Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
22 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
วิธีรู้ล่วงหน้า....ก่อนรถเสีย



แนะนำวิธีใช้รถ
มีคนสงสัยว่าเราจะมีโอกาสรู้กันล่วงหน้า ก่อนรถจะเสียได้หรือไม่โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอดูมาผูกดวงทายอนาคต
ก็ต้องตอบว่า “ได้” แต่ก็คงจะไม่ทุกเรื่องไป ซึ่งอันที่จริงเรื่องแบบนี้ “ยานยนต์” เคยว่าไปหลายครั้งแล้ว
สงสัยจะเป็นสมาชิกประเภท “เฟรชชี่” ก็เลยยังไม่ผ่านตา เพราะสมาชิก “ยานยนต์” หน้าใหม่มีเพิ่มขึ้นทุกเดือน
บทความเก่าย่อมไม่เคยเจอ จึงจำเป็นต้องเก็บเอามาว่ากันอีกครั้ง

ส่วนใหญ่แล้วพวกรถที่มีเรื่องเกิดการเสียหายขึ้นมา มักออกอาการหรือมีการเตือนล่วงหน้า
เพียงแต่ว่าเราจะรู้หรือไม่เท่านั้นเองว่านี่เป็นการบ่งบอก... “ชั้นกำลังจะแย่แล้วนะ”
สมควรพาไปหาหมอ...เอ๊ย...ไปเจอช่างได้แล้ว ก่อนที่จะไปหมดลมสิ้นสติกลางทาง


เครื่องยนต์
อย่างแรกคงต้องพูดกันถึงเรื่องเครื่องยนต์ เนื่องจากมันเป็นตัวสร้างพลังในการขับเคลื่อน
ถ้าสตาร์ทไม่ติดเครื่องยนต์ดับ เร่งไม่ขึ้นหรือวิ่งชักกระตุกคงไม่ดีนัก โดยเฉพาะ ตอนเครื่องดับแล้วสตาร์ทไม่ติด
ช่วงการจราจรติดขัด สามารถสร้างความปวดหัวให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของได้มาก

สตาร์ทแล้วขี้เกียจ
โอกาสที่เครื่องยนต์จะน็อคไปเฉยๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนนั้น มันมีทางเป็นไปได้แต่ไม่มากนัก
ส่วนใหญ่แล้วจะมีการแสดงอาการให้รับรู้กันไว้ก่อน เราต้องหมั่นสังเกตและเอาใจใส่อาการของรถ
เช่น สตาร์ทยากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์สตาร์ทไม่ค่อนหมุน อันนี้อาจเกิดปัญหากับตัวแบตเตอรี่

หรือมอเตอร์สตาร์ทหมุนดีแต่ต้องสตาร์ทกันยาวกว่าเคย
แบบนี้ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจน่าจะลองขับรถไปให้ช่างตรวจเช็คซักหน่อย สาเหตุมันอาจเกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
เช่น องศาไฟจุดระเบิดไม่ถูกต้อง ระบบจุดระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับระบบจ่ายเชื้อเพลิง

สำหรับการตรวจเช็คง่ายๆ ว่าเป็นที่ระบบจุดระเบิดหรือไม่
ถ้าพอมีฝีมือทางช่างติดปลายนิ้วอยู่บ้าง อาจทดสอบโดยการจี้สายหัวเทียนลงเดินทดสอบประกายไฟ
ในกรณีที่มีประกายไฟสมบูรณ์และแน่ใจว่าหัวเทียนไม่มีปัญหา อายุการใช้งานไม่นานมากนัก
ก็น่าจะเป็นที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ซึ่งมีปัญหาสองประการ คือ
จ่ายเชื้อเพลิงมากเกินไป ทำให้หัวเทียนบอดไม่สามารถจุดประกายไฟได้
และเกิดขึ้นจากจ่ายเชื้อเพลิงน้อย อัตราส่วนผสมบางจนไม่เพียงพอต่อการจุดระเบิด
หรือทำให้เกิดอาการสตาร์ทติดยาก

