happy memories
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 

เสพงานศิลป์ ๑๕๗





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto











จิตรกรรมลายทองร่วมสมัย ๒๕๕๗


สิโรจน์ พวงบุบผา จิตรกรไทยรุ่นใหม่ เจ้าของรางวัลเหรียญทองบัวหลวง ๓ ปีซ้อน จัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวในชื่อชุด “จิตรกรรมลายทองร่วมสมัย ๒๕๕๗” โดยรวบรวมผลงานจิตรกรรมไทยเชิงพุทธศิลป์กว่า ๔o ชิ้นที่ประยุกต์เทคนิคงานโบราณอย่างลายรดน้ำ งานลายทอง และลายกำมะลอ จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและจินตนาการในดินแดนแห่งป่าหิมพานต์ ที่แฝงไว้ด้วยคติธรรมสอนใจมนุษย์ตามหลักพุทธศาสนาให้ละวางจากความลุ่มหลง






สิโรจน์ พวงบุบผา ศิลปินหนุ่มวัย ๓o ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ ๑ และระดับปริญญาโท จากภาควิชาศิลปไทย คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ซึ่งบ่มเพาะให้เขามีพื้นฐานการศึกษาด้านงานจิตรกรรมไทยแบบประเพณีอย่างลึกซึ้ง โดยเขามุ่งศึกษางานจิตรกรรมประเภทเอกรงค์ ได้แก่ งานลายรดน้ำ งานลายทองและลายกำมะลอ ซึ่งในอดีตเป็นงานช่างประณีตศิลป์เพื่อตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้ เช่น หีบ โต๊ะ ตู้ รวมถึงเพื่อตกแต่งส่วนประกอบอาคาร เช่น ฝาผนัง บานประตู หน้าต่าง ด้วยกรรมวิธีการเขียนด้วยน้ำยาหรดารบนพื้นรัก สีดำแล้วปิดทองรดน้ำ เทคนิคดังกล่าวได้ส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่างสิโรจน์ โดยคลี่คลายรูปแบบลงสู่เฟรมผ้าใบ ดังเช่นในงานวิทยานิพนธ์ชุดจิตรกรรมลายทองร่วมสมัยของเขา สิโรจน์เคยส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดจิตรกรรมบัวหลวงของมูลนิธิธนาคารกรุงเทพซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และผลงานสิโรจน์ชนะการประกวดประเภทจิตรกรรมไทยแบบประเพณีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๓ รวมถึงอีกหลายเวทีการประกวดศิลปกรรม นับเป็นก้าวหนึ่งแห่งความสำเร็จของศิลปินผู้พัฒนาเทคนิคของช่างเขียนไทยโบราณได้อย่างน่าสนใจและมีเอกลักษณ์ร่วมสมัยในปัจจุบัน






นิทรรศการ “จิตรกรรมลายทองร่วมสมัย ๒๕๕๗” นี้ เป็นการนำผลงานสร้างสรรค์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ ปี ๒๕๔๘-๒๕๕๗ รวม ๑o ปี โดยการพัฒนาผลงานทางด้านเทคนิคการสร้างสรรค์และแนวความคิดที่อาศัยรูปทรงทางธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ โขดหิน แม่น้ำ ฯลฯ มาผสมผสานกับรูปทรงที่มีลักษณะแบบอุดมคติไทย เช่น ตัวพระ ตัวนาง สัตว์หิมพานต์ ฯลฯ โดยอาศัยเทคนิคที่มีการคลี่คลายจากงานลายรดน้ำ งานลายทองและลายกำมะลอจนเกิดเป็นเทคนิคใหม่ คือ เทคนิคจิตรกรรมลายทอง ซึ่งผลงานที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ได้แบ่งช่วงในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยแบ่งจากรูปแบบและแนวความคิดออกเป็น ๒ ช่วง ดังนี้






พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕o เป็นงานจิตรกรรมที่ถ่ายทอดแนวความคิดเกี่ยวข้องกับคติธรรมและปรัชญาทางพระพุทธศาสนาในเรื่องต้นนารีผลที่อยู่ในป่าหิมพานต์ มาเป็นเครื่องเตือนสติมนุษย์ ให้ละวางจากความลุ่มหลงในกามกิเลส โดยเปรียบกับกิเลสในใจของผู้ชมที่ได้ชมผลงานแล้วเห็นความงามของ สีทองที่เกิดจากทองคำเปลวมาเรียงปิดติดต่อกัน ส่องแสงประกาย ประกอบกับรูปทรงของต้นไม้ที่ทรงพลัง บิดคดเคี้ยวไปมา ในพื้นที่กรอบสี่เหลี่ยมของผลงาน สิ่งเหล่านี้รวมกันเกิดเป็นสุนทรียะทางด้านความงาม ลวงตา ลวงใจ ทำให้ผู้ชมเกิดกิเลสและอยากเข้าไปสัมผัสผลงานใกล้ ๆ ดังวิทยาธรที่เห็นความงามของนารีผล






พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๗ ผลงานสร้างสรรค์ในช่วงนี้ได้นำเรื่องราวของดินแดนหิมพานต์ ตามคติความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งเป็นดินแดนที่เหนือความเป็นจริง จากตำนานกล่าวว่าป่าหิมพานต์อยู่ในชมพูทวีป เต็มไปด้วยสัตว์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ผิดไปจากสัตว์ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เกิดจากสัตว์หลากหลายประเภทมาผสมกัน จนเกิดเป็นสัตว์ชนิดใหม่ เรียกว่าสัตว์หิมพานต์ และไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำหรือต้นไม้ แม้แต่มนุษย์ที่เข้าไปอาศัยในป่าหิมพานต์ ก็ย่อมไม่ใช่มนุษย์ ด้วยความเชื่อเรื่องดังกล่าวนี้เอง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนด้วยเส้นสายที่อ่อนช้อย พลิ้วไหว นำไปสู่การถ่ายทอดความคิด อารมณ์ และความรู้สึกตามทัศนคติส่วนตนที่มีต่อเรื่องหิมพานต์นี้






นิทรรศการ “จิตรกรรมลายทองร่วมสมัย ๒๕๕๗” โดย สิโรจน์ พวงบุบผา เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน – ๓o ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งแต่เวลา ๑o.oo -๑๙.oo น. ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ นอกจากนี้ในระหว่างนิทรรศการจะมีกิจกรรมWorkshop เทคนิคจิตรกรรมลายทองบนจานกระเบื้อง โดยมีวิทยากรคือ สิโรจน์ พวงบุบผา เพื่อให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมทดลองเทคนิคการเขียนลายรดน้ำเบื้องต้นลงบนภาชนะ กิจกรรมจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๓.oo – ๑๖.oo น. ณ บริเวณชั้น ๑ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่เคาท์เตอร์ชั้น ๑ โดยมีค่าใช้จ่ายท่านละ ๒oo บาท (รับจำนวนจำกัด ๓o คน และเด็กเล็กอายุ ๑๒ ปี ขึ้นไป)


นิทรรศการ : จิตรกรรมลายทองร่วมสมัย ๒๕๕๗
ศิลปิน : สิโรจน์ พวงบุบผา
วันที่ : ๔ พฤศจิกายน – ๓o ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โทร : o๒-๒๘๑-๕๓๖o-๑



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com













Loei Painting


นิทรรศการครั้งนี้ข้าพเจ้าได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนในพุทธศาสนา อีกทั้ง คำบอกเล่าต่างๆจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น สืบเนื่องต่อกันมา ซึ่งสะท้อนคุณค่าและแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมบนศาสนสถาน เพื่อใช้แทนคำสอน ให้เข้าใจได้โดยง่าย ข้าพเจ้ามีความสนใจและประทับใจ ในวิถีชีวิตพื้นถิ่นอีสานที่ได้สัมผัส จึงได้นำมาถ่ายทอดและสร้างงานจิตรกรรม ที่แสดงความรู้สึกถึงความเป็นศิลปะพื้นถิ่น ตามลักษณะการแสดงออกส่วนตัวของข้าพเจ้า เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของจิตรกรรมที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นไทย


