|
น้ำมันเบรค เรื่องที่ต้องรู้
ถ้าพูดถึงระบบเบรคที่ดีนั้นย่อมให้ความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ทั้งหลาย ทั้งนี้นอกจากชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบเบรค ไม่ว่าจะเป็นจานเบรค แม่ปั๊มเบรค คาลิปเปอร์เบรค ผ้าเบรค ที่ต้องปฏิบัติงานอย่างถูกต้องแล้ว น้ำมันเบรคที่จะใช้ในระบบเบรคก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะให้ความมั่นใจกับผู้ขับขี่ทุกครั้งที่มีการเหยียบเบรค
เริ่มทำความรู้จักกับน้ำมันเบรค (Brake Fluid) ที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้ ว่าคืออะไร ทำหน้าที่อะไร สำคัญเช่นไร แล้วทำไมต้องดูแลหรือเปลี่ยนตามระยะเวลา หรือระยะทางตามที่กำหนด
น้ำมันเบรค คือของเหลวที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังโดยของเหลว หรือเรียกว่าเป็นตัวไฮดรอลิกก็ได้ เมื่อเราเหยียบเบรคที่แป้นเบรค แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านของเหลว (น้ำมันเบรค) ในระบบ ไปยังห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจะทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ
น้ำมันเบรคที่ดีนอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง (ไฮดรอลิก) จากแป้นเหยียบเบรคแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกดังนี้
เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรค เช่น แม่ปั๊มเบรคและลูกปั๊มเบรค เนื่องจากต้องมีการเสียดสีของลูกสูบเบรค ลูกยางเบรค ภายในแม่ปั๊มเบรค ลูกปั๊มเบรค นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าปราศจากการหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอ เกิดการรั่วภายหลังได้
มีความหนืดที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ได้ในอุณหภูมิต่างๆ ไม่ว่าร้อนหรือเย็น มีความหนืดที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ข้นเกินไปแม้ว่าจะใช้ในอุณหภูมิติดลบ
ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ เนื่องจากระบบเบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่สำคัญ ถ้าการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ในส่วนของไฮดรอลิกบกพร่องจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนิมในระบบสร้างแรงดัน หรือลูกยางเสื่อมสภาพ
มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยได้ง่าย คุณสมบัตินี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เป็นตัวบอกว่า น้ำมันเบรคยังคงมีสภาพใช้งานได้อยู่หรือไม่ จุดเดือดสูงก็จะเสื่อมสภาพได้ยากกว่า และทนต่อแรงดันจากการที่เหยียบแรงๆ ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
คงสภาพได้นาน หมายถึงรักษาคุณสมบัติต่างๆ ได้นานไม่ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่นเรื่องของความชื้น หรือเกิดจากการใช้งานปกติ
มาตรฐานด้านความปลอดภัยได้กำหนดชื่อมาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรคว่า DOT (Department of Transportation) ที่เรียกจนติดปาก โดยกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรก DOT3 ไม่ต่ำกว่า 205 องศาเซลเซียส DOT4 ไม่ต่ำกว่า 230 องศาเซลเซียส DOT5 260 องศาเซลเซียส
สำคัญอย่างไร จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจะเห็นได้ว่า จุดเดือดของน้ำมันเบรคเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเวลาเราเหยียบเบรคที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรคและจานเบรคจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรคด้วย ถ้าน้ำมันเบรคมีจุดเดือดต่ำจะสามารถระเหยและกลายเป็นไอได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง หรือทำหน้าที่ไฮดรอลิกในระบบเบรคได้ จะทำให้เกิดเบรคไม่อยู่ เบรคจมหรือเรียกว่าเบรคแตก
