happy memories
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
19 กุมภาพันธ์ 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๘๙





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










‘พระเทพฯ’เสด็จฯน่านในงานเฉลิมพระเกียรติ



ภาครัฐ เอกชน ร่วมใจจัดงาน ‘วันนี้วันดี สักการะราชกุมารี ในนันทบุรีศรีลานนา’ เฉลิมพระเกียรติครบ ๕ รอบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.น่าน


เมื่อเวลา ๑๘.oo น. วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ ๕ รอบ “วันนี้วันดี สักการะราชกุมารี ในนันทบุรีศรีลานนา” โดยพสกนิกรชาวไทยและชาว จ.น่าน ต่างร่วมใจจัดการแสดงเทิดพระเกียรติ ๑๘ ชุด พร้อมด้วยการแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติ และคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังของไทยอีกมากมาย ณ ข่วงเมืองน่าน


บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น พสกนิกรต่างสวมใส่ชุดพื้นเมืองล้านนามาร่วมงาน ขณะที่มีบุคคลสำคัญเดินทางมาพร้อมพรั่ง อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมภริยา นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ม.ร.ว.ดิศนัดดา-ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี น.ส.กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย






พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานบริหารบริษัท กิฟฟารีน จำกัด พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานกรรมการบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดร.อภิชัย จันทรเสน นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ศ.ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ นายกลินท์-นางเพชรพริ้ง สารสิน นางวัลลิยา ปังศรีวงศ์ นางพาสินี ลิ่มอติบูลย์ เป็นต้น


หลังจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรการแสดงชุดที่ ๑ รำถวายพระพร เพลงลาวรำพึง-ลาวชมดง แล้ว นายอุกริช พึ่งโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน





ต่อด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายราชสดุดีและพระพรชัยมงคล ใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ และที่ร่วมชุมนุมพร้อมกันอยู่ ณ เมืองน่านแห่งนี้ ล้วนมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ได้มีโอกาสแสดงความจงรักภักดี และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณใต้ฝ่าละอองพระบาท เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ปวงข้าพระพุทธเจ้า ล้วนประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่า ใต้ฝ่าละอองพระบาท ได้ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและกำลังพระปัญญา บำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการ โดยมิได้ทรงย่อท้อต่อความเหนื่อยยากมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ ด้วยพระราชประสงค์ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่เหล่าอาณาประชาราษฎร์ โครงการในพระราชดำริต่าง ๆ อันก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การพัฒนาการศึกษาของเด็กและเยาวชน ตลอดจนการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ล้วนนำไปสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน น้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณ กอปรทั้งพระราชจริยวัตรที่งดงาม อันเป็นที่ปลาบปลื้มปีติยิ่ง ส่งเสริมให้พระเกียรติยศปรากฏกำจาย พระบารมีปกเกศคุ้มเกล้าเหล่าประชาชาวไทย ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา






จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ซึ่งเป็นอาหารจีนเสฉวน ที่บริษัท เหมยโจวตงโพ เคเทอริ่ง แมเนจเมนท์ (ปักกิ่ง) จากมหานครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับคณะผู้จัดงานจัดถวาย พร้อมทอดพระเนตรการแสดงเฉลิมพระเกียรติจากนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนใน จ.น่าน ทั่วทุกอำเภอ อีก ๑๗ ชุด ได้แก่ การแสดงเชิญชมดอกไม้, บ่าวสาวไทลื้อ เลื่องลือต่ำหูก โดย อ.เฉลิมพระเกียรติ-อ.ทุ่งช้าง, การแสดงละอ่อนชะชะช่า เพลงลาวดวงดอกไม้, ฟ้อนแง้นปูจาเจ้าฟ้าสิรินธร โดย อ.สองแคว-อ.เชียงกลาง, คอนเสิร์ตเพลงรัก โดย ศิลปินรับเชิญ นายสบไชย ไกรยูรเสน และนายเศกพล อุ่นสำราญ, การแสดงไหว้สาเจ้าฟ้า น้อมบูชามิ่งเมืองแก้ว โดย อ.ปัว และ อ.บ่อเกลือ, ชุดการแสดงฟ้อนน่านฟ้า (ซอล่องน่าน) โดย น.ส.สุนทรี เวชานนท์ และนายภานุทัต อภิชนาธง ขับร้องเพลงน้ำน่านธารรัก โดยศิลปินรับเชิญ น.ส.ปนัดดา เรืองวุฒิ และนายอุเทน พรหมมินทร์






การฟ้อนซอเทิดพระเกียรติ โดย อ.ภูเพียง-อ.บ้านหลวง, การแสดงชุดค่อยคลาดค่อยไคลในนันทบุรี โดยศิลปินรับเชิญ น.ส.วิรดา วงศ์เทวัญ นายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และนายสร่างศัลย์ เรืองศรี, การฟ้อนต้นดอก โดย อ.นาน้อย-อ.นาหมื่น, การแสดงดนตรี เดือนเพ็ญ เพลงเดือนเพ็ญ โดย นายสบชัย ไกรยูรเสน นายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และน.ส.บัณฑิตา ฐานวิเศษ, ฟ้อนเจิงตบมะผาบ โดย อ.ท่าวังผา-อ.เวียงสา, การแสดงชุดคนรักหาย จาก 8 อีเกิร์ลส์ และศิลปินรับเชิญ น.ส.หลี่ หยาง, การฟ้อนล่องน่าน โดย อ.แม่จริม-อ.สันติสุข, การขับร้องเพลงรักษ์ป่าน่าน โดยแอ๊ด คาราบาว, เพลงป่าลั่น โดยนายหัสวินทร์ ประยูรพิทักษ์ และนายเศกพล อุ่นสำราญ ต่อด้วยขบวนอัญเชิญของเฉลิมพระขวัญ โดย น.ส.ตรีรัก รักการดี






ปิดท้ายด้วยการแสดงชุดที่ ๑๘ “เจ้าย่านางแก้วกุมารีศรีล้านนา” โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมแสดงเดี่ยวระนาดฝรั่ง หรือมาริมบา โดยมีนายบัณฑูร ล่ำซำ ผู้ประพันธ์บทเพลงดังกล่าวร่วมรำทวน ประกอบการแสดง โดยระหว่างการแสดงมีการจุดพลุเฉลิมพระเกียรติ ทั่ว อ.เมืองน่าน ประกอบด้วย ชุดที่ ๑ พระเกียรติก้องเกริกฟ้า ชุดที่ ๒ สิรินาภาเกรียงไกร ชุดที่ ๓ นิรันดร์สมัยราชกุมารี และ ชุดที่ ๔ ถวายราชสดุดีศรีลานนา ทรงทอดพระเนตรด้วยพระพักตร์แจ่มใส ก่อนเสด็จฯ กลับ



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














พิสูจน์คุณค่า 'ภูพระบาท' เข้าบัญชีมรดกโลก



คณะทูตานุทูตและคู่สมรสรวม ๒๖ ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศที่เดินทางไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานีและวัดพระพุทธบาทบัวบาน ตามโครงการวัฒนธรรมสัญจรสำหรับคณะทูตานุทูต จ.อุดรธานี และนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ต่างให้ความสนใจและรับรู้คุณค่าของภูพระบาทที่กรมศิลปากรกำลังนำเสนอขึ้นบัญชีมรดกโลก


ภูพระบาท แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่กระจายตัวอยู่ในบริเวณภูเขา โดดเด่นจากการได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนปัจจุบัน ได้รับการเชื่อถือว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คณะทูตานุทูตได้พิสูจน์จากหลักฐานทางโบราณคดีหลายยุคสมัย หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่คณะทูต ๕o คน ไม่พลาดชม คือ ภาพเขียนสีบนผนังหินทั่วทั้งภูพระบาท ทั้งภาพคน สัตว์ มือ ลวดลาย เรขาคณิต เป็นภาพยุคก่อนประวัติศาสตร์ รวมถึงเสมาหินยุคทวารวดีของแท้ดั้งเดิม





นอกเหนือไปจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้ว คณะทูตยังประทับใจกับลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาของแท่งหิน เพิงหิน พร้อมรับฟังตำนานพื้นบ้านอุสา-บารส และพระกึด-พระพาน ที่เป็นที่มาของชื่อสถานที่ของแหล่งโบราณคดีในภูพระบาท เพิ่มสีสันและบรรยากาศโรแมนติกให้กับการเที่ยวชม






วีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังผลักดันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทสู่การเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ให้คณะกรรมการมรดกโลกตัดสินในเดือนมิถุนายน ปี ๒๕๕๙ พื้นที่นี้มีความพร้อมครบถ้วน คุณค่าเข้าตามเกณฑ์มรดกโลกถึง ๓ เกณฑ์ ประกอบด้วย เป็นประจักษ์พยานหนึ่งเดียวของการสืบทอดวัฒนธรรม ตัวอย่าง ภาพเขียนสีและโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ รอยพระพุทธบาทและสถูปเจดีย์ที่ชาวบ้านบูชาจนทุกวันนี้ แล้วยังมีหลักฐานยุคทวารวดี ลพบุรี อยู่ที่นี่






"ภูพระบาทสำคัญในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนทุกยุคสมัย และเข้าเกณฑ์เป็นตัวอย่างโดดเด่นของกลุ่มสถาปัตยกรรมหรือเทคโนโลยีนั้น เพิงหินที่ปรับแต่งเป็นที่พัก ที่ประกอบพิธีกรรม คือเอกลักษณ์ภูพระบาทจากการสร้างสรรค์ของคนโบราณ ส่วนหอนางอุสาเป็นส่วนหนึ่งของตำนานพื้นที่อุสา-บารส ก็เข้าเกณฑ์วรรณกรรมโดดเด่นเป็นสากล" วีระย้ำคุณค่า






สำหรับโครงการวัฒนธรรมสัญจรครั้งนี้ รมว.วธ.ระบุได้ขอความร่วมมือคณะทูตส่งสัญญาณไปยังประเทศตนเอง เพื่อขอเสียงสนับสนุนการขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทให้เป็นมรดกโลกแห่งที่ ๔ ของประเทศไทยด้วย






ภูพระบาทในปัจจุบันเป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียน อยู่ในความรับผิดชอบของกรมศิลปากร ระหว่างพาคณะทูตเยี่ยมชมกลุ่มเพิงหินใจกลางพื้นที่อุทยานฯ บวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร เผยแผนการอนุรักษ์ว่า หากจะมีการก่อสร้างใหม่ในพื้นที่แหล่งมรดก ภูพระบาท ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานต่าง ๆ อาทิ วัดพระพุทธบาทบัวบก และโบราณสถานร้าง ลานหินและป่าเบญจพรรณในพื้นที่ และวัดพระพุทธบาทบัวบาน รวมถึงพื้นที่แหล่งมรดกวัดพระพุทธบาทบัวบาน และแหล่งใบเสมาบวชพระปู่ จะต้องไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์วัฒนธรรมดั้งเดิมและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ






"เสน่ห์ของภูพระบาทคือโบราณสถานที่อยู่กับธรรมชาติ และพื้นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของคนโบราณ หากเข้าใจหน้าที่ใช้สอยของแหล่งมรดกนี้ตั้งแต่สมัยแรกสร้าง จะสามารถปกป้องคุ้มครองพื้นที่นี้ได้ รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยวไม่ขีดเขียน ทำลายคุณค่าที่โดดเด่น ทั้งภาพเขียนสี เพิงหิน สำหรับการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภูพระบาท ขณะนี้ได้ดำเนินการปรับปรุงศูนย์ข้อมูลภายในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท งบประมาณ 2.8 ล้านบาท และจะมีแผนส่งเสริมการเรียนรู้ตำนานอุสา-บารสให้เป็นที่จดจำของผู้มาเยือนภูพระบาท" อธิบดีกรมศิลปากรให้ข้อมูล






ขณะนี้เรื่องการผลักดันภูพระบาทเป็นมรดกโลกได้ทำให้ชาวอุดรธานีลุ้นอีกครั้ง หลังรอคอยมานาน ชายชาญ เอี่ยมเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ดีใจที่เสนอชื่อทันการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณารอบแรกในปลายปีนี้ ชาวอุดรฯ มีความหวังและภูมิใจที่จะเห็นมรดกโลกแห่งที่ ๒ ของจังหวัด ซึ่งแห่งแรกที่ได้รับขึ้นทะเบียนมรดกโลก คือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้ประชาสัมพันธ์ในการบรรจุอุทยานแห่งชาติภูพระบาทเป็นอีกไฮไลต์ของการเที่ยว จ.อุดรธานี เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ให้มากขึ้น.



ภาพและข้อมูลจาก
thaipost.net
travel.thaiza.com
postcardoclock.com














ศ.ศ.ป. จัดประกวด 'สุดยอดภูมิปัญญา เครื่องเบญจรงค์ไทย'



ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป.จัดโครงการประกวด “สุดยอดภูมิปัญญา เครื่องเบญจรงค์ไทย” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในหัวข้อ “วิถีชีวิตอาเซียน” พร้อมนำสุดยอดงานหัตถกรรม ๓o ผลงาน ร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายใน “งานแสดงจิตรกรรมเครื่องกระเบื้องนานาชาติ ครั้งที่ ๒ หรือ Thailand International Porcelain Painting Convention 2015 (TIPP 2015)” จัดขึ้น ๖-๙ มีนาคมนี้ ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา





นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์
ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป.



นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. เปิดเผยว่า ทาง ศ.ศ.ป.จัดประกวดโครงการ “สุดยอดภูมิปัญญาเครื่องเบญจรงค์ไทย” โดยงานที่จัดขึ้นจะเป็นการประกวดภายใต้หัวข้อ “วิถีชีวิตอาเซียน” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งการจัดงานดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อต้องการอนุรักษ์ และเผยแพร่งานเครื่องเบญจรงค์ไทย ที่เป็นงานหัตถศิลป์อันล้ำค่า มีความประณีตสวยงาม บ่งบอกถึงวิถีวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ของความเป็นไทย นำอวดสู่สายตาชาวต่างชาติ


โดยโครงการดังกล่าวจะยังเกิดประโยชน์โดยตรงต่อครูช่าง และช่างฝีมือเครื่องเบญจรงค์ไทย ได้รับโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ พร้อมนำมาพัฒนาผลงานของตนเองตลอดจนสามารถต่อยอดงานฝีมือสู่เชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการเปิดตลาดในกลุ่มประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ช่วงปลายปี ๒๕๕๘ นี้


“โดยผลการตัดสินโครงการการประกวด “สุดยอดภูมิปัญญา เครื่องเบญจรงค์ไทย” ประจำปี ๒๕๕๘ ผู้ที่คว้ารางวัลที่ ๑ คือ “วิไลวรรณ ใช้บางยาง” เจ้าของผลงาน “โถชั้น ๙ นิ้ว” ได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยเงินรางวัล ๗o,ooo บาท สำหรับรางวัลที่ ๒ “พนิดา แต้มจันทร์” เจ้าของผลงาน “โถชมจันทร์ลายบุษบาแห่งอาเซียน” รับใบประกาศนียบัตรพร้อมเงินรางวัล ๕o,ooo บาท และรางวัลที่ ๓ “วิฑูรย์ เจียวเจริญ” ชื่อผลงาน “ศูนย์รวมใจ” รับใบประกาศนียบัตรพร้อมเงินรางวัล ๓o,ooo บาท






นอกจากนี้ยังมีอีก ๘ ผลงานที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบ จะได้รับใบประกาศนียบัตรจาก ศ.ศ.ป. ซึ่งขั้นตอนการตัดสินปีนี้เราได้รับเกียรติจากคณะกรรมการฯ ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐ มาร่วมพิจารณาผลงาน เช่น กลุ่มจิตรกรรมสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาลัยเพาะช่าง คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ศิลปินกลุ่ม “นา” บ้านเบญจรงค์แกลลอรี่ ครูช่างศิลปหัตถกรรม ประเภทเครื่องดิน ปี ๒๕๕๖ ผู้เชี่ยวชาญการเขียนลายเบญจรงค์ กลุ่มบ้านเบญจรงค์เมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ และ ศ.ศ.ป.


โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาผลงาน เช่น ต้องตรงตามวัตถุประสงค์และหัวข้อของการประกวด มีแนวความคิด แรงบันดาลใจ และเอกลักษณ์ทางภูมิปัญญา มีคุณภาพ ความสวยงาม และอรรถประโยชน์ของผลงาน หมายถึงความพึงพอใจที่ผู้บริโภคจะได้รับ รวมทั้งองค์ประกอบการจัดวางและสัดส่วน ความเป็นไปได้ในการนำไปพัฒนาต่อในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น”






อย่างไรก็ตาม นอกจากผลงาน ๑๑ ท่านที่ผ่านการคัดเลือกแล้วยังมีอีก ๑๙ ผลงานที่จะถูกนำมาจัดแสดงภายใน “งานแสดงจิตรกรรมเครื่องกระเบื้องนานาชาติ ครั้งที่ ๒ หรือ Thailand International Porcelain Painting Convention 2015 (TIPP 2015)” มีกำหนดงานขึ้นในระหว่างวันที่ ๖-๙ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา


สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ o-๓๕๓๖-๗o๕๑ ต่อ ๑๓๕๖ คุณปาณัสม์ ปลอดมีชัย o-๓๕๓๖-๗o๕๑ ต่อ ๑๓๕๖, คุณกิตติภพ ศุภหิรัญ o๘-๘o๒o-๖๒o๒ หรือติดตามได้ที่ //www.sacict.or.th, //www.facebook.com/thaibenjarongcontest ประกวดสุดยอดภูมิปัญญา “เครื่องเบญจรงค์ไทย”



ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th












พระเจ้าเสือ




'มวยไทย' ภูมิศิลปะการต่อสู้ของชนชาติไทย


การต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะของร่างกายเป็นอาวุธนั้นเป็นศาสตร์ที่มีการฝึกฝนอย่างชำนาญเพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยการใช้มือกำหมัดชก-ต่อย ใช้แขนงอศอกฟันใช้ขายกเข่าเข้าตี และใช้ขาฟาดเตะนั้น ผู้คนในแถบอาเซียนมีความสามารถฝึกได้ดีและรู้จักกันในชื่อมวยไทย ซึ่งถือเป็นมรดกการต่อสู้ป้องกันตัวที่แต่ละชาติมีท่วงท่าไม่เหมือนกันสำหรับคนไทยนั้นใช้ทั้งเป็นการต่อสู้ ป้องกันตัวและแข่งขันเป็นกีฬา อาทิตย์นี้ขอตาม...มรดกการต่อสู้ชนิดนี้จากการค้นหาตำรับตำราเก่า





พระยาพิชัยดาบหัก




ตำรามวยไทยที่ใช้เรียนในสมัยก่อน





ตำรามวยไทยที่อ้างตำราพระเจ้าเสือ



ในฐานะที่มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติที่มีประวัติมายาวนานจนหายุคสมัยได้ยากว่าเกิดขึ้นอย่างไร ที่รู้กันก็คือการคัดคนเข้ารับใช้ในราชสำนักหรือเป็นผู้ดูคุ้มครองป้องกันเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่นั้น มักใช้วิธีการชกมวยล้มศัตรูและการต่อสู้ประลองฝีมือเอาชนะกันเพื่อคัดเลือกเช่นเดียวกับประลองดาบ-กระบี่ ดังนั้น นักมวยที่มีฝีมือดีจึงมีโอกาสถวายได้เข้าตัวรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย และเป็นไพร่หลวงป้องกันพระนคร ป้องกันพระราชวัง โดยมีทนายเลือกผู้เป็นคนในกรมกองที่ดูแลนักมวยนักรบโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้แก่พระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่





วันมวยไทยที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย





พิธีครอบครูและมอบสายมงคลให้ผู้เรียนมวย



แต่วันมวยไทยนั้นกลับให้ความสำคัญกับ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ หรือพระเจ้าเสือ ว่า พระองค์นั้นโปรดการชกมวยมากจนมีเรื่องปลอมพระองค์ออกมาชกมวยกับชาวบ้านจนรู้จักกับสิงห์ แล้วยังเล่าต่อไปว่าเอาชนะคู่ต่อสู้ถึง ๓ คน คือ นายกลาง หมัดตายนายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ที่ต่างพ่ายแพ้จากฝีมือการชกของพระองค์ ซึ่งในหลักฐานประวัติศาสตร์กลับไม่มีเรื่องปลอมตัวชกมวย นอกจากละครเรื่อง พันท้ายนรสิงห์ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ แต่งเป็นละครไว้และเป็นที่รู้จักกันอย่างดี





นิยายนายขนมต้มของ คมทวน คันธนู





ตำรามวยไทยในสมุดไทย



ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีตำรามวยตำรับพระเจ้าเสือเกิดขึ้น ด้วยรู้กันว่าพระเจ้าเสือปลอมตัวต่อยมวยกับชาวบ้านตามละคร จึงตั้งชื่อให้มีความเชื่อถือในตำรานั้นมากกว่า ส่วนตำรามวยของเก่าที่ปรากฏในสมุดไทยก็คัดลอกกันไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นตำรับของใคร ซึ่งเห็นทีต้องทบทวนให้มีการศึกษาอย่างจริงจังว่า มวยไทยนั้นมีต้นแบบและตำรามวยนั้นที่มาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะพระเจ้าเสือในพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศนั้นได้กล่าวว่า ทรงมีพระอุปนิสัยชั่ว ทรงมักมากในกามคุณ และทรงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เนือง ๆ จน ผู้คนจึงออกพระนามว่า “พระเจ้าเสือ”เปรียบว่าทรงร้ายดังเสือ อันผิดไปจากคุณลักษณะนักรบนักสู้และการยึดถือมั่นในครูบาอาจารย์ของนักมวย





ท่วงท่าของมวยไชยา





ท่ามวยจรเข้ฟาดหาง



สำหรับนักมวยที่สร้างชื่อเสียงรู้จักกันดีนั้น คือนายขนมต้ม ผู้ถูกจับเป็นเชลย และถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงอังวะ ประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑o นั้น ได้มีการเล่าไว้ว่าเมื่อพม่าจัดการฉลองชัยชนะที่ทำสงครามอยุธยาจับได้เชลยกวาดต้อนมาจำนวนมาก ครั้งนั้นสุกี้ พะนายกองได้คัดนายขนมต้มขึ้นชกกับนักมวยพม่า นายขนมต้มสามารถชกชนะนักมวยพม่าถึง ๑o คน ซึ่งมีผู้เขียนเล่าไว้ว่า“นักมวยพม่าได้แพ้แก่นายขนมต้มหมดทุกคน จนพระเจ้ากรุงอังวะถึงกับตรัสชมเชยว่า คนไทยถึงแม้จะไม่มีอาวุธในมือมีเพียงมือเปล่า สองข้าง ก็ยังมีพิษสงรอบตัว” นักมวยอีกคนหนึ่งที่รู้จักกันดีคือนายจ้อยหรือทองดี ฟันขาว ชาวเมืองพิชัยที่สามารถชกมวยชนะคู่ต่อสู้ ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็นทหารเอกคู่ใจของพระยาตาก (สิน) และทำความชอบจนต่อมานั้นได้เป็น พระยาพิชัย (จ้อย) ครองเจ้าเมืองพิชัย ซึ่งทุกคนรู้จักกันในชื่อ พระยาพิชัยดาบหัก