พิธีเปิดนิทรรศการ วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ห้องนิทรรศการชั้น ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


นิทรรศการ : “ฮูปแต้มเลย” (Loei Painting)
ศิลปิน : อิทธิพล พัฒรชนม์
วันที่ : ๒๒ พฤศจิกายน-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : ห้องนิทรรศการชั้น ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ติดต่อศิลปิน : o๕๑-๓๔๕-๔o๒๗
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๒๑๘-๓๗o๙ / o๘๕-๙๔๕-๗๗๔๖







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














DROWSE


นักจิตวิทยาในช่วงศตวรรษที่ ๑๙ หรือ ๘o-๙o ปีที่ผ่านมา ได้ศึกษาเรื่องความฝันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ไม่ใช่ลางบอกเหตุในอนาคต กลับจะเป็นตัวบ่งชี้ความนึกคิดก่อนฝันเสียด้วยซ้ำ อย่างทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตสำนึกหรือจิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ได้แก่ การแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง


หลังจากจบการศึกษาเกี่ยวกับศิลปะ นักศึกษาศิลปะส่วนใหญ่เลือกที่จะประกอบอาชีพหลักที่อาจจะเกี่ยวเนื่องกับศิลปะ บางคนเลือกที่จะทำงานที่ต่างออกไปจากสายงานที่เรียนมา เพราะความจำเป็นทางด้านการเงิน สิ่งที่ทำควบคู่ไปกับการหาเงินคือการทำงานศิลปะ หากการทำงานศิลปะเปรียบเสมือนการบันทึกช่วงเวลา แห่งความทรงจำ ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ควบคู่กันไป ผ่านการสร้างสรรค์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจดบันทึก การเขียน การถ่ายภาพ และบางครั้งการสร้างสรรค์ผลงาน ได้แรงบันดาลใจมาจากการประกอบอาชีพในปัจจุบันของตัวศิลปินเอง


การขับเคลื่อนทางศิลปะปัจจุบันอาจเกิดขึ้นจากกลุ่มคนจำนวนเล็กน้อย หรือหน่วยย่อยขององค์กร บุคคล การขับเคลื่อนเล็ก ๆ นี้เอง ทำให้เกิดพื้นที่ทางศิลปะในกรุงเทพฯ ความหวัง ความฝัน สิ่งที่ยังคงติดอยู่ แรงขับที่เกิดจากการคั่งค้างของความคิด ศิลปะไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามแต่เพียงอย่างเดียว ศิลปะยังคงสร้างหน้าที่ของศิลปินให้เกิดขึ้น ต่อสังคม(การเมือง)และต่อวงการศิลปะเอง นิทรรศการ “สัปงก”(DROWSE) อาจจะเหมือนกับอาการอดนอนจากการทำงาน หาเงินหรือทำงานศิลปะที่บางครั้งเป็นแค่การเติมเต็มความฝันก่อนที่เราจะตื่นนอน


นิทรรศการศิลปะ “DROWSE”(สัปหงก) ประกอบด้วยศิลปินรุ่นใหม่จำนวน8คน ที่ยังคงประกอบอาชีพและทำงานศิลปะอยู่ในกรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๑๔ พ.ย.-๑๔ ธ.ค. ๕๗ ที่ Use Space ถนนสามเสน ใกล้ปากซอยสามเสน ๒๔


ขอเชิญร่วมพิธีเปิดนิทรรศการวันที่ ๑๔ พ.ย. ๕๗ เวลา ๑๘.oo- ๒๒.oo น.


นิทรรศการศิลปะ : “DROWSE”(สัปหงก)
ศิลปิน : กัมปนาท สังข์สร, ชัยวัช เวียนสันเทียะ, พรภพ สิทธิรักษ์, วิชรุตน์ สังข์สุข , สิทธินนท์ พงศ์รักธรรม, อธิธัช นิ่มมา, อธิษฐ์ ยศถามี , เอกลักษณ์ สาธิตธวัช
วันที่ : ๑๔ พ.ย. ๕๗-๑๔ ธ.ค. ๕๗
สถานที่ : Use Space (ถนนสามเสน ใกล้ปากซอยสามเสน ๒๔)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร : o๘๑-๔๕๘-o๑๑๖
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/UseSpaceBkk



































ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














เท่าฝาหอย (SHELLS)


เท่าฝาหอย | shells นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ จอม ปัทมคันธิน หลายคนรู้จักเขาในนาม จอม สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอยสองสมัย เขาเกิดที่จ. เชียงใหม่แต่ด้วย การเติบโตขึ้นท่ามกลางธรรมชาติของท้องทะเลอันดามัน และหาดราไวย์ที่จังหวัดภูเก็ต


ชีวิตของเขาจึงผูกพันกับห้องเรียนธรรมชาติ เป็นศิลปะสถานแรกที่เริ่มเรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ จากผู้เป็นพ่อผ่านความรักและความผูกพัน ผ่านลวดลาย สีสัน และรูปทรงของเหล่าเปลือกหอยหลากหลายที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้าง จากเรื่องราวเมื่อเยาว์วัยของทั้งเขาและคุณพ่อกับการวิ่งเล่นบนหาดทราย ชาวประมง ธรรมชาติ ก่อนสึนามิและการเปลี่ยนแปลงที่ตามมา สิ่งเหล่านี้คือที่มาและแรงบันดาลใจในนิทรรศการครั้งนี้ โดยหยิบยกมาบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา จากความรู้สึกและความทรงจำอันอบอุ่น ผ่านภาพวาดในรูปแบบเรียบง่ายของเขา


งานเปิดนิทรรศการจัดในวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๓o น. ณ มิตรไนซ์ แกลเลอรี่ โชคชัย ๔ ซอย ๑๘ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ


บทสัมภาษณ์คุณจอม ปัทมคันธินเกี่ยวกับนิทรรศการ เท่าฝาหอย (SHELLS)

@. ปัจจุบัน คุณจอมทำอะไรอยู่บ้างคะ

ผมเดินทางน้อยลงในช่วงปีที่ผ่านมา อยู่ใกล้คุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ท่านอายุมากขึ้นแล้วและเริ่มมีเรื่องสุขภาพที่ต้องดูแลใกล้ชิดมากขึ้น พออยู่บ้านมากขึ้น การอ่านหนังสือ นิตยสาร เสพสื่อสารคดีทางโทรทัศน์ดี ๆ รวมถึงการได้ต้อนรับอาคันตุกะต่างแดนมากขึ้นที่บ้าน ที่มีมาหาแทบไม่เว้นวัน ก็ทำให้ผมเหมือนเดินทางท่องไปในอีกรูปแบบนึงจากการสะสมเรื่องราวผ่านการอ่านและพูดคุยสนทนา ‘ภาษาหอย’ กันครับ


๒. เริ่มสนใจการวาดภาพตั้งแต่เมื่อไหร่

คุณพ่อคือคนที่เห็นว่าผมชอบขีด ๆๆๆ ตามฝาผนัง ตามพื้นปูนที่บ้านตอนเด็กเอามาก ๆ ก็เมื่ออายุได้สักสามขวบนิด ๆ คุณพ่อซื้อกระดาษเอสี่มาปึกนึง กับปากกาด้ามนึง วางไว้ให้ตรงหน้า และไม่เคยชี้นำอะไรมากมายนอกจากชวนลูกคุยนั่นนู่นนี่ แล้วปล่อยให้ผมขีด ๆ วาด ๆ ภาพประกอบเรื่องราวตามสิ่งที่ผมอยากระบายออกมา จำได้ว่าของขวัญวันเกิดชิ้นแรกตอนผมอายุได้ครบห้าขวบคือหนังสือภาพวาดปกแข็ง “กายวิภาคฯ” ของอาจารย์ เสน่ห์ ธนารักษ์สฤษดิ์ ผมตื่นตามากที่ได้เห็นสรีระมนุษย์แบบหมดเปลือยครั้งแรก และเป็นปีแรกที่เสียน้ำตาจากการเรียนรู้ของขวัญชิ้นพิเศษจากพ่อ คือพ่อสอนเรื่องการพรากจากคนที่เรารักและการอยู่รอดเป็นครั้งแรกในวันเกิดปีนั้น ผมไม่เคยรู้แน่นอนว่าตัวเองเริ่มชอบการวาดเมื่ออายุได้เท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าก่อนเรียน ก. ไก่ รู้เรื่องนั้นผมได้เขียนอะไรขยุกขยิก เป็นตุเป็นตะจนกระดาษเอสี่จากพ่อหมดไปหลายรีมแล้วครับ


