พวงมาลัยสั่นและมีเสียง
เมื่อวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพวงมาลัยจะสั่น และสั่นไปจนถึง 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอความเร็วสูงกว่านั้นก็ไม่สั่นแล้ว จึงอยากทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แก้ไขได้อย่างไร
ผมได้รับคำถามจาก lilly_wow ส่งมาทางอีเมล์ถามมาว่า ใช้รถยนต์ ฮอนด้า แอคคอร์ด ปี 2003 ซื้อมาตั้งแต่ป้ายแดง ตอนนี้ใช้ไปได้ 64,000 กิโลเมตรแล้ว เปลี่ยนยางไปหนึ่งชุดเมื่อตอนที่ใช้ไป 52,000 กิโลเมตร ไม่เคยมีอุบัติเหตุแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ปัจจุบันพบว่า เมื่อวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพวงมาลัยจะสั่น และสั่นไปจนถึง 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอความเร็วสูงกว่านั้นก็ไม่สั่นแล้ว จึงอยากทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แก้ไขได้อย่างไร และยังมีเสียงดังเกิดขึ้นทุกครั้งที่หักพวงมาลัยรอกลับรถ และถอยรถเข้าบ้าน จะใช่มาจากสาเหตุเดียวกันหรือไม่
จากข้อความที่ส่งเข้ามาทาง pattanadesh@nationgroup.com พอสรุปได้ว่า มีปัญหาเกิดขึ้นสองประการ ประการแรกอาการสั่นของรถที่รับรู้ได้จากพวงมาลัย ปัญหาแรกนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเกิดจากการไม่ได้ดุล ขณะที่ล้อหมุนมากกว่าอย่างอื่น พูดแบบเข้าใจง่ายก็คือ “ต้องถ่วงล้อ” และหากว่าผู้ถามได้นำรถไปถ่วงล้อมาแล้ว อาจจะไปถ่วงมาทั้งแบบจี้ประชิดและแบบถอดล้ออกมาเข้าเครื่องถ่วง แต่อาการดังกล่าวยังไม่หายไป
ผมแนะนำว่าควรถอดยางออกมาจากกระทะล้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางที่ล้อหน้าทั้งซ้ายและขวา จากนั้นก็เอาผ้าแห้งมาเช็ดทำความสะอาดที่ท้องยางด้านในให้แห้งสนิท เก็บเอาเศษหินและทรายเล็กๆ ออกมาจากท้องยางให้หมด ใช้มือตรวจลูบในท้องยางด้วยว่า มีอาการปูดขึ้นมาของเนื้อยางด้านในท้องยางหรือไม่
รวมทั้งตรวจดูด้วยสายตาว่า แก้มยางด้านนอกและหน้ายาง ต้องไม่มีการบวมปูดในลักษณะเนื้อยางร่อนแยกตัวออกจากกันด้วย จากนั้นจึงประกอบยางกลับเข้าไป และไปทำการถ่วงล้อก่อนที่จะใส่ยางกลับไปประจำที่ในรถ แต่หากพบว่ายางมีอาการบวม ก็ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการสั่นที่พวงมาลัยขึ้นมาอีก หรือหากการบวมแยกตัวของยางเกิดขึ้นที่บริเวณแก้มยาง หรือบริเวณหน้ายาง ก็ต้องรีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที เพราะอาจจะเกิดการระเบิดขณะใช้งานได้
ส่วนเรื่องของเสียงขณะหักพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถและขณะเข้าบ้าน คาดเดาว่าน่าจะเกิดจากเสียงของปั๊มเพาเวอร์ที่ทำงาน โดยมีสาเหตุมาจากการหักพวงมาลัยจนสุด และล้อหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้เคลื่อนไหวบ่อยครั้ง ทำให้ใบปั๊มเพาเวอร์เสียหาย หรืออาจจะเกิดจากท่อยางท่อนรับแรงดันน้ำมันเพาเวอร์บวม ซึ่งทั้งสองกรณีต้องทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ทั้งคู่ จึงจะหายจากอาการดังกล่าวได้ครับ
ที่มา : //www.bangkokbiznews.com
สารบัญ รู้เรื่องรถ
Create Date : 09 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 9 พฤษภาคม 2554 16:26:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2444 Pageviews. |
|
|
|
|
|