ส่วนจะเป็นที่น้ำมันจ่ายมาหรือน้อยเกินไปนั้น เราพอจะตรวจเช็คกันได้ง่าย ๆ
โดยให้ใครลองสตาร์ทเครื่องแล้วลงมายืนอยู่ท้ายรถ คอยสังเกตจากกลิ่นของไอเสียขณะสตาร์ทเครื่องยนต์
ถ้าพบว่าไอเสียมีกลิ่นเหม็นของน้ำมันคละคลุ้ง แสดงว่าจากน้ำมันมากจนหัวเทียนบอด
และกรณีที่ไม่ได้กลิ่นน้ำมันเลย เป็นการแสดงว่าน้ำมันจ่ายน้อยเกินไป


เบาแล้วยุกยิก
ทั่วไปแล้วเครื่องยนต์ เค้าออกแบบมาให้สามารถเดินเบาได้อย่างราบเรียบ
ด้วยเหตุนี้ถ้าพบว่าช่วงเดินเบาเครื่องยนต์ไม่นิ่งเท่าที่ควร
รอบเครื่องขยับไปมาไม่อยู่เฉยเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ หรือรอบเครื่องเดินเบาตกต่ำกว่าปกติ แบบนี้ย่อมมีปัญหาแน่นอน
สมควรที่จะนำรถไปให้ช่างเค้าตรวจเช็คดู เพราะแสดงว่ามันไม่ชอบพามากลซะแล้ว
แต่ก่อนที่จะเสียกะตังค์ให้ช่าง ลองตรวจเช็คระบบพื้นฐานกันก่อน เช่น
ไส้กรองอากาศสกปรกมีการอุดตันหรือเปล่า เจ้าของรถบางท่านไม่ชอบเปลี่ยนไส้กรองอากาศเล่นเป่ากันลูกเดียว
ถ้าไส้กรองมีอายุการใช้งานมานาน การเป่าก็ไม่สามารถทำให้ไส้กรองปลอดโปร่งโล่งจมูกได้
แม้จะดูด้วยสายตาว่าสะอาดดีก็ตาม พวกฝุ่นผงจะเข้าไปซุกตัวซ่อนอยู่ข้างในเนื้อกระดาษกรอง
ปิดกั้นทางเดินของอากาศเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกไส้กรองชุบน้ำยานั้นเค้าห้ามเป่าทำความสะอาด
เนื่องจากยิ่งเป่ายิ่งทำให้อุดตัน ถ้าสกปรกก็เปลี่ยนกันอย่างเดียว
หรืออาจจะใช้วิธีเคาะทำความสะอาดได้บ้าง ในกรณีที่อายุการใช้งานยังไม่เยอะเท่าไหร่นัก



เร่งไม่ลื่นหรือมีอาการสะดุด
เมื่อพบว่าเครื่องยนต์เร่งได้ไม่ลื่นเหมือนเคย แถมยังมีอาการสะดุดในบางจังหวะ
แสดงให้รับทราบว่าเครื่องยนต์มีการผิดปกติ อาการเหล่านี้อาจจะเกิดเป็นประจำหรือนานๆ ครั้งก็ตาม
สมควรจะเอารถไปให้ช่างลงมือ ตรวจเช็ค ก่อนที่อาการจะหนักหนาสาหัสถึงขั้นไม่ยอมวิ่ง
จะช้าจะเร็วมันก็ต้องลงมืออยู่แล้ว รีบจัดการโดยเร็วดีกว่า เดี๋ยวรถเกิดไปเสียกลางทางจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
คราวนี้แทนที่จะแค่ขับรถเข้าอู่อาจต้องเปลี่ยนเป็นลากเข้าอู่แทน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มซะเปล่าๆ



ตรวจเช็คจากน้ำมันเครื่อง
การตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องไม่ใช่เพียงแค่ดูว่า มีน้ำมันเครื่องหรือไม่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เราสามารถดูอาการของเครื่องยนต์ และปกป้องอาการเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต
เพียงแค่เพิ่มรายละเอียดในการตรวจเช็คอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ตามความเป็นจริงโดยทั่วไป สำหรับรถที่มีสุขภาพดีระดับน้ำเครื่องมักจะไม่ขาด
กว่าจะลดระดับลงมาถึงขีดล่าง ก็มักจะถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกันแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเติมเพิ่ม
ยกเว้นมีการใช้งานหนัก หรือมีการเดินทางต่างจังหวัดด้วยความเร็วสูง
อันเป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องร้อนและเกิดการระเหยตัวมากกว่าปกติ
ตรงนี้อาจทำให้น้ำมันเครื่องลดระดับลงไปได้ และถึงแม้วัดกี่ครั้งน้ำมันเครื่องยังอยู่ในระดับที่ถูกต้อง
เราก็จำเป็นต้องทำการตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องกันเป็นประจำ