๓. นิทรรศการครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและอะไรเป็นแรงบันดาลใจกับงานในนิทรรศการครั้งนี้
นิทรรศการนี้เกิดจากความเชื่อมั่นของนักจัดนิทรรศการทางศิลปะกลุ่มหนึ่ง ผมเคยได้รับเกียรติถูกเชิญเข้าร่วมงานนิทรรศการ Nature Diaries ปลายปี ๕๖ ณ หอศิลป์ตาดูไทยยานยตร์ และความสำเร็จเล็ก ๆ จากครั้งนั้นผลิดอกออกใบมาเป็นนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในคราวนี้และแรงบันดาลใจมาจากความทรงจำวัยเยาว์ของผมกับคุณพ่อที่มีเปลือกหอยเป็นสื่อกลางมานับแต่ผมจำความได้รวมถึงคลื่นสึนามิ (Tsunami) ที่ถล่มชายฝั่งรอบทะเลอันดามันเมื่อปลายปีพ.ศ. ๒๕๔๗ นั้นได้พัดพาเอาคราบสกปรกในท้องทะเลออกไป เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ในท้องทะเลชายฝั่งบางพื้นที่ และ “คืนมา” ซึ่งสรรพชีวิตหลายอย่างในทะเลที่เคยมีและหายไปนาน…. เหมือนสึนามิได้หอบเอาไข่ของหอยบางชนิดกลับมาเติบโตในท้องทะเลรอบเกาะภูเก็ตอีกครั้ง ผมเพิ่งค้นพบว่าเปลือกหอยเบี้ยตัวจิ๋วชนิดแรกที่เป็นซากเกยหาดที่ผมเดินเก็บกับพ่อตอนอายุได้สักสามสี่ขวบนั้นได้กลับมามีบนหาดราไวย์ที่ผมเติบโตมาอีกครั้ง เป็นหอย เบี้ย ‘ursellus’ และอีกหลากหลาย เป็น connection เล็ก ๆ เป็นความทรงจำอันแสนพิเศษระหว่างผมกับพ่อที่ทำให้ผมสนใจเหล่าเปลือกหอย ศิลปะ และการเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ครับ


๔. งานในนิทรรศการนี้เป็นแนวไหน/ใช้เทคนิคอะไรบ้างในการนำเสนอในงาน
งานศิลปะในนิทรรศการนี้มันมีความหลากหลายมากในหลาย ๆ ส่วน ผมฝึกฝนวาดรูปด้วยตนเอง จากพ่อ จากครู จากผู้รู้ชี้แนะ ใครหรืออะไร ๆ ก็แทบจะเป็นครูสอนผมได้ทั้งนั้น…. ผมอยากค้นพบ “ความสุข” จากการวาดภาพ ชอบทดลอง เลยลองวาดดูทั้งเทคนิคสีน้ำ สีอะคริลิก และสีบาติก ซึ่งล้วนแล้วให้อิทธิพลและบรรยากาศที่แตกต่างกัน


ผมรู้สึก ‘บ้ามาก’ ที่กล้านำเสนอตนเองผ่านนิทรรศการในครั้งนี้ (หัวเราะ) เพราะไม่เคยได้ผ่านการเรียนรู้จริงจังจากสถาบันศิลปะไหน ๆ เลย อาศัยเพียง ‘ตาดูหูฟัง’ ฟังจากพ่อตัวเองมากที่สุด และ เดินทางไปชื่นชมและถามไถ่เรื่องราวของการวาดภาพจากอาจารย์ที่ผมรักหลายท่านที่ท่านล้วนเมตตาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและผลงานให้ฟัง ทำงานให้ดูตรงหน้าอย่างเปิดเผย…. ผมถือประสบการณ์เหล่านั้นเป็น ‘ครู’ … และผมเพียงเป็นคนวาดภาพประกอบเรื่องราวชีวิตคนรอบข้างและเปลือกหอย ที่ถ่ายทอดจากใจผมออกมาโดยไม่มีรูปแบบอะไรที่งดงามหรือชัดเจนเพียงพอเลย เพียงรู้ว่าภาพที่วาดออกมาไม่เคยงามได้เท่าเสี้ยวของภาพที่เห็นอยู่ในใจเลยสักครั้งในชีวิต เป็นเด็กน้อยที่แทบไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยในโลกของศิลปะที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ผมยังเป็นเด็กห้าขวบคนเดิมที่เดิน ๆ วิ่ง ๆ ริมทะเลยามน้ำลดกับพ่ออยู่ (หัวเราะดัง) และไม่เคยก้าวข้ามความสนุกในการขีด ๆ เขียน ๆ อะไรไปตามประสาในตอนนั้นไปได้เลย


๕. ถ้า จอม ปัทมคันธิน ไม่ได้วาดหอย คุณจอมจะวาดอะไร

ผมจะวาด ‘ชีวิต’…. ถ้าสักวันผมทำได้นะ ผมจะวาด ‘ลมหายใจ’ ของชีวิต ผมเชื่อในเสียงหัวใจที่มันเต้นตุบ ๆ อยู่ในอกของสิ่งมีชีวิต ผมไม่เคยมองว่ามนุษย์ยืนอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในห่วงโซ่อาหารแบบสมมุติที่มนุษย์เรียนรู้ สรุป และสอนต่อ ๆ กันมา และผมเชื่อว่าเราต่างมีความคล้ายคลึงกัน ผมคงหยุดวาดเปลือกหอยไม่ได้ในชีวิตนี้ เพราะผมไม่เคยมองเห็นมันเพียงแค่ ‘เปลือก’ แต่กลับมองทะลุไปถึงเกลียวข้างใน ได้ยินเสียง ‘ลมทะเล’ ที่มันพัดผ่านเข้าและออกในเกลียวเหล่านั้น กึกก้อง สะท้อน และชัดเจนอยู่ในใจเสมอครับ…



นิทรรศการ : เท่าฝาหอย (SHELLS)
ศิลปิน : จอม ปัทมคันธิน
วันที่ : ๑๕ ต.ค.-๑๕ พ.ย. ๕๗
สถานที่ : มิตรไนซ์ แกลเลอรี่ (Midnice Gallery)
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : o๘๗-๖๗๕-๖๖๖๔



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














สัพเพสัตตา


งานชุดนี้เป็นการรวบรวมงานที่ผมสร้างขึ้นต่างกรรมต่างวาระ เคยแสดงบ้าง ไม่เคยแสดงบ้าง เคยแสดงแล้วไม่มีคนไปดูบ้าง หรือหลายคนไม่ได้เคยเห็น การใช้พื้นที่ครั้งนี้ เพื่อเสนอให้เห็นความหลากหลาย ของอารมณ์ รู้สึก และความคิด ที่ผมมีต่อชีวิตและสังคม ดั่งคำสวดต์ แผ่เมตตา “สัพเพสัตตา สรรพสัต์ทั้งหลายเอ๋ยจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้กดขี่ ขูดรีดเอาเปรียบ ขดโกง เข่นฆ่ากันและกันเลย เพราะเราต่างเกิดมา ร่วมทุกข์ทั้งสิ้น


โลภอะไรนักหนา
อยากอะไรกันนักหนา
โกงอะไรกันนักหนา
เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดแล้ว
อยู่ร่วมกันได้ไหม แบ่งปัน สาธุ”



ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการศิลปะ โดย วสันต์ สิทธิเขตต์ ในวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ รีเบลอาร์ตสเปช สุขุมวิท ๖๗ เริ่ม ๖โมงเย็นเป็นต้นไป



