยคัดสรรภาพยนตร์สารคดีเรื่อง At Berkeley ผลงานของผู้กำกับคนเดียวกันมาฉาย ปรากฎว่าได้ผลตอบรับจากผู้ชมดีเกินคาด


“ At Berkeley เป็นหนังที่ยาวถึง ๔ ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นเราก็หวั่นๆว่าคนดูจะไหวไม๊ ปรากฎว่าทุกคนชอบ เราฉาย ๒ รอบ รอบที่นี่(โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา) มีคนมาดูเกินครึ่งโรง และรอบในเมือง(หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) มีคนดูเต็มโรง ประมาณ ๒oo ที่นั่ง แสดงว่า คนดูพร้อมจะเปิดรับเนื้อหาแบบนี้เหมือนกัน


พอเทศกาลฯปีนี้ ทางเราทราบว่า Frederick Wiseman เขามีผลงานหนังเรื่อง National Gallery จึงคิดว่าน่าสนใจ ต้องบอกก่อนว่าหนังสือสารคดีมีรูปแบบในการนำเสนอแตกต่างกันไป แต่เรื่องนี้ มีทั้งเรื่องการนำเสนอปัญหา การเข้าไปสังเกตการณ์ การเล่าเรื่อง เมื่อชมไปเรื่อย ๆ เราจะพบเนื้อหาที่หนังอยากจะบอก เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ชมค่อนข้างเยอะ”






ก่อนการฉายภาพยนตร์ ทางผู้จัดคือ หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน) ยังได้เชิญ พิชญา ศุภวานิช ภัณฑารักษ์ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และมนุพร เหลืองอร่าม ภัณฑารักษ์อิสระ มาร่วมพูดคุยถึงการทำงานของหอศิลป์ในบ้านเราในหลายแง่มุมด้วย ขณะที่ความเป็น National Gallery ณ ประเทศอังกฤษ ที่ทั้งสองวิทยากรเคยรู้จัก พิชญา ศุภวานิช ในฐานะผู้ที่เคยไปเยือนสถานที่จริงมาแล้ว ได้แลกเปลี่ยนว่า


“ประเทศอังกฤษมีพิพิพิธภัณฑ์เยอะพอสมควร แต่ National Gallery มีความคลาสสิคในเรื่องการนำเสนอคอลเลกชั่นผลงานศิลปะ ที่เป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ และผลงานเหล่านี้ก็เป็นตัวบ่งบอกวัฒนธรรม และหลาย ๆ อย่าง เพราะศิลปะมันคือทุกอย่าง คือการรวบรวมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนั้นเข้ามาอยู่ในภาพ Painting ภาพเดียว มันคือประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการ






ขณะที่ตัวตึกหรือว่าตัวสถาปัตยกรรมภายนอก มันไม่แสดงตนเหมือนพิพิธภัณฑหลาย ๆ แห่ง ที่มักจะบ่งบอกถึงความเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะแบบอหังการ์ แต่ที่นี่มองจากข้างนอก มีความเรียบง่าย และดูเหมือนว่าข้างใน ไม่น่าจะมีอะไร บรรกาศน่าจะนิ่ง ๆ ดูน่าเบื่อ


แต่พอเข้าไปข้างในปุ๊บนี่ บรรยากาศเหมือนกับรังมด ตรงนู้น ตรงนั้น ตรงนี้ มันเคลื่อนที่ไปหมด มีการ์ด มีพนักงานรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่นำชม ที่คอยตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน กับกรุ๊ปทัวร์ที่เข้ามา มันคือโลกศิลปะที่ถ้าเรามองจากภายนอก เราไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และโดยส่วนตัวรู้สึกว่าวันหนึ่งอยากจะเห็นบรรยากาศแบบนี้ที่บ้านเรา ที่หอศิลป์จะมีฟังชั่นการทำงานที่ขับเคลื่อนได้แบบนี้”


ด้าน มนุพร เหลืองอร่าม แม้จะยังไม่เคยมีโอกาสไปเยือน แต่ในฐานะผู้ที่ติดตามข่าวสารด้านศิลปะอยู่ตลอดเวลา เสริมว่า


“ที่นี่จะเน้นนำเสนอผลงานของศิลปินสมัยเรเนซองส์ และคุณสามารถไปเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะที่นี่ได้เลย และจะได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ดูงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกงานจิตรกรรม หรือ Painting


และล่าสุดทราบมาว่า พิพิธภัณฑ์ เพิ่งจะซื้องานของ ทิเชียน(Titian) ศิลปินชาวอิตาเลียนชื่อดังมาเก็บไว้ในคอลเลกชั่น ซื้อมาในราคาเป็นพันล้าน จนมีคำถามจากคนอังกฤษว่าทำไมต้องซื้อแพงขนาดนั้น เพราะศิลปินเจ้าของผลงานก็ไม่ใช่คนอังกฤษ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ก็มีคำตอบว่า ผลงานของทิเชียน มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ศิลปะของโลก และพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ได้กำหนดสถานะตัวเองว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญสำหรับคนอังกฤษเท่านั้น แต่เป็นสถานที่ด้านศิลปะที่มีความสำคัญสำหรับคนทั่วโลก”






เชื่อมโยงกับกับสิ่งที่ สัณห์ชัย โชติรสเศรณี ตั้งคำถามว่า เหตุใด Frederick Wiseman ซึ่งเป็นผู้กำกับชาวอเมริกัน จึงสนใจที่จะทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ National Gallery ของประเทศอังกฤษ


