เทคนิคการขับขี่รถยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน

เทคนิคในการขับขี่รถยนต์ของแต่ละบุคคล นั้นย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามก่อนที่จะเปิดประตูรถยนต์ เพื่อเข้าไปข้างในขอให้ใช้เวลา เพียงเล็กน้อยตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วไป ซึ่งได้แก่ ★ ตรวจสอบความสะอาดของกระจกมองข้าง กระจกหน้าต่าง กระจกหน้าและกระจกหลัง และไฟส่องสว่างทุกดวง
★ ตรวจดูความดันของลมยาง แต่ถ้าสูบลมยางเป็นประจำก็จะช่วยให้หมดปัญหาเรื่องนี้ แต่ขอให้ตรวจดู โดยรอบว่ายางอ่อนมากหรือไม่ในบางล้อ เพราะบางล้ออาจมีการรั่วซึม ท่านจะตรวจพบก่อนที่จะนำ รถยนต์ออกไปใช้งาน
★ ถ้าต้องการถอยหลังรถยนต์ ควรตรวจสอบบริเวณส่วนหลังของรถยนต์ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถอยหลัง แล้วจะไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือกระทบกับสิ่งของซึ่งอาจมองไม่เห็นในขณะที่นั่งอยู่ภายในรถยนต์
เมื่อเริ่มออกรถ เมื่อตรวจสอบภายนอกแล้วไม่มีปัญหา และผู้ขับขี่เข้าไปภายในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ท่านจะหมุนสวิตช์กุญแจเพื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ ท่านควรปฏิบัติในสิ่งต่อไปนี้ก่อนให้เป็นนิสัย เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของท่าน นั่นคือ
★ ต้องแน่ใจว่าประตูทุกบานของรถยนต์ปิดเข้าที่สนิทดีแล้ว
★ ปรับเบาะนั่งให้เหมาะสมกับการขับขี่ แต่ถ้าท่านใช้รถยนต์เพียงคนเดียว ตำแหน่งของเบาะก็คงเหมาะสมอยู่แล้ว
★ ปรับกระจกมองหลัง และกระจกมองข้างให้เหมาะสมกับตำแหน่งขับขี่
★ รัดเข็มขัดนิรภัย ควรใช้เข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเมื่อขับขี่รถยนต์ และควรใช้ให้ติดเป็นนิสัย
★ เมื่อหมุนสวิตช์กุญแจไปที่ตำแหน่ง ON แล้วตรวจดูว่าไฟเตือนต่างๆ สว่างขึ้นตามปรกติทุกดวง
การสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ ต้องใส่เบรกมือให้มั่นคง และจะปลดเบรกมือก็ต่อเมื่อท่านได้สตาร์ตเครื่องยนต์แล้ว และพร้อมที่จะขับเคลื่อนรถออกจากที่จอด ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาให้เหยียบแป้นคลัตช์ และโยกคันเกียร์ไปที่ ตำแหน่งเกียร์ว่าง แล้วยกเท้าออกจากแป้นคลัตช์ แล้วจึงสตาร์ตเครื่องยนต์ แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้โยกคัน เกียร์ไปที่ตำแหน่งจอด (P) หรือ ตำแหน่งเกียร์ว่าง (N) ในกรณีของเกียร์อัตโนมัติท่านจะไม่สามารถสตาร์ตเครื่องยนต์ได้ ถ้าคันเกียร์อยู่ที่ตำแหน่งอื่นๆที่ไม่ใช่ (P)หรือ(N)
หลังจากสตาร์ตเครื่องยนต์ติดแล้วไม่ควรเร่งเครื่องยนต์อย่างแรง หรือขับขี่ด้วยอัตราเร็วสูงทันที เพราะจะทำให้เครื่องยนต์สึกหรออย่างรวดเร็ว และเสียหายได้
