|
9 เคล็ดลับการดับไฟรถ
เคล็ดลับที่ 1 โดยปกติแล้วเพลิงไหม้จะเริ่มต้นจาก 3 จุดของตัวรถคือ 1. ห้องเครื่อง สาเหตุเนื่องจากการรั่วของน้ำมันเชื้อเพลิงหรือน้ำมันหล่อลื่น 2. ใต้แผงหน้าปัด สาเหตุเนื่องจากการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า 3. ที่เบาะหลัง สาเหตุเนื่องจากการทิ้งก้นบุหรี่ออกไปนอกรถ แต่กลับปลิวไปตกที่บริเวณเบาะหลังโดยไม่รู้ตัว
เคล็ดลับที่ 2 โดยทั่วไปจะมีถังดับเพลิงอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ท่านควรจะมีติดรถไว้ ก็คือถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายอเนกประสงค์ กล่าวคือ ชนิด A มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงทั่วไป เช่นไม้ กระดาษหรือเครื่องเบาะของรถ ชนิด B มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง ชนิด C มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
ข้อเสียของถังดับเพลิงชนิด ABC ก็คือ ผงแป้งละเอียดที่ตกค้างหลังจากการใช้งาน จะกัดกร่อนจุดเชื่อมต่อต่างๆ ของระบบไฟฟ้า และทำความเสียหายกับสมองกลหรือระบบเกียร์อิเลคทรอนิคส์ ดังนั้นท่านต้องทำความสะอาดอย่างทั่วถึงหลังการใช้งาน
ในการดับไฟนั้น ให้ท่านฉีดผงเคมีไปยังฐาน (ต้นกำเนิด) ของเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้น และกวาดหัวฉีดกลับไปมาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งไฟดับลง อย่าพ่นสารเคมีไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในอากาศ เพราะนั่นนอกจากจะดับไฟไม่ได้แล้ว ก็ยังทำให้สิ้นเปลืองส่วนประกอบอันมีค่า ของเครื่องดับเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นกับเครื่องเบาะรถท่าน ให้ดับไฟที่เบาะด้วยเครื่องดับเพลิงก่อน แล้วจึงรีบดึงเบาะดังกล่าวออกมาจากรถของท่าน เพราะบางทีไฟอาจยังคงคุกรุ่นอยู่ในส่วนที่ลึกของเบาะ จากนั้นจึงเปิดเบาะออกแล้วฉีดสารเคมีดับเพลิงให้ทั่วถึงต่อไป
เคล็ดลับที่ 3 หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดับเพลิงชนิด ABC เพื่อดับไฟในบริเวณที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ถ้าหากทำได้ในกรณีนี้ อุปกรณ์ดับเพลิงชนิดที่เป็นฮาลอน (Halon) จะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากหลักการทำงานของอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ คือการเข้าไปไล่ออกซิเจน ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ติดไฟออกไปจนสามารถดับไฟได้ อุปกรณ์ดับเพลิงฮาลอน จะใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริเวณที่มีพื้นที่แคบ และไม่มีการถ่ายเทอากาศ หากมีการถ่ายเทอากาศ ฮาลอนก็จะถูกลมพัดกระจายไปจนหมดและทำให้เปลวไฟลุกขึ้นมาได้อีก