“น่าสนใจเหมือนกัน เพราะ At Berkeley ภาพยนตร์อีกเรื่องของเขาที่เราเคยนำไปฉาย เนื้อหาเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของอเมริกา พอมาเรื่องนี้เขาทำเรื่อง National Gallery ของอังกฤษ ผมก็เคยตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไม เขาคงมองว่าในฐานะของสถาบันศิลปะในยุคเรเนซองส์ ที่นี่คือสถานที่สมบูรณ์ที่สุด เก็บทุกอย่าง เมื่อคุณเข้าไป คุณสามารถได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ยุคนั้นได้อย่างครบถ้วนที่สุด”


โดยไม่ได้เจาะจงแค่ National Gallery เพียงเรื่องเดียว Frederick Wiseman ได้กล่าวถึงภาพยนตร์สารคดีของตนเองและคนอื่นๆว่า


“ผมหวังว่าหนังสารคดีของผมและของคนอื่นจะคงอยู่ตลอดไป เพราะมันจะทำให้นักประวัติศาสตร์ ในศตวรรษหน้าหัวปั่นแน่ เพราะเขาจะมีสิ่งใช้ศึกษาเพิ่มขึ้น นอกจากสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย คือมีภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้”






แต่สิ่งที่หลายคนรู้สึก เมื่อการชมภาพยนตร์สารคดี ความยาว ๓ ชั่วโมง อย่าง National Gallery สิ้นสุดลง หรือแม้แต่ขณะที่กำลังชมอยู่ก็ตาม สิ่งที่แต่ละคนคงรู้สึกอยู่เป็นระยะ ๆ ก็คือ การทำงานแบบมืออาชีพของทุกคนในทุกกลไกของพิพิธภัณฑ์ ความกระตือรือร้นของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ความสนใจใคร่รู้ของผู้ชม การพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและรอบด้านในทุกเรื่อง ยกตัวอย่างกรณีเช่น หากพิพิธภัณฑ์คิดจะทำกิจกรรมอื่นใด ร่วมกับองค์กรอื่นที่ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนแล้ว ควรจะเป็นการเอื้อให้ผู้ชมหรือประชาชนเข้าถึงกิจกรรมนั้นได้มากขึ้นและอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่กลายเป็นที่พูดถึงผ่านสื่อ และหากคุณเป็นศิลปิน เมื่อชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ คุณคงเกิดแรงบันดาลใจ อยากจะสร้างสรรค์ผลงานให้ดีที่สุด


เพราะวันใดวันหนึ่ง วิญญานของคุณ อาจมายืนยิ้มน้ำตาซึมเป็นแน่ เมื่อได้เห็นภาพที่เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ปฏิบัติกับผลงานของคุณราวประคบประหงม และผู้ชมแต่ละคน ต่างสนใจใครรู้เกี่ยวกับในผลงานของคุณแทบทุกรายละเอียด


ดังเช่นผลงานศิลปะชิ้นเอกทุกๆชิ้นใน National Gallery


ภาพยนตร์สารคดี National Gallery มีกำหนดฉายให้ชมฟรี.. อีกรอบ ในวันศุกร์ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๑๗.oo น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (มีซับไตเติ้ลภาษาไทย)


และผู้สนใจสามารถเข้าไปเช็ครอบการฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่องอื่น ๆ ของ เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๑- ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน) และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ได้ที่...www.facebook.com/salayadoc



ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














The Autopsies Lives in BKK



ในสภาวะแห่งยุคทุนนิยมที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่างๆรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมโลกจึงจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศได้ เฉกเช่นเดียวกับวงการ “ศิลปะร่วมสมัย” อันเป็นปรากฏการณ์ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ที่เริ่มหันมาให้ความสนใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะวงการศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย ซึ่งบอกเล่าถึงสภาวะความหลากหลายที่ดำรงอยู่ร่วมกันของสังคมภายใต้ความแตกต่าง มีทั้งความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ, ภาษา, วัฒนธรรมพื้นถิ่น และอีกมากมาย แต่กลับถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในบริบทของวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในสายตาต่างประเทศ






โครงการ นิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ “The Autopsies – Lives in BKK” คือ โครงการที่เกิดจากความร่วมมือกันของศิลปินกลุ่ม “Autopsies” ศิลปินร่วมสมัยรุ่นใหม่ของไทย เนื่องมาจากศิลปินกลุ่มของข้าพเจ้า นาย มานิตย์ ศรีสุวรรณ์ และกลุ่มศิลปินมีความต้องการนำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทยรุ่นใหม่ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความแปลกใหม่ให้วงการศิลปะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แนวความคิด “การสะท้อนเนื้อหาความเป็นเอกลักษณ์ไทยที่มีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น และการดำรงอยู่ของศิลปวัฒนธรรมเหล่านั้นในสังคมเมืองไทยยุคปัจจุบัน เผยแพร่ออกสู่สายตาวงการศิลปะไทย และวงการศิลปะสากลต่อไป” จึงได้จัดแสดงนิทรรศการอีกครั้งหนึ่ง ณ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า เพื่อเป็นการสานต่อโอกาสให้กลุ่มศิลปินได้มีเวทีแสดงออกผลงานของตนอีกครั้ง โดยจะใช้ชื่อนิทรรศการว่า “The Autopsies – Lives in BKK” ซึ่งมีที่มาจากรูปแบบการใช้ฟิกเกอร์เรทีฟ (Figurative art) ของสมาชิกศิลปินในกลุ่มที่ส่วนใหญ่จะใช้ สรีระของหญิงสาวเป็นตัวส่งผ่าน สื่อความหมายของเนื้อหาผลงาน เพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณอันลึกซึ้งของความเป็นผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณผูกพันกับอดีต รากเหง้าวัฒนธรรม หรือความแข็งแกร่งของความเป็นแม่หรือ วีรสตรีตามท้องถิ่นนั้นๆที่เราเคยได้สัมผัสได้รับรู้ และการสอดแทรกแง่มุมการใช่ชีวิตในวิถีคนเมืองกรุงที่ทุกคนได้เคยสัมผัสจากประสบการณ์เข้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ทั้งนี้ทางศิลปินยังมีความเห็นตรงกันด้วยว่า ผลงานที่จะจัดแสดงควรเป็นผลงานที่มีความเข้มข้น หนักแน่นทั้งทางเนื้อหาและเทคนิคมากกว่าครั้งก่อน เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มศิลปิน






