Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
17 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
ทริคเล็ก ๆ ก่อนเปลี่ยนสายคันเร่งใหม่



ถ้าพูดถึงการควบคุมลิ้นเร่งสำหรับรถสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เค้าพัฒนาไปเป็นแบบลิ้นเร่งไฟฟ้ากันหมดแล้ว
ชิ้นส่วนสายดำ ๆ ที่มี หัวสายทั้ง 2 ด้านทำด้วยตะกั่วกลม ๆ ก็คงจะลดปริมาณลงไปบ้างนิดหน่อย
แต่กับรถเก่า (หรือใหม่บางรุ่น) ก็ยังคงต้องพึ่ง

สายคันเร่งที่ว่านี้อยู่กับรูปแบบการทำงานที่ ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนและไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยี
แต่ใช้งานได้ดี (และทนซะด้วย) ส่วนการดูแลรักษาก็ไม่มีอะไรมาก
แค่หมั่นหยอดน้ำมันไว้หล่อลื่นตัวสายที่เป็นโลหะไว้บ้าง ก็พอ
เพราะ มันจะเกิดการเสียดสีตลอดเวลาที่เราใช้คันเร่งนั่นเอง


ดูแลดี ๆ ก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าซีลยางชอบไปก่อน
กับ ชิ้นส่วนใด ๆ ก็ตามที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในห้องเครื่อง
ย่อมหลีกหนีปัญหาเรื่องการถูกทำร้ายจากความร้อนไม่ได้ ถึงคุณจะดูแลดีกับการหล่อลื่นภายในสายคันเร่ง
แต่ต้องไม่ลืมว่าหัวสายที่มีซีลยางคอยป้องกันสิ่งสกปรกต่าง ๆ นั้น ชอบกลับบ้านเก่าก่อนเพื่อน
ซึ่งถ้าปล่อยปละละเลย มันก็จะเป็นการเปิดช่องให้ความชื้นกับสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปสู่ภายในสาย
ก่อเกิดเป็นการสะสมทีละเล็กละน้อย ยิ่งไม่ค่อยได้ดูแลนี่มีแต่ฝืดกับฝืดจนเกิดอาการแป้น (คันเร่ง) หนัก
ต้องออกแรงมากกว่าปกติ หรือถ้าฝืดมากกว่านั้นก็อาจจะทำให้คันเร่งค้าง
จากการที่สปริงของลิ้นเร่ง ไม่สามารถเอาชนะความฝืดที่เกิดกับตัวสายได้
และถ้าหนักหนาสาหัสมาก ๆ อาการสายคันเร่งขาดก็คงจะมาเยือนในไม่ช้า เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มจับได้ว่า
สายคันเร่ง เริ่มสนิมสนมกับสิ่งสกปรกมาก จนก่อให้เกิดอาการแป้นคันเร่งหนักกว่าปกติ หรือซีลยางเริ่มปริเริ่มขาด
แล้วละก็ เปลี่ยนใหม่ดีกว่า เปลี่ยนใหม่ ใช้กันได้นานขึ้น

และด้วยความที่เคยประสบปัญหาเรื่องคันเร่งค้างมาแล้ว ประมาณว่าพอเหยียบคลัทซ์เพื่อชะลอปุ๊บ
รอบเครื่องจะไป ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ 1,000 – 1,200 รอบ/นาที
ต้องกดคันเร่งซ้ำนั่นแหละถึงจะกลับมาอยู่ที่ รอบเดินเบาอย่างเดิมทั้งๆ ที่ก็ดู แลสายคันเร่งเป็นอย่างดี
ด้วยการฉีดน้ำมันอเนกประสงค์เข้าไปหล่อลื่นภายในสายนั้นอยู่บ่อย ๆ แล้วก็ตาม
จะมีที่ทำอะไรไม่ได้ก็คือ ซีลยางกันฝุ่นที่หมดสภาพไปเรียบร้อยแล้ว คือ
ยินดีต้อนรับความชื้นและสิ่งสกปรกทุกอย่างเข้าสู่สายคันเร่ง แต่โดยดี
สุดท้ายก็ทนไม่ไหวก็ต้องกัดฟันเบิกของใหม่มาเปลี่ยนดีกว่า เพราะอย่างน้อย ๆ เสียเงินทีเดียวแต่ใช้กันยาว
แต่ ถึงแม้ว่าจะเป็นของใหม่ที่หล่อลื่นสายโลหะด้านใน ด้วยจาระบีมาจากโรงงานแล้ว ก็ตาม
แต่เพื่อกันเหนียวก็ต้องเล่นของ (เหลว) กันซะหน่อย กับน้ำมันเครื่องที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน
ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นได้ดีกว่า กับยุทธวิธีที่เรียกได้ว่า “บ้าน ๆ” ของแท้
กับอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ทั่วไป และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างอีกด้วย
แค่หาถุงพลาสติคใส กับหนังยางอีก 2-3 เส้นก็ครบแล้ว
จากนั้นเริ่มตัดปลายถุงพลาสติคด้านใดด้านหนึ่ง เป็นมุมทแยงให้กว้างพอที่จะใส่หัวสายเข้าไปได้
พอตัดเสร็จแล้วก็ครอบหัวสายด้านใดด้านหนึ่งด้วยถุงพลาสติคที่ เราตัดทแยงไปนั่นแหละ
แล้วรัดไว้ด้วยหนัง ยางให้แน่นพอประมาณ จับปากถุงให้ตั้งขึ้นแล้วก็หยอดน้ำมันลงพอให้ท่วมสาย
แล้วเอามือกำถุงไว้พอหลวม ๆให้มั่นใจ ว่าน้ำมันจะไม่หกเรี่ยราดพื้น จากนั้นก็ชักหัวสายเข้า – ดันออกไป เรื่อย ๆ
เพื่อให้สายโลหะเป็นตัวนำน้ำมันเข้าไปหล่อลื่น ยังภายในสายทีละนิด ๆ จนครบทุกมม.ของความยาวสายคันเร่ง
ซึ่งเรา สามารถสังเกตได้ที่ปลอกปลายสาย
เพราะมันจะมีน้ำมันไหลออก ตอนที่เราดันหัวสายคันเร่งออกมาด้วยนั่นเอง อาจ จะต้องใช้เวลานานสักนิด
ประมาณ 15 – 20 นาที แต่ รับรองได้เลยว่าพอหล่อลื่นจนน้ำหนักชุ่มไปทั้งเส้น แล้วเนี่ย