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














ภาพถ่ายสัตว์ป่ายอดเยี่ยมแห่งปี


The last great picture ผลงานภาพถ่ายสิงโตในรูปแบบขาวดำ โดย Michael ‘Nick’ Nichols ชาวสหรัฐอเมริกา ได้รับการตัดสินให้เป็น “ภาพถ่ายสัตว์ป่ายอดเยี่ยมแห่งปี” จากการประกวด Wildlife Photographer of the Year 2014 จัดโดย London's Natural History Museum และ BBC


ขณะที่ภาพถ่ายแมงป่องสีเหลืองชื่อ Stinger in the sun ทำให้ Carlos Perez Naval ชาวสเปน ได้รับรางวัลในฐานะ Young Wildlife Photographer of the Year 2014


Michael ‘Nick’ Nichols เป็นศิลปินภาพถ่ายและนักข่าว ผู้ใช้ทักษะของเขามาบอกเล่าเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมและความสัมพันธ์ของมนุษย์เรากับสัตว์ป่า และโดยส่วนใหญ่แล้วเขาทำงานให้กับนิตยสาร National Geographic และทำงานทางด้านนี้มากว่า ๓๕ ปี นอกจากนี้ผลงานของเขายังเคยถูกตีพิมพ์ในนิตยสารที่มีชื่อเสียงและพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ


ส่วน Carlos Perez Naval เขาเพิ่งมาถ่ายภาพอย่างจริงจังเมื่อ ๓ ปีที่ผ่านมา เคยได้รับรางวัลจากการประกวดภาพถ่ายมาแล้วทั้งในสเปน อิตาลีและฝรั่งเศส เขาเป็นคนรักธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือที่ไหนก็ตาม และใช้เวลาส่วนมากไปกับการถ่ายภาพพืชและสัตว์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาในสเปน







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Kamaishi that I Love


“คามาอิชิที่ฉันรัก” เป็นการแสดงภาพเขียนครั้งที่หก ร่วมกับ อักโกะ อาร์ท แกลเลอรี่ หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิปี ๒o๑๑ เคียวโกะได้ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มที่เมืองคามาอิชิ เพื่อวาดภาพแห่งความหวังลงบนกำแพงยาว ๔๓ เมตร สูง ๘ เมตรด้วยความร่วมมือจากคนในท้องถิ่น และอาสาสมัครทั่วประเทศญี่ปุ่น ภาพนี้สำเร็จสมบูรณ์ เมื่อเดือนมีนาคม ปีนี้ โดยมีรายการโทรทัศน์หลายแห่งในญี่ปุ่นมาทำสารคดีเกี่ยวกับกำแพงแห่งความหวัง กำแพงที่มีภาพเขียนของเคียวโกะ ได้กลายเป็นสถานที่สำคัญของเมืองคามาอิชิ ที่กำแพงนี้สำเร็จได้ก็เพราะทุกคนที่มาช่วยนั้น มาทำด้วยความรักที่มีต่อกันและกัน และนี่เองเป็นเหตุให้เคียวโกะ ตกหลุมรักเมืองคามาอิชิอย่างช่วยไม่ได้


การแสดงงานภาพเขียน “คามาอิชิที่ฉันรัก” ครั้งนี้ เป็นเรื่องของผู้คน สถานที่ต่าง ๆ ในเมืองคามาอิชิ จากภาพเขียนทั้งหมด มีภาพเขียนขนาด ๑ x ๑.๕ เมตร จำนวนสี่ภาพที่แสดงถึงสี่ฤดูกาลในคามาอิชิ คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แน่นอน …..ภาพดังกล่าวจะช่วยทำให้หัวใจของผู้ชมงานสดชื่นขึ้นได้อย่างประหลาด และไม่มีที่ใดที่คุณจะเห็นภาพนี้ได้นอกจากที่นี่… โดย เคียวโกะ อาเบะ


นิทรรศการ : Kamaishi that I Love
ศิลปิน : Ms. Kyoko Abe
วันที่ : ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗-๓o ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : Akko Art Gallery (BTS สถานีทองหล่อ ทางออกที่ ๑)
รายละเอียดเพิ่มเติม : o๒-๒๕๙-๑๔๓๖
เว็บไซต์ : akkoart.com
อีเมล : info@akkoart.com
เฟซบุ๊ค : Akko Art Gallery























ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














ปั่นลั่นกล้อง & Navie Day


ห้องสมุดบ้าน ๆ น่าน ๆ ขอเชิญร่วมงานนิทรรศการภาพภาพถ่ายชุด “ปั่นลั่นกล้อง” โดย วรวุฒิ วรวิทยานนท์ และ นิทรรศการภาพวาด “Navie Day”โดย บุญขนิษฐ์ วรวิทยานนท์


“ผมชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว พอมาเริ่มปั่นจักรยานเที่ยว ได้พบเพื่อน ๆ ร่วมเส้นทางจักรยานมากมาย ขี่จักรยานไปในที่ ๆ รถยนต์เข้าไปไม่ได้ ทำให้ได้พบเห็นวิวสวย ๆ เยอะมากจากการปั่นจักรยานเที่ยว” (วรวุฒิ วรวิทยานนท์)


“ไม่ได้เรียนศิลปะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เคยลงเรียนสีน้ำตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่เคยเรียนครบ แต่ชื่นชอบการวาดรูปเป็นทุนอยู่ในจิตวิญญาณ เป็นจังหวะของการตกงาน เมื่อปี ๔o เลยทำให้ได้วาดรูปมาก วาดเล่นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อ มกราคม ปี ๕๗ ถูกชวนจากครูเจ้าของ ห้องสมุดบ้าน ๆ น่าน ๆ เลยฮึกเหิม…มันเหมือนเป็นสิ่งไม่คิดไม่ฝัน” (บุญขนิษฐ์ วรวิทยานนท์)































































ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Artisanal Collection


คาซา พาโกดา บริษัทเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนชั้นนำขอแนะนำคอลเลคชั่นงานฝีมือศิลป์ “Artisanal Collection” จากการรังสรรค์ของช่างฝีมืองานศิลป์ชาวฝรั่งเศส อีฟลิเน ในสตูดิโอของเธอทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะในโดมแก้วแต่ละชิ้นของเธอมีความงดงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จากการผสมผสานระหว่างความงามแบบธรรมชาติและสิ่งของต่าง ๆ ในสไตล์วินเทจได้อย่างลงตัว ท่านสามารถเลือกชมคอลเลคชั่นฝีมืองานศิลป์ในโดมแก้วได้แล้วที่ คาซา พาโกดา ซอยสุขุมวิท ๔๕ หรือ casapagoda.com






เกี่ยวกับศิลปิน อีฟลิเน

อีฟลิเน รังสรรค์งานฝีมือศิลป์ในสตูดิโอของเธอที่เมืองมงเปอลีเย ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสตลอด ๒๕ ปีที่ผ่านมา โดยมีจุดกำเนิดในปี ๒๕๓๒ เมื่อเธอได้เริ่มต้นสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื่อประดับตกแต่งบ้าน ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากความชื่นชอบส่วนตัวในมนต์เสน่ห์ของความเป็นวินเทจและคลาสสิก


อีฟลิเน ร่วมกับ มาร์ค สามีของเธอ พวกเขาได้สร้างโปรเจค N’OMADES AUTHENTIC (ผู้พิศวง) อันสะท้อนปรัชญาของโปรเจค ถึง ความรักในเสรีภาพ อิสระในการคิด คิดทบทวน และความปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อค้นพบสิ่งต่างๆ การสร้างโดมอันน่าพิศวง ‘N’omades Authentic’ เริ่มต้นจากการเลือกวัสดุสิ่งของวินเทจต่างๆ ที่ได้รับการเสาะแสวงหาจากทั่วโลก รวมทั้งวัสดุจากธรรมชาติที่สวยงามผสานเข้ากับเทคนิคฝีมืองานศิลป์ที่เฉพาะก่อเกิดเป็นงานศิลป์ที่ตราตรึงอย่างไม่รู้ลืมแก่ผู้ที่ได้พบเห็น