อภิเดช สิงห์หิรัญ จอมเตะจากบางนกแขวก





อนุสาวรีย์นายขนมต้ม



มวยไทยในสมัยต่อมาในรัชกาลที่ ๖ นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากการพันมือด้วยเชือก เรียกว่า คาดเชือกนั้นมาเป็นการชกด้วยการสวมนวมตามอย่างต่างชาติที่มีการแข่งขันชกมวยเป็นกีฬาแทนการสู้เอาชนะกันในศึกสงคราม นับคะแนนแพ้ชนะ มีการกำหนดยก โดยให้นักมวยทั้งสองข้างขึ้นชกบนเวทีแทนการสู้รบในสนาม โดยมี มุมแดงและมุมน้ำเงินตามแบบการชกมวยสากล ทำให้มีค่ายนักมวยเกิดขึ้นหลายค่ายและมีนักมวยที่ฝีมือดีหลายคน ภายหลังเจ้าเชต คหบดีผู้มีชื่อเสียงนั้นได้ตั้งสนามมวยในที่ดินของตนเอง (สวนเจ้าเชต) จัดชกมวยเพื่อนำรายได้ไปบำรุงกิจการทหาร และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ การชกมวยแข่งแพ้-ชนะนั้นจึงหยุดไป เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง การแข่งขันชกมวยไทยจึงกลับมานิยมขึ้นอีกครั้งและมีจัดการชกเพื่อให้เป็นนักมวยผู้ชนะตามเวทีต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมวยไทยนั้้นได้รับการยกย่องเป็นมรดกการต่อสู้ของชาติที่สำคัญเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก





มวยไทย-ยัง หาญทะเล-กับมวยจีน-จิ๊ฉ่างท่วงท่าของมวยไชยา





หมื่นมวยมีชื่อชกมวยไทยหน้าพระที่นั่ง





โพล้ง เลี้ยงประเสริฐ ฉายามวยตีนลิง



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














วรรณกรรมที่นักเขียนถวิลหา หนังสือที่พวกเขายัง 'คิดถึง'
นันทขว้าง สิรสุนทร



เคยมีการสำรวจความคิดเห็นของนักเขียน-นักประพันธ์หลายคนเกี่ยวกับวรรณกรรมคลาสสิค ที่พวกเขาอยากจะให้กลับมาอยู่ในโลกระบบดิจิทัลและออนไลน์ หรือยิ่งไปกว่านั้น ให้มีการตีพิมพ์ใน “ทุกรูปแบบ” อีกครั้งหนึ่ง

นี่คือหนังสือส่วนหนึ่งในความปรารถนาของหลายนักประพันธ์....

ฟิลิป อาร์เดอร์ เลือก วรรณกรรมชุด the Septimus Treloar series โดย สตีเฟ่น แชนส์ เขาบอกว่า...

หนึ่งในของขวัญที่ผมชอบมากที่สุดในวัยเด็ก ก็คือบัตรกำนัลหนังสือซึ่งเปิดโอกาสให้ผมใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน จมอยู่กับชั้นหนังสือในร้านหนังสือ และวรรณกรรมเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องเยี่ยมที่สุด ที่ผมเคยอ่านในวัยเด็ก

อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นฮีโร่ทางวรรณกรรมทีเดียว ได้แก่เรื่อง Septimus Treloar โดย Septimus นั้นเป็นอดีตพนักงานตำรวจวัย ๓o ปีที่ได้ผันตัวเองมาเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกัน อาศัยอยู่บริเวณเขตศาสนาในแถบเฟนแลนด์ (Fenland, The Fens)

นอกจากนี้ Septimus ยังเป็นตัวเอกของเรื่องและเป็นคนคอยช่วยเหลือให้เด็ก ๆ ในเรื่องสามารถต่อกรกับเหล่าวายร้ายได้ ผมได้พบกับ Septimus ครั้งแรกใน Septimus and the Danedyke Mystery (1971) และไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมที่สุดในใจของผม

ในวรรณกรรมเรื่องนี้ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่นักอ่านต้องการ : การล่าขุมทรัพย์มหาสมบัติโดยแกะรอยจากซากโบราณวัตถุ, เอกสารโบราณในยุคกลาง, ถ้วย Danedyke-ถ้วยดื่มเหล้าองุ่นสีเงินที่มีตำนานว่าถูกขนย้ายมายังประเทศอังกฤษโดย โจเซป แห่ง อริมาเทีย (Joseph of Arimathea) และคู่หูอาชญากรที่เข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงว่าบุคคลที่พวกเขามีปัญหาขัดแย้งอยู่ด้วยนั้นเป็นเพียงบาทหลวงธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น โดย Septimus สามารถหลอกล่อเอาลายนิ้วมือของหนึ่งในอาชญากรมาได้ (ความจริงในหนังสือจะเน้นเรื่องการศรัทธาในพระเจ้า

แต่เมื่อนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ สารและเนื้อหาที่ต้องการสื่อจากตัวต้นฉบับก็เลยลดลงไปด้วย) ในบทประพันธ์เล่มหลังๆ พวกเราจะได้รู้ถึงภูมิหลังและประวัติชีวิตของ Septimus มากขึ้น เมื่อเขาได้ร่วมรบกับชาวสลาฟในประเทศยูโกสลาเวียระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

สตีเฟ่น แชนส์ คือนามปากาของ ฟิลิปป์ วี เทอร์เนอร์ (Philip W Turner) ผู้ซึ่งได้รับรางวัลคาร์เนกี้ (Carnegie prize) ในปีค.ศ. ๑๙๖๕ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยในคุณภาพงานประพันธ์ของเขา

และเป็นที่ยอมรับกันว่า บทประพันธ์บางเรื่องของเขามีคุณค่ามากกว่างานเขียนทั่วไปที่มีอยู่อย่างดาษดื่นมากนัก แต่ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มและก็ดีใจที่ได้มีโอกาสแนะนำวรรณกรรมสุดมหัศจรรย์อย่าง Septimus Treloar ให้แก่นักอ่านรุ่นใหม่ทุกคนได้รู้จัก

อีกท่านหนึ่งคือ จูเลี่ยน บาร์นส์ เลือกวรรณกรรมเรื่อง A Sultry Month และ Horatio’s Version โดย อเลเทีย เฮย์เธอร์ (Alethea Hayter)

เขาบอกว่านี่คือ การผูกขาดเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาและยังเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ซึ่งความเลวร้ายดังกล่าวพบได้ในแวดวงวรรณกรรมเช่นเดียวกับแวดวงธุรกิจ นักวิชาการอิสระซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่หลงงมงายไปกับแฟชั่นสมัยใหม่

หรือว่าแนวคิดทางศาสนา มักจะมีความสำคัญในฐานะเป็นผู้ดำเนินการจัดอภิปรายทางวิชาการ ตามความเป็นจริงแล้ว คุณต้องการรายได้ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของคุณเอง งานอิสระส่วนตัวอะไรก็ได้ที่สามารถทำให้คุณมีพลังงานเหลือเฟือเพียงพอที่จะทำงานเขียนที่คุณรัก ซึ่งมีความสำคัญในด้านคุณค่าและอิสระทางจิตใจไม่ด้อยไปกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลย

ขณะเดียวกัน แอส ไบแอตต์ เลือก Unfinished Adventure โดย เอฟลีน ชาร์ป (Evelyn Sharp) และ Women as Army Surgeons โดย ฟลอรา เมอร์เรย์ (Flora Murray)

“ฉันเคยอ่านวรรณกรรมที่ครอบคลุมระยะเวลาระหว่างปีค.ศ. ๑๘๙๕ ถึง ๑๙๑๘ มีวรรณกรรมของนักเขียนหญิงสองท่านที่ทำให้ฉันรู้สึกสนใจและตื่นเต้นกับมันมาก เล่มแรกได้แก่อัตชีวประวัติของ เอฟลีน ชาร์ป ผู้หญิงที่เชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ โดยวรรณกรรมเล่มดังกล่าวมีชื่อเรื่องว่า Unfinished Adventure : Selected Reminiscences from an Englishwoman’s life เธอถูกจำคุก และข้าวของรวมถึงทรัพย์สมบัติของเธอถูกพนักงานยึดทรัพย์สินยึดระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่เธอก็ออกมาอ้างสิทธิในทรัพย์สมบัติของตนโดยกล่าวว่า “เมื่อเธอไม่อยู่ จะไม่มีการเก็บภาษีใด ๆ ทั้งนั้น”

อย่างไรก็ดี เธอก็เป็นผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม และเป็นนักประพันธ์ที่ดีคนหนึ่งทีเดียว

วรรณกรรมอีกเล่มหนึ่งได้แก่เรื่อง Women as a Army Surgeons โดย ฟลอรา เมอร์เรย์ โดยเธอนั้นร่วมกับ หลุยส์ซา แกรเรตต์ แอนเดอร์สัน และ เอลิซาเบ็ธ แกรเรตต์ แอนเดอร์สัน ร่วมกันก่อตั้ง The Women’s Hospital Corps ซึ่งควบคุมกิจการโรงพยาบาลทั้งในกรุงปารีสและกรุงลอนดอนระหว่างสงคราม กองกำลังทหารแห่งสหราชอาณาจักรไม่สนใจแพทย์ที่เป็นผู้หญิงเท่าไรนัก

เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทำให้ให้แก่กองทัพฝรั่งเศสแทน ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว เมอร์เรย์จะเป็นแพทย์ มิใช่นักประพันธ์มืออาชีพ แต่ว่าเนื้อหาและเรื่องราวที่เธอเปิดเผยในหนังสือนั้นก็จับใจและทำให้ผู้อ่านประทับใจได้ไม่ยาก....

