space
space
space
<<
พฤษภาคม 2563
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
space
space
6 พฤษภาคม 2563
space
space
space

ป่าช้า ตอน โนนเอียด ป่าช้าที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้.

     ละแวกบ้านและตำบลไม่ได้มีป่าไม้ผืนใหญ่ เพราะกลายเป็นทุ่งนา สวนและบ้านไปหมดละเมื่อสัก 30-40 ปีที่ผ่านมา (นับย้อนจาก 2534)  ไม่ได้มีภูเขา หรือ ดอยอย่างเมืองชายแดนหรือภาคเหนือ ทำให้เป็นพื้นราบๆ วิวทิวทัศน์เป็นแบบที่ราบทุ่งนาทั่วๆ  หากมองออกไปไกลๆก็จะเห็นต้นไม่ โพน คันแทนา อยู่มากมาย รวมทั้งต้นไม้ตามสระหรือบึงทั่วๆไป  
      ส่วนป่าที่เป็นผืนๆหรือกลุ่มก็จะเป็นพวกป่าช้า ป่าดอนปู่ตาเท่านั้นละ ที่พอให้เห็นสภาพป่าไม้ปัจจุบันที่ย้อนไปถึงป่าไม้ในอดีตได้ดีทีเดียว ป่าที่ใหญ่ที่สุดละแวกนี้มีชื่อว่า "โนนเอียด" เป็นป่าช้าของบ้านโนนโหน ห่างจากป่าช้าของเราประมาณ  4-5 กิโลเมตร เดินหรือนั่งรถไปตามทางลูกรัง แล้วเดินตามทุ่งนา แล้วข้ามน้ำที่ห้วยพับแล้วจะเข้าสู่ "โนนเอียด"  (ดูผืนป่าตามลิ้งด้านล่างสุดได้ ขอบคุณกูเกิล) ต้นไม้ที่มีอยู่จะมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายๆจุด พื้นดินก็เป็นดินร่วนปนทราย อยู่บนที่สูง น้ำไม่ท่วม หากให้สรุปง่ายๆคงเป็นเหมือนกับ "ป่าช้า ผสมกับดอนปู่ตา" นั้นเอง เรื่องราวที่บอกต่อๆกันมาคือ ผีดุ ผีเยอะ เพราะเป็นสถานที่ทั้งฝังและเผามายาวนาน มีต้นไม้มีป่าไม้ขนาดใหญ่มากๆ น่าจะมีวิญญาณต่างๆอยู่มากนั้นเอง 
       พระอาจารย์ของเราจะชอบพาพระเณรหรือพ่ออกแม่ออกไปฝึกภาวนาที่โนนเอียดทุกๆปี เพื่อให้ลูกศิษย์ได้มีความก้าวหน้าทั้งสติและสมาธิ นอกจากนี้ยังได้ฝึกความอดทนและการอยู่อย่างลำบาก เพราะที่นี่ไม่มีศาลาไม่มีกุฎิไม่มีวิหารไม่มีห้องน้ำไม่มีบ่อน้ำไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บางครั้งยังไปพอดีกับการเผาคนเสียชีวิตด้วยกองฟืนด้วย ยิ่งจะได้ฝึกความกล้าและอสุภะกรรมฐานได้มากขึ้นอีกด้วย
         "ครูบากอง เณรช้างกับเณรยอดพากันไปโนนเอียดมัย ไปภาวนากันที่นั้นดู เคยกันไปมาแล้ว ภาวนาดีเหมือนกันนะ" พระอาจารย์บอกให้พวกเราได้ยินเกี่ยวกับโนนเอียดและชักชวนแนะนำให้พวกเราพระเณรพากันไปที่โนนเอียด หลังจากหารือและเตรียมการกันพวกเราก็ออกเดินทางกันไปเตรียมเครื่องธุดงค์เอาไว้ครบทั้งผ้า บาตร ไฟฉาย เทียน ไม้ขีด หม้อกรองน้ำ (เป็นแก้วพลาสติกเหลืองมีผ้ามัดปากเอากรองน้ำดื่มน้ำฉัน กลด ฯลฯ เก็บของใส่ย่ามใส่บาตรครบก็ออกเดินกัน พระ 1 เณร 2 องค์ มีโยมคนหนึ่งไปส่ง