ข้อมูลเกี่ยวกับ คาซา พาโกดา

คาซา พาโกดา เริ่มกิจการใน พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยผู้บริหารและหุ้นส่วน ๓ ราย ก่อกำเนิดร้านภายใต้แนวคิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นรูปแบบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย หรูหรา พร้อมสรรพด้วยคุณภาพเหนือระดับ จนกลายมาเป็นบริษัทเครื่องเรือนที่มีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียทุกวันนี้ ปัจจุบัน คาซา พาโกดา มีสำนักงานในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ประเทศจีน


คาซา พาโกดา ประเทศไทย
คาซา พาโกดา สาขาสุขุมวิท ตั้งอยู่ เลขที่ ๔ ซอยสุขุมวิท ๔๕
โทรศัพท์ : o๒-๒๕๘-๑๙๑๗
อีเมล : Bangkok@casapagoda.com
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม : casapagoda.com
หรือ เฟซบุค casapagoda


บริษัท โทเทิล ควอลิตี้ พีอาร์ ไทยแลนด์ (จำกัด)
คุณ ปัญจพล ดิศผดุง
เบอร์โทร : 02-260-5820 ต่อ 124
อีเมล : arm@tqpr.com






ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Of Salt and Men


ขอเชิญมาสัมผัสนิทรรศการของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่หลงใหลการถ่ายภาพ ซึ่งนำเสนอภาพถ่ายเนกาตีฟเรื่องราวเดียวกัน ตอนที่อยู่ด้วยกันในมุมมองที่แตกต่างกันและเติมเต็มซึ่งกันและกัน เรื่องราวในภาพคือเรื่องราวเกี่ยวกับเกลือและมนุษย์ หรือก็คือนาเกลือแถวหัวหินนี่คือการเดินทางที่น่าตื่นตาตื่นใจและแปลกใหม่ซึ่งอานิโก ปาลันกี, แคเธอลีน ไวต์, อิซาแบล ตูยารู, มารี-คริสตีน, ไรซ์ สเตฟานี เบรอตงน์ และสเตฟานี โนโต ขอมอบให้กับท่าน พิธีเปิดนิทรรศการวันที่ ๖ พฤศจิกายน เวลา ๑๘.๓o น.


นิทรรศการภาพถ่าย: เกลือและมนุษย์
วันที่ : ระหว่างวันที่ ๖-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
สถานที่ : แกลเลอรีของสมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ เลขที่ ๑๗๙ ถนนวิทยุ (เข้าร่วมงานฟรี)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร : o๒-๖๗o-๔๒๒๒
อีเมล : warittha.kraiwee@afthailande.org



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














ดีเอ็ม โอม ชวนศิลปินดัง สร้างสรรค์คอลเลคชั่นพิเศษเพื่อร้านปันกัน


ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมากว่า ๒o ปี DM HOME ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านแบรนด์หรูชั้นนำของเมืองไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เพียงดำเนินพันธกิจหลักในด้านธุรกิจ แต่เพราะเห็นถึงคุณค่าแห่งการแบ่งปัน DM HOME จึงเน้นการตอบแทนสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคมด้วย ล่าสุดได้ร่วมกับร้านปันกัน โดย มูลนิธิยุวพัฒน์ จัดงาน “ศิลปะแห่งการแบ่งปัน ปีที่ ๓” เพื่อร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ผ่านรูปแบบการปันงานศิลปะในแขนงต่าง ๆ ซึ่งปีนี้ได้นำ KARTELL เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังจากอิตาลีมาให้เหล่าศิลปินดังร่วมกันสรรค์สร้างผลงานศิลปะ ภายใต้แนวคิด อาร์ต เลิฟ แชริ่ง เพื่อให้เป็นผลงานชิ้นพิเศษจำนวน ๑o ชิ้น เป็นผลงานระดับ Art Piece เพื่อนำมาแสดงและจัดจำหน่ายในงาน โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปสมทบเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทุนของมูลนิธิยุวพัฒน์






ศิลปินชื่อดังที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานบนเฟอร์นิเจอร์ KARTELL ได้แก่ โอ๋ ฟูตอง หรือ หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ, ชิน - ทศพร อาชวานันทกุล แห่งวงดนตรีซิงกูลาร์, นักเขียนชื่อดัง นิ้วกลม - สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์, ชลิต นาคพะวัน, วรพจน์ ศรีธิมากุล แห่ง สตูดิโอ จิ๋ว, จิตต์สิงห์ สมบูญ, เด็กหญิงขมิ้น กิ่งศักดิ์ ศิลปินสาวน้อยทายาทนักร้องชื่อดัง ป้าง - นครินทร์ กิ่งศักดิ์, Visionary Group และ ทีฆวุฒิ บุญวิจิตร






ดร.จันทรา ศานต์ตระกูล ที่ปรึกษาของ DM HOME กล่าวว่า “แม้การดำเนินธุรกิจของเรา จะเป็นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การแบ่งปันเพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม ก็ถือเป็นพันธกิจหลักที่ DM HOME ยึดมั่นและถือปฏิบัติมาโดยตลอด ซึ่งงานนี้ DM HOME ได้รับเกียรติจาก ร้านปันกัน และมูลนิธิยุวพัฒน์ ให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานดี ๆ โดยการมีส่วนร่วมในการนำเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Kartell ให้ศิลปินดังออกแบบ ผลงานแต่ละชิ้นถูกดีไซน์ได้สวยงามและมีเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะผลงานศิลปะจากศิลปินตัวน้อย เด็กหญิง ขมิ้น กิ่งศักดิ์ ที่มีอายุเพียง ๙ ปี ถือว่าเด็กสุดของงานนี้ แต่สามารถสร้างสรรค์ผลงานจนได้ถูกประมูลเป็นงานชิ้นแรก ๆ สำหรับโจทย์ที่น้องได้รับ คือ La Boheme 2 สตูล ออกแบบโดย Philippe Starck นักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศส น้องขมิ้นเลยมีแรงบันดาลใจที่จะสร้างชิ้นงานให้มีกลิ่นอายของความเป็นฝรั่งเศส จึงเกิดเป็น แจกันสีเหลืองสดขึ้น เพราะดูจากรูปทรงของเก้าอี้ที่มีรูปทรงคดโค้งอ่อนหวานเหมือนรูปร่างผู้หญิง พร้อมกันนี้ยังได้เกิดไอเดียภาพแมวสาวชาว Paris เพื่อมอบให้กับผู้ประมูลผลงานครั้งนี้ด้วย งานนี้นอกจากจะได้อิ่มบุญแล้ว ยังได้งานศิลปะระดับ Art Piece ไปครอบครองอีกด้วย”






ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการ “ปันกัน” กับ“ศิลปะแห่งการแบ่งปัน ปีที่ ๓ สามารถชมและเลือกซื้อผลงานศิลปะ จากศิลปินชื่อดัง จำนวน ๑o ผลงาน และ Art Market ภาพศิลปะจากงานประกวดศิลปกรรมยุวพัฒน์ รวมถึงผลงานศิลปะจากคณาจารย์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร และศิลปินแขนงต่าง ๆ อีกกว่า ๑oo ชิ้น ได้ที่ DM HOME ทองหล่อ ๑๙ ได้ตั้งแต่วันนี้ - ๓o พฤศจิกายน ๒๕๕๘ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. o๒-๓๖๕-o๗๘๙ หรือ dm-home.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














เมืองในดิน


ในพื้นที่แห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพมหานคร สถานที่ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยเนื้อหาทางวัฒนธรรมเป็นร้อยปีและความทรงจำ มีข่าวลือหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพื้นที่ทางวัฒนธรรมนั้น ที่ซึ่งกำลังถูกความเจริญเข้ามากล้ำกลาย ก่อนจะกลืนกิน


ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดก็ตาม เพราะทุกวันนี้ มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในโลก เทคโนโลยีที่ล้ำยุค การแพทย์ที่ก้าวหน้า การเมืองการปกครองที่มีการพลิกผันและการเกิดขึ้นของกลุ่มการปกครองอิสระต่าง ๆ รวมไปถึงเรื่องเบา ๆ อย่างภาพยนตร์ ดนตรีที่มีความหลากหลายกว่าในยุคก่อน ทุกอย่างเป็นสีสันแต่งแต้มให้โลกใบนี้ มีเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เสียงพูดคุย อาจจะท่ามกลางเสียงร้องไห้หรือเสียงอื่น ๆ ที่เราไม่เคยได้ยิน






แต่ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างหายไปหมด ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ ผู้คนต้องลงไปอยู่ใต้ดินเพราะไม่อาจทนกับสภาพอากาศหรือความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจอาศัยอยู่บนพื้นโลกได้อีกต่อไป ถึงวันนั้นเราจะทำอย่างไร ทุกคนจะไปอยู่ที่ไหนกัน บนฟ้า ใต้น้ำ หรือในดิน!