ศิลปินกลุ่ม “The Autopsies” คือกลุ่มศิลปินไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง จำนวน ๘ คน ได้แก่ ๑. นายมานิตย์ ศรีสุวรรณ์, ๒. นายกฤษฎางค์ อินทะสอน, ๓. นางสาวอัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์, ๔. นางสาวศุภรักษ์ นพรัตน์, ๕. นายวิษณุพงษ์ หนูนันท์, ๖. นายสุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา, ๗. นางสาววิลาวรรณ เสาวัง, ๘. นายณเรศ จึง






กลุ่มศิลปินผู้ซึ่งมีความสามารถโดดเด่น ในด้านของผลงานทางทัศนศิลป์กับแนวความคิดที่เป็น อัตลักษณ์สื่อออกอย่างคมคายและมีนัยของความเป็นไทยแฝงไว้พร้อมทั้งแสดงออกได้อย่างงดงาม ลงตัวตามทัศนธาตุความงามทางศิลปะ ซึ่งทำให้ศิลปินหลายคนในกลุ่มเคยได้รับรางวัลรางวัลในเวทีระดับชาติมาแล้วหลายสาขา เช่น การประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ, การประกวดศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ รวมไปถึงรางวัลจากเวทีการประกวดศิลปกรรม จากทางภาคเอกชนต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ ยังมีศิลปินที่เคยเข้าร่วมโครงการ “ค่ายเยาวชนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัย” ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ นายมานิตย์ ศรีสุวรรณ์, นายกฤษฎางค์ อินทะสอน, นางสาวอัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์, นายสุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา โดยศิลปินทุกคนได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนเดินทางไปทัศนะศึกษาและสร้างสรรค์ผลงานต่อยอดในต่างประเทศ นายมานิตย์ ศรีสุวรรณ์, นายสุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา และ นางสาวอัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์ ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนเดินทางไป นครลอสแองเจลลิสประเทศสหรัฐอเมริกา และ นายกฤษฎางค์ อินทะสอน เป็นตัวแทนเยาวชนเดินทางไปทัศนะศึกษายังงาน Venice Biennale ครั้งที่ ๕๕ ณ เมืองเวนิส สาธารณรัฐอิตาลี






การดำเนินโครงการ นิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ “The Autopsies – Lives in BKK” ในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบุกเบิกเส้นทางการเผยแพร่ศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินไทยรุ่นใหม่ ซึ่งแม้จะเป็นการก้าวเดินก้าวเล็ก ๆ แต่เชื่อว่าหากได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากทั้งทางภาครัฐและเอกชน ก็จะสามารถช่วยทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนศักายภาพของศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ได้แสดงออกและใช้ศิลปะที่มีความผสมผสานทางวัฒนธรรมไทยกับชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมไทย ยุคปัจุบัน ส่งเสริมให้วงการศิลปะในประเทศไทยได้มีการพัฒนาแลกเปลี่ยนในวงกว้างของโลกศิลปะปัจจุบัน ให้เป็นที่รู้จักในวงการศิลปะไทยและสากลได้ต่อไปเช่นกัน






นิทรรศการ : ”The Autopsies – Lives in BKK”
ศิลปิน : ศิลปินไทยรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยในนาม กลุ่ม “Autopsies”
ผู้รับผิดชอบโครงการ : มานิตย์ ศรีสุวรรณ์
เวลาจัดแสดง : ๒ –๓o เมษายน ๒๕๕๘
สถานที่ : พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร : o๘๑-๖๙๔-๒๔๘๕















ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Connectivity



หากโลกในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างที่ผลงานของศราวุธหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาตั้งคำถามและถกเถียงกับยุคสังคมที่ไร้พรหมแดน เราคงก้าวเข้ามาสู่ยุคที่คนรอบข้างไม่สามารถกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกได้มากเท่ากับบุคคลเสมือนจริงในโลกไซเบอร์เสียแล้ว และการมีตัวตนคงทำได้ง่าย เพียงนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วออนไลน์ ….เพื่อพิสูจน์ว่า เรายังเป็นคนจริง ๆ ที่จะคอยอยู่ข้าง ๆ พร้อมจะหัวเราะ ร้องไห้ และช่วยเหลือเพื่อนศิลปินให้มีอนาคตที่มั่นคงไปพร้อมกับวงการศิลปะที่แข็งแรง


HOF ART จึงพร้อมสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ความกระตือรือร้น มีความตั้งใจสูง ความกล้าที่จะริเริ่มทำต่างๆ และศราวุธเป็นศิลปินคนนั้น เป็นศิลปินที่มีความมุ่งมั่นและลงมือทำจริงอย่างตั้งใจ ไม่ใช่เพียงโอ้อวด ซึ่งผลของการซื่อตรงต่ออาชีพ ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ทำได้ ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพกึ่งนามกรรมบอกเล่าเรื่องราวที่เสียดสีกระแสสังคมในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ


สังคมไร้พรหมแดนในยุคอินเตอร์เน็ต ดิจิตอล ช่างแสนสะดวกสบายในการสื่อสาร เป็นไปอย่างรวดเร็วนั้น ล้วนเกิดจากการเดินทางที่เปลี่ยนไปของสังคมกาลเวลาสมัยใหม่ เมื่อสื่อกระแสนิยมต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่ไหลผ่านเข้ามาในวงจรชีวิต ให้เราต่างเสพสื่อเกินที่จะควบคุมได้ ทำให้เรายิ้ม ร้องไห้ หัวเราะ แก่งแย่ง ร่าเริง เศร้า เหงา ฯ ล้วนเกิดจากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น ไม่ใช่อิทธิพลของผู้คนรอบข้างเหมือนอย่างแต่ก่อน ที่ทำให้เราเกิดอารมย์ต่าง ๆ ความอยาก ความต้องการภายในจิตใจนั้นเกิดขึ้นได้อย่างง่าย และรวดเร็วเช่นกัน เพื่อจะได้มาเพื่อสิ่งที่เราต้องการ


นิทรรศการ : Connectivity / สภาวะการเชื่อมต่อ
ศิลปิน : Sarawut Yasamut / ศราวุธ ยาสมุทร
เวลาจัดแสดง : ๑๔ มี.ค. - ๒๘ เม.ย. ๒๕๕๘
สถานที่ : HOF ART Space at W District
โทรศัพท์ : o๒-๑๗๘-oo๙๕
Email : sora.soratree@gmail.com
เวบไซต์ : //www.hof-artbangkok.com































ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Tangled up in blue



พงษ์สกุล ชาเหลา ศิลปินหนุ่มชาวไทยวัย ๒๗ ปี ผู้ซึ่งสะสมผ้ายีนส์มากว่า ๑o ปี เขาตัด แต่ง ผ้ายีนส์เหล่านี้ออกเป็นชิ้น เป็นส่วน แล้วนำมาต่อเข้ากันเป็นทัศนียภาพแห่งความคิด ซึ่งถูกกระตุ้นด้วย ภาพสังคม-วัฒนธรรม ของกรุงเทพ และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ แนวคิดที่ผ่านการจุดประกายนี้ ถูกสะท้อนออกมาผ่านโทนสีและความเข้มจางของผ้ายีนส์


พงษ์กุล ศึกษาเล่าเรียนจนจบ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ แต่เทคนิคการปะติดต่อผ้า คือสิ่งที่เขาเรียนรู้ ฝึกฝนด้วยตนเอง กึ่งกลางระหว่างเทคนิคและแนวคิด ผ้าสีฟ้าซึ่งมีความสำคัญอยู่ที่ความเรียบง่ายและสบายในการสวมใส่ ที่อยู่เหนือทุกสไตล์ ทุกวัฒนธรรม ทุกชนชั้น มาแล้วทุกรุ่น ทุกสมัย เขาตั้งคำถามและค้นหาความหมายใหม่ ในเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงของตัววัตถุ ทุกขอบเขตที่เป็นไปได้ ซึ่งกั้นอยู่ระหว่างนามธรรมและความเป็นจริง ความเชื่อของโลกตะวันออกกับตะวันตก และความร่ำรวยกับความยากจน ถูกเขานำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


พงษ์สกุล สร้างภาพที่สับสนด้วยสีฟ้า ซึ่งเป็นสีฟ้าเดียวกันกับที่มีในภาพฝันของฮวน มีโร ระหว่างที่สดับฟังเสียงเพลงของบ๊อบ ดีแลน เขาเพิ่มความเข้มข้นในความเข้มจางและการตัดกันของแสงและเงา จักรเย็บผ้าของเขา สร้างเส้นขอบและความมีอยู่ให้กับการแสวงหาทัศนียภาพที่อยู่เหนือคำบรรยายทั้งปวง ความงดงามซึ่งเกิดขึ้นในทางโลก ถูกสร้างขึ้นเป็นภาพที่เราผ่านพบในทุกวัน แต่ไม่เคยมองเห็นมันจริง ๆ เลยสักที


เป็นผลงานที่เข้าถึงสัญลักษณ์แห่งความเป็นโลกาภิวัตน์ ในโลกร่วมสมัย ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพลวดลายที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยจารีตนิยมและความคาดหวังอย่างที่งานศิลปะควรจะเป็น ซึ่งแสดงออกให้เห็นอย่างเฉียบแหลมและชาญฉลาด


นิทรรศการครั้งนี้ จะจัดแสดงผลงานศิลปะล่าสุดของพงษ์กุล พร้อมด้วยจักรเย็บผ้า เครื่องมือสร้างผลงานแทนที่พู่กันเขียนภาพ และผ้ายีนส์ แทนที่สี ศิลปะการตัดแปะผ้ายีนส์ของพงษ์กุลนี้ เคยถูกนำไปจัดแสดงแล้วที่หอศิลป์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, V64 อาร์ตสตูดิโอ และ Brownstone สตูดิโอ


นิทรรศการ : Tangled up in blue
ศิลปิน : Pongsakul Chalao’s/พงษ์สกุล ชาเหลา
เวลาจัดแสดง : ๑๖ เม.ย.– ๘ มิ.ย. ๒๕๕๘
สถานที่ : Sgallery
โทรศัพท์. : o๙๓-๕๘๒-๖๕๘๘
Email : sgallery.bangkok@gmail.com
//www.facebook.com/sgallerysukhumvit



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Crossover : The Unveiled Collection



เริ่มต้นจากแนวคิดที่มาบรรจบกันระหว่างประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยกับประวัติศาสตร์ ของการสะสมผลงานศิลปะของนักสะสม กลุ่มคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามจากวงวิชาการ ทางศิลปะ ในขณะที่ผลงานจากการสะสมของพวกเขาได้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยอย่างน่าสนใจ นิทรรศการ crossover : The Unveiled Collection ยังต้องการจุดประกายให้กับบุคคลทั่วไป ศิลปิน นักศึกษาศิลปะ รวมถึงนักสะสมท่านอื่นๆ ได้สัมผัสกับผลงานชิ้นเยี่ยมในประวัติศาสตร์ศิลปะไทย และ เพื่อเข้าถึงความสำคัญของการเก็บรักษา สะสม ร่วมกันดูแล และเผยแพร่สมบัติทางวัฒนธรรมเหล่านี้ต่อไป