          หลังจากฉันเช้าเสร็จเราก็เดินกันไปราวชั่วโมงกว่าๆตัดทุ่งนาไปเรื่อยๆยืมเรือชาวบ้านข้ามห้วยผับ แล้วเดินตอนไปจนเข้าสู่โนนเอียดตอนบ่ายๆ ก็ถึงโนนเอียด เราแยกย้ายหาที่ปักกลดและทำทางจงกลมเอาไว้ของใครของมันตามใต้ต้นไม้ห่างกัน 50-100 เมตร บอกพอร้องหากันได้แต่มองไม่เห็นกัน  ผมเลือกเอาใต้ต้นไม้ขนาดกลางๆที่น่าจะมีร่มกันแดดกันลมได้ทั้งกลางวันและกลางคืน   ส่วนทางจงกลมก็ปัดๆถางๆต้นไม้ต้นหญ้าออกพอเป็นแนวๆเดินได้และสะอาดๆกลัวตะขาบหรืองู   เ
มื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยโยมที่มาส่งก็กลับบ้านไป พวกเราก็อยู่ภาวนากันต่อไป
         น้ำฉันน้ำใช้ก็ต้องเดินออกไปใช้น้ำที่ห้วยผับที่อยู่รอบๆป่าช้านั้นละ พูดง่ายๆคือกินและใช้น้ำหนองนั้นละ เอาหม้อกรองน้ำกรองเอาพอได้ฉัน แบบไม่ต้องต้มไม่ได้ก่อไปอะไร พอตกกลางคืนก็ต่างองค์สวดมนต์ไหว้พระกันตามสบายที่กลดของแต่ละองค์ และภาวนาต่อไป  ก่อนจะนอนหรือจะภาวนาเราก็บอกเจ้าที่เจ้าทางเสียหน่อยว่าเรามาภาวนานะไม่ได้มารบกวนเบียดเบียนอะไรใคร ขอให้อนุโมทนาและส่งเสริมกันด้วย อย่าได้มารบกวนเดี๋ยวจะเป็นบาปเป็นกรมมต่อตนเองเปล่าๆ มารบกวนพระเณรไม่ดีเป็นบาป บอกไประมาณนั้น อ้ออย่าลืมสวดมนตร์ แผ่เมตตาเยอะๆก็แล้วกัน บทสวดมนต์เราเพิ่มเติมมามี 2 บทคือ คือ 1 กรณียะ เพื่อบอกกล่าววิญญาณต่างๆ กับ บทวิรูปักเข เพื่อบอกกว่าพญานาคและบริวารต่างๆ ว่ามาทำภาวนานะไม่ได้มาเบียดเบียน ไม่ได้มาอยู่นาน ประมาณนั้นละ สนใจก็ไปค้นและฝึกสวดกันได้ละ โดยเฉพาะคนที่ขี้กลัวแบบผมนี่ละ
       พอบิณฑบาตรเช้าก็ออกเดินทางเข้าไปในบ้านโนนโหนน ชาวบ้านก็ใส่บาตรให้และถามว่าพวกเรามาจากไหนอยู่ที่ไหนก็ตอบไปว่ามาจากวัดป่าบ้านค้อมาฝึกที่โนนเอียดแถวๆต้นยางใหญ่จะอยู่สักหลายวัน ที่เขาถามจะแบบนี้เพราะชาวบ้านจะได้รู้ว่าต้องใส่บาตรให้และใส่อาหารให้กลัวพระไม่ได้ฉันอาหาร เขาจะได้เตรียมเพิ่มเติมจากที่ใส่ให้พระวัดบ้านโนนโหนนนั้นละ  พอฉันเช้ารวมกันเสร็จทั้งสามองค์ก็ไปล้างบาตรและเข้าภาวนาต่อไป  วิถีปกติก็เป็นแบบนี้ในทุกวันอยู่มาได้หลายๆวัน        