ยกตัวอย่างการขับขี่ที่ใช้เบรคมากกว่าปกติ นั่นคือการใช้เบรคขณะลงเขา กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ถ้าผู้ขับขี่ไม่ระวัง หรือใช้เบรคมากจนเกินไป การลงเขาที่ถูกต้องนั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าข้างทางจะมีป้ายเตือนให้ผู้ขับรถใช้เกียร์ต่ำ ดังนั้นการใช้เกียร์ต่ำ ก็คือการให้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยในการเบรคนั่นเอง (Engine Brake) การทำดังกล่าวจะเป็นการช่วยลดภาระของระบบเบรคได้มากทีเดียว
การใช้เกียร์ต่ำคือการลดเกียร์ลง เช่นกรณีใช้เกียร์สี่อยู่ก็ให้ลดมาที่เกียร์สามหรือเกียร์สอง ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเวลาลดเกียร์ รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น นั่นก็คือการใช้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยเบรค การทำดังกล่าวก็สามารถทำกับเกียร์อัตโนมัติได้เช่นกัน โดยดึงคันเกียร์จาก D มาที่ 3 หรือ 2 แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ฉุดรั้งไว้ พร้อมทั้งเหยียบเบรคช่วย จะทำให้อุณหภูมิเบรคไม่ร้อนจนเกินไป
สำหรับท่านที่ใช้เบรคมากเกินไปจนรู้สึกว่าเบรคไม่อยู่ หรือได้กลิ่นไหม้จากการเบรค ให้รีบจอดรถข้างทาง รอจนกว่าเบรคจะเย็นหรือประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย ลองทดสอบเบรคดู ถ้าเบรคอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ ขับต่อโดยขับช้าๆ พร้อมใช้เกียร์ต่ำ และเบรคเท่าที่จำเป็น การขับรถช้าๆ ความเร็วของรถจะไม่สูง ดังนั้นการใช้เบรคก็จะน้อยตามไปด้วย
ทำไมต้องเปลี่ยน จากตัวอย่างการเกิดเบรคจมหรือเบรคไม่อยู่ขณะลงทางชันหรือลงจากเขา ส่วนหนึ่งมาจากน้ำมันเบรคไม่สามารถทนความร้อน จากการเบรคในลักษณะการขับขี่ที่ไม่ถูกต้อง หรือน้ำมันเบรคเสื่อมสภาพ (จุดเดือดต่ำลง)
ดังนั้นการที่ต้องทำให้น้ำมันเบรคมีจุดเดือดสูงนั้น เนื่องจากว่าสารเคมีในน้ำมันเบรคมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น ยิ่งในเขตที่มีความชื้นสูงอย่างประเทศไทย ความชื้นยิ่งมีโอกาสแทรกไปปนอยู่ในน้ำมันเบรคได้ง่ายขึ้น โดยจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดลงตามลำดับ ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจึงควรมีจุดเดือดสูงไว้ตั้งแต่แรก ได้เคยมีผู้ทดลองไว้ว่าภายในระยะ 12-15 เดือน น้ำมันเบรคสามารถดูดซับความชื้น ทำให้จุดเดือดลดลงเหลือประมาณ 140 องศาหรือต่ำกว่า ซึ่งถ้าหากใช้ต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อมีการดูดซับความชื้นเข้าไปในระบบ (มีน้ำเข้าไป) ก็จะทำให้เกิดสนิมได้เมื่อใช้ไปนานๆ
บางครั้งเมื่อเราเจอปัญหาเรื่องเบรคไม่อยู่หรือรั่ว ช่างก็จะถอดแม่ปั๊มเบรคออกมาดู จะพบว่าลูกยางตาย เสื่อมสภาพ กระบอกสูบของแม่ปั๊มเบรคเป็นสนิมหรือตามด ถ้าเกิดสนิมตามดเล็กน้อยก็สามารถใช้กระดาษลูบแก้ไข แต่ถ้ากินจนเนื้อหายก็ต้องเปลี่ยนทั้งแม่ปั๊ม ท่านเจ้าของรถหลายท่าน รวมถึงช่างบางคนก็ยังไม่รู้ว่าสนิมเหล่านั้นมาได้อย่างไร