ปลดของเก่า เตรียมประกอบของใหม่
หลัก ๆ ของสายคันเร่งที่ต้องรื้อก็จะมีอยู่แค่ 3 จุด คือ
ปลายสายที่ลิ้นเร่ง, จุดยึดตรงผนังห้องเครื่อง และหัวสายที่แป้นคันเร่ง
และที่พูดมานี่ก็เท่ากับเรียงลำดับความง่ายไปหายากในการถอดเลย เริ่มจากที่ลิ้นเร่งกันก่อน
ที่ตำแหน่งนี้จะมีประกับล็อคตัวสายอยู่ตรงท่อร่วมไอดี พร้อมด้วยน๊อตล็อคอีก 2 ตัว ก็ต้องคลายเจ้าน็อต 2 ตัวนี้
ให้สุดเกลียวก่อน หรือถ้ากลัว ว่าสายคันเร่งมันจะตึงหรือหย่อนเกินไป ก็จัดการวัดระยะระหว่างสายกับน็อต
ด้วย ตลับเมตรไว้ก่อนก็ได้ เวลาที่ใส่สายคันเร่งเส้นใหม่เข้าไปจะได้ไม่ต้องมาตั้งให้ยุ่งยาก
จากนั้นจึงเลื่อนสายเข้าหา ลิ้นเร่งเพื่อให้ตัวสายมีระยะให้ตัวพอที่จะปลดหัว สายที่ลิ้นเร่งออกมาได้

พอปลดหัวสายที่ลิ้นเร่งได้แล้วมันก็จะมีจุดยึดอีก 3 จุด คือ ที่ฝาสูบ 2 จุดและขายึดตรงคานหน้าอีก 1 จุด
ซึ่ง 3 จุดนี้จะ ปลดง่ายหน่อย เพราะเป็นแค่แผ่นเหล็กที่ทำหน้าที่หนีบเอาไว้เท่านั้น
แต่ที่วุ่นวายนี่อยู่ที่หัวสายตรงแป้นคันเร่งต่างหาก
เนื่องจากตรงหัวสายมันจะมีกิ๊บพลาสติค ที่ทำหน้าที่ล็อคตำแหน่งไว้กับแป้นคัน เร่ง ซึ่งจะต้องมุดเข้าไปปลด
(ด้วยคีมปาก จิ้งจกและไฟฉายอีก 1 กระบอก) ตรงที่ด้านหลังของแป้นคัน เร่งอีกที ตอนปลดน่ะไม่ยากหรอก
แต่มันเหนื่อยตอนมุด เพื่อความสะดวกในการมุดกรุณาเลื่อนเบาะคนขับให้ถอยไปจนสุดก่อน
จะได้ไม่เป็น อุปสรรคกับพุงมากนัก

พอปลดทุกจุดเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเหลือเพียงแค่จุดเดียวที่ผนังห้องเครื่อง
ซึ่งออกแบบให้เป็นข้อต่อที่ถอดใส่โดยการ “กด แล้วบิด” ที่เล่นเอางงเป็นไก่ตาแตกเลย
เพราะมัวแต่ไปปลดจากด้านในอยู่พักใหญ่ ๆ ซึ่งทำยังไงก็ไม่หลุดซะที แต่ที่ไหนได้มันถูกออกแบบมาให้บิด
(ถอด : ทวนเข็ม / ใส่ : ตามเข็ม) จากด้านนอกโดยตรง ซึ่งถ้าหัดสังเกตตั้งแต่แรกก็จะรู้ว่า
ตัวข้อต่อไม่ได้ออกแบบมาให้ปลดจากด้านใน อันนี้ต้องโทษความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนถอดโดยตรง
ซึ่งตรงจุดนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะตรงผนังห้องเครื่องมันจะมีซีลยางอีกจุด สำหรับป้องกันไม่ให้น้ำ
และสิ่งสกปรกจากห้องเครื่องเข้าสู่ในห้องโดยสารนั่นเอง ซึ่งอายุการใช้งานก็ตามอายุขัยของรถนั่นแหละ
สภาพมันก็เลยค่อนข้างย่ำแย่ไป ตาม ๆ กัน เพราะ ฉะนั้นก็ต้องเบามือซักหน่อยในการออกแรงบิดเข้าบิดออก