วิธีตรวจเช็ควัดระดับของน้ำมันเครื่อง
ตัวรถต้องอยู่ในแนวระดับเดียวกัน ไม่ใช่เอียงหน้าเอียงหลังหรือตะแคงข้างอันใด
และควรทำการตรวจเช็คหลังจากปิดสวิทซ์ดับเครื่องยนต์แล้ว อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
ไม่ใช่ดับเครื่องปุ๊บตรวจปั๊บ แบบเด็กปั๊มที่ให้บริการตามปั๊มน้ำมันแบบนั้น วัดเท่าไหร่ก็ขาด
เพราะน้ำมันเครื่องยังค้างอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ

ระดับน้ำมันที่ถูกต้อง ควรจะอยู่ระหว่างขีดบนกับขีดล่างของเหล็กวัด
คือถ้าอยู่ในระหว่าง 2 ขีดนี้ถือว่าเป็นอันใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปแตะอยู่ที่ขีดบนเพียงอย่างเดียว
โดยทั่วไปน้ำมันเครื่องระหว่างขีดบนกับขีดล่างจะมีประมาณ 1 ลิตร

เคยเจออยู่หลายคนที่ชอบเติมน้ำมันเครื่องเกินกำหนด เช่น
พวกรถที่เครื่องยนต์ไม่สู้ดีเริ่มหลวม หรือรถที่ใช้เดินทางต่างจังหวัด โดยอ้างว่าเป็นการเติมเผื่อเอาไว้
บางคนอาจคิดว่าในการเติมน้ำมันเครื่องเกินนิดเกินหน่อยไม่เป็นไร อันที่จริงแล้วปริมาณน้ำมันเครื่องที่เกินนั้น
ได้ผลร้ายต่อเครื่องยนต์มากมาย และอาจรุนแรงถึงระดับเครื่องยนต์เสียหายได้เลยทีเดียว
เพราะจำนวนน้ำมันที่เพิ่มจะไปกระแทกกับข้อเหวี่ยง ทำให้เครื่องยนต์เกิดแรงต้านทาน เครื่องยนต์ร้อนกว่าปกติ
อัตราเร่งลดลง และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น แรงกระแทกของข้อเหวี่ยงหรือก้านสูบงอ
และจากการที่ข้อเหวี่ยงไปตีกับน้ำมันเครื่อง จะทำให้เกิดเป็นฟองอากาศ

ถ้าเครื่องยนต์ดูดเจ้าฟองอากาศเข้าไป หล่อลื่นชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
หมายความว่าช่วงนั้นจะขาดน้ำมันในการหล่อลื่นกลายเป็นอากาศแทน
ทำให้ชิ้นส่วนเกิดการสึกหรอเร็วกว่าธรรมดา หรืออาจถึงระดับชำรุดเสียหายเลยก็เป็นได้
ดังนั้นถ้าตรวจพบว่าน้ำมันเครื่องเกินขีดกำหนด ควรทำการแก้ไขโดยเร็วไม่ควรปล่อยทิ้งไว้



น้ำมันเครื่องพร่องเร็วเกินควร
ในกรณีที่มีการใช้งานปกติ ไม่ได้ใช้งานหนักหรือขับด้วยความเร็วสูงในการเดินทาง
และไม่พบว่ามีควันขาวออกมาทางปลายท่อไอเสีย เมื่อใช้รอบเครื่องยนต์เกินกว่า 2,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป
เป็นการบอกให้ทราบว่ามีการรั่วไหลในระบบหล่อลื่นเกิดขึ้นแล้ว ให้รีบตรวจเช็คดู
จุดที่เป็นเรื่องมักเกิดขึ้นแถวปะเก็นฝาครอบวาล์ว ปะเก็นอ่างน้ำมันเครื่อง สกรูว์ตัวถ่ายน้ำเครื่อง
และซีลหน้าเครื่อง โดยสังเกตได้จากร่องรอยสกปรกตามจุดที่รั่ว หรือรอยหยดของน้ำมันเครื่องบนพื้น

แต่ถ้าไม่เจอรอยสกปรกและรอยหยดบนพื้น
จุดรั่วมักเกิดขึ้นที่ตัวซีลหลังเครื่อง หรือปะเก็นฝาสูบแตก แล้วน้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปปนในระบบน้ำหล่อเย็น