เหล่านี้คือ “ส่วนหนึ่ง” ของวรรณกรรมที่ยังอยู่ในรอยจำของนักประพันธ์ทั้งหลาย



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net
คอลัมน์ "Eat Play Life" นสพ.คม ชัด ลึก ๑๗ ก.พ. ๒๕๕๘














ตลาดน้ำของ "บิ๊กตู่"
ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์



(๑)
คงต้องยอมรับว่า...ไอเดียสร้างตลาดน้ำข้างทำ เนียบรัฐบาลของท่านนายกฯ คุณลุงบิ๊กตู่ นั้น ช่างเป็นอะไรที่ เก๋ซะไม่มี แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องโต แบบเรื่องการปฏิรูป ปฏิเริป อะไรก็แล้วแต่ แต่การหันมาให้ความสำคัญกับแม่น้ำ ลำคลอง นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความประณีต ละเอียดอ่อน ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้บุคลิกหน้าหัก หน้างอแล้ว ยังถือเป็นการช่วยปลุก ช่วยกระตุ้น ให้ผู้คนหวนกลับไปคิดถึงคุณค่าแห่งอดีต ที่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านเมือง ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องผูกพันกับแม่น้ำ ลำคลอง กันมาตั้งแต่แรก...






(๒)
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหาก โลก มันไม่บีบบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบ อุต-ส่าห์-หา-กรรม เปลี่ยนไปสู่ การพัฒนา เพื่อให้ตัวเองต้องกลายเป็นประเทศ ด้อยพัฒนา หรือ กำลังพัฒนา อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงใด ๆ ได้เลย ป่านนี้...ประเทศไทยก็ยังน่าที่จะได้รับสมญานามว่าเป็น เวนิสตะวันออก ชุ่มชื่น ชุ่มฉ่ำ กันไปทั้งชาติ ด้วยสายใยความผูกพันที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ความเป็นไทยเข้ากับแม่น้ำ ๕ สาย อันได้แก่ ปิง วัง ยม น่าน และเจ้าพระยา ผู้คนลอยเรือเรียงรายอยู่ตามสองฟากแม่น้ำลำคลอง ไม่ว่าน้ำท่วม น้ำแล้ง ยังสามารถร้องเพลงเรือเจี๊ยบ ๆ ฮ้าไฮ้ ได้แบบสบายใจเฉิบ...






(๓)
ไม่ว่ากษัตริย์ ราษฎร ชนชั้นสูง ชั้นล่าง อำมาตย์หรือไพร่ ต่างต้องถ่อ ต้องแจว ต้องค่อย ๆ ไหลไปกับสายน้ำ ก่อให้เกิดความชุ่มฉ่ำ ชุ่มเย็น ภายในหัวจิตหัวใจได้มากซะยิ่งกว่าการต้องติดแหง็กอยู่บนรถยนต์ บนถนน ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า แม้ขนาดต้องยกทัพโยธาออกไปรบ ไปทำศึกสงครามกับฝ่ายตรงข้าม จะด้วยความชุ่มฉ่ำ ชุ่มเย็น ของสายน้ำ หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ยังส่งผลให้พระมหากษัตริย์อย่าง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยังอดไม่ได้ที่ต้องบรรยายอารมณ์ความรู้สึกอันสุดแสนละเมียดละไมไว้ใน กลอนเพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดง ไล่มาตั้งแต่ จึงรีบรัดจัดหมู่โยธา/ ให้อยู่รักษาบุรีศรี/ ครั้นอรุณเรืองแรงแสงรวี/ ก็จรลีนาเวศทุเรศจร/ ด่วนเดินโดยทางชลมารค/ แสนลำบากด้วยร้างแรมสมร/ กระหายหิวหวิวใจให้อาวรณ์/ แต่ข้อนข้อนขุ่นเข็ญเป็นนิรันดร์ โน่นเลย...






(๔)
และแม้ว่าระหว่างสัญจรมาตามลำน้ำจะทรงพระวังเวง วิเวก วิเหวโหว ถึงขั้น จึงเร่งรีบนาวาคลาไคล/ มาถึงไศลชลธีศีขรินทร์/ สูงส่งตรงโตรกโดดเดี่ยว/ อยู่ริมสายชลเชี่ยวกระแสสินธุ์/ พรายแพร้วดังแก้วแกมนิล/ ปักษินบินร้องระงมไพร/ บ้างจับไม้รายเรียงบนเชิงเขา/ บ้างง่วงเหงาหาคู่พิสมัย/ นกเอ๋ยยังรู้มีอาลัย/ อกเราฤๅจะไม่เวทนา" แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาต้องปะทะ ต้องทำศึกกันจริง ๆ แล้ว ก็ทรงสลัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงเพื่อแบกรับภาระหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดินในแบบ "ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน/ สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย/ แตกยับกระจัดพลัดพราย/ ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อตี/ ให้ติดตามไปจนแม่กษัตริย์/ เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี/ บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี/ ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา/ ตั้งใจจะอุปถัมภก/ ยอยกพระพุทธศาสนา/ จะป้องกันขอบขัณฑสิมา/ รักษาประชาชนแลมนตรี ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามาก ๆ...






(๕)
สายน้ำ ลำคลอง จึงยังเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมกษัตริย์กับราษฎรให้มีความผูกพัน แน่นเหนียว กันมาโดยตลอด พระราชนิพนธ์เรื่อง อิเหนา ของรัชกาลที่ ๒ หรือเพลงยาวถวายพระเกียรติของรัชกาลที่ ๓ จึงเต็มไปด้วยฉากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องผูกพันอยู่กับสายน้ำ ลำน้ำ ไม่รู้กี่ฉากต่อกี่ฉาก เช่นที่ เสมียนมี ได้เขียนถึงพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๓ เอาไว้ว่า แล้วขุดทางบางบอนที่ดอนตื้น/ ตลอดรื่นตามแนวทางแถวทุ่ง/ ทั้งลึกกว้างทางใหญ่ไปหลายคุ้ง/ ตลอดวุ้งเวิ้งท่ามหาไชย/ ที่ปากน้ำทำป้อมพร้อมเครื่องรบ/ ทั่วพิภพไปมาได้อาศัย/ ทั้งเรือแพฝางเสาค่อยเบาใจ/ ถวายไชยอวยผลมงคลพร ฯลฯลฯลฯ เป็นต้น...






(๖)
แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อ ความเป็นไปของโลก มันเป็นตัวบีบบังคับทุกสิ่งทุกอย่างให้ต้องเปลี่ยนแปลงไป จาก เวนิสตะวันออก กลายมาเป็น มหานครที่มีรถติดที่สุดในโลก จากสังคมการเกษตรที่เคย ทำมาหากิน กลายมาเป็นสังคมอุตส่าห์-หา-กรรมที่ต้อง ทำมาค้าขาย กันเป็นหลัก จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลายมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว...สายน้ำก็มิเคยเปลี่ยนไป คือยังคงเป็นสภาวะความเป็นน้ำ เป็นสิ่งที่สามารถให้ความชุ่มฉ่ำ ชุ่มเย็น ให้กับใครต่อใครได้เสมอ ๆ การหันมาให้ความสำคัญกับแม่น้ำ ลำคลอง ขึ้นมาอีกครั้ง ของคุณลุง บิ๊กตู่ จึงเป็นอะไรที่ เก๋ซะไม่มี อย่างที่ว่าไปแล้ว...