การสตาร์ตเครื่องยนต์ในรถแต่ละคันอาจใช้เทคนิคไม่เหมือนกัน จึงควรดูคำแนะนำจากหนังสือคู่มือรถยนต์ประกอบ รถบางคันสตาร์ตโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง บางคันอาจเหยียบเล็กน้อย บางคันอาจต้องเหยียบคันเร่ง 1-2 ครั้งก่อนเริ่มสตาร์ตถ้าไม่มีหนังสือคู่มือ ท่านอาจทดลองดูว่าการสตาร์ตแบบไหนเหมาะกับรถยนต์ของท่าน โดยมีหลักอยู่ว่าสตาร์ตครั้งเดียวให้ติด การแคร้งก์เครื่องยนต์เป็นเวลานาน โดยที่เครื่องยนต์ไม่สามารถสตาร์ตได้ อาจทำให้เกิดน้ำมันท่วมเครื่องยนต์ (น้ำมันเชื้อเพลิงถูกฉีดเข้ากระบอกสูบมากเกินไป) วิธีแก้ไขคือ ให้เหยียบคันเร่งจนมิดขณะสตาร์ต เมื่อสตาร์ตติดแล้ว ค่อยๆ ผ่อนคันเร่งทีละน้อยๆ
การเปลี่ยนเกียร์ขณะขับขี่ ถ้ารถยนต์ใช้เกียร์ธรรมดา ซึ่งอาจเป็นประเภทเดินหน้า 4 เกียร์ หรือเดินหน้า 5 เกียร์ ท่านจะต้องทราบตำแหน่งของการโยกคันเกียร์ สำหรับเกียร์ 1, 2, 3, 4, 5 และเกียร์ถอยหลังโดยมากมักแสดงไว้บนปุ่มคันเกียร์
การเปลี่ยนเกียร์ไปยังเกียร์ต่างๆ นั้น หนังสือคู่มือรถยนต์มักเขียนแนะนำไว้ หรือในรถยนต์บางคันอาจมีสติ๊กเกอร์ปิดไว้ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ขับมักคุ้นเคย และใช้ความรู้สึกเข้าช่วย ผู้ขับขี่อาจทราบได้ว่าที่เกียร์ต่างๆ นั้นเหมาะสมหรือไม่ การใช้เกียร์ไม่เหมาะสมอาจทำให้เครื่องยนต์รอบจัดเกินไป หรือรอบต่ำเกินไป คือไม่เหมาะสมกับภาระในขณะนั้น ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเครื่องยนต์
ตัวอย่างในการเปลี่ยนเกียร์ของรถยนต์บางคันอาจเป็นดังนี้ เกียร์ 1 เกียร์ 2 ที่อัตราเร็ว 25 km/h เกียร์ 2 เกียร์ 3 ที่อัตราเร็ว 45 km/h เกียร์ 3 เกียร์ 4 ที่อัตราเร็ว 60 km/h เกียร์ 4 เกียร์ 5 ที่อัตราเร็ว 75 km/h
อย่างไรก็ตามถ้าภาระบรรทุกเพิ่มขึ้นหรือวิ่งขึ้นทางชัน หรือแซงรถยนต์คันหน้า การเปลี่ยนเกียร์จะเปลี่ยนที่อัตราเร็วสูงกว่าที่กำหนดตามปรกติ
ข้อสังเกต
★ เมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ใดเกียร์หนี่งไปยังเกียร์อื่นๆ ต้องแน่ใจว่าได้กดแป้นคลัตช์เต็มที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทกของเฟือง ซึ่งอาจก่อให้ฟันเฟืองเสียหายได้
★ อย่าเข้าเกียร์ถอยหลังถ้ารถยนต์ยัง หยุดไม่สนิท ควรรอสักครู่ก่อนโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งถอยหลัง เพื่อให้ชิ้นส่วนต่างๆ ที่หมุนหยุดเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เฟืองกระทบกัน เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังในขณะที่ สวิตช์กุญแจอยู่ที่ตำแหน่ง ON ไฟถอยหลังจะสว่างขึ้น
★ การโยกคันเกียร์ควรกระทำอย่างนิ่มนวล เพื่อให้ชุดซินโครไนเซอร์ในห้องเกียร์มีเวลาทำงานอย่างเหมาะสม
★ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คลัตช์เสียหาย อย่าวางเท้าบนแป้นคลัตช์ในขณะขับขี่
★ ในขณะหยุดรถบนทางชัน อย่าใช้วิธีเลี้ยงคลัตช์เพื่อหยุดรถยนต์ ควรใช้เบรกมือหรือเหยียบแป้นเบรก
★ เมื่อขับขี่ขึ้นทางชัน ควรเปลี่ยนเกียร์ให้ต่ำลงก่อนที่เครื่องยนต์จะรับภาระเกินไป และเมื่อลงทางชันก็ควรใช้ เกียร์ต่ำลงเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เบรกมากเกินไป และไม่ให้เบรกสึกหรอหรือร้อนจัดเกินไป