บริเวณใต้แผงหน้าปัดของรถจะใช้อุปกรณ์ดับชนิดนี้ได้ดี แต่ท่านต้องรีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหลังจากไฟดับแล้ว เพื่อป้องกันการเกิดลุกไหม้ขึ้นอีก แต่จากกรณีศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คณะกรรมการฯ ได้สั่งห้ามการผลิตอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ แต่ก็ยังคงสามารถหาซื้ออุปกรณ์ส่วนที่เหลือได้จาก General Fire Extinguisher Company of Northbrook, Illinois ท่านสามารถโทรสอบถามตัวแทนอื่นๆ ได้ที่ 1-800-323-6452 แต่ยังทางเลือกอีกอย่างในการใช้งานอุปกรณ์ดับเพลิงทดแทนฮาลอน นั่นก็คือเครื่องดับเพลิงแบบเก่า ซึ่งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นตัวดับไฟนั่นเอง
เคล็ดลับที่ 4 ให้นำเครื่องดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่ท่านจะสามารถนำติดรถไปด้วยได้ เพื่อให้มีใช้เพียงพอต่อการใช้งานกรณีที่เกิดเหตุขึ้นมา
เคล็ดลับที่ 5 เพลิงไหม้ที่บริเวณห้องเครื่องยนต์นั้น โดยปกติเกิดจากการแตกของท่อน้ำมันเชื้อเพลิง แล้วน้ำมันรั่วไปโดนเครื่องที่กำลังร้อนอยู่ ให้ตรวจสอบท่อน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีการแตกร้าวก็ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย ข้อนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการพบว่า MTBE ซึ่งเป็นสารเคมีที่เพิ่มเข้าไป (Additive) ในน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น มีส่วนทำให้เกิดการผุกร่อนของท่อน้ำมันจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น
หากเกิดไฟไหม้ที่ห้องเครื่องยนต์ ให้ท่านดับเครื่องยนต์โดยทันที เพื่อหยุดการทำงานของปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง และการไหลเวียนของน้ำมันเชื้อเพลิง
การดับไฟที่ห้องเครื่องให้ปลอดภัยและได้ผลนั้น จะต้องใช้คนสองคนด้วยกัน โดยให้คนหนึ่งถืออุปกรณ์ดับเพลิงและเตรียมพร้อม ในขณะที่อีกคนหนึ่งเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา ทันทีที่ฝากระโปรงเปิดขึ้นนั้นจะมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา เนื่องจากมีอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเข้าไปสัมผัส ดังนั้นคนที่เตรียมพร้อมอยู่นั้น ต้องฉีดเคมีดับเพลิงไปยังต้นกำเนิดของเพลิงโดยทันทีทันใด จนกระทั่งไฟดับ ที่สำคัญก็คือท่านต้องเปิดฝากระโปรงขึ้นมาโดยเร็ว ก่อนที่ไฟจะไหม้สายเคเบิลสำหรับเปิดฝากระโปรงเสียหาย จนไม่สามารถใช้การได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่สามารถดับไฟที่ไหม้ได้เลย
ท่านไม่ต้องพยายามดับไฟ โดยการพ่นสารเคมีดับเพลิงผ่านเข้าไปทางหม้อน้ำหรือซุ้มล้อ เพราะมันจะไม่ได้ผล รวมทั้งเสียเวลาและสารเคมีดับเพลิงของท่านไปโดยเปล่าประโยชน์ การดับเพลิงชนิดนี้ให้ได้ผลต้องดับที่ต้นกำเนิดของเพลิงเท่านั้น
เคล็ดลับที่ 6 ถ้าท่านกำลังต่อสู้อยู่กับไฟที่กำลังไหม้รถนั้น ท่านจะต้องไม่เข้าไปอยู่ใน "เขตอันตราย (zone of danger)" นั่นก็คือพื้นที่รูปกรวยเริ่มจากตำแหน่งของถังน้ำมัน (โดยปกติจะถูกติดตั้งไว้ด้านท้ายของรถ) ไปยังด้านหลังของรถ เพราะถ้าหากถังน้ำมันเกิดระเบิดขึ้น มันจะส่งแรงระเบิดอันน่ากลัว ซึ่งเป็นอันตรายถึงตายเลยทีเดียว ให้อยู่ออกมาจากทางด้านหลังของรถเป็นระยะทาง 50 ถึง 100 ฟุต (15-30 เมตร) (เสริม-พื้นที่รูปกรวยให้ท่านนึกภาพเปลวไฟ ที่พุ่งออกมาจากปลายของจรวดขับดันยานอวกาศขณะส่งขึ้นจากฐาน)