        ในช่วงกลางวันบรรยายกาศจะเงียบๆไม่มีอะไรมารบกวนมีแต่เสียงนก เสียงกา และพวกสัตว์ที่หากินกลางวัน พวกญาติโยมก็ไม่มีมารบกวนอะไร เพราะป่ามันใหญ่ อีกอย่างเราก็หลบๆออกไปตามต้นไม้ใหญ่ๆเลยไม่มีคนมาหา 
        ส่วนกลางคืนนี่ละสุดยอดนอกจากระวังพวกสัตว์มีพิษต่างๆแล้วก็ก็ต้องระวังเจ้าที่เจ้าทางที่อยู่แถวๆนี้ว่าจะเจอมัย เจอเมื่อไร เจอยังงัย ประมาณนั้นก็กลัวและระวังไปเรื่อยตามความคิดที่มันฟุ้งออกข้างนอก ตอนเดินจงกลมก็ต้องจุดเทียนกับถือไฟฉายเอาไว้ส่องด้วยกลัวไปเหยียบอะไรเข้า ตอนนอนก็ต้องเก็บชายมุ้งกลดดีๆเดี๋ยวจะมีอะไรมุดเข้ามาได้ตอนหลับเดี๋ยวจะเป็นอันตรายเป็นบาปเป็นกรรมได้
       ช่วงกลางคืนมันจะเงียบมากเพราะอยู่กลางป่าใหญ่ จะได้ยินแต่เสียงรถบรรทุกแว่วมาไกลๆ เสียงรถไฟแว่วๆยิ่งไกลไปอีก ส่วนเสียงมาตรฐานที่เราจะได้ยินคือเสียงระฆังตอนสักตีสามหรือตีสี่จาก "วัดหนองป่าพง"  ของหลวงพ่อชา สุภัทโทพ่อแม่ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น นั้นเอง ที่จะตีระฆังให้พระเณรและญาติโยมได้ลุกขึ้นมาปฏิบัติภาวนากัน  พวกเราวัดรอบๆก็ได้อาศัยใบบุญไปด้วย พร้อมกับการบอกโมงยามแบบไม่ต้องดูนาฬิกาด้วย
         ส่วนความกลัวนี้กลางคืนนี่จะฝึกได้ดีมาก สติสัมปสัญญะครบเลยตื่นตนเองตลอดเวลายกเว้นตอนหลับนี่ละ ยิ่งวันแรกๆนะสติครบไม่มีฟุ้งซ่านกันเลยทีเดียวระวังกายระวังใจตลอด แบบนี้เองที่อาจารย์ให้เปลี่ยนสถานที่ภาวนาบ่อยๆ มีคืนหนึ่งขณะที่เดินจงกลมอยู่เดินไปเดินมาเห็นอะไรเป็นค่อนๆดำขวางทางจงกลมแบบลางๆแต่เอ่ะใจว่าจะเป็นงูหรือตะขายมัยนะ เลยเอาไฟฉายส่องดู อ้อเป็นตะขาบจริงเขาบังเอิญข้ามตรงทางจงกลมพอดี เกือบไปละ 
         ตลอดเวลาที่ออยู่ภาวนาที่โนนเอียดกันมาหลายวัน ไม่มีการมาเผานะ โชคดีช่วงนั้นไม่มีคนเสียชีวิตเลยไม่ได้เห็นและอยู่ใกล้กับกองฟืน  จนเช้าวันหนึ่งพระที่เป็นหัวหน้าคณะบอกว่า "เณรเป็นยังงัยบ้างละ" เราก็ตอบว่า "ก็ดีครับไม่เป็ฯอะไร ไม่มีอะไร" ถามเณรอีกองค์ก็ตอบว่าอ้อไม่มีอะไรเหมือนกัน เราก็ลืมถามพระกลีับไปว่าแล้วท่านเป็นอะไรหรือเจออะไรมัยนะ  จากนั้นก็ตกลงกันว่าจะอยู่ต่อหรือกลับวัดเรา เลยลงมติกันว่าเอ้ากลับวัดกันเถอะเพราะอยู่มาหลายวันละ จากนั้นก็เกือบของเดินกลับวันกันทางเก่านั้นละ
      พอมาถึงวัดก็เข้าไปกราบพระอาจารย์แล้วรายงานการปฏิบัตให้ท่านฟัง เราก็บอกไปตามจริงว่าเป็ฯแบบไหนอย่างไรและไม่เจอสิ่งแปลกๆอะไรนอกจากตะขาบกับความลำบากที่เจอในการอยู่ป่าช้าและที่ทุรกันดาร  