★ อย่าให้เครื่องยนต์มีรอบสูงเกินไปเมื่อเปลี่ยนเกียร์ต่ำลง
ในกรณีที่รถยนต์ใช้เกียร์อัตโนมัติ โดยทั่วไปมักจะสตาร์ตเครื่องยนต์ไม่ติด ถ้าคันเกียร์ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง P หรือ N ซึ่งตำแหน่งต่างๆ ของเกียร์อัตโนมัติที่ควรทราบได้แก่ ตำแหน่ง P (จอด), N (ว่าง), R (ถอยหลัง), D (ขับเคลื่อน), เกียร์ 1, 2
P (จอด) ตำแหน่งนี้ทำให้ล้อหลังไม่สามารถหมุนได้ ควรโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P พร้อมกับใส่เบรกมือด้วยเมื่อออกจากรถยนต์ และอย่าโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P ถ้ารถยนต์ยังหยุดไม่สนิท
R (ถอยหลัง) อย่าโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง R ถ้ารถยนต์ยังหยุดไม่สนิท ไฟถอยหลังจะสว่างขึ้นเมื่อโยกคันเกียร์ไปที่ R และสวิตช์กุญแจอยู่ที่ ON หลังจากถอยหลังรถยนต์แล้ว ต้องรอให้รถยนต์หยุดสนิทก่อนที่จะใช้เกียร์เดินหน้า
N (ว่าง) ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ท่านสามารถสตาร์ตเครื่องยนต์ที่ดับได้อีกครั้งหนี่ง ในขณะที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่
D (ขับเคลื่อน) เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้ในการขับขี่ ห้องเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์ได้เองโดยอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ ซึ่งรวมถึงภาระและอัตราเร็วของรถยนต์ในขณะนั้นๆ
2 (เกียร์ 2 ) ตำแหน่งที่ใช้เมื่อขับขี่บงทางลาดที่มีความลาดปานกลาง ทำให้รถยนต์วิ่งช้าลงเล็กน้อย โดยไม่ต้องใช้เบรก หือเกียร์จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 1 หรือ 2 ตามต้องการ
1 (เกียร์ 1) ตำแหน่งนี้ใช้เมื่อต้องการผลการเบรกที่ค่อนข้างสูง ในขณะขับขี่ลงทางลาดที่มีความลาดสูง ห้องเกียร์เป็นเกียร์ 1 ตลอด
**หมายเหตุรถยนต์แต่ละยี่ห้อ อาจแตกต่างกันบ้าง แต่โดยทั่วไปจะคล้ายๆ กัน
การรันอิน
ในปัจจุบันนี้ อาจไม่จำเป็นต้องดำเนินตามรายการรันอินที่กำหนดไว้ตามปรกติ แต่อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังการขับขี่ในช่วง 1,500 กิโลเมตรแรก เพราะมีผลต่อสมรรถนะ และการประหยัดน้ำมันเชื้อพลิงในอนาคตของรถยนต์ในช่วง 1,500 กิโลเมตรแรก
► อย่าขับขี่รถยนต์ด้วยอัตราเร็วเกิน 80 km/h พยายามหลีกเลี่ยงการขับขี่ที่อัตราเร็วใดอัตราเร็วหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจช้าหรือเร็วเป็นเวลานานๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ระบบควบคุมอัตราเร็วในขณะรันอิน ในช่วงกิโลเมตรดังกล่าวนี้ ควรขับขี่ที่อัตราเร็วปานกลาง จนกระทั่งเครื่องยนต์อุ่นเครื่องเต็มที่
► ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรกอย่างรุนแรง (ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน) เพราะการใช้เบรกไม่ถูกต้องในช่วงนี้ จะมีผลเสียต่อประสิทธิภาพการเบรกในอนาคต