และแล้ว "เมืองในดิน" ก็เกิดขึ้นมา


ไม่ได้เกิดจากนักวิทยาศาสตร์ นักวิศวกร สถาปนิกชั้นนำ นักดาราศาสตร์ โหรทำนาย นักการเมืองคนไหน แต่เกิดจากจินตนาการร่วมกันของ"เด็ก"กลุ่มหนึ่งในชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านบาตร ชุมชนวัดสระเกศ-ตรอกเซี่ยงไฮ้ และชุมชนสิตาราม กับ “กลุ่มดินน้ำมัน” กลุ่มโครงการสอนศิลปะเพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แก่เยาวชน ซึ่ง ฆนรส เติมศักดิ์เจริญ หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มได้เล่าให้เราฟังว่า


“ดินน้ำมัน” คือสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยในวัยเด็ก เราปั้นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการกล้ามเนื้อมือ ผลพลอยได้ที่ตามมาคือพัฒนาการทางด้านสมอง ความคิดสร้างสรรค์ ดินน้ำมันสามารถถ่ายทอดจินตนาการของเด็กได้ดีสำหรับวัยเรียนรู้”






จากวันที่ก่อตั้งกลุ่มดินน้ำมันจนถึงวันนี้ มีกิจกรรมดีๆ จัดขึ้นมาแล้วมากมาย และล่าสุดก็ได้จัดนิทรรศการ “เมืองในดิน” พื้นที่แห่งจินตนาการที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ในชุมชน กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงศิลปินรับเชิญที่ร่วมโครงการฯ ได้ออกแบบหน้าตาเมืองในดินของพวกเขากันอย่างเต็มที่


“ถ้าคนลงไปอยู่ในดินคงจะสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ เหมือนบนดิน แต่ไม่อยากให้มีเรื่องไม่ดี เช่น การฆาตกรรม โตขึ้นอยากช่วยพัฒนาสังคมหรือชุมชนที่มีความเดือดร้อน เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกว่าเดิม”


ชนากานต์ ศรีใส หรือ น้องใบเฟิร์น บอกกับเราเมื่อถามว่า ถ้าต้องไปอยู่ในดิน เมืองในดินจะมีหน้าตาแบบไหนกันนะ


“อยากให้มีต้นไม้กับวัดเยอะๆ เพราะสมัยนี้เดินไปไหนก็เห็นแต่ตึก” กันยพัชญ์ นาราศิริพัฒน์ หรือ น้องสายไหม บอกกับเราบ้าง ไม่อยากให้มีตึกหรือออฟฟิศ คนเลี้ยงสัตว์ ทำสวนกันแทน ไม่มีถนนเพราะจะทำให้เกิดมลภาวะ และอยากให้มีบ้านพักใจที่ทุกคนในโลกมาอยู่ร่วมกันได้ และทุกคนในสังคมเป็นคนดี ไม่มีข่าวค้ายาหรือข่มขืน เพราะหนูกลัว” น้องหมูหวาน หรือ ณัชวิการณ์ อภัยเสวตร์ บอก






บางสิ่งที่เด็กหลาย ๆ คนในชุมชนเล่าให้ฟัง สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ความหวาดกลัวหรือความอึดอัดใจในสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการค้ายา ความไม่สามัคคีและการทะเลาะเบาะแว้งของคนในชุมชน หลาย ๆ คนมักจะถ่ายทอดถึงปัญหาเหล่านี้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากปรับปรุงให้ดีขึ้นในสังคมใหม่มอย่างเมืองใต้ดิน


“แต่ถ้ามีสัตว์ประหลาด หรือมนุษย์ยุคหินคงจะดี” น้องอาร์ต หรือ ธีรฉัตร สดไสย ตบท้ายได้อย่างน่ารัก


และไหนจะมีไอเดียอย่างไดโนเสาร์ชอบกินลูกชิ้น ตัวตุ่นมีปีกที่มีความสุขอยู่บนท้องฟ้า หรือเด็กกับกิ้งกือ ไส้เดือน คุยกันได้อีก ในขณะที่เยาวชนอาสาสมัครและศิลปินก็ได้แสดงความเห็นที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีก






“มนุษย์จะปรับตัวเองให้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ ซึ่ง เป็นวิธี วิถี ที่มนุษย์ ได้ทำมาตั้งแต่ในยุคอดีต..ในยุคปัจจุบันที่มนุษย์ อยู่กับวิวัฒนาการและนวัตกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมากมายก่ายกอง ซึ่งนับวันเราจะห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปทุกที ๆ บางครั้งการกลับไปเรียนรู้ยุคเริ่มต้นของมนุษย์ ...เราอาจได้คำตอบ ที่เห็นภาพชัดเจนขึ้น” โลเล หรือ ทวีศักดิ์ ศรีทองดี หนึ่งในศิลปินชื่อดังที่เข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการ


“การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดความสมดุลที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง มีการวางผังเมืองที่ดี การจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ ระบบการการศึกษา รู้จักเคารพตัวเองและผู้อื่น” ยิ้ม หรือ ศศิวรรณ ปลอดทอง อาสาสมัครโครงการพูดด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น


“ถ้าทุกคนเท่าเทียมกันหมด มันก็จะไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือไปก้าวก่ายล้ำเส้นพื้นที่ของใคร เพราะในดินระดับพื้นที่เหยียบนั้นมันเท่ากัน” ณิชชา เอมะศิริ หรือ กู๊ด บอกกับเรา






“อยากเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิดที่ผิด ๆ ของคนสมัยนี้ไปค่ะ เช่น คนที่จะมีความสุขคือคนที่จะต้องรวย ต้องทำงานมาก หรือคนที่สวยจะต้องผอม ขาวใส อยากปรับให้ผู้คนมีกระบวนการคิดที่มุ่งมองถึงสิ่งรอบตัว ใส่ใจคนรอบข้าง หรือคนที่เรารัก มากกว่าผลตอบแทนใดใดค่ะ” จูล หรือ อิสรีย์ อนุตรพงษ์สกุล พูดขึ้นบ้าง สองคนนี้เปรียบเทียบให้เราเห็นภาพของสังคมปัจจุบันมากขึ้นไปอีก


“มนุษย์เราวิวัฒนาการพัฒนาการดำรงอยู่จากโลกที่มีแสงแดด ท้องฟ้า มาร่วมล้านปี หากวันหนึ่งเราต้องอาศัยในที่ที่แตกต่าง เมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนาน เราอาจจะวิวัฒนาการเป็นอะไรไปอีกอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่แบบในดินก็ได้” บี หรือ ปิยะนนท์ แซ่ก้วย พูดแบบหนังวิทยาศาสตร์จนเราต้องนึกตาม


ภาพจินตนาการเหล่านี้ทำให้เราอดคิดวางแผนไปด้วยไม่ได้ว่าถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริง ๆ เมืองในดินจะมีหน้าตาแบบไหน และเราพร้อมจะรับมือกับมันหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ผลงานของใครหลายคนก็ทำให้เราฉุกคิดถึงชีวิตรอบตัวในยุคปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางที อาจจะโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว






ชมนิทรรศการ “เมืองในดิน” ระหว่างวันที่ ๘ - ๓o พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑o.oo-๑๙.oo น. (เปิดนิทรรศการวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายนนี้ เวลา ๑๖.oo - ๑๘.oo น.) ณ ชั้น ๑ ห้องเอนกประสงค์ อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ถ.ราชดำเนิน