นักสะสม : กิตติโชติ หริตวร, กิตติภรณ์ ชาลีจันทร์, ฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที, ชนะ อัษฎาธร, ฌ็อง มิเชล เบอร์เดอเล, ณรงค์ อิงค์ธเนศ, ดร.ดิสพล จันศิริ, ทัชชะพงศ์ ประเวศวรารัตน์, ปริญญ์ จิราธิวัฒน์, พงศา อธิรกุล, พงษ์ชัย จินดาสุข, เพชร โอสถานุเคราะห์, ภัคพงศ์ เช็ง, เยาวณี นิรันดร, ดร. วุฒิพงศ์ กิตติธเนศวร, นพ. สมรัช หิรัญยะวะสิต


ภัณฑารักษ์รับเชิญ : ธวัชชัย สมคง, ชล เจนประภาพันธ์


พิธีเปิดนิทรรศการ วันพุธที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๓o น. ประธานในพิธี โดย คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น ๗ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


นิทรรศการ : Crossover : The Unveiled Collection
เวลาจัดแสดง : ๒o ก.พ. – ๑๔ มิ.ย. ๒๕๕๘
สถานที่ : 7th floor, Bangkok Art and Culture Centre
โทรศัพท์ : o๒-๒๑๔-๖๖๓o/๕o๑
อีเมล์ : info@bacc.or.th



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














จิตรกรรมเอเชียพลัส ปีที่ ๕ เข้มข้นเลือกเฟ้นศิลปินหน้าใหม่



เข้าสู่ปีที่ ๕ ของการจัดประกวดจิตรกรรมเอเซีย พลัส เพื่อสานต่อเจตนารมณ์การส่งเสริมศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ให้มีเวทีการสร้างผลงานในวงการศิลปะและสนับสนุนการสร้างสรรค์ศิลปกรรมอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งปีนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้สร้างความเข้มข้นในการแข่งขันด้วยการเพิ่มคณะกรรมการในการตัดสินขึ้นอีก ๒ ท่าน คือ อาจารย์ปรีชา เถาทอง, อาจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ และเพิ่มมูลค่ารางวัลในการประกวดเป็นเงินกว่า ๖oo,ooo บาท


โดย ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการดำเนินงานในโครงการนี้ว่า “ถึงเราเป็นส่วนหนึ่งในหลาย ๆ ที่ของสนามประลองศิลปะ แต่ที่มาจัดการประกวดจิตรกรรมเอเซีย พลัส ก็ดีใจที่ทุกปีจะมีศิลปินหน้าใหม่ ๆ มุ่งหน้าเข้ามาใช้สนามประลองฝีมือและสร้างผลงานเป็นที่น่าภาคภูมิใจให้กับวงการศิลปะของไทย การก้าวขึ้นปีที่ ๕ ถือเป็นการเติบโตและพร้อมกับการเพิ่มพลังใจสำคัญของการจัดประกวดจิตรกรรม เอเซีย พลัส ในการส่งเสริมศิลปินให้มีโอกาสได้ประกวดผลงาน และยังสามารถสร้างกระแสนิยมงานศิลป์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง”





อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์



ส่วน ณินทิรา โสภณพนิช กรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในการจัดงานครั้งที่ ๕ นี้ว่า “ในปีนี้ทางเอเซีย พลัส ได้เรียนเชิญอาจารย์ด้านศิลปะของเมืองไทย เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการประกวดจิตรกรรมเอเซีย พลัส เพิ่มขึ้น ๒ ท่าน คือ อาจารย์ปรีชา เถาทอง ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๒ ซึ่งท่านเป็นนักวิเคราะห์งานศิลปะคนสำคัญของเมืองไทย และอาจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ เป็นศิลปินชั้นครู ที่มีผลงานในแนว Modern & Contemporary ซึ่งอาจารย์ทั้ง ๒ ท่านจะมาร่วมทีมกับคณะกรรมการเดิมของเรา คือ อาจารย์อิทธิพล ตั้งโฉลก, อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อาจารย์สมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ รวมเป็น ๕ ท่าน ซึ่งมุมมองในการตัดสินผลงานที่เข้าประกวดของปีนี้จะเข้มและหลากหลายขึ้น จนน่าจับตามอง”


ด้าน อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ หนึ่งในคณะกรรมการ แนะเทคนิคการสร้างชิ้นงานตามแนวคิดของโจทย์ “จังหวะ ดนตรี กวี ศิลป์” ว่า “โจทย์นี้เราอยากเห็นความหลากหลาย มันเป็นนามธรรม ดังนั้นรูปเขียนมันน่าจะออกมาในแนวที่เป็นนามธรรมเยอะขึ้น รูปธรรมน้อยลง จะนำไปสู่รูปเขียนที่แปลกใหม่ขึ้น เราต้องการความแปลกใหม่ในงานศิลปะ อยากให้คนเขียนรูปนั้นได้ทดลองเทคนิคใหม่ๆ องค์ประกอบแปลกใหม่ ได้สร้างงานศิลปะที่ห่างจากความเคยชินของตัวเอง เผื่อว่าอาจจะได้ศิลปิน และผลงานศิลปะแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น นี่คือความคาดหวังนะ”