ปัจจุบันมีเครื่องวัดคุณภาพของน้ำมันเบรค ว่าน้ำมันเบรคที่เราใช้อยู่นั้น ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ หรืออยู่ในส่วนที่เป็นอันตรายแล้ว การวัดดังกล่าวใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่ 2-3 วินาทีก็สามารถรู้ได้ว่า น้ำมันเบรคเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง การวัดสภาพน้ำมันเบรค สามารถปรับตั้งค่าการวัดที่ตัววัดสภาพน้ำมันเบรคได้ เนื่องจากคุณภาพน้ำมันเบรค เกรดน้ำมันเบรคแตกต่างกัน (DOT) แล้วแต่ผู้ให้บริการ หรือศูนย์บริการซ่อมเลือกใช้
การวัดจากเครื่องวัดจะบอกเป็นตัวเลขและสภาพไปพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น เลข “0” หมายถึง น้ำมันเบรคใหม่ (new oil) เลข “1-2” น้ำมันเบรคปกติ (Normal) เลข “3-4” ควรเปลี่ยน (Change) เลข “5-6” อันตราย (Danger)
การเลือกเกรดน้ำมันเบรค ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อตามแต่จะเลือกใช้ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้ยี่ห้อเดิม หรือตามที่ศูนย์บริการเปลี่ยนให้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ DOT4 สามารถดูได้ข้างกระป๋องว่าที่เราใช้อยู่นั้นเป็นเกรดหรือ DOT อะไร การเลือกใช้น้ำมันเบรคที่มี DOT สูงกว่าไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด แต่จะมีค่าตัวสูงกว่าเดิมเล็กน้อย การเปลี่ยนยี่ห้อน้ำมันจากที่เราเคยใช้อยู่นั้น ควรถ่ายของเดิมทิ้งให้หมด แล้วเลือกเติมตามที่เราต้องการ แต่ควรเป็น DOT ที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคตามระยะที่กำหนด โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถด้วยความเร็วสูง ผู้ที่บรรทุกหนักหรือวิ่งทางลาดชันบ่อยๆ และใช้งานเบรคหนักต่อเนื่องบ่อย ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคทุกๆ 1 ปี ถ้าไม่แน่ใจก็ให้สอบถามตามศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไป โดยระยะเวลาหรือระยะทางของแต่ละบริษัท อาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นพื้นฐานใกล้เคียงกัน ดังนั้นอยากให้ผู้ใช้รถตระหนักถึงเรื่องน้ำมันเบรคด้วย เพราะถ้าระบบเบรคมีปัญหาในช่วงคับขัน จะเกิดอันตรายทั้งร่างกายและทรัพย์สินของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงบุคคลอื่นที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ที่มา: //www.one2car.com
สารบัญรู้เรื่องรถ
Create Date : 27 มีนาคม 2552 |
Last Update : 15 มกราคม 2555 14:37:56 น. |
|
11 comments
|
Counter : 11225 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กนิษฐ์ IP: 124.121.62.38 วันที่: 30 มีนาคม 2552 เวลา:7:40:06 น. |
|
|
|
โดย: pond IP: 58.9.42.104 วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:8:33:25 น. |
|
|
|
โดย: 508 IP: 118.172.230.82 วันที่: 4 เมษายน 2552 เวลา:6:37:08 น. |
|
|
|
โดย: เก่ง IP: 113.53.52.148 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:15:00:58 น. |
|
|
|
โดย: URVAN_GaP IP: 210.246.145.59 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:28:49 น. |
|
|
|
โดย: เอ็ม IP: 118.174.10.109 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:23:23 น. |
|
|
|
โดย: fareda IP: 124.122.186.168 วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:39:04 น. |
|
|
|
โดย: k.new IP: 182.52.61.81 วันที่: 11 มิถุนายน 2555 เวลา:16:49:45 น. |
|
|
|
โดย: SUVASIN IP: 27.130.46.243 วันที่: 29 มิถุนายน 2555 เวลา:9:51:58 น. |
|
|
|
โดย: หนุ่ม เมืองแสน IP: 125.24.35.134 วันที่: 15 พฤษภาคม 2556 เวลา:7:40:49 น. |
|
|
|
โดย: มดแดงรอมะม่วงสุก555 IP: 58.9.249.68 วันที่: 10 มิถุนายน 2556 เวลา:16:20:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|