ภายในงานมีกิจกรรมหนังสือแลกหนังสือ ผู้ร่วมงานนำหนังสือของตัวเองมาแลกกับหนังสือของนิทรรศการเพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้สู่เยาวชน หนังสือที่ได้จากผู้เข้าร่วมงานจะนำไปมอบให้กับห้องสมุดโรงเรียนต่าง ๆ ที่ร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ยังพบการแสดงจากกลุ่มเด็กในชุมชนอาทิ การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ การเต้นร่วมสมัย พร้อมการแสดงดนตรีจากวง Valley Runner และมีกิจกรรมเข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เช่น ถุงหน้ากากแปลงร่าง, โปสการ์ดสัตว์ประหลาด, ฉีก-ปะ-สร้างเมือง และกิจกรรมศิลปะประกอบนิทาน



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














ดอกไม้แทนใจ


“ดอกพิทูเนีย สีม่วงที่สวยมีเสน่ห์ล้ำลึก ทอดดอกย้อยพลิ้วไหว สวยงาม ให้ความสุขสดชื่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส คนมักหลงใหลปลูกไว้หน้าบ้านไม่ห่างตา เป็นความงามที่ต้องทะนุถนอมเลี้ยงดูเปรียบเหมือนคนที่เรารักที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ”


ธรรมชาติได้รังสรรค์ดอกไม้ขึ้นมาให้มีความสวยงามตามแต่ละสายพันธุ์ นอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีคุณค่าทางใจ ทั้งความรัก ความสุข ความเคารพ ศรัทธา และแทนใจได้ในหลายความรู้สึก


จากความประทับใจในคุณค่าและความงามของดอกไม้ สาโรจน์ อนันตอวยพร แสดงออกผ่านภาพเขียนสีน้ำที่บางเบา โปรงใส เพื่อแทนความรัก ความสุข สดชื่น อิ่มเอิบ เบิกบานใจ แทนใจที่มีต่อพ่อแม่ คนที่เรารัก เคารพ ศรัทธา โดยเน้นความนุ่มนวล อ่อนหวานตามลักษณะเฉพาะตัวของตนเอง


ดอกไม้แทนใจ (Power of Love) โดย สาโรจน์ อนันตอวยพร วันนี้ - ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ ห้องนิทรรศการชั้น ๑ ห้อง ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


นอกจากนี้ ทุกเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๓.oo น.(และในวันที่กำหนด) มีกิจกรรมสาธิตการเขียนภาพสีน้ำให้กับผู้ที่สนใจได้ชม











ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














Little Flowers


เครก โทมัส แกลเลอรี่ แกลเลอรี่ศิลปะร่วมสมัยชั้นนำ มีความยินดีนำเสนอการแสดงผลงานศิลปะเดี่ยว ลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers) ซึ่งเป็นภาพวาดสื่อผสมบนกระดาษ Dó โดยศิลปินเหงียวน เตอ ฮวง ผู้มีถิ่นพำนักที่ฮานอย จัดแสดง ณ โรงแรมโซฟิเทล พลาซ่า ไซ่ง่อน


“And Flowers Showered” คอลเลคชั่นงานศิลป์ล่าสุดของ เหงียวน เตอ ฮวง ได้จัดแสดงผลงานเดี่ยวครั้งแรก ที่โฮจิมินห์ซิตี้ ในปี ๒๕๕๔ ณ เครก โทมัส แกลเลอรี่ ส่วนลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers) เสมือนคอลเลคชั่นแรก ๆ ของตัวศิลปินที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวาทกรรมของท่านโอโช ในพุทธศาสนานิกายเซน แต่มีความแตกต่างตรงที่ผลงานก่อนหน้านั้นวางพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ให้ดอกสาละล่องลอยลงมาจากฟากฟ้า แต่ในคอลเลคชั่นผลงานครั้งใหม่สะท้อนถึงฌานสมาธิที่น้อยจนไม่มีพื้นที่ว่างเหลือพอให้เข้าถึงดวงจิตวิญญาน






นับเป็นชุดงานศิลป์ที่มีขนาดเล็กลงแต่มีความร่าเริงจากสีสันที่สดใส ด้วยภูมิทัศน์ที่เหนือจริงประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตรูปแบบนางฟ้าขนาดเล็กที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ เป็นการแสดงโวหารสมัยใหม่ของการวาดภาพรูปแบบเหลี่ยม สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีลักษณะครึ่งมนุษย์ ครึ่งสัตว์ เกือบจะเหมือนสัตว์ในตำนานที่ปรากฏในความฝันอันแสนประหลาดของเรา ร่างสีดำ-ขาวปรากฏคล้ายเทพสไตล์ญี่ปุ่นที่ลอยอยู่บนหมู่เมฆดั่งสัญลักษณ์ของการเฝ้าระวังอย่างสงบมายังผู้ชมภาพซึ่งเสมือนหนึ่งภาพฝัน






ในคอลเลคชั่นลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers) มุ่งเน้นไปที่ชีวิตบนพื้นพิภพในความเป็นมนุษย์และศักยภาพของพวกเขามากกว่าแนวจิตวิญญาณ ระบายผ่านพื้นหลังที่ศิลปินเรียกว่า “ลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers) และจุดสีที่โบยบิน” ที่เป็นเหมือนกับ “เมล็ดพันธุ์ที่ร่วงหล่นบนพื้นพสุธาหรือการรอคอยดินชุ่มชื้นเพื่อให้เมล็ดพันธ์งอกงาม” ในความสับสนวุ่นวาย เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ตกลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากผืนฟ้า นัยถึงการฟื้นฟูของความหวังในวัฏจักรชีวิต






ธรรมชาติยังนำเสนอรูปแบบผลงานของเหงียวน เตอ ฮวง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของภูเขาและน้ำ หรือในการคัทเอาท์ของดอกไม้และใบไม้ ตัวศิลปินยังได้ดึงแรงบันดาลใจจากความหลากหลายของชนกลุ่มน้อยและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวเวียดนามมาใช้อีกด้วย ในผลงานภาพลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ ๙ เป็นตัวอย่างอันที่ชัดเจนในเรื่องการใช้รายละเอียดของรูปแบบจากผ้าทอและสิ่งทอของผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนแบบชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติไทย ในผลงานฟรีเดย์ ๒ ลวดลายดอกไม้และหมู่เมฆได้นำเอาการตกแต่งแบบตะวันออกดั้งเดิมมาใช้






ผลงานลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers) มีความสดใส และมีชีวิตชีวาที่ เหงียวน เตอ ฮวง ได้สอดแทรก วัฒนธรรมแบบตะวันตกและตะวันออกไปผสมผสานกับแนวศิลป์ของเขาออกมาเป็นภาพวาดที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์อย่างแท้จริง ผลงานชุด ลิตเติ้ล ฟลาวเวอร์ (Little Flowers)นี้ตัวศิลปินมุ่งที่จะเปิดเผยถึงเมล็ดพันธุ์ของการดำรงอยู่ ความรักชีวิตและความเมตตากรุณาโดยธรรมชาติของมนุษย์


เหงียวน เตอ ฮวง เกิดที่จังหวัดเวียดบัคในปี ๒๕๒๔ จบการศึกษาจาก Vietnam University of Fine Arts ที่ฮานอยในปี ๒๕๕๒
นิทรรศการ : Little Flowers
ศิลปิน : เหงียวน เตอ ฮวง
วันที่ : ๒๒ ตุลาคม – ๓o พฤศจิกายน ๒๕๕๗
สถานที่ : โรงแรมโซฟิเทล พลาซ่า ไซ่ง่อน 17 Le Duan Boulevard เขต ๑ โฮจิมินห์ซิตี้ เวียดนาม
ติดต่อ :cthomasgallery@gmail.com
เว็บไซต์ : cthomasgallery.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com
cthomasgallery.com














