Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
18 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อประหยัด



เทคนิคอีกหนึ่งอย่างของการประหยัดน้ำมัน คือให้พยายามเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากๆ
เพราะการเว้นระยะห่างเท่านั้นที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการเบรกบ่อยๆ และการเร่งรอบเครื่องบ่อยๆ


ปกติ เราเฉลี่ยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีระยะทางการใช้งานประมาณ 2 หมื่นกิโลเมตรต่อปี
และบริโภคน้ำมันปีละ 2 พันลิตร (เฉลี่ยลิตรละ 10 กิโลเมตร)

ถ้าราคาน้ำมันลิตรละ 30 บาทก็ปีละ 6 หมื่นบาท
เมื่อเทียบย้อนไปห้าปีที่ราคาน้ำมันลิตรละประมาณ 15 บาทเท่ากับวันนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้นเท่าตัว

หากราคาน้ำมันยังคงทรงที่ราคาลิตรละ 30 บาท
อัตราการใช้น้ำมันต่อคันก็เฉลี่ยเดือนละประมาณ 166 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณเกือบห้าพันบาท
การสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์ คันและรุ่นที่มีเทคโนโลยีที่มีอัตราสิ้นเปลือง เกือบลิตรละ 20 กิโลเมตร
ก็จะทดแทนกับราคาที่แพงเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
เมื่อนำเอาเทคโนโลยีรวมกับพฤติกรรมการขับที่พึงประสงค์ ก็จะช่วยให้ประหยัดได้
โดยไม่ต้องไปคิดกังวลกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจากอดีต

การเลือกรถที่เหมาะสมกับลักษณะงานและรายรับต่อเดือน
ก็มีส่วนช่วยให้ระบบประหยัดมีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
รถยนต์ที่จะช่วยเอื้ออำนวยให้เกิดการประหยัดทั้งเงินและน้ำมัน สำหรับการใช้งานในกรุงเทพ
ควรเป็นรถลักษณะที่มีเทคโนโลยีทันสมัย คันเล็ก น้ำหนักเบา มีระบบช่วยป้องกันความผิดพลาดของผู้ขับขี่
เช่น เบรก ABS, Air Bag เป็นต้น
การมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพหากปฏิบัติตามกฎระเบียบ ก็จะมีโอกาสประหยัดและปลอดภัย
ด้วยว่าความเร็วที่จะสามารถขับได้ในกรุงเทพคือเพียง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ทั้งลายพื้นราบและทางลอยฟ้าก็กำหนดไม่เกินนี้

รถคันเล็กๆ ชนิด City car
ผู้ขับขี่จะสามารถควบคุมให้รถหยุดได้อย่างปลอดภัย หากใช้ความเร็วไม่เกินกำหนด
เพราะความเร็วที่กำหนดไว้นั้น ถูกคิดคำนวณด้วยเหตุและผลด้านความปลอดภัยมาตรฐานของถนน
ส่วนการจะเดินทางไปต่างจังหวัดอันตรายก็ลดลงมาก เพราะถนนแบ่งแยกการเดินรถไปในทิศทางเดียวกัน
เช่นไปพัทยาจะขับรถสวนทางก็เฉพาะเพียงถนนบางช่วงในเขตเมืองพัทยา
การเดินรถทางเดียวช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะลดโอกาสอุบัติเหตุลักษณะชนประสานด้านหน้า

ในอนาคตพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถยนต์ จะมีความเปลี่ยนมากกว่าปัจจุบัน
คนจะให้ความสำคัญกับความประหยัด ความสวยงามของรูปแบบรถยนต์และความทันสมัย
ความกลมกลืนของการดำเนินชีวิตและการใช้รถยนต์จะไปในทิศทางเดียวกัน
ทำงานในเมืองก็ใช้รถสำหรับวิ่งในเมือง ซึ่งการแข่งขันด้านวัตถุอาจจะลดลง
แต่การแข่งขันด้านสมองและปัญญาจะมาแทนที่
ยกตัวอย่างเช่นขีดระดับความสามารถในการเลือกซื้อรถยนต์
เลือกรูปแบบการขับที่มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ ในเชิงบวก เพื่อเร่งหนีชีวิตที่ย่ำอยู่กับที่

ทักษะการเอาตัวรอดจะถูกพัฒนาเพิ่มขึ้น เช่น การริเริ่มประหยัดตั้งแต่อายุยังน้อย
การรู้จักเลือกการดำเนินชีวิตแบบประหยัด ซื้อเสื้อผ้าราคากลางๆ
ทักษะการเอาตัวรอดทุกวันนี้ถูกป้อนและดูแลโดยบิดามารดา

ดังนั้นการตัดสินใจซื้อรถยนต์คันแพงๆ และของใช้อื่นๆ ราคาเกินตัวจึงยังมีให้เห็นอยู่
เพราะการไม่ต้องตระหนกกับพลังงานทดแทนที่
กำลังถกเถียงว่าอะไรดีกว่ากันและลงทุนโหมประชาสัมพันธ์ในขณะนี้

การเลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน
การขับรถไม่เร็วเกินกฎหมายกำหนด พยายามใช้ความเร็วคงที่ การเบรกที่นุ่มนวล
ขับรถด้วยการวางแผนและสังเกตสถานการณ์ข้างหน้าในระยะทางไกลๆ
การเร่งเครื่องเพื่อเพิ่มรอบความเร็วที่เหมาะสม โดยสังเกตว่าเข็มบอกอัตรา
เร่งค่อยๆ สูงขึ้นอย่างมีจังหวะและความต่อเนื่อง ไม่กระตุกขึ้นๆ ลงๆ การค่อยๆ เพิ่มขึ้น

จะช่วยให้ได้รูปแบบการขับที่ประหยัดน้ำมัน


เทคนิคอีกหนึ่งอย่างของการประหยัดน้ำมัน คือให้พยายามเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากๆ
เพราะการเว้นระยะห่างเท่านั้นที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการเบรกบ่อยๆ และการเร่งรอบเครื่องบ่อยๆ


ต้องอย่าลืมนะครับว่า ราคาของเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยภายนอกที่เราและประเทศไทย
ไม่สามารถจะควบคุมได้ ถึงเวลาแล้วครับที่ควรจะวาดอนาคตของเราด้วยตัวของเรา
การสามารถใช้น้ำมันหนึ่งลิตรได้ระยะทางเพิ่มขึ้น มากกว่าคนอื่นเท่ากับประหยัดกว่าคนอื่นแล้วครับ


ที่มา : //www.bangkokbiznews.com


สารบัญ รู้เรื่องรถ


Create Date : 18 เมษายน 2554
Last Update : 18 เมษายน 2554 20:26:54 น. 0 comments
Counter : 898 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.