และ เพื่อไม่ให้เจ้าซีลยางที่ว่าบอบช้ำจนเสียหาย ระหว่างการประกอบก็ต้องใส่เจ้าปลั๊กนี่เป็นอันดับแรกเลย
ตัวซีลยาง จะได้อยู่กับที่ไม่ถูกกดทับหรือกระทบกระเทือนจนขาดรุ่งริ่งนั่นเอง
ส่วนการใส่ก็ต้องบิดให้ทิศทางตรงข้ามกับการถอดคือ บิดตามเข็มนั่นเอง จากนั้นต้องมุดไปที่แป้นคันเร่งอีกที
เพื่อประกอบกิ๊บล็อคเข้ากับแป้นคันเร่ง แต่ตอนที่ใส่นี่ง่ายกว่าตอนถอดนิดหน่อย แค่ดันเบา ๆ ก็เข้าที่เข้าทางแล้ว
พอ 2 จุดนี้เรียบร้อยที่เหลือก็ “อู๊ด ๆ” แล้ว เพราะแต่ละจุดที่จะต้องยึดกับ ตัวหนีบจะมีมาร์คให้อยู่แล้ว
ก็แค่ออกแรงดันนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เรียบร้อย ส่วนจุดสุดท้ายกับปลายสายที่ลิ้นเร่งซึ่งก็ทำเหมือนตอนถอดนั่นแหละ
คือ คลายน็อตให้สุดทั้ง 2 ตัว วางสายไว้บนประกับแล้วจับสายดันเข้าให้สุด
จากนั้นก็ค่อย ๆ คล้องหัวสายเข้ากับตัวลิ้นเร่ง ตรงนี้ต้องดูการบิดของหัวสายด้วย อย่าฝืน
เพราะไม่งั้นเวลาที่สายคันเร่งโดนดึงมันจะไม่ คล่องตัวนั่นเอง
พอใส่ตรงนี้เรียบร้อยก็มาต่อที่น็อตตั้งระยะสายคันเร่ง จัดการหมุนน็อตทั้ง 2 ตัวเข้าหาประกับที่ท่อร่วมไอดี
ค่อย ๆ ปรับตั้งไปทีละนิดอย่าให้สายมันตึงจนเกินไป ให้มีความหย่อนอยู่ที่ประมาณ 10 -12 มม.
จากนั้นก็จัดการขัน น็อตให้แน่นพอตึงมือ จากนั้นก็สตาร์ทเครื่อง จนถึงอุณหภูมิทำงาน
ดูว่ารอบเดินเบา ถูกเร่งขึ้น ไปกว่าเดิมหรือไม่ ถ้าไม่ก็ ลองเหยียบแป้นคันเร่งว่าการตอบสนองเป็นอย่างไร
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยก็จัดการขันน็อตให้แน่นได้เลย

ในช่วงแรก ๆ มันจะมีน้ำมันไหลเยิ้มบ้างตรงบริเวณซีลกันฝุ่นก็ไม่ต้องตกใจ
เนื่องจากน้ำมันในระบบมันจะไหลออกมา ตามจังหวะที่สายถูกดึงกลับด้วยสปริงของตัวลิ้นเร่งนั่นเอง
กับสัมผัสที่นุ่มสบายเท้ากว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัดออกแรง แค่นิดเดียวก็กระตุกลิ้นได้แล้ว
อาการคันเร่งค้างก็หายเป็นปลิดทิ้ง เสียค่าใช้จ่ายแค่ครั้งเดียวแต่อยู่รับใช้กันไปอีกนาน

เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากมีปัญหาในเรื่องคันเร่งแข็ง, ค้างหรือหนักจนสายคันเร่งขาดละก็
จัดการแทนที่ด้วยของใหม่ไปเลย


ที่มา : //www.freestyle-club.net


สารบัญ ความรู้เรื่องรถ
คลิกดู ที่นี่ค่ะ



Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 14:23:36 น. 1 comments
Counter : 2614 Pageviews.

 
www.onnud20.com เว็ปเกมส์ดี สังคมดี เพื่อนมากมาย

ปัจจุบันมีเกมส์ที่เปิดให้บริการทั้งหมด 7เกมส์
และเกมส์ที่พึ่งเปิดล่าสุดคือ TS2 Online
เกมส์เทิร์นเบสยอดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
TS2เกมส์ดี สังคมดี เพื่อนมากมาย เนื้อหาตื่นเต้น
พบกับความสนุกมากมายแบบเทพๆได้แล้ววันนี้ที่ //www.onnud20.com


โดย: kaixa IP: 110.164.248.234 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:54:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.