ห้องสมุดเพื่อการออกแบบแห่งราชบุรี


นิตยสาร Room และนิตยสารบ้านและสวน หนังสือจุดประกายแนวคิดการออกแบบ ร่วมกับบริษัท แปซิฟิค ค้าไม้ จำกัด จัดโครงการ PACIFICWOOD THE POWER OF VENEERS Season 5 "DESIGN CAMP" เปิดเวทีให้นักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์มาร่วมออกแบบผลงานและไอเดียที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยปีนี้ดำเนินโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ ๕ และได้คัดเลือกนักศึกษา ๙ คน จากทั้งหมด ๓oo คน ทุกสถาบันทั่วประเทศ เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับกองบรรณาธิการเป็นระยะเวลา ๖ สัปดาห์ เพื่อระดมสมองจัดการพื้นที่ห้องสมุดศิลปะสำหรับชุมชนราชบุรี ณ หอศิลป์ร่วมสมัย เถ้า ฮง ไถ่ ดีคุ้น จังหวัดราชบุรี






และล่าสุดนักศึกษา ๙ คน จาก ๓ มหาวิทยาลัย ได้รังสรรค์ห้องสมุดศิลปะจนแล้วเสร็จ จึงได้จัดพิธีส่งมอบพื้นที่มีดีไซน์ให้แก่ชาวราชบุรี โดยมี วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินศิลปาธร ผู้ก่อตั้งหอศิลป์ร่วมสมัย เถ้า ฮง ไถ่ ดีคุ้น เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ที่ผ่านมานี้


รัฐพล ศักดิ์ดามพ์นุสนธิ์ บรรณาธิการนิตยสาร Room กล่าวถึงโครงการว่า จากการจัดโครงการ PACIFICWOOD THE POWER OF VENEERS ที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้นักศึกษาสร้างสรรค์การออกแบบแค่เพียงบนหน้ากระดาษ ในปีนี้จึงปรับรูปแบบโครงการด้วยการให้นักศึกษาลงมือปฏิบัติจริง ภายใต้แนวคิดการทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยเลือกหอศิลป์ดีคุ้น หอศิลป์ที่เกิดจากแนวคิดการให้สังคม เพื่อให้ชาวราชบุรีมีโอกาสเข้าถึงงานศิลปะ ซึ่งนักศึกษาทั้ง ๙ ผ่านการอบรมจากนักออกแบบมืออาชีพ รวมถึงผู้ก่อตั้งหอศิลป์ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ จากนั้นระดมความคิดออกแบบพื้นที่ชั้นล่างหอศิลป์ให้เป็นห้องสมุดศิลปะ พร้อมลงมือสร้างจริง จำลองการทำงานเหมือนเป็นบริษัทออกแบบขนาดเล็ก เพื่อเรียนรู้การทำงานแบบมืออาชีพ ต้องเจอกับอุปสรรคและหาวิธีแก้ไข ประการสำคัญเพื่อปลูกฝังสำนึกการให้แก่นักออกแบบรุ่นใหม่






"ในปีหน้าจะยังคงจัดโครงการในรูปแบบเดิม ที่เน้นการทำงานจริงให้แก่นักศึกษา ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามกระแสเทรนด์งานดีไซน์ แต่ยังคงให้ดีไซน์และออกแบบพื้นที่ต่าง ๆ รอบตัวให้เกิดประโยชน์ โดยเราอยากให้งานดีไซน์ได้กระจายไปสู่สังคม และนับเป็นการให้สังคมในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย" ผู้จัดโครงการเผย


ห้องสมุดศิลปะนี้เป็นฝีมือของ ๙ นักออกแบบรุ่นใหม่ ได้แก่ กนกลักษณ์ คงสำราญ, ชโลทร ปะทะโม, วันทนีย์ เวชอนันทนุรักษ์, วรัมพร ศิริเจิรญ, ณัฐวุฒิ เตียวต่อสกุล, ภาพตะวัน อาดำ, ณัช เนียรมลคล, หทัยชนก ศิริอุดมเดชกุล, ณัฐพัชร์ สุทธิรัตนพงศ์ และธีมา ไชยวุฒิกรวานิชย






โดย วันทนีย์ เวชอนันทนุรักษ์ ตัวแทนของนักออกแบบจากภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ครั้งนี้ได้รู้จักกับวัสดุหลักในการออกแบบ อย่าง "ไม้วีเนียร์" มีการศึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตไม้ การนำไม้มาใช้ในการออกแบบ ที่โรงงานแปซิฟิคค้าไม้ จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อรู้จักกับไม้ชนิดนี้ทั้งในแง่งานออกแบบที่เป็นมากกว่าวัสดุปิดผิว รวมไปถึงในแง่การลดใช้ทรัพยากรไม้ รวมทั้งได้เห็นระบบการจัดการต่าง ๆ ก่อนลงมือออกแบบ และปรับปรุงพื้นที่สาธารณะให้ทันสมัยจากไม้วีเนียร์ และวัสดุตกแต่งอื่น ๆ ให้เกิดความสวยงาม ลงตัว และใช้ได้จริง


"การออกแบบห้องสมุดศิลปะแห่งนี้ มีแนวคิดมาจากสิ่งที่อยู่ในราชบุรี อย่างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลองหน้าเมืองราชบุรี มาออกแบบเป็นชั้นวางหนังสือ โดยมีไม้และเหล็กเป็นวัสดุหลัก นอกจากนี้ยังหยิบเอางานเซรามิกของ อ.วศินบุรี มาผสานกับงานไม้ออกมาเป็นเก้าอี้สุดเก๋ ที่เพิ่มมูลค่าและเป็นงานดีไซน์รูปแบบใหม่ที่ทั้ง ๙ คนคิดค้นขึ้น นอกจากนี้ยังส่วนประกอบหลักอย่างไม้วีเนียร์ เรานำมาใช้เป็นผนัง ชั้นวาง และชุดโต๊ะเก้าอี้ ซึ่งไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถดัดโค้งตามความต้องการได้"






ด้านผู้ก่อตั้งหอศิลป์ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ก่อนที่จะทำหอศิลป์ดีคุ้นขึ้นมา หนึ่งในสิ่งที่เป็นไอเดียตั้งต้นคือทำห้องสมุดเกี่ยวกับการออกแบบศิลปะ แต่เนื่องจากความไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน แม้จะมีหนังสือที่สะสมและมีคุณค่าที่พี่ ๆ น้อง ๆ ให้มา ก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำ มาวันนี้ต้องบอกว่าราชบุรีโชคดีที่มีตัวช่วยที่ทำให้ฝันเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนของเรา การจัดโครงการครั้งนี้เป็นโอกาสดีให้เยาวชนไฟแรงมาออกแบบห้องสมุดศิลปะเพื่องานออกแบบให้ชุมชนราชบุรี และสนับสนุนงบประมาณในการสร้างทั้งหมด ซึ่งห้องสมุดเฉพาะทางด้านงานออกแบบแห่งนี้จะเป็นแหล่งความรู้และจุดพบปะ แม้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ดีได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเราอาจจะได้คนอีก ๑-๒ คนที่จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชนต่อไป


โดยหลังจากนี้ผลงานการออกแบบห้องสมุดศิลปะจะนำไปจัดนิทรรศการในงานบ้านและสวนแฟร์ ๒o๑๔ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ ๑-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่นักศึกษาทั้ง ๙ คน ได้ร่วมกันทำก่อนจะออกมาเป็นของจริง ตลอดจนพัฒนาการและศักยภาพของนักออกแบบไทยรุ่นใหม่.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
เฟซบุค Tao Hong Tai : d Kunst
























ภาพและข้อมูลจากนสพ.ไทยโพสต์ ๒๔ ต.ค. ๒๕๕๗













ภาพและข้อมูลจากนสพ.โพสต์ทูเดย์ ๒๔ ต.ค. ๒๕๕๗




































ภาพและข้อมูลจากนสพ.ไทยโพสต์ ๒๔ ต.ค. ๒๕๕๗



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2557
0 comments
Last Update : 27 ตุลาคม 2557 22:55:05 น.
Counter : 6375 Pageviews.


haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.