► ไม่ควรใช้รถยนต์ในการฉุดลาก แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ไม่ควรใช้อัตราเร็วเกิน 80 km/h
► หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ก็ยังคงใช้กับเครื่องยนต์ห้องเกียร์ หรือเพลาท้ายที่เป็นของใหม่ หรือได้ผ่านการซ่อมใหญ่มาแล้ว
ปฏิบัติอย่างไรจึงประหยัดน้ำมัน เพื่อลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลง ต้องให้ความสำคัญในขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
► บำรุงรักษารถยนต์ รักษารถยนต์ให้มีสภาพทางกลสูงสุดอยู่เสมอ โดยปฏิบัติตามรายการบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนต่างๆ เช่น หัวเทียน กรองอากาศ รอบเดินเบาฯลฯ มีสภาพปรกติ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ทำงาน ด้วยการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและสมรรถนะสูง
► ความดันลมของยาง รักษาความดันลมของยางให้มีค่าตามที่แนะนำ ถ้ายางรถยนต์มีความดันต่ำเกินไป จะทำให้ความต้านทานการหมุนของล้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนเพิ่มความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
► การตั้งศูนย์ล้อ รักษาศูนย์ล้อหน้าให้ถูกต้องอยู่เสมอ ถ้าศูนย์ล้อหน้าไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดแรงฉุดที่ล้อ และเพิ่มความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
► การอุ่นเครื่องและการเดินเบา หลีกเลี่ยงการอุ่นเครื่องรถยนต์เป็นเวลายาวนานเกินไปเพราะไม่จำเป็น และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องยนต์จะใช้เวลาอุ่นเครื่องประมาณ 5 นาที และดีที่สุดก็คือ อุ่นเครื่องโดยการขับขี่ไปบนถนนด้วยอัตราเร็วปานกลาง ไม่ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานเกินกว่า 2 นาที
► การเร่ง การขับขี่ และการเบรก ควรเร่งอย่างนิ่มนวล หลีกเลี่ยงการออกรถยนต์ หรือเร่งเครื่องยนต์อย่างทันทีทันใดและเต็มที่ ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ควรขับขี่รถยนต์ด้วยอัตราเร็วคงที่สม่ำเสมอถ้าเป็นไปได้ (หลังรันอิน) และพยายามให้ได้ใช้เกียร์สูงสุดด้วยเวลาที่สั้นที่สุด
► ข้อสังเกต การวางเท้าบนแป้นเบรก อาจทำให้เกิดการเบรกโดยไม่ตั้งใจซึ่งจะทำให้ผ้าเบรกสึกหรอ เกิดความร้อนและเสียหาย ตลอดจนสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
คำเตือนหรือข้อควรรู้เกี่ยวกับการขับขี่รถยนต์ ที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือ คำเตือนเกี่ยวกับเบรก พวงมาลัย การเก็บสิ่งของภายในรถ การเกาะถนนของยาง และการจอดรถยนต์
เบรก หม้อลมเบรกของรถยนต์ใช้สุญญากาศจากเครื่องยนต์ ในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน อย่าปล่อยให้รถยนต์วิ่งไปด้วยความเฉื่อยของมันโดยการดับเครื่องยนต์