เคล็ดลับที่ 7 ในแต่ละปี (ที่อเมริกา) จะมีรถประเภทอเนกประสงค์และกระบะบรรทุกจำนวนมากถูกไฟไหม้ เมื่อคนขับได้จอดรถทิ้งไว้ในบริเวณที่มีหญ้าสูงๆ เพื่อไปล่าสัตว์ ตกปลาหรือเดินเที่ยว เนื่องจากอุปกรณ์เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย (catalytic converter) ที่ยังร้อนอยู่ไปทำให้หญ้าเกิดติดไฟขึ้นมา และลุกลามไปทั้งทุ่งหญ้าหรือกลายเป็นไฟป่า ซึ่งมันจะเผาผลาญทุกอย่างที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น
ดังนั้นเพื่อเห็นแก่รถของท่านและสิ่งแวดล้อม อย่าจอดรถใกล้กับสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย (catalytic converter) หรือท่อไอเสียของรถ จะสามารถทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
เคล็ดลับที่ 8 ถ้าหากท่านใช้ "motorhome" หรือลาก "camper-trailer" (รถที่ออกแบบให้มีบริเวณคล้ายห้องนอนด้านหลังคนขับ คนอเมริกันใช้เป็นบ้านหรือที่พักค้างแรม) ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า เพราะรถประเภทนี้มีการติดตั้งถังแก๊สหุงต้ม เพื่อใช้ในการประกอบอาหารด้วย ซึ่งจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงอีกอย่างหนึ่งของการเกิดไฟไหม้ หรือการระเบิด รถประเภทนี้มีแนวโน้มการเกิดเพลิงไหม้ อันเนื่องมาจากไฟฟ้าลัดวงจรด้วย เนื่องจากความซับซ้อนของระบบสายไฟในรถ ดังนั้น ต้องแน่ใจว่ารถของท่านได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน หรือแก๊สรั่วไว้แล้วด้วย
เคล็ดลับที่ 9 บางครั้งท่านเองก็สามารถทำให้เกิดเพลิงไหม้รถได้ หรือเกิดการบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตของตัวท่านเอง หากท่านทำการเติมน้ำมันจากภาชนะบรรจุซึ่งเกิดมีไฟฟ้าสถิตย์อยู่ ประกายไฟจะกระโดดจากภาชนะบรรจุน้ำมันไปยังตัวถังของรถ และไปจุดระเบิดไอระเหยของน้ำมันขึ้นได้ ดูเหมือนว่าไฟฟ้าสถิตย์จะเกิดขึ้นกับภาชนะบรรจุ ที่บรรทุกไว้ในรถกระบะที่มีการติดตั้งพื้นปูกระบะพลาสติก หรืออันที่บรรทุกไว้บนหลังคาของรถ เนื่องจากการขับรถด้วยความเร็วบนทางหลวงนั้น จะทำให้อากาศเกิดการเสียดสีกับผิวของภาชนะบรรจุ จนมีการเก็บประจุเกิดขึ้น
ก่อนที่จะเทน้ำมันออกมานั้นท่านต้องมั่นใจว่า ได้ล้างไฟฟ้าสถิตย์ด้วยการลงกราวด์ภาชนะบรรจุก่อนแล้วทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น และจำไว้ด้วยว่าภาชนะบรรจุน้ำมันที่ใกล้หมด สามารถเป็นอันตรายได้มากกว่าอันที่ยังเต็มอยู่ เพราะไอระเหยของน้ำมันด้านใน จะเกิดการระเบิดได้ง่ายกว่าที่น้ำมันที่ยังมีสภาพเป็นของเหลว
ที่มา : //www.4x4.in.th
สารบัญรู้เรื่องรถ
Create Date : 19 มกราคม 2552 |
Last Update : 16 มกราคม 2555 11:41:39 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1022 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|