(๗)
แม้จะไม่ถึงขั้นต้องขุดถนน รื้อถนน เพื่อทำให้กลายเป็นคลองแบบสภาพเดิม ๆ ดังที่เคยเป็นมา เพียงแค่เพิ่มความสะอาด ขจัดสิ่งสกปรกอันเป็นตัวลดคุณค่า ทำลายคุณค่าของสายน้ำ จนแทบเน่าเหม็นกันไปทั้งเมือง ฟื้นฟูความชุ่มฉ่ำ ชุ่มเย็น ความสงบ ร่มรื่น อันเป็นสิ่งสวยสด งดงาม และ เคยมีอยู่จริง ในประวัติศาสตร์ ให้หวนคืนมาสู่อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนขึ้นมามั่ง อย่างน้อย...ก็ด้วย ธรรมชาติของสายน้ำ ที่ผูกพันอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นชาติ บ้านเมือง มาตั้งแต่อ้อน แต่ออก น่าที่จะช่วยให้อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนต่าง ๆ คล้อยเคลื่อนไปในทางครรลอง คลองธรรม ขึ้นมาได้บ้างแม้แต่เพียงนิด ๆ ก็ยังดี...



ภาพและข้อมูลจาก
ryt9.com
thairath.co.th
posttoday.com
คอลัมน์ "ทรรศนะ" นสพ.ไทยโพสต์ ๑๕ ก.พ. ๒๕๕๘












ชุติมา กิจประยูร ร่วมเขียนข้อความ Love At Siam



เลิฟ แอท สยาม แบ่งปันความสุขแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจ



สยามเซ็นเตอร์ เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ ต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก เชิญชวนคู่รักและผู้ใหญ่ใจบุญร่วมแบ่งปันความรักและความสุข ผ่านกิจกรรม “เลิฟ แอท สยาม” (LOVE AT SIAM) สร้างสรรค์งานอาร์ต อินสตอลเลชั่น รูปดอกกุหลาบสุดพิเศษ เพื่อเป็นตัวกลางส่งต่อความปรารถนาดีจากทุกคนสู่ผู้ป่วยโรคหัวใจ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยจัดกิจกรรมเชิญบริจาคเงินตามศรัทธา พร้อมรับสติ๊กเกอร์ ๑ ชิ้น เขียนข้อความบอกความในใจ แล้วนำมาร่วมประดับตกแต่งที่ประติมากรรมดอกกุหลาบขนาดยักษ์





Art Installation รูปดอกกุหลาบสีขาวขนาดใหญ่



นางสาวชุติมา กิจประยูร ผอ.ฝ่ายศิลป์และตกแต่ง บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่าเพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลแห่งความรักที่กำลังมาถึง สยามเซ็นเตอร์ จึงสร้างสรรค์บรรยากาศให้อบอวลไปด้วยความรักและความสุข ด้วยการจัดกิจกรรม “เลิฟ แอท สยาม” เนรมิตงานอาร์ต อินสตอลเลชั่น (Art Installation) รูปดอกกุหลาบสีขาวขนาดใหญ่ ผลิตจากไฟเบอร์กลาส สูง ๑.๖ เมตร จำนวน ๔ ดอก ตั้งตระหง่านบริเวณพื้นที่ไอเดียอเวนิว ชั้น ๑ (ประตูทางเข้าฝั่งดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า) พร้อมเชิญชวนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมแบ่งปันความรักและความสุขเปิดรับบริจาคเงินตามศรัทธา ให้กับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ โดยทุกๆ การบริจาคหนึ่งครั้ง จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดอกกุหลาบสีแดง ขนาด ๑o เซนติเมตร จำนวน ๑ ชิ้น สำหรับเขียนข้อความบอกความในใจ หรือความปรารถนาดีถึงคนที่คุณรักแล้วนำไปติดลงบนประติมากรรมดอกกุหลาบ เพื่อช่วยกันเปลี่ยนดอกกุหลาบสีขาวให้กลายเป็นดอกกุหลาบสีแดงสดใส พร้อมถ่ายรูปติดแฮชแท็ก #LOVEATSIAM ช่วยกันเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมบอกรักและทำบุญร่วมกัน โดยสามารถร่วมสนุกได้ถึงวันที่ ๙ มีนาคมนี้






นอกจากนี้ ทุกคนยังสามารถร่วมสนุกไปกับ “Siam Center Love REFLECTION” (สยามเซ็นเตอร์ เลิฟ รีเฟลคชั่น) โดมอะคริลิคมิลเลอร์สีชมพู เป็นกระจกเงาสะท้อนความรักและความสุขให้กับทุกคน รวมถึง “Siam Center Love Kaleidoscope” (สยามเซ็นเตอร์ เลิฟ คาไลโดสโคป) เพียงยืนอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดไว้กล้องจะจับภาพใบหน้าและฉายผ่านเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ติดอยู่ด้านใน ทำให้เกิดภาพใบหน้าในลวดลายหวานๆแบบคาไลโดสโคปซึ่งสะท้อนอยู่ภายในอุโมงค์ รวมถึงเพลิดเพลินไปกับสวนดอกกุหลาบ LOVE AT SIAM ตระการตาเต็มพื้นที่ดิสคัฟเวอรี่พลาซ่า สีแดงเข้มเป็นตัวแทนของรักแท้ สร้างบรรยากาศสุดโรแมนติกในเทศกาลแห่งความรัก และเปิดให้ทุกคนได้บันทึกภาพความประทับใจอีกด้วย





ม.ล.นภัส รัชนี และ พรศรี ประจวบเหมาะ โชว์ข้อความบอกรักเมืองไทย



ด้านคู่ดังคนดัง พัทธมน เตชะณรงค์ ควงคู่มากับ ณัฐพงศ์ ภัทรธีรานนท์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเทศกาลวาเลนไทน์ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงคู่รักหนุ่มสาว ซึ่งความจริงแล้วความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัย รวมถึงเรายังสามารถแบ่งปันความรักของเราให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย อย่างเช่นการร่วมกิจกรรมที่ทางสยามเซ็นเตอร์จัดขึ้นในช่วงวันแห่งความรัก เพียงร่วมบริจาคเงินตามกำลังศรัทธาก็สามารถนำสติ๊กเกอร์มาเขียนข้อความส่งความรักและความปรารถนาดีให้กับคนที่เราอยากบอกแต่อาจไม่กล้าบอก หรือส่งต่อข้อความดีๆ สู่เพื่อนในสังคมได้ และยังสามารถนำไปแต่งเติมเพิ่มสีสันบนชิ้นงานศิลปะทำให้รู้สึกมีส่วนร่วม อีกทั้ง ยังได้ร่วมทำบุญให้กับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ อีกด้วย





นักท่องเที่ยวสนใจร่วมกิจกรรม Love At Siam



สำหรับ ม.ล.นภัส รัชนี และ พรศรี ประจวบเหมาะ กล่าวว่า ดีใจที่ได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม “เลิฟ แอท สยาม” ในวันนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้ร่วมทำบุญเท่านั้น แต่ยังได้ไปถ่ายภาพสนุก ๆ ใน “สยามเซ็นเตอร์ เลิฟ รีเฟลคชั่น” และ “สยามเซ็นเตอร์ เลิฟ คาไลโดสโคป” ด้วย ทำให้ได้ภาพมุมมองแปลก ๆ ที่ไม่เคยถ่ายมาก่อน สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจสามารถมาร่วมทำบุญและถ่ายภาพความประทับใจสนุก ๆ ด้วยกันได้ แม้ว่าเราจะเป็นจุดเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในสังคม แต่หากทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน เชื่อว่าจากจุดเล็ก ๆ เราจะสามารถสร้างพลังและสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมได้