การขับขี่ผ่านแอ่งน้ำอาจมีผลต่อสมรรถนะของเบรก ลองเหยียบเบรกเบาๆ ดูว่ามีผลหรือไม่ การทำให้ผ้าเบรกแห้งได้เร็วขึ้นโดยการเหยียบเบรกเบาๆ ในขณะที่กำลังขับขี่ไปข้างหน้า ความร้อนจะช่วยให้ผ้าเบรก แห้งเร็วขึ้น และกลับคืนสู่สภาพปรกติ
แป้นเบรกจะต้องเคลื่อนที่ได้อย่างไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือก่อให้เกิดความรำคาญในขณะเหยียบแป้นเบรก เบาะนั่งก็ต้องอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกับการเหยียบเบรกในทุกสภาพ
พวงมาลัย มีทั้งพวงมาลัยธรรมดา และพวงมาลัยพาวเวอร์ ซึ่งพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ติดตั้งในรถยนต์ ช่วยให้เบาแรงในขณะหมุนพวงมาลัย โดยใช้ความดันไฮดรอลิก ถึงแม้ว่าจะเบาแรง แต่ก็ยังมีความดันในการทำงานภายในระบบสูงเกินไปโดยไม่จำเป็น ถ้าพวงมาลัยพาวเวอร์ไม่ทำงานเนื่องจากเครื่องยนต์ดับ สายพานขับปั๊มพวงมาลัยขาด หรือกระปุกน้ำมันพวงมาลัย ไม่มีน้ำมันก็ยังคงสามารถบังคับรถยนต์ให้เลี้ยวได้ แต่ใช้แรงมากขึ้น ถ้ามีปัญหาควรนำรถยนต์เข้าซ่อมทันที
การเก็บสิ่งของ การเก็บสิ่งของไว้ในรถยนต์ ไม่ควรเก็บสิ่งของต่างๆ หรือกระเป๋าเดินทางในห้องผู้โดยสาร โดยที่สิ่งของเหล่านั้นสามารถเคลื่อนที่ส่ายไปมาได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเก็บสิ่งของต่างๆ ไว้ในห้องเก็บของใต้ฝากระโปรงหลัง สำหรับรถยนต์วากอน สิ่งของต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในบริเวณเก็บกระเป๋าเดินทางจะต้องยึดให้แน่น เพื่อไม่ให้หลวมและส่ายไปมา
การยึดเกาะถนของยาง การยึดเกาะถนนของยาง เช่นในขณะเลี้ยวโค้ง และในขณะเบรกจะลดลงเมื่อผิวถนนเปียกน้ำ หรือมีวัสดุอื่นๆบนถนน ควรลดอัตราเร็วลง และปรับสภาพการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพของถนนในขณะนั้น
การจอด การจอดรถยนต์กรณีที่เป็นรถใช้เกียร์ธรรมดาให้ใส่เบรกมือ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติให้โยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งจอด(P) จากนั้นจึงปิดหน้าต่างทุกบาน หมุนสวิตช์กุญแจไปที่ตำแหน่ง LOCK แล้วดึงลูกกุญแจออก ล็อกประตูทั้งหมดเมื่อออกนอกรถยนต์
ข้อควรระวัง อย่าจอดหรือขับขี่รถยนต์ในบริเวณที่มีวัตถุไวไฟ หรือสามารถลุกไหม้ได้ง่าย เพราะวัตถุเหล่านั้นอาจสัมผัสกับความร้อนของท่อไอเสียและลุกไหม้ได้
ทั้งหมดเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ทุกท่านทำได้อย่างแน่นอน ถ้าทุกท่านได้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ผมคิดว่าทุกท่านขับรถประหยัดน้ำมันได้อย่างแน่นอน ถ้าปฏิบัติตามที่แนะนำกันไป ช่วยชาติได้อีกทางหนึ่ง และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณอีกด้วย
ข้อมูล : หนังสือตลาดรถ ฉบับ 384 ที่มา : //www.freestyle-club.net ภาพจาก : //www.studydriving.com
Create Date : 10 มีนาคม 2554 |
Last Update : 10 มีนาคม 2554 13:17:29 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1444 Pageviews. |
 |
|
|
|
|