        "ของดีอยู่ที่พระหัวหน้าคณะละสิ ท่านเล่าว่าตั้งแต่ไปถึงพอตกกลางคืนนี้ก็เจอเลย ท่านเล่าให้ฟังว่า จะมีเสียงเหมือนกับอะไรก็ไม่รู้วิ่งตามพื้นดิน  วิ่งขึ้นต้นยางนา แล้วหล่นตุบลงมา จากนั้นก็วิ่งขึ้นไปอีก (ขนลุกขณะนั่งเขียนเลย) เป็นแบบนี้ตลอดในตอนกลางคืน  พื้นแห้งๆใบไม้แห้งยิ่งทำให้เสียงชัดเจนแจ่มแจ้ง เป็นบ่อยๆเข้าหลายวันเลยเป็นห่วงเณรกลัวว่าเณร 2 องค์จะเจอเหมือนกัน แต่พอถามแล้วไม่เจออะไร อาจารย์ก็บอกว่าอ้อเป็นเรื่องปกติ ตอนที่อาจารย์ไปที่โนนเอียดก็เป็นแบบนี้ละไม่มีอะไรมาก เจอกันหลายครั้งหลายองค์เหมือน" 
        พอฟังนี้ละเราละกลัวเลย เราไม่ได้เจออย่างพระท่าน โชดดีที่ท่านไม่ได้บอกตอนที่อยู่โนนเอียดมาเล่าให้ฟังตอนกลับมาวัดละ ความกลัวเลยน้อยลงหน่อย หากให้ไปอีกขอคิดเยอะๆหน่อยนะ  แต่ก็ไม่ได้ไปอีกนะเพราะสึกออกมาก่อน อย่างไรก็ตามหากพระอจารย์ให้ไปอีกก็ต้องไปอีกเหมือนกันนะ  
        จนทุกวันนี้ได้ค้นกูเกิลก็ยังเห็นสภาพป่าช้าโนนเอียดก็ยังเป็นป่าไม้ผืนใหญ่มากๆ เอาไว้สำหรับนักปฏิบัติกรรมฐานได้เข้าไปฝึกเช่นที่ผ่านมา 
  
https://www.google.com/maps/place/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%A5+%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%99+%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A+%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5/@15.1004541,104.8125674,3629a,35y,65.72h,44.18t/data=!3m1!1e3!4m5!3m4!1s0x3116901fb077387b:0x402b54113611fc0!8m2!3d15.1055884!4d104.8162784




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2563
0 comments
Last Update : 10 พฤษภาคม 2563 21:29:37 น.
Counter : 471 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

Dr Chang
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




- เป็น เป็นวิทยากร เป็นคนบรรยาย เป็นผู้บริหาร หน่วยงานของรัฐ
- ชอบ ชอบอ่านนวนิยายจีนกำลังภายใน ชอบป่า ชอบน้ำ
- ทำ ทำงานพัฒนา ทำงานท่องเที่ยว ทำสวนเกษตร
- ขาย ขายประกัน ขายของทะเลแห้ง ขายเกลือ ขายคอนโด
- เรียน จบ ป.เอก ม.โพธิศาสตร์ ป.โท นิด้า ป.ตรี ม.ราม

space
space
space
space
[Add Dr Chang's blog to your web]
space
space
space
space
space