คู่รักและผู้ที่สนใจ สามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม “เลิฟ แอท สยาม” ได้ระหว่างนี้ถึงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๘ บริเวณพื้นที่ไอเดียอเวนิว ชั้น ๑ สยามเซ็นเตอร์ (ประตูทางเข้าฝั่งดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า) รายได้ทั้งหมดจากการรับบริจาคร่วมสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














เทศกาลงานละคร



ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นเทศกาลเกี่ยวกับการแสดงต่าง ๆ ที่จัดขึ้นกันมากมาย บางงานก็จัดเป็นประจำทุกปี บางงานเกิดขึ้นเนื่องในโอกาสสำคัญ แต่ผมจะคัดเลือกงานที่น่าสนใจจริงๆ มาให้ลองพิจารณาดู เริ่มจากการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติเรื่องรามเกียรติ์ "ตอนมารยาสุขาจาร" จัดโดยโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม)


งานนี้เป็นการแสดงของนักเรียนในชื่อชุด "เด็กสร้างสุข" (ดสส) ซึ่งเป็นการแสดงครั้งที่ ๓๕ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๗ จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ แสดง ๒ รอบ เวลา ๑o.oo น. และ ๑๖.oo น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บัตรจำหน่ายในราคา ๕oo บาท ๘oo บาท และ ๑,๒oo บาท สามารถซื้อบัตรได้ที่หน้างาน






งานต่อไปคือ ละครเวทีเรื่อง "วันทองเดอะมิวสิคัล" จากวรรณกรรมอมตะชั้นครู สู่มุมมองใหม่ในรูปแบบละครเพลงเต็มรูปแบบทั้งเพลง ฉาก แสง สี เสียงและนักแสดง ที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่เพื่อคนอีสาน กำกับการแสดงโดย คุณพฬันท์ พยัคฆ์มะเริง ร่วมแสดงโดย ปุยฝ้าย ณัฏฐพัชร เอเอฟ ๔ รับบท วันทอง, แม็ค วีรคณิศร์ เอเอฟ ๖ รับบท ขุนแผน, พิสิฐ น้อยวังคลัง รับบท ขุนช้าง, เต๋า เศรษฐพงศ์ เอเอฟ 8 รับบท พลายงาม, อาภาพร นครสวรรค์ รับบท ศรีประจัน, พะแพง ธนัยนันท์ เอเอฟ ๔ รับบท ลาวทอง, ลูกแก้ว ขวัญแก้ว เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น ๓ รับบท สายทอง และศรีหนุ่ม เดอะคอมเมเดียน รับบท พ่อสื่อ


โดยเปิดการแสดงเพียง ๖ รอบเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก จ.ขอนแก่น จำหน่ายบัตรแล้วที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ หรือติดตามความเคลื่อนไหวของละครเวที "วันทองเดอะมิวสิคัล" ได้ทาง เฟซบุค PUNHIMA


และอีกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ตระการตาคือ ละครบรอดเวย์สุดคลาสสิกเรื่อง "เดอะซาวด์ ออฟ มิวสิค มนตร์รักเพลงสวรรค์" ที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลกมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โดยบริษัท "กัทส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์" นำมาจัดแสดงในเวอร์ชั่นภาษาไทยเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒ -๒๖ เมษายน ๒๕๕๘ ที่เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ โดยเปิดการแสดงทั้งหมด ๑๘ รอบ ราคาบัตรตั้งแต่ ๑,ooo-๔,๕oo บาท จำหน่ายบัตรที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา


ละครเวทีเรื่องนี้ได้ผู้กำกับคนดัง ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ มาทำให้เดอะซาวด์ ออฟ มิวสิค เวอร์ชั่นภาษาไทยน่าประทับใจไม่แพ้แบบฉบับ และในส่วนความสวยงามของเครื่องแต่งกายได้ดวงพร บุณยะจินดา มาช่วยออกแบบให้ ทุกฉากและทุกรายละเอียดล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากทีมงาน เมืองนอก


ส่วนทีมนักแสดงเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพคับแก้ว นำโดย ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ, ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์, ณัฐภัสสร สิมะเสถียร, พิจิกา จิตตะปุตตะ, ธนพร แวกประยูร และอนุรักษ์ บุญเพิ่มพูน เป็นต้น

แค่เห็นรายชื่อนักแสดงก็บอกได้เลยว่า ห้ามพลาด ของดีแบบนี้ นาน ๆ ทีถึงจะมีให้ชมเป็นขวัญตาสักครั้ง.



ภาพและข้อมูลจาก
ryt9.com
thairath.co.th
เฟซบุค PUNHIMA














Anxiety of Corvus



หลายคนคงเคยอยู่ในสภาวะของความงุนงงสับสนต่อการปรับตัวให้เข้ากับสังคม จนเกิดความรู้สึกอึดอัดจนอยากจะหลีกหนีความวุ่นวายนี้ เช่นเดียวกับ Rook Floro ศิลปินรุ่นใหม่ไฟแรงได้ถ่ายทอดอัตตะและอารมณ์ความรู้สึกของเขาผ่านผลงานภาพวาดและศิลปะจัดวางประติมากรรม โดยใช้สัญลักษณ์ของ “Corvus” (อีกา) เป็นตัวแทนของความวิตกกังวล ความกดดัน ความประหม่า การปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนในสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเผชิญในช่วงเยาว์วัยและพยายามต่อสู้ ปรับตัวกับปัญหานี้เรื่อยมา


นิทรรศการ Anxiety of Corvus จัดแสดงระหว่างวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ - ๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ นำทองแกลเลอรี อารีย์ ๗๒/๓ ซ.อารีย์ ๕ (ฝั่งเหนือ) พหลโยธิน ๗, ถนนพหลโยธิน, กรุงเทพฯ / BTS : สถานี อารีย์ - ทางออกหมายเลข ๓


พิธีเปิดนิทรรศการวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.oo น.
*นิทรรศการเข้าชมได้ทุกวันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา ๑๑.oo - ๑๘.oo น. (เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ)



ภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุคนิทรรศการ












Feast of Gods by Frans Floris



Alte Galerie เมือง Graz ออสเตรีย



ใน Eggenberg Schloss นอกจากนักท่องเที่ยว จะสามารถเข้าชม Apartment และ Coin Cabinet แล้ว นักท่องเที่ยวที่ชอบภาพเขียนยังสามารถใช้สิทธิจากตั๋ว combo ราคา ๑๑ เหรียญ ใน ๒๔ ชั่วโมงเพื่อเข้าชม Alte Galerie หรือ Old Gallery ในตึกเดียวกันได้ด้วย ห้องภาพที่จัดแสดงภาพตามเรื่องราวแทนการจัดเรียงตามศักราชแห่งนี้เก็บสะสมภาพที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญ คนบาป วีรบุรุษและอันธพาล โดยจัดแสดงตามเรื่องราวเกี่ยวกับคุณความดี ละคร ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ภาพที่มีสีสันงดงามตระการตาที่จัดแสดงในห้องภาพแห่งนี้มีตั้งแต่การตรึงกางเขนในยุคกลาง ภาพของยุคเรอเนสซองส์ จวบจนถึงยุคบาโรคหรือปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘


ห้องภาพจำนวน ๒๒ ห้อง ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นจากมูลนิธิ Joanneum โดย Archduke John ด้วยเงินบริจาคส่วนตัวบวกกับผู้รับมรดกอื่นๆ นี้ มีภาพที่จัดแสดงเป็นผลงานของศิลปินยุโรปดัง ๆ ทั่วทั้งทวีปโดยผลงานยุคกลาง ส่วนใหญ่เป็นวัตถุจาก Styria และ Belvedere ของกรุงเวียนนา ผลงานที่สำคัญที่สุดก็คือ Admont Virgin หรือ Admont Madonna แห่งยุค High Gothic และ The Votive panel and The Bearing of the Cross จาก St.Lambrecht abbey ตัวแทนของยุค International Gothic