ละอองน้ำบนเหล็กวัดน้ำมันเครื่อง
มักปรากฏให้เห็นเมื่อมีความชื้นเกิดขึ้นในอ่างน้ำมันเครื่อง โดยเกิดขึ้นหลังจากการขับรถลุยน้ำ
ด้วยเหตุนี้หลังจากมีรายการขับรถลุยน้ำฝ่าฝน จึงควรตรวจดูเช็คระดับน้ำมันเครื่อง
และสังเกตว่ามีละอองน้ำเล็กๆ เกาะอยู่ที่ก้านเหล็กวัดหรือเปล่า
และถ้าระดับสาหัสมีน้ำเข้าไปปะปนกับน้ำมันเครื่องเป็นจำนวนมาก
น้ำมันเครื่องที่ติดปลายเหล็กวัดมาจะเปลี่ยนสีเป็นสีของกาแฟใส่นม
แบบนี้ต้องรีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองโดยเร็วที่สุด ก่อนเครื่องยนต์จะเกิดการเสียหาย



คุณภาพของน้ำมันเครื่อง
เราก็พอจะดูได้จากเวลาตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องนี่แหละ
ถ้าพบว่ามีฟองอากาศเกาะอยู่ที่เหล็กวัดน้ำมันเครื่อง แสดงว่าอาจเป็นน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพ
หรือน้ำมันเครื่องปลอมปน เพราะในน้ำมันเครื่องเค้าจะใส่สารป้องกันการเกิดฟองเอาไว้
เป็นการป้องกันไม่ให้มีการดูดเอาฟองอากาศ ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนแทนน้ำมันเครื่อง
เมื่อพบว่ามีฟองอากาศให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง
อย่าปล่อยเอาไว้หรือเกิดความเสียดาย แม้จะเพิ่งเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาก็ตาม
เมื่อเทียบกับความสึกหรอหรือเครื่องยนต์เสียหายแล้วมันไม่คุ้ม และให้สังเกตสีของน้ำมันเครื่องที่ปลายเหล็กวัด
ถ้าพบว่าเปลี่ยนสีเป็นสีดำหรือเข้มขึ้นอันนี้น่าจะแปลว่า น้ำมันมีคุณภาพสูง
จากคุณสมบัติของสารซะล้างที่เค้าใส่ไว้ในน้ำมันเครื่อง
พวกใช้เท่าไหร่น้ำมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนสี ยังคงใสสะอาดเหมือนเพิ่งเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาเมื่อวานซืน
แบบนี้กลับน่ากลัวกว่า เพราะอาจเป็นน้ำมันเครื่องปลอม ซึ่งไม่มีสารเพิ่มคุณภาพในการซะล้างเขม่าก็ได้

สิ่งปะปนในน้ำมันเครื่อง บ่งบอกให้ทราบว่าไส้กรองน้ำมันเครื่องมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
ด้วยเหตุนี้เวลาที่ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ควรยอมให้มือเปื้อนเล็กน้อย
โดยการลองขยี้น้ำมันเครื่องที่ติดปลายเหล็กไม้วัด ตามปกติควรจะรู้สึกเหมือนมีเฉพาะฟิล์มน้ำมันไม่มีสิ่งใดเจือปน
แต่ถ้าพบว่ามีลักษณะสากเหมือนมีฝุ่นผงปะปนอยู่ แสดงว่ามีปัญหากับไส้กรองน้ำมันเครื่องแล้ว
โดยเฉพาะผู้ที่นิยมใช้น้ำมันเครื่องกันนานกว่าจะเปลี่ยนถ่าย ควรใส่ใจกันเป็นพิเศษ
เพราะไส้กรองน้ำมันเครื่อง อาจมีอายุการใช้งานไม่นานเท่าหรืออาจไปเจอไส้กรองคุณภาพต่ำ


จากหนังสือยานยนต์ เล่มที่ 412
ที่มา : //v2.one2car.com


สารบัญ รู้เรื่องรถ



Create Date : 22 มิถุนายน 2553
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 15:47:06 น. 1 comments
Counter : 976 Pageviews.

 
เป็นบทความที่เป็นประโยชน์มากเลยครับ


โดย: ต๋อง IP: 58.9.195.199 วันที่: 23 มิถุนายน 2553 เวลา:8:44:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.