การประกวดจิตรกรรมเอเซีย พลัส ครั้งที่ ๕ นี้ ได้ปรับเพิ่มเงินรางวัลรวมกว่า ๖oo,ooo บาท ซึ่งแบ่งออกเป็น รางวัลที่ ๑ เงินรางวัล ๒oo,ooo บาท พร้อมเกียรติบัตร จำนวน ๑ รางวัล, รางวัลที่ ๒ เงินรางวัล ๑๕o,ooo บาท พร้อมเกียรติบัตร จำนวน ๑ รางวัล, รางวัลที่ ๓ เงินรางวัล ๑oo,ooo บาท พร้อมเกียรติบัตร จำนวน ๑ รางวัล, รางวัลชมเชย ๓ รางวัล รางวัลละ ๕o,ooo บาท พร้อมเกียรติบัตร


โดยนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถส่งผลงาน เป็นผลงานจิตรกรรม ๒ มิติ ใช้สีอะคริลิก สีน้ำมัน หรือ สื่ออิสระบนผ้าใบ ขนาดผลงานไม่เกิน ๑๕ox๒oo ซม. (ไม่รวมกรอบ) ศิลปินมีสิทธิ์ส่งผลงานเข้าประกวดคนละไม่เกิน ๒ ภาพ กำหนดส่งผลงานภายในวันที่ ๒o-๒๔ เม.ย. ๒๕๕๘ (เวลา ๙.oo-๑๗.oo น.) ที่บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ชั้น 3 สาธรซิตี้ทาวเวอร์ ประกาศผลภายใน ๑๕ พ.ค. ๒๕๕๘



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














ลองล่องยะลา ๒ : ฮาลาบาลา



นับเป็นแหล่งรวมพลคนอินดี้ ที่นิยมกิจกรรมอาร์ต ๆ คูล ๆ กันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ เดอะ แจม แฟคตอรี่ (The Jam Factory) ล่าสุดเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่คิดดี ทำดี มารวมตัวกัน พร้อมจัดนิทรรศการภาพถ่ายในโครงการลองล่องยะลา ครั้งที่ ๒ ภายใต้ชื่อ “ลองล่องยะลา ๒ : ฮาลาบาลา”


รวบรวมภาพถ่ายของบรรดาผู้ร่วมทริปทั้งนักออกแบบ สถาปนิก ช่างภาพ และกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ ที่รวมตัวกันไปร่วมทริปบันทึกความงามหลังเลนส์ในผืนป่าฮาลาบาลา ป่าฝนที่ยิ่งใหญ่ในด้านความมั่งคั่งของความหลากหลายทางชีววิทยา และอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดยะลา-จังหวัดนราธิวาส มาถ่ายทอดเป็นนิทรรศการภาพถ่ายครั้งล่าสุดนี้ ที่ตั้งใจทำให้ยะลาเกิดบทสนทนาใหม่ในมุมมองของเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสวยงามและศิลปะ


ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันความตั้งใจดีๆ ของคนกลุ่มหนึ่งที่หวังจะช่วยกันถ่ายทอดแง่งามของ “ยะลา” ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยทั่วกัน พร้อมชื่นชมความงดงามของทัศนียภาพผืนป่าฮาลาบาลา ที่ขึ้นชื่อว่างดงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ผ่านนิทรรศการภาพถ่าย “ลองล่องยะลา ๒ : ฮาลาบาลา” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม – ๒๖ เมษายนนี้


ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการฯ และชมส่วนหนึ่งของภาพถ่ายสวย ๆ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ //www.facebook.com/longlongyala


วิธีการเดินทางมา เดอะ แจม แฟคตอรี่ สามารถเดินทางมาได้หลายเส้นทาง สำหรับผู้ที่เดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานีสะพานตากสิน ออกทางออกที่ ๑ เพื่อใช้บริการเรือข้ามฟากแม่น้ำใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินจากท่าเรือสาทร ไปถึงท่าน้ำ est จากนั้นให้เดินตรงออกมาที่ถนนและข้ามมาฝั่งตรงข้าม เพื่อเดินทางไปคลองสานพลาซ่า (อยู่ติดโรงแรมมิลเลเนี่ยม ฮิลตัน) เดินผ่านตลาดไปเรื่อย ๆ จะเจอวัตสันให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเดินตรงไปตามซอย เดอะ แจม แฟคตอรี่ จะอยู่ด้านขวามือ สำหรับผู้ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ให้มาทางแยกคลองสาน ขับเข้ามาที่ทำการเขตคลองสาน และขับตรงไปให้สุดด้านใน จากนั้นกลับรถตรงออกมาอีกหน่อยด้านซ้ายมือจะเห็นสะพานข้ามคลองเล็ก ๆ ให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาจะเห็นประตูผ่านเข้ามานิดเดียว เดอะ แจม แฟคตอรี่ จะอยู่ด้านซ้ายมือ



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Workshop ดอกไม้กระดาษ เมษายน ๒๕๕๘



สมัครทางกล่องข้อความแฟนเพจ และ Lind id : paperart
เรียนที่บ้านบางขุนนนท์ ๒๔

Basic 1 เวลา ๙.oo-๑๗.oo น./ ๔,๕oo บาทต่อท่าน (จบคอร์สใน ๑ วัน)
แพทเทิร์น ๔-๘-๑๒ กลีบ ให้เป็นดอกไม้ได้หลายชนิด และการจัดช่อ ๓ มิติ
ส. ๔ เมษายน
อ. ๗ เมษายน
ส. ๑๘ เมษายน
อ. ๒๑ เมษายน

Basic 2 เวลา ๙.oo-๑๗.oo น./ ๔,๕oo บาทต่อท่าน (จบคอร์สใน ๑ วัน)
แพทเทิร์น ๑-๕ กลีบ ให้เป็นกุหลาบและดอกไม้ได้หลายชนิด และทำ Backdrop ขนาดจำลอง
อา. ๕ เมษายน
พ. ๘ เมษายน
อา. ๑๙ เมษายน
พ. ๒๒ เมษายน

*ใช้กระดาษเรเนซองซ์ ๒oo แกรม / มีอุปกรณ์ Workshop ให้พร้อมใช้
** เรียนคอร์สเดียวได้และสามารถเลือกวันได้ แต่ถ้าจะเรียน Basic 2 ต้องผ่าน Basic 1



ภาพและข้อมูลจาก
FB Thaipaperart














สานมรดกหัตถศิลป์จากรุ่นสู่รุ่น



ศิลปะหัตถกรรม งานจารีตด้วยฝีมือ แฝงไปด้วยความงดงามที่ทรงค่า เป็นเอกลักษณ์บอกถึงความเป็นไทย ที่นับวันเมื่อกาลเวลาผ่านไปยิ่งเลือนหายไปทีละน้อย...ในงาน “เทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ ๒๕๕๘” ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติ ไบเทค บางนา ได้จัดแสดงงานศิลปะแขนงต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย แต่ที่เห็นจะสะดุดตาคือซุ้ม “ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม” ผู้สืบทอดและอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยไม่ให้จางหายไป สังคมไทยจำเป็นจะต้องมีบุคคลเหล่านี้ไว้เพื่อสืบสาน อนุรักษ์งานศิลปหัตถกรรมอันล้ำค่า ที่บรรพบุรุษสร้างมาหลายยุคหลายสมัยให้ได้คงอยู่สืบไป เพื่อคนรุ่นหลังได้เห็นถึงความสวยงามในงานประเภทต่าง ๆ






กระเป๋า ขัน กำไร สร้อย ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยเครื่องเงิน ลักษณะรูปทรงโบราณ แวววับสะท้อนรับกับแสงไฟ ผลงานของ ณัฐวุฒิ พลเหิม ทายาทรุ่นที่ ๒ ของ ขวัญ พลเหิม ผู้เป็นแม่บอกเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ช่วยพ่อแม่ทำงานนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนตัวรู้สึกชอบเพราะสวยงามดี เป็นสิ่งแรกที่พ่อกับแม่ปลูกฝังให้ซึ่งช่วยสร้างฐานะให้ครอบครัวมีกินมีใช้ กอปรกับเป็นคนชอบอะไรที่ท้าทายซึ่งงานนี้่ท้าทายมาก เพราะต้องใช้ทั้งสมาธิ ความอดทน และทักษะอีกหลายอย่างถึงจะสร้างสรรค์งานสักชิ้นขึ้นมาให้สำเร็จ อย่างงานที่ทำเสียผิดพลาดก็ต้องตั้งต้นเริ่มทำใหม่ตั้งแต่แรก ที่สำคัญงานที่ทำจะคงเอกลักษณ์ลวดลายดั้งเดิม จะเปลี่ยนก็เพียงรูปแบบโครงสร้างเพื่อให้ร่วมสมัยมากขึ้น ไม่อยากให้งานศิลปะที่สวยงามแบบดั้งเดิมนั้นจางหายไป






“ผมคิดว่าถ้าหากไม่มีใครมาสืบทอดงานเครื่องเงินต่อไปคงเสียใจไม่น้อย แต่ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะไม่ยอมให้มันสูญหายไป จะยังคงอนุรักษ์ลวดลายเก่าแก่ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความสวยงาม ได้ฝึกฝนเพราะงานประเภทนี้จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ให้ไปทำงานอื่นก็คงไม่ไป อยากอยู่ทำงานร่วมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยกันสร้างสรรค์งาน มีความสุขได้ทำงานกับคนที่เรารักเพราะงานเครื่องเงินเป็นรากเหง้าของเรา” ทายาทงานหัตถกรรมเครื่องเงิน กล่าวพร้อมกับฝากว่า สำหรับคนรุ่นหลังถ้าชื่นชอบงานพวกนี้ สามารถมาฝึกฝนกันได้ บางคนคิดว่ายาก เพราะเป็นงานละเอียดประณีต แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิด ลองมาทำให้สำเร็จสักชิ้น เชื่อเถอะว่าจะต้องภูมิใจที่ได้สร้างผลงานชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง


“หากการทำเครื่องจักสานต้องหายไปจริง ๆ ผมคงเสียดายมาก เพราะงานแต่ละชิ้น มีทั้งความสวยงาม ความละเอียดละออ ที่สำคัญคนที่สร้างสรรค์ขึ้นมาล้วนทำด้วยความใส่ใจ รวมทั้งได้ร่วมอนุรักษ์งานประเภทเครื่องจักสานของไทยให้อยู่สือบไป” เสียงจาก คมกฤช บริบูรณ์ ทายาทรุ่นที่ ๒ ผู้สืบสานหัตถกรรมพื้นบ้าน จักสานไม้ไผ่พนัสนิคม เจ้าตัวบอกว่า เริ่มต้นตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ ตอนนั้นคุณแม่เป็นคนรับงานมาทำงานจากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ตัวเองรัับช่วงทำต่อในปี ๒๕๔๓ เพราะช่วงนั้นคุณแม่ป่วยและได้เสียชีวิตลง มีสมาชิกที่ต้องดูแลกว่า ๙o ชีวิต ทำงานอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัว ส่วนตัวเรียนจบด้านสถาปัตยกรรมประกอบกับการที่เติบโตคลุกคลีมากับงานเหล่านี้ ทำให้มองเห็นงานที่สวยงามตั้งแต่ยังเป็นเด็ก






“ต้องบอกว่าอำเภอพนัสนิคมมีงานจักสานที่มีชื่อเสียง มีสเน่ห์แตกต่างจากที่อื่น เรามีทักษะบวกกับฝีมือ เน้นในเรื่องของมาตรฐานคุณภาพ งานที่ทำต้องออกแบบเองไม่มีการลอกเลีียนแบบงานคนอื่น เพราะที่พนัสนิคมมีทั้ง ชาวไทย ลาว จีน อาศัยอยู่รวมกัน จึงทำให้สมาชิกที่สร้างสรรค์งานออกมาได้หลายรูปแบบ ยังสามารถนำมาผสมผสานเพื่ื่อความสวยงามให้เกิดกับผลงานชิ้นใหม่ ๆ และถ่ายทอดความรู้ให้กับชาวบ้านที่สนใจเพื่อเป็นการสร้างอาชีพและเกิดรายได้เลี้ยงครอบครัว และในปัจจุบันลูกหลานรุ่นหลังที่เติมโตมาก็ได้มีการฝึกฝนตั้งแต่เด็กให้เกิดความคุ้นเคย เพื่อมาสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านไม่ให้เลือนหายไปจากประเทศไทย” ทายาทรุ่น ๒ กล่าวปิดท้าย


ทุกวันนี้หลายสิ่งอย่างที่เป็นศิลปวัฒนธรรมล้ำค่าเก่าแก่ของไทยกำลังสูญหายไปก็มาก และอีกหลายอย่างกำลังเลือนหายลงไปทุกที จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนรุ่นหลังที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ต่อไป



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














ปฐมบทแห่งประติมากร



ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ศาลายา เชิญชมงานนิทรรศการปฐมบทแห่ง ประติมากร พบกับการแสดงประติมากรรมของศิษย์เก่าสถาบันพัฒนศิลป์ ในรูปแบบดีไซน์ต่าง ๆ ที่แสดงถึง ความสวยงามที่เกิดจากจินตนาการภายในจิตใจที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะนั้นที่เกิดจากรูปทรง แสดงออกมาเป็นศิลปะในด้านSculpture หรือ ประติมากรรม โดยศิลปะแขนงนี้เป็นศิลปะที่ศิลปินได้ถ่ายทอด ผลงานออกมาภายใต้รูปแบบ ๓ มิติ ความสวยงามที่เกิดจากจิตนาการภายในจิตใจที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะนั้น แล้วแต่จุดประสงค์ สถานะ รสนิยม ความถนัด และยังอิงความเป็นไปของสังคมในแต่ละยุคสมัยด้วย


นอกจากนี้พบกับกิจกรรมดนตรีโฟล์คซอง และการสาธิตวาดรูป Portrait วาดรูปสีน้ำ การแสดงภาพพิมพ์ ระหว่างวันที่ ๒๑ – ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ศาลายา



ภาพและข้อมูลจาก
centralplaza.co.th














อมตะคลาสสิก ตราตรึงชั่วนิรันดร์



คืนแห่งบทเพลงโอเปรา “อมตะคลาสสิค ตราตรึงชั่วนิรันดร์” ทุกวันศุกร์ในเดือนมีนาคม ณ แอนเจลินี โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ


เพียง ๔ คืนทุกวันศุกร์ในเดือนมีนาคม ที่ท่านจะได้ดื่มด่ำกับอาหารอิตาเลียนปรุงโดย เชฟโอมาร์ อูโกเลตติ เคล้าบทเพลงโอเปร่า ณ แอนเจลินี ห้องอาหารอิตาเลียนและบาร์ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ประตูสู่คืนแห่งบทเพลงโอเปร่าเปิดให้ทุกท่านได้รับความสุนทรีย์เวลา ๑๙.oo น.


รื่นรมย์กับคืนแห่งบทเพลงโอเปร่าและอาหารอิตาเลียน ๔ คอร์ส ในวันศุกร์ที่ ๖, ๑๓, ๒o และ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเชฟโอมาร์สร้างสรรค์อาหารอิตาเลียนชุดพิเศษ ๔ เมนูเพื่อให้ท่านรับอรรถรสของอาหารในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน ในราคาท่านละ ๒,๒oo บาทถ้วน (เฉพาะอาหารและเครื่องดื่มต้อนรับ ๑ แก้ว) และ ท่านละ ๓,๖oo บาทถ้วน (อาหารจับคู่กับไวน์และเครื่องดื่มต้อนรับ ๑ แก้ว)


คณะนักร้องโอเปร่าที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์จาก แกรนด์ โอเปร่า (ประเทศไทย) จะนำท่านสู่คืนพิเศษในธีม “อมตะคลาสสิค ตราตรึงชั่วนิรันดร์” โดยในแต่ละคืนนักร้องหญิงชายที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ร้องเพลงโอเปร่าทั้งในและต่างประเทศ จะบอกเล่าเรื่องราวอมตะที่ร้อยเรียงผ่านตัวโน๊ตด้วยถ้วงทำนองโอเปร่าสุดโรแมนติก ซึ่งจะทำให้ท่านเคลิบเคลิ้มราวถูกสะกดด้วยมนตร์วิ เศษ


วันศุกร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ชิคาโก
วันศุกร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ มาย แฟร์ เลดี้
วันศุกร์ที่ ๒o มีนาคม ๒๕๕๘ ฟิดเดอเลอร์ ออน เดอะ รูฟ
วันศุกร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘ เลิฟ คอนเควอร์ ออล (ตัดตอนจากละครเพลงหลากหลายเรื่อง)
สำรองที่นั่งได้ที่ ฝ่ายสำรองที่นั่งห้องอาหาร โทร o-๒๒๓๖-๙๙๕๒ หรือ o-๒๒๓๖-๗๗๗๗ ต่อ ๖๒o๕-๖ หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com หรือเว็บไซต์ bangkokriversidedining.com



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com


























ภาพและข้อมูลจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์



บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 26 มีนาคม 2558
Last Update : 26 มีนาคม 2558 22:24:22 น. 0 comments
Counter : 4087 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.