ส่วนผลงานยุคเรอเนสซองส์ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ นั้น ผลงานของศิลปินเด่นก็คือ The Judgement of Paris ของ Lucas Cranach the elder, St.George’s Fair ของ Peter Brueghel the younger และงาน Truimph of the Death by Jan Brueghel ในมิวเซียมยังมีผลงานแนว Still life ที่สวยงามอีกหลายภาพด้วย เช่น Floral ของ Franz Werner Tamm และ Vanitas ของ Joannes de Cordua ยิ่งกว่านั้น Alte Galerie ยังมีผลงานภาพเขียนและภาพร่างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๙ อีกกว่า ๑๕,poo ชิ้น เช่น The Way to Calvary with Veronica, Mar, Venus and Cupid และ Venus, Ceres and Bacchus by Bartholomaus Spranger, Venus, Cupid and the Three Graces by Pietro Liberi, Archduke Ferdinand as aFighter for the Righteous Cause by GiovanniPietro de Pomis, Judgement of Paris by Hans Von Aachen เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวมามิวเซียมเดียวก็ได้ดูผลงานจิตรกรรมจนจุใจแล้ว





Archduke Ferdinand as a Fighter for the Righteous Cause
by Giovanni Pietro de Pomis






Judgement of Paris by Hans Von Aachen





The Votive panel and The Bearing of the Cross





Truimph of the Death by Jan Brueghel





The Way to Calvary with Veronica





Venus, Ceres and Bacchus by Bartholomaus Spranger





Admont Virgin I





Floral still life by Franz Werner Tamm





Judgement of Paris by Lucas Cranach





Mars, Venus and Cupid by Bartholomaus Spranger





Vanitas by Joanes de Cordua





Venus, Cupid and the Three Graces by Pietro Liberi



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com












Brothel Scene



Martin Johann Schmidt ยุค Late Barouque



ช่วงปีทองของศิลปะอีกยุคหนึ่งหลังเรอเนสซองส์ก็คือ บาโรค ยุคบาโรคเป็นยุคของศิลปะที่เน้นอารมณ์โดยการให้รายละเอียดในงานดราม่า ความตึงเครียด และความสง่างามบนผืนผ้าใบ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอย่างวิจิตรบรรจงผลงานส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับราชสำนัก เทพยดาและศาสนจักรโดยเฉพาะคาทอลิกที่กำลังถูกต่อต้านโดยการปฏิวัติจากคริสเตียน ส่วนชนชั้นสูงก็ชอบใช้ความงดงามตระการตาหรูหราของศิลปะยุคบาโรคเป็นตัวสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนหรือแสดงให้เห็นถึงชัยชนะและความยิ่งใหญ่ของอำนาจ ผลงานภาพเขียนแนวบาโรคส่วนใหญ่จะคล้ายภาพการแสดงในโรงละครมากกว่า Mannerism ศิลปะยุคก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ผลงานยุคบาโรคจึงดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ผลงานศิลปะแนวนี้ใน Alte Galerie เมือง Grazก็คือ Cleopatra’s Feast, Feast of the Gods with Neptune and Amphitrite, Brothel Scene, Feast of the Gods with Apollo and Bacchus ของ Johann Georg Platzer ผู้ชมจะเห็นว่า ทุกภาพล้วนดูเหมือนฉากในละครที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและมีรายละเอียดวิจิตรบรรจงทั้งนั้น





Holy Family



ส่วนในปลายยุคบาโรคที่เรียกว่า LateBaroque หรือ Rococo นั้น จะเน้นการประดับประดามากยิ่งขึ้นไปอีกจึงดูคล้ายเน้นการตกแต่ง ออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม สถาปัตยกรรมหรือดนตรี ศิลปะที่ถือกำเนิดขึ้นปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ในปารีสนี้จะเน้นความสมดุล ความยิ่งใหญ่ของผู้มีอำนาจเห็นได้จากพระราชวังแวร์ซายน์ สีที่ใช้จะเป็นสีอ่อนสดใสประดับประดาด้วยทองตามส่วนโค้งเว้าต่าง ๆ จึงขับให้เห็นความหรูหราน่าตื่นตาตื่นใจ ศิลปะแนวนี้ได้ทดแทนศิลปะแนว Neoclassic ไปจนหมดสิ้นโดยเฉพาะผลงานในราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕-๑๖ ในช่วงปลาย Late Baroque ที่ตรงกับสมัยพระจักรพรรดิโจเซฟที่สอง นี้ แม้บางประเทศเริ่มเข้าสู่ยุค Enlightenment ซึ่งศาสนาจักรคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และราชวงศ์บางแห่งเริ่มหมดความสำคัญลง แต่ในออสเตรียศิลปะแนว Rococo ก็ยังเฟื่องฟูอยู่โดยมีศิลปินที่โดดเด่นก็คือ Martin Johann Schmidt หรือ Kremer Schmidt ศิลปินที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของออสเตรียเกือบชั่วชีวิตนี้ได้ผลิตผลงานที่มีแนวทางศิลปะแบบอิตาลีตอนเหนือโดยได้รับอิทธิพลมาจาก Rembrandt ด้วย





Virgin and Child



ผลงานในช่วงแรก ๆ ของ Schmidt เน้นในเรื่องบุคคลและศาสนจักรโดยสร้างงานจิตรกรรมให้กับแท่นบูชาใหญ่ๆ และใช้สีค่อนข้างมืดทึบแนวChiaroscuro เช่น Gigantomachy, The Capture of the Golden Fleece แต่ในยุคหลัง เขาหันมาเขียนภาพที่มีสีสันสดใสและฝีแปรงที่มีชีวิตชีวาโดยเน้นเรื่องเกี่ยวกับนิยายปรัมปรามากขึ้น เช่น Horrors of War ถึงกระนั้นก็ตามในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขากลับหันมาเขียนภาพเกี่ยวกับศาสนจักรอีกครั้ง เช่น Virgin with Child, Holy Family แต่ใช้สีสันสดใสตามแนวทางแบบ Rococo การที่เขามีผลงานที่โดดเด่น เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และได้เขียนงานรับใช้ราชสำนัก แม้เขาจะไม่ได้ร่ำเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการทำให้เขายังได้รับการเสนอให้เข้าเป็นสมาชิก Imperial Academy of Vienna อยู่ดี





Cleopatra’s Feast





Feast of the Gods with Apollo and Bacchus





Feast of the Gods with Neptune and Amphitrite





Gigantomachy





The Capture of the Golden Fleece





Horrors of War



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














The Aesthetic of Colours in Siam



เดอะพิคเจอร์แกลเลอรี ขอเชิญชมนิทรรศการผลงานจิตรกรรม อิมเพรสชั่นนิสต์

ชุด "สีสันแห่งสยาม " โดย ศิลปิน วัฒนา พูลเจริญ

ในวัน เสาร์ ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ในเวลา ๑๘.๓o น. เป็นต้นไป

สีสันแห่งสยาม The aesthetic colors of Siam

“สี” ที่รายล้อมตัวเรา และแต่งแต้มโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์

“สี” เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ช่วยเราจำแนกความแตกต่าง รวมทั้งสื่อความหมาย บอกเล่าเรื่องราว

และสำหรับศิลปินแล้ว “สี” เป็นเครื่องมือสำคัญในการรังสรรค์งานศิลป์ ถ่ายทอดความงามอารมณ์และความนึกคิด

เพราะสีแต่ละสีสามารถสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงสะท้อนความเป็นตัวตนของชาติพันธุ์

โดยเฉพาะกับแนวการทำงานของผม ในแบบ Impressionแล้ว “สี” จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ใช้เพื่อสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก

บอกเล่าความประทับใจในสิ่งต่างๆ ที่พบเจอ และผ่านเข้ามาในชีวิต และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมอยากถ่ายทอดสีสันในความเป็นไทย

ไม่ว่าจะเป็นความงามอันน่าหลงใหลของธรรมชาติ เสน่ห์วิถีชีวิตแบบไทย หรือ วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา

ให้ทุกคนได้ร่วมประทับใจไปกับ “สีสันแห่งสยาม ”



ภาพและข้อมูลจาก
thepikturegallery.com




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2558 14:38:19 น. 0 comments
